ร่วมสนับสนุนโดยกองบังคับการตำรวจจราจร
ชูประเทศไทยเป็นประเทศที่สามของโลกที่เริ่มใช้จุดบริการ
ตรวจสอบระดับแอลกอฮอล์รวมกับบริการรับส่งของ Uber
กรุงเทพฯ 17 ธันวาคม 2558 – Uber ร่วมกับ มูลนิธิ เมาไม่ขับ รวมพลังช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุซึ่งมีสาเหตุมาจากการเมาแล้วขับขี่ยานพาหนะในช่วงเทศกาลที่จะถึงนี้ตรวจสอบระดับแอลกอฮอล์รวมกับบริการรับส่งของ Uber
ประเทศไทยมีสถิติผู้เสียชีวิตบนท้องถนนที่มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก จากการรายงานขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO พบว่าร้อยละ 26 ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดจากการเมาแล้วขับทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสูญเสียชีวิตจำนวนมากที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในแต่ละปี โดยช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุพบว่าเป็นช่วงกลางคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ในขณะที่เดินทางกลับบ้านหลังจากดื่มสังสรรค์ ในขณะที่รถขนส่งสาธารณะได้หยุดให้บริการ หรือมีการให้บริการในช่วงเวลาที่จำกัด และจำนวนรถแท็กซี่ที่มีให้บริการมีจำนวนไม่มากในช่วงกลางดึก
การร่วมมือครั้งนี้จะนำเทคโนโลยีเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์แบบดิจิตัลสู่แหล่งท่องเที่ยวยามราตรีในย่านทองหล่อระหว่างเดือนธันวาคมและมกราคมปีหน้า ควบคู่กับวิธีลดการเมาแล้วขับได้ทันที เนื่องจาก Uber จะให้บริการส่งผู้โดยสารกลับบ้านโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วย โดยประเทศไทยจะเป็นประเทศที่สามในโลกที่เริ่มใช้จุดบริการนี้ ถัดจากประเทศแคนาดาและเวียดนาม
เมื่อชาวกรุงเทพฯ ที่ออกไปร่วมงานเลี้ยงงานสังสรรค์ต้องการที่จะกลับบ้าน เขาสามารถตรวจสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายได้โดยการใช้หลอดเป่าลมเข้าไปที่เครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์แบบดิจิตัลที่จุดให้บริการ หลังจากนั้นเครื่องจะแจ้งปริมาณแอลกอฮอล์ที่ตรวจพบว่ามีปริมาณมากหรือน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะเป็นการตรวจสอบระดับแอลกอฮอล์ที่เสมือนกับการตรวจของเจ้าหน้าที่เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการเมาแล้วขับขี่ยานพาหนะ หากพบว่าปริมาณที่ตรวจพบเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด Uber ร่วมกับ มูลนิธิเมาไม่ขับ จะเชื่อมต่อผู้ที่ใช้เครื่องเข้ากับบริการเรียกรถของอูเบอร์ ให้ผู้ที่ตรวจระดับแอลกอฮอล์เกินกำหนด กลับบ้านได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในวงเงินค่าโดยสารสูงสุด 200 บาท ซึ่งบริการนี้สามารถใช้ได้ทั้งผู้ที่ใช้งาน Uber เป็นประจำ และผู้ที่เริ่มใช้งานใหม่“หน้าที่หลักของเราคือการให้ความรู้กับประชาชนถึงอันตรายของการเมาแล้วขับ และรณรงค์ให้ผู้คนตัดสินใจด้วยความรับผิดชอบซึ่งมีส่วนในการช่วยชีวิตผู้อื่นได้ โดยการเข้าถึงบริการที่ปลอดภัยและไว้วางใจได้ของ Uber จึงไม่ต้องขับรถหลังจากที่ดื่มเครื่องดื่มมึนเมาไปแล้ว เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ร่วมมือกับ Uber เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือการทำให้ท้องถนนในกรุงเทพมหานครมีความปลอดภัยสำหรับทุกคน นอกจากนี้ จากสถิติอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ปี 2558 ที่ผ่านมาพบว่ามีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรถึง 341 ราย บาดเจ็บ 3,117 ราย สาเหตุประการสำคัญเกิดจากการเมาแล้วขับ ” นายสุรสิทธิ์ ศิลปงาม ผู้จัดการ มูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าว
“เราขอชื่นชมในความมุ่งมั่นระหว่าง Uber กับ มูลนิธิเมาไม่ขับ ในการสนับสนุนนโยบายที่สำคัญของเรา นั่นคือการลดจำนวนอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับขี่ยานพาหนะในกรุงเทพมหานคร เทคโนโลยีตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจจะมีส่วนช่วยให้ผู้ที่ดื่มเกิดความตระหนักถึงอันตรายจากการมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าระดับที่กฎหมายกำหนด อันจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะทำให้ผู้ดื่มทราบถึงระดับแอลกอฮอล์ได้ก่อนที่จะเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย การเพิ่มทางเลือกในการเดินทางให้แก่ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ เช่น Uber จะทำให้ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและตัดสินใจเลือกการเดินทางที่เหมาะสมเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตที่เกิดจากการเมาแล้วขับในทุกครั้งที่มีการดื่มสังสรรค์” พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส ผู้กำกับการกองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจจราจร กล่าว
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผลจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตจากการเมาแล้วขับในเมืองแคลิฟอร์เนียก่อนและหลัง Uber เปิดให้บริการ พบว่าหลังจากมีการให้บริการของ Uber จำนวนอุบัติเหตุร้ายแรงจากการเมาแล้วขับขี่ยานพาหนะลดลงจากร้อยละ 5.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.6 ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาในลักษณะเดียวกันในเมืองซีแอทเทิล พบว่าอัตราการจับกุมของเจ้าหน้าที่จากกรณีการขับขี่ภายใต้อิทธิพลของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีอัตราส่วนลดลงร้อยละ 10 หลังจากที่ Uber ได้เข้าไปเปิดให้บริการ
1.jpg)
