Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

ความรู้เกี่ยวกับมอเตอร์สตาร์ทของรถยนต์


มอเตอร์สตาร์ทของรถยนต์ใช้กระแสไฟตรง (D.C.) ที่มีแรงดันไฟฟ้าต่ำ เป็นตัวเปลี่ยนแปลง พลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแบตเตอรี่ กลายเป็นพลังงานกลซึ่งสามารถฉุดเครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้
มอเตอร์สตาร์ทที่นำมาใช้ในรถยนต์มีคุณลักษณะที่สำคัญโดยรวมดังนี้
1. มีแรงบิดมากพอที่จะขับให้เครื่องยนต์หมุนได้
2. ความเร็วรอบและกำลังของมอเตอร์ที่ใช้ต้องมีความสัมพันธ์กับประเภทและขนาด ของเครื่องยนต์ และความจุของแบตเตอรี่
3. มีความสามารถในการเข้าขบกับล้อช่วยแรง (Flywheel) ได้เป็นอย่างดี
4. มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา สะดวกและง่ายต่อการติดตั้ง
โครงสร้างมอเตอร์สตาร์ท (Construction of Starter)
มอเตอร์ ประกอบด้วยทุ่นอาร์เมเจอร์ มีขดลวดพันอยู่รอบๆ ในร่องของแกนเหล็กอ่อนแผ่นบางที่วางซ้อนกัน ปลายของขดลวดเชื่อมต่อกับคอมมิวเตเตอร์ และต่อแบบอนุกรมเข้ากับวงจรของอาร์เมเจอร์
สวิตช์แม่เหล็กของโซลินอยด์ เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตัด และต่อกระแสไฟที่ป้อนให้แก่มอเตอร์ พร้อมทั้งเป็นตัวเลื่อนชุดของคลัทช์และเฟืองขับ เพื่อให้เฟืองขับสามารถขบกับเฟืองของล้อช่วยแรง
แผ่นสะพานไฟ ทำหน้าที่ตัดหรือต่อกระแสไฟที่ป้อนให้แก่มอเตอร์ โดยเคลื่อนที่ไปพร้อมกับแกนของแกนพลันเยอร์
พลันเยอร์ เป็นแกนเหล็กอ่อนที่เชื่อมต่อระหว่างโซลินอยด์กับมอเตอร์ ทำหน้าที่เคลื่อนที่ไปมาเมื่อเกิดอำนาจแม่เหล็กขึ้นรอบๆ จึงสามารถตัดหรือต่อขั้วหลักของวงจร กับขั้วที่ต่อเข้ากับมอเตอร์ได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นตัวเลื่อนชุดคลัทช์และเฟืองขับ มอเตอร์ไปในตัวอีกด้วย
ขดลวดชุดดึง ทำหน้าที่สร้างอำนาจแม่เหล็กขึ้นสำหรับดึงพลันเยอร์ให้เคลื่อนที่ได้
ขดลวดชุดยึด ทำหน้าที่สร้างอำนาจแม่เหล็กขึ้นสำหรับยึดพลันเยอร์ ไม่ให้เคลื่อนที่กลับขณะที่ต่อเข้ากับชุดของสะพานไฟ
สปริงดันกลับ ทำหน้าที่ดันพลันเยอร์กลับตำแหน่งเดิม
คลัทช์มอเตอร์ (Starter Clutch) ทำหน้าที่ต่อหรือตัดกำลังจากมอเตอร์ไปยังล้อช่วย แรงของเครื่องยนต์
การทำงานของคลัทช์มอเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
ถ่ายทอดแรงบิด เมื่อเฟืองขับเลื่อนเข้าไปขบกับเฟืองของล้อช่วยแรงและอาร์เมเจอร์ แล้วจะทำให้ทั้งสองส่วนเริ่มหมุน จะเกิดเป็นความฝืดขึ้น เนื่องจากแรงเสียดทานระหว่างปลอกถังในกับลูกปืน ทำให้ลูกปืนถูกดันให้เข้าไปอยู่ในส่วนที่แคบ เป็นเหตุให้ทั้งปลอกนอกและในถูกขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน ป้องกันแรงบิด หลังจากเครื่องยนต์ทำงาน เฟืองขับจะถูกขับโดยเฟืองของล้อช่วยแรง ซึ่งมีความเร็วมากกว่าความเร็วของอาร์เมเจอร์ จึงทำให้ปลอกนอกหยุดอยู่กับที่ จะเหลือเพียงเฟืองปลอกในเท่านั้นที่เคลื่อนที่ ในขณะเดียวกันลูกปืนจะเคลื่อนที่ออกมาสู่ส่วนที่กว้างขึ้น ทำให้ลูกปืนเป็นอิสระและหยุดถ่ายทอดแรงบิด
อาร์เมเจอร์ ประกอบด้วยแกนเหล็กซึ่งมีเพลาสวมอยู่ ระหว่างแกนเหล็กเจาะ เป็นร่องสำหรับบรรจุขดลวดอาร์เมเจอร์อยู่รอบแกน ปลายขดลวดต่อเข้ากับตัวคอมมิวเตเตอร์ อาร์เมเจอร์จะหมุนอยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็กซึ่งติดตั้งที่ด้านทั้งสอง เพื่อเป็นการลดความสูญเสียของเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้น
ขดลวดอาร์เมเจอร์ทำด้วยทองแดงหนาๆ เพื่อต้องการให้รับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุด ขดลวดอาร์เมเจอร์แต่ละขดประกอบด้วยลวดเพียงรอบเดียว โดยการพันเส้นลวดต้องให้แนบสนิทกับร่องของแกนเหล็ก เพื่อทำให้กระแสจากขดลวดสนามแม่เหล็ก สามารถไหลผ่านขดลวดอาร์เมเจอร์ได้ทุกคอยล์ในเวลาเดียวกัน จึงเกิดเป็นสนามแม่เหล็กรอบขดลวดนี้ขึ้น พร้อมทั้งทำให้เกิดแรงผลักดันโดยรอบอาร์เมเจอร์ขึ้นด้วย
การทำงานของมอเตอร์สตาร์ท
เริ่มต้นจากเฟืองขับของมอเตอร์สตาร์ท จะส่งกำลังเข้าไปขับเฟืองล้อช่วยแรงของเครื่องยนต์ ซึ่งทำหน้าที่ในการต่อหรือตัดวงจรออกจากเฟืองล้อช่วยแรงได้โดยอัตโนมัติ จำนวนฟันเฟืองขับของมอเตอร์สตาร์ทมักจะน้อยกว่าจำนวนฟันเฟืองล้อช่วยแรง จึงทำให้มีกำลังสูงขึ้นในขณะขับเครื่องยนต์ อัตราการทดของเฟืองทั้งสองประมาณ 12: 1
ในขณะเครื่องยนต์ทำงานแล้ว ถ้าเฟืองขับยังคงขบอยู่กับเฟืองล้อช่วยแรง จะทำให้เพลาของอาร์เมเจอร์หมุนด้วยแรงเหวี่ยงอย่างแรง จะทำให้เกิดความเสียหายได้ จึงต้องมีกลไกมาช่วยในการตัดวงจรการส่งกำลังออกจากกัน
เริ่มต้นจากเฟืองขับของมอเตอร์สตาร์ท จะส่งกำลังเข้าไปขับเฟืองล้อช่วยแรงของเครื่องยนต์ ซึ่งทำหน้าที่ในการต่อหรือตัดวงจรออกจากเฟืองล้อช่วยแรงได้โดยอัตโนมัติ จำนวนฟันเฟืองขับของมอเตอร์สตาร์ทมักจะน้อยกว่าจำนวนฟันเฟืองล้อช่วยแรง จึงทำให้มีกำลังสูงขึ้นในขณะขับเครื่องยนต์ อัตราการทดของเฟืองทั้งสองประมาณ 12: 1
ในขณะเครื่องยนต์ทำงานแล้ว ถ้าเฟืองขับยังคงขบอยู่กับเฟืองล้อช่วยแรง จะทำให้เพลาของอาร์เมเจอร์หมุนด้วยแรงเหวี่ยงอย่างแรง จะทำให้เกิดความเสียหายได้ จึงต้องมีกลไกมาช่วยในการตัดวงจรการส่งกำลังออกจากกัน
คลัทช์โอเวอร์รันนิ่ง ใช้คันโยกในการเลื่อนเฟืองขับของมอเตอร์สตาร์ทเข้าขบกับเฟืองล้อช่วยแรง อาศัยการควบคุมการทำงานโดยชุดของสวิตช์โซลินอยด์ โดย ตำแหน่งของคลัทช์โอเวอร์รันนิ่งติดอยู่ด้านหลังของเฟืองขับ ทำหน้าที่ส่งกำลังขับเคลื่อนจากแกน ของอาร์เมเจอร์เข้าขบกับเฟืองของล้อช่วยแรงได้ในทิศทางเดียว และจะหมุนเป็นอิสระในทิศทาง ตรงกันข้าม ลักษณะของคลัทช์โอเวอร์รันนิ่งเป็นแบบปลอกสวมติดอยู่กับแกนของอาร์เมเจอร์ โดยปลอกและเฟืองขับจะสวมกันแบบแนบสนิทกับปลอกของมัน
คลัทช์เบนดิกซ์ (Bendix Clutch) ทำงานโดยอาศัยเฟืองแบบเกลียว และใช้แรงเฉื่อยเพื่อเข้ากับเฟืองของล้อช่วยแรง ซึ่งมีเฟืองสวมอยู่กับสกรู เมื่อมอเตอร์สตาร์ทเริ่มหมุนมันก็จะเหวี่ยง ตัวเองโดยการเคลื่อนที่ไปตามสกรู เข้าขับกับเฟืองของล้อช่วยแรงหมุนเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ ทำงานเองได้แล้วจะหมุนเร็วกว่าเฟืองขับของมอเตอร์ ทำให้เฟืองมอเตอร์สตาร์ทเลื่อนออกจาก เฟืองของล้อช่วยแรงได้
นอกจากนี้แล้วยังมีกลไกขับด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อสำหรับต่อและตัดการขับของเฟือง โดยอาศัยคลัทช์ประเภทอื่น ๆ เป็นตัวช่วย ได้แก่ ไดเออร์คลัทช์(Dyer Clutch) สแปรกคลัทช์(Sprag Clutch) เป็นต้น
การทดสอบวงจรสตาร์ท (Starting Circuit Testing)
การทดสอบและวิเคราะห์วงจรต้องปฏิบัติกับวงจรที่สมบูรณ์ก่อนการถอดส่วนประกอบหรือ ชิ้นส่วนใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นการทดสอบสมรรถนะของมอเตอร์สตาร์ท โดยมักทำการทดสอบใน ขณะที่ไม่มีภาระงานของมอเตอร์สตาร์ท หรือเรียกว่า การทดสอบตัวเปล่า
เมื่อทดสอบสมรรถนะของมอเตอร์สตาร์ทแล้ว ผลปรากฏว่าการทำงานไม่เป็นผล ตามค่าที่กำหนดก็จำเป็นที่ต้องได้รับการบริการ รวมไปถึงการถอดประกอบชิ้นส่วนออกมาตรวจสภาพและทดสอบ หลังจากนั้นจึงประกอบชิ้นส่วนกลับคืน แล้วทดสอบการทำงานให้เป็นไปตามค่าที่กำหนด
โดยทั่วๆ ไปแล้วการทดสอบสภาพทางกล เช่น การทดสอบเพลาอาร์เมเจอร์
แปลงถ่าน หรือกลไกการขับอื่นๆ สามารถตรวจได้โดยง่ายด้วยการตรวจพินิจหรือการทดสอบง่ายๆ ยกเว้นข้อขัดข้องที่เกี่ยวกับขดลวดซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้การทดสอบอย่างละเอียดมากขึ้น เช่น การทดสอบการขาดของขดลวดอาร์เมเจอร์ การทดสอบการลัดวงจรของขดลวด การทดสอบการรั่ว ลงดินของขดลวดอาร์เมเจอร์ และการทดสอบชุดลวดฟิวส์ เป็นต้น
หลังจากการทดสอบชิ้นส่วนต่างๆ พร้อมทั้งประกอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ควรจะต้องมี การตรวจสอบการประกอบขั้นสุดท้าย คือ
1. การตรวจสอบการทำงานตัวเปล่าของมอเตอร์สตาร์ท เพื่อเป็นการทดสอบสมรรถนะ ของมอเตอร์อีกครั้งก่อนใช้งานจริง
2. การตรวจสอบระยะห่างของเฟืองขับกับแหวนกันเฟืองกระแทก โดยระยะห่างที่ เหมาะสมประมาณ 0.1-0.6 มิลลิเมตร
3. การตรวจสอบสวิตช์ควบคุมวงจร ซึ่งสามารถกระทำได้โดยการทดสอบ โดยใช้มือตรวจสอบ โดยใช้โซลินอยด์ และการตรวจสอบโดยใช้แม่เหล็ก เป็นต้น
การบำรุงรักษามอเตอร์สตาร์ท
1. ตรวจแปลงถ่าน ตรวจดูสภาพของแปลงถ่านและ คอมมิวเตเตอร์ ถ้าเกิดสกปรก มีฝุ่นหรือคราบน้ำมันจับอยู่ ควรล้างออกด้วยน้ำมันเบนซิน หรือใช้ผ้าที่สะอาดเช็ดออก
2. การสตาร์ทเครื่องยนต์แต่ละครั้งไม่ควรเกิน 30 วินาที และควรทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้เย็นลง จากนั้นจึงเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่
3. ยึดมอเตอร์สตาร์ทให้แน่นอยู่เสมอ รวมทั้งรักษากลไกการขับเคลื่อนให้อยู่ในสภาพที่ดีเสมอ
4. ควรให้การหล่อลื่นลูกปืน โดยใช้น้ำมันชนิดใสหยอดประมาณ 2-3 หยด
5. ไม่ควรใช้น้ำมันชะโลมล้าง หรือแช่ขดลวดอาร์เมเจอร์ และขดลวดแม่เหล็ก เพราะ น้ำมันอาจจะแทรกเข้าไปทำให้ฉนวนต่างๆ เสียหายได้
6. ขณะทำงานบริการ (บำรุงรักษา) มอเตอร์สตาร์ท ควรถอดสายไฟขั้วสายดินของ แบตเตอรี่ออกก่อน และไม่ควรวางเครื่องมืออื่นๆ ไว้บนแบตเตอรี่

วิธีตรวจสอบหาสาเหตุของอาการเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติดและสตาร์ทไม่ได้

ถ้าคุณขับรถอยู่แล้วรถคุณดับ สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติดหรือสตาร์ไม่ติดคุณจะทำอย่างไร ถ้าผู้ขับขี่ที่มีพื้นฐานความรู้ด้านช่างอยู่บ้างก็คงจะพอแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ แต่ถ้าเป็นผู้ขับขี่มือใหม่คงจะต้องโทรตามช่าง หรือไม่ก็สอบถามผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์เพื่อที่จะทำการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ขับต่อไปได้ เพราะฉะนั้นแล้วในวันนี้ทางผู้เขียนจะมีข้อแนะนำของอาการเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติดและสตาร์ทไม่ได้แต่ละอาการมาฝากกันครับ
บิดกุญแจแล้วเครื่องยนต์ไม่หมุนแต่ มีเสียงดังแชะ ๆ หรือไม่ดัง ถ้าอาการนี้เกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณ ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า แบตเตอรี่ หรือ ไดสตาร์ทมีปัญหา ให้คุณลองบีบแตร ดูอาการว่าแตรดังปกติหรือไม่ แบตเตอรี่อาจจะอ่อนเกือบหมด ทำให้หมุนไดสตาร์ทไม่ไหว ได้แค่กระตุ้นโซลินอยด์ เบา ๆ แต่หมุนไม่ไหวจึงมีเสียงแชะๆ ถ้าหากแบตเตอรี่มีไฟ ไดสตาร์ทอาจขัดข้อง ถ้าไดสตาร์ทขัดข้องให้ทดลองหาท่อนไม้มาเคาะไดสตาร์ท(ต้องระมัดระวังอย่าให้โดนอุปกรณ์อื่นๆด้วย) ถ้าสตาร์ทติดแสดงว่าไดสตาร์ทสกปรก แต่หลังจากนั้นก็ต้องถอดไปทำความสะอาดด้วยนะครับ แต่ถ้าเคาะแล้วยังไม่ทำงานก็ต้องถอดออกไปซ่อมครับ บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนอืดๆ ไม่ยอมทำงานเอง ถ้าคุณได้ยินเสียงไดสตาร์ท และการหมุนของเครื่องยนต์ แต่เป็นการหมุนช้าๆ หรืออืด ๆ อาการนี้ มักจะมีปัญหามาจากแบตเตอรี่ไฟอ่อน แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือ ไดชาร์จไม่ปกติ ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวเครื่องยนต์ อาการขัดข้องแบบนี้ถ้าเป็นระบบเกียร์ธรรมดา สามารถเข็นโดยเข้าเกียร์ 2 กระตุกติดเครื่องยนต์ได้ หรือถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติก็สามารถพ่วงแบตเตอรี่จากภายนอกเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดได้ครับ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วให้ดูไฟรูปแบตเตอรี่ที่หน้าปัด ว่าสว่าง หรือเรือนราง ถ้าไฟรูปแบตเตอรี่ไม่สว่างแสดงว่าการชาร์จไฟปกติ แต่ถ้ารูปไฟแบตเตอรี่สว่างขึ้นโชว์ไม่ดับ แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการตรวจเช็คการชาร์จไฟของไดร์ชาร์จโดยด่วน เพราะถ้าคุณขับรถต่อไปเครื่องยนต์อาจจะดับเองได้อีก บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนเร็วด้วยไดสตาร์ท แต่เครื่องไม่ติด อาการลักษณะนี้หลายท่านอาจเข้าใจผิดว่าแบตเตอรี่เสีย หรือไดสตาร์ทเสีย เตรียมหาแบตเตอรี่มาพ่วงทั้งที่ความจริงแล้วแบตเตอรี่ และไดสตาร์ทเป็นปกติ เพราะเมื่อบิดกุญแจแล้วเครื่องยนต์หมุนได้เร็วด้วยไดสตาร์ท แต่เครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานหรือติดได้เอง เมื่อปล่อยการบิดกุญแจเครื่องยนต์ก็หยุดหมุนปัญหาอยู่ที่ตัวเครื่องยนต์ เพราะแบตเตอรี่และไดสตาร์ทปกติดี แนะนำให้ตรวจสอบที่ตัวเครื่องยนต์ เช่น มีไฟเลี้ยงระบบหรือไม่ ปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานดีหรือเปล่า โดยต้องตรวจสอบระบบต่างๆ ฯลฯ อาการลักษณะนี้ยากที่จะแก้ไขด้วยตนเองได้ แนะนำให้ติดต่อศูนย์บริการเพื่อให้ช่างผู้ชำนาญการทำการตรวจสอบจะดีที่สุดครับ อาการสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ใช่มีเพียง แบตเตอรี่หรือไดสตาร์ท เท่านั้นที่ทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ของเครื่องยนต์อีกหลายชิ้นส่วนที่เป็นต้นเหตุให้สตาร์ทไม่ติด ท้ายนี้หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะพอเข้าใจอาการเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติดไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดีร่ำรวยทุกท่านครับ. แก้ไขได้ไม่ยากนัก. (ถ้าวิเคราะห์ดี) แผนก เทคนิคและฝึกอบรม บริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด (กรุงเทพฯ)

จากัวร์ ประเทศไทย ร่วมยินดีครบรอบ 10 ปี จากัวร์เดมเลอร์คลับไทยแลนด์




บุคคลในภาพข่าว: ฯพณฯ มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และมิสมาร์ทีเน่ เคนท์ ภริยา (กลาง) ร่วมกับ มร.ริชาร์ด เฮก ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จํากัด (ที่ 3 จากซ้าย), นายมนัส สาธิตสมิธพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานจากัวร์เดมเลอร์คลับไทยแลนด์ (ขวาสุด), นพ.สมคนึง ตัณฑ์วรกุล คณะกรรมการจากัวร์เดมเลอร์คลับไทยแลนด์ (ที่ 2 จากขวา), และ ดร.นิรุตติ์ คุณวัฒน์ คณะกรรมการ จากัวร์เดมเลอร์คลับไทยแลนด์ (ที่ 3 จากขวา) ร่วมแสดงความยินดีในงานครบรอบ 10 ปี จากัวร์เดมเลอร์คลับไทยแลนด์ โดยมี นายดนัย จันทรงาม ผู้อํานวยการฝ่ายการขาย บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จํากัด (ซ้ายสุด) และ มร.แกรี่ เคมป์ หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิค บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จํากัด (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมนำเสนอโปรโมชั่นบริการหลังการขายให้แก่ลูกค้าจากัวร์ภายในงาน

กรุงเทพฯ - ฯพณฯ มาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และ ภริยา ร่วมกับ คณะผู้บริหารจากัวร์แลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย นำโดย มร. ริชาร์ด เฮก ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด ผู้แทนจัดจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีในงานฉลองครบรอบ 10 ปี จากัวร์เดมเลอร์คลับไทยแลนด์ ณ ห้องอาหาร แอนนา แอนด์ ซัน คิวซีน โดยมีนายดนัย จันทรงาม ผู้อํานวยการฝ่ายการขาย และ มร.แกรี่ เคมป์ หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิค บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จํากัด ร่วมนำเสนอโปรแกรมบัตรวีไอพีและรายละเอียดของยานยนต์จากัวร์รุ่นล่าสุดแก่ผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้ ภายในงานสมาชิกชมรมยังได้นำรถยนต์จากัวร์ทั้งรุ่นคลาสสิกและรุ่นใหม่ รวมถึงรถยนต์แบรนด์อื่นๆ จากสหราชอาณาจักรมาร่วมจัดแสดงกว่า 60 คัน เพื่อแสดงออกถึง “มรดกแห่งบริติชและจิตวิญญาณแห่งราชอาณาจักร”

โปรแกรมบัตรวีไอพี ของ ซิตี้ ออโต้โมบิล นำเสนอบริการหลังการขายชั้นเลิศเพื่อมอบความอุ่นใจที่เหนือระดับสำหรับเจ้าของรถยนต์จากัวร์ในประเทศไทย อาทิ ส่วนลดค่าบริการดูแลหลังการขาย 10% รวมไปถึงแคมเปญและโปรโมชั่นอีกมากมายเพื่อมอบความปลอดภัยบนท้องถนนขั้นสูงสุดแก่ผู้บริโภค ด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้รับการอัพเกรดประสิทธิภาพให้เทียบเท่าศูนย์บริการระดับสากล และดำเนินงานโดยช่างผู้ชำนาญที่ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานของจากัวร์และแลนด์โรเวอร์ สหราชอาณาจักร



ท่านสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยานยนต์และข้อมูลเชิงเทคนิคได้ที่เว็บไซต์ www.landroverthailand.com และ www.jaguarthailand.com

ยักษ์ใหญ่ยุโรปกลุ่ม “วาลีโอ" เสริมศักยภาพธุรกิจเปิด “วาลีโอ เซอร์วิส อาเซียน” ดูแลตลาดอะไหล่ทดแทนในประเทศไทย พร้อมเป็นฐานส่งออกไปยังอีก 10 ประเทศ ในภูมิภาคอาเซียน


                กรุงเทพฯ ประเทศไทย  21 ตุลาคม 2557 – วาลีโอ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำระดับโลก เพิ่มเขี้ยวเล็บทางธุรกิจให้ครบวงจรด้วยการเปิด “วาลีโอ เซอร์วิส อาเชียน” เป็นบริษัทฯ ขายและจัดจำหน่ายในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคอาเชียนอีก 10ประเทศ
         นายชิน เวง เชา ผู้อำนวยการกลุ่มบริษัทวาลีโอ ประจำภูมิภาคอาเซียนเปิดเผยว่า “วาลีโอ” เป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา กลุ่มวาลีโอได้เริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ชลบุรีและนิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์นซีบอร์ดระยอง ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า4,000 ล้านบาท  เพื่อสร้างฐานการผลิตระดับโลกของชิ้นส่วนต่างๆของรถยนต์เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าให้กับตลาด OEM ภายในประเทศไทย อาทิ เช่น มิตซูบิชิ ซูซูกิ และนิสสัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังส่งออกไปยังยุโรป  เยอรมัน อเมริกา  อเมริกาใต้  รัสเซียและกลุ่มลูกค้า OEM รายอื่นๆในเอเชียอีกด้วย

นายชิน เวง เชา กล่าวว่า เนื่องด้วยเราเป็นบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีกับผลิตภัณฑ์ วาลีโอเป็นผู้นำด้านการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการขับขี่และสร้างสรรนวัตกรรมทางผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงสนับสนุนระบบไฮบริด กลุ่มบริษัทวาลีโอ ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ประกอบไปด้วย 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ระบบความร้อน, ระบบส่งกำลัง, ระบบทัศนวิสัย, และระบบช่วยเหลือการขับขี่ 

และเพื่อเป็นการให้บริการที่สมบูรณ์แบบ กลุ่มวาลีโอจึงได้จัดตั้ง “ วาลีโอ เซอร์วิส อาเซียน” ขึ้นโดยใช้ประเทศไทยเป็นสำนักงานใหญ่ ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา  โดยวาลีโอ เซอร์วิส อาเซี่ยน นี้จะเป็นหน่วยงานหนึ่งของบริษัท วาลีโอ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง  โดยมี คุณรีเบคก้า คัลลินัน ดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไปจะเป็นผู้ดูแลส่วนงานขายและกระจายสินค้าสำหรับตลาดอะไหล่ทดแทนทั้ง 10  ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม บรูไน และฟิลิปปินส์

ด้านนางรีเบคก้า คัลลินัน ผู้จัดการทั่วไป วาลีโอ เซอร์วิส อาเชียน กล่าวถึงทิศทางและแนวโน้มของตลาดในกลุ่มชิ้นส่วนที่วาลีโอเป็นผู้ผลิตนี้ว่า “ด้วยตัวเลขการเติบโตของยานพาหนะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับสภาพภูมิอากาศ ลักษณะการใช้งาน ทำให้ตลาดซ่อมบำรุงและตลาดอะไหล่ทดแทนในภูมิภาคนี้ยังมีโอกาสเติบโตสูงมาก และในขณะนี้วาลีโอได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าวด้วยการตั้งวาลีโอ เซอร์วิส อาเซียนขึ้น

          “วันนี้เราพร้อมทั้งคุณภาพสินค้าระดับโลกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี่รักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมความสามารถในการบริการโลจิสติก ที่สามารถจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าหรือร้านซ่อมภายใน 48 ชั่วโมง ภายใน ประเทศไทย และ 1 สัปดาห์ในต่างประเทศ ด้วยค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล

นอกจากนี้เราจะเน้นการสร้างแบรนด์ให้เกิดการรับรู้กับผู้บริโภคให้มากที่สุด ชื่อของ วาลีโอยังไม่แพร่หลายในประเทศไทยและภูมิภาคอาเชียน ดังนั้นเรามีแผนการตลาดที่สร้างการรับรู้ผ่านกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ทั้งกิจกรรมกับลูกค้าผ่านสื่อ การออกแสดงสินค้าในงานต่างๆ รวมถึงจัดกิจกรรมกับอู่ซ่อมรถยนต์ เพื่อสร้างการรับรู้และการยอมรับในบรรดาช่างซ่อมต่างๆอีกด้วย”  นางรีเบคก้า กล่าว
 

19 ค่ายรถชั้นนำร่วมกระหึ่ม “แปซิฟิค มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 17” อัดโปรแรงฯ ขายทิ้งทวนส่งท้ายปี คาดเงินสะพัดกว่า 600 ล้าน



แปซิฟิค พาร์ค ศรีราชาเดินหน้าจัดสุดยอดมหกรรมงานแสดงยานยนต์แห่งภาคตะวันออก “แปซิฟิค มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 17” อย่างยิ่งใหญ่ ทุ่มกว่า 22 ล้านบาท โหมกลยุทธ์โปรโมทงานและอัดกิจกรรมตื่นตาตื่นใจเต็มพิกัด 19ค่ายยานยนต์ชั้นนำขานรับ ร่วมระดมทัพรถยนต์-มอเตอร์ไซค์รุ่นยอดนิยมและรถรุ่นใหม่ล่าสุด เปิดตัวและรับจองอย่างคับคั่ง พร้อมชงโปรโมชั่นแรง ขายทิ้งทวนส่งท้ายปี ทั้งผ่อนยาวนาน-ฟรีดอก-ดาวน์ต่ำ-รถใหม่แต่งครบราคาเดิม-มอบส่วนลดสูงสุดกว่าแสนบาท และน้อมรับทุกเงื่อนไขของลูกค้า คาดจัดงาน 9 วัน เงินสะพัดกว่า 600 ล้านบาท มีผู้ชมงานกว่า 500,000 คน

      นายสมบูรณ์ วรปัญญาสกุลกรรมการผู้จัดการ บริษัท แปซิฟิค พาร์ค ศรีราชา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังยึดมั่นที่จะจัดงานแสดงยานยนต์ให้ยิ่งใหญ่และมีความสมบูรณ์แบบที่สุดในภูมิภาคตะวันออกแปซิฟิค มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 17 (17th Pacific Motor Show) ขึ้น ณ บริเวณศูนย์การค้าแปซิฟิค พาร์ค ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายน 2557 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “MY CAR IS MY LOVER” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงรถยนต์คันโปรดของใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหรูหราหรือมีราคาแพง แต่สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเจ้าของ ไม่เพียงแต่ใช้เป็นยานพาหนะเพื่อการเดินทางเท่านั้น ยังรวมถึงเป็นรถยนต์คู่ใจที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งการขับไปทำงาน การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ กับคนรักหรือครอบครัว ด้วยยานพาหนะที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยและคุ้นเคย รถยนต์ที่เป็นการสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์เจ้าของอย่างแท้จริง เป็นการบ่งบอกตัวตนผ่านรถยนต์คันโปรด

 “ปีนี้ใช้พื้นที่จัดงานทั้งภายในและภายนอกศูนย์การค้ารวมทั้งสิ้นกว่า 4,500 ตารางเมตรเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่ได้ปรับพื้นที่บางส่วนเพื่อเพิ่มให้กับบูธจักรยาน ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งปรับพื้นที่ให้เกิดความสะดวกสบายสำหรับผู้เข้าชมงานมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งประเภทผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกจากกันอย่างชัดเจน และประสานบริษัทรถยนต์ต่างๆ ให้ตกแต่งบูธสวยงามมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าชมงานเข้าสัมผัสรถยนต์ได้อย่างใกล้ชิด เช่น การทดลองนั่งรถ หรือมุมกรอกเอกสารจองรถ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกสบายสูงสุด นั่งแล้วไม่อึดอัด”

สำหรับพื้นที่จัดงานแบ่งออกเป็น 6 โซน ประกอบด้วย โซนที่ 1 ลานโปรโมชั่น ชั้นใต้ดิน จะใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงอุปกรณ์ประดับยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ โซนที่ 2 ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 จัดแสดงรถจักรยานยนต์ทั้งหมด โซนที่ 3 ลานโปรโมชั่น ชั้น 3 เป็นโซนการแสดงจักรยาน โซนที่ 4 บริเวณชั้น 4 และแปซิฟิค ฮอลล์ จัดแสดงรถยนต์จากค่ายรถยนต์ต่างๆ และโชว์รถซูเปอร์คาร์ ส่วนด้านหน้าฮอลล์เป็นพื้นที่ในการจัดพิธีเปิดงาน แปซิฟิค มอเตอร์ โชว์ ครั้งที่ 17 โซนที่ 5 ลานด้านหน้าศูนย์การค้าฯ และโซนที่ 6 ลานด้านข้างศูนย์การค้า จะจัดแสดงโชว์เครื่องเสียงรถยนต์ โคโยตี้แดนซ์ กิจกรรมรวมพลคนรักล้อโชว์(โชว์มอเตอร์ไซค์ตกแต่งจากแบรนด์ชั้นนำ) พร้อมการประกวดเครื่องเสียงรถยนต์ และโคโยตี้แดนซ์

ปีนี้ใช้งบประมาณดำเนินการกว่า 22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมราว 10% เพื่อเนรมิตกิจกรรมหลากหลายที่จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมงานมากยิ่งขึ้น เช่น Sexy Car Wash จากสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่จัดเต็มทุกวันงานมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีมินิคอนเสิร์ตจากสาวเซ็กซี่ G-TWENTY / แฟชั่นโชว์และกิจกรรมสุด Exclusive จากบันนี่ เกิร์ลสาว โดยนิตยสาร PLAYBOY และเพื่อเอาใจผู้รักการขับขี่มอเตอร์ไซค์ จึงจัดกิจกรรมพิเศษ “รวมพลคนรักล้อ” โชว์มอเตอร์ไซค์ตกแต่งสวยงาม พร้อมจัดโชว์และประกวดโคโยตี้ แดนซ์กับเครื่องเสียงรถยนต์ชั้นนำค่ายต่างๆ ไม่นับรวมพริตตี้สาว เกิร์ล แก็งค์ ที่จะมาประจำงานแปซิฟิค มอเตอร์ โชว์ ตลอดวันงาน พร้อมกิจกรรมบันเทิงสุดอลังการตลอดทุกวัน รวมทั้งงบประชาสัมพันธ์การจัดงานตามจังหวัดต่างๆ ทางภาคตะวันออกในวงกว้างมากขึ้น ทั้งสื่อวิทยุท้องถิ่น, ป้ายโฆษณาและนิวมีเดีย เช่น เว็บไซต์ โดยเฉพาะเฟซบุ๊ค เราจะจัดกิจกรรม like & Share ซึ่งมีการแจกของรางวัลให้กับแฟนเพจของเรารวมมูลค่ากว่า 80,000 บาท

ส่วนค่ายยานยนต์ที่ร่วมงานในครั้งมี 19ค่าย ใกล้เคียงกับการจัดงานปีที่ผ่านมา ประกอบค่ายรถยนต์ 13 แบรนด์ อาทิ VOLVO, BMW, TOYOTA, HONDA, MAZDA, NISSAN, ISUZU, CHEVROLET, MITSUBISHI, FORD, SUZUKI, SGP CNG พร้อมโชว์รถซูเปอร์คาร์ MERCEDES-BENZ และ PORSCHE จาก TP AUTO IMPORT ทุกค่ายยืนยันระดมรถยนต์ยอดนิยมรุ่นใหม่และที่เพิ่งเปิดตัวแนะนำแก่สาธารณชน มาร่วมจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ อาทิ The New Volvo V40, BMW X3, New Honda Mobilio, Toyota Vigo TRD Sportivo, Mazda BT50 pro eclipse, Nissan NAVARA NP300, Isuzu Mu-x, Mitsubishi New Pajero Sport, Ford Ranger, Chevrolet Captiva,  Suzuki Celerio เป็นต้น ขณะที่ค่ายรถจักรยานยนต์ตอบรับร่วมงาน 6 ค่าย นำโดย YAMAHA, HONDA,HONDA BIGBIKE,VESPA, PLATINUM, STALLIONS และจักรยาน Titaniumทั้งค่ายรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ทุกแบรนด์ต่างยืนยันจะนำรถยนต์และมอเตอร์ไซค์หลากหลายรุ่นมาจัดแสดง โดยเฉพาะรถบิ๊กไบค์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงสุดในปัจจุบัน มาร่วมจัดแสดงและมอบข้อเสนอพิเศษส่งท้ายปี

เปิดตัว ฟลายอิ้ง สเปอร์ วี8 (FLYING SPUR V8) ณ กรุงมอสโคว์




เปิดตัว เบนท์ลี่ย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ วี8 (Bentley Flying Spur V8) ในงาน MIAS

คอนติเนนทัล จีที วี8 เอส (Continental GT V8 S) มาพร้อมกับความคล่องตัวสูงและ
มูซาน (Mulsanne) ที่สุดของความหรูหราจากเบนท์ลี่ย์ได้รับการจัดแสดงภายในงาน


เบนท์ลี่ย์แสดงให้เห็นถึงความหรูหราที่ร่วมสมัย

(เมือง Crewe / กรุงมอสโคว์) เบนท์ลี่ย์ เปิดตัวรถฟลายอิ้ง สเปอร์ วี8 (Flying Spur V8) รถซีดานสุดหรูอย่างเป็นทางการสู่สาธารณชนในงาน Moscow International Automobile Salon (MIAS)

ฟลายอิ้ง สเปอร์ วี8 (Flying Spur V8) ใหม่ล่าสุดมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับ รุ่น W12 ไม่ว่าจะเป็นการผสานความโฉบเฉี่ยว ความคล่องตัว ความหรูหรา และงานฝีมือ เข้าไว้กับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยได้อย่างลงตัว และถือเป็นการเพิ่มจำนวนลูกค้ารายใหม่ๆ ของเบนท์ลีย์ อีกทั้ง ยังมั่นใจว่ารถรุ่นนี้จะทำให้ผู้ที่ได้สัมผัสเข้าถึงความหรูหราผสานกับประสิทธิภาพที่เหนือชั้นได้อย่างลงตัว Richard Leopold ผู้บริหารเบนท์ลี่ย์ ประเทศ รัสเซีย กล่าวว่า:

“ฟลายอิ้ง สเปอร์ วี8 (Flying Spur V8) คือรถซีดานหรูที่ดีที่สุด และด้วยการขยายตัวแทนจำหน่ายของเราที่ Ekaterinburg และ Krasnodar อีกทั้งการแนะนำรุ่นคอนติเนนทัล จีที วี8 เอส (Continental GT V8 S) ทำให้มั่นใจได้ว่าฟลายอิ้ง สเปอร์ วี8 (Flying Spur V8) ใหม่ล่าสุดจะมาช่วยสร้างยอดขายให้กับเบนท์ลี่ย์ได้เป็นอย่างดี”

ฟลายอิ้ง สเปอร์ วี8 (Flying Spur V8) มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 4 ลิตร Twin-turbo V8 สร้างพละกำลังแรงม้าถึง 507 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 660 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ในระยะเวลาเพียง 5.2 วินาทีและความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 295 กิโลเมตร / ชั่วโมง หากเติมน้ำมันเต็มถังจะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 800 กิโลเมตรเลยทีเดียว

ฟลายอิ้ง สเปอร์ วี8 (Flying Spur V8) ถูกจัดแสดงในงาน MIAS พร้อมกับรุ่นคอนติเนนทัล จีที วี8 เอส (Continental GT V8 S) รถยนต์ที่มีความคล่องตัวสูงจากเบนท์ลี่ย์ และรุ่น Flagship อย่าง มูซาน (Mulsanne) ซึ่งเป็นตัวแทนของการผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพและงานฝีมือที่หรูหราได้อย่างลงตัวจากเบนท์ลี่ย์

เบนท์ลี่ย์ รุ่นต่างๆ ได้รับการจัดแสดงบนพื้นที่ของบริษัท และจัดเป็นครั้งแรกในประเทศรัสเซีย ในงาน MIAS จุดเด่น คือรูปลักษณ์การออกแบบของเบนท์ลี่ย์ที่หรูหรา ทำจากวัสดุและงานฝีมือชั้นเยี่ยม โดยทุกๆ รายละเอียดได้รับความใส่ใจ และถูกสร้างขึ้นจากความหรูหราตามแบบฉบับของเบนท์ลี่ย์ทุกประการ

ข้อความจากผู้เขียน
• เบนท์ลี่ย์ มอเตอร์ คือแบรนด์รถยนต์หรูหราแบรนด์หนึ่งของโลก ในปี 2013 ถือได้ว่าเป็นปีที่ดีที่สุดของเบนท์ลี่ย์ในรอบ 95 ปีที่ผ่านมา โดยมียอดส่งมอบรถให้ลูกค้าทั่วโลกที่เติบโตขึ้น มากกว่า 19% จากปี 2012 นั่นคือ 10,120 คันเลยทีเดียว และในครึ่งปีแรกของปี 2014 , ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเบนท์ลี่ย์คือตลาดในทวีปอเมริกา โดยส่งมอบรถไปแล้วถึง 1,388 คัน ส่วนประเทศจีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่อย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยเป็นตลาดที่ใหญ่มาเป็นอันดับ 2 และมียอดส่งมอบถึง 1,318 คัน ในขณะที่ทวีปยุโรปนั้นส่งมอบไปถึง 825 คัน และประเทศอังกฤษซึ่งเป็นบ้านของเบนท์ลี่ย์ส่งมอบถึง 713 คันและในตลาดตะวันออกกลางส่งมอบไป 502 คัน และในปี 2014 เบนท์ลี่ย์มีตัวแทนจำหน่ายถึง 200 แห่งใน 54 ประเทศ  

• สำนักงานใหญ่ของเบนท์ลี่ย์อยู่ที่เมือง Crewe โดยเป็นที่ตั้งของทีมออกแบบ ทีม R&D ทีมวิศวกรและเป็นสถานที่ใช้ในการผลิตรถทั้ง 3 รุ่นของเบนท์ลี่ย์นั่นคือคอนติเนนทัล ฟลายอิ้ง สเปอร์ และมูซาน การใช้งานฝีมือชั้นเยี่ยมเข้ามาผสมผสานนั้นได้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญทางทักษะของวิศวกรและเทคโนโลยีชั้นนำคือความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่หรูหราอย่างเบนท์ลี่ย์ และเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเป็นโรงงานผลิตรถยนต์คุณภาพสูงของอังกฤษ ที่มีพนักงานถึง 3,700 ณ เมือง Crewe

สำหรับประเทศไทย ท่านสามารถค้นหาหรือสอบถามเกี่ยวกับรถยนต์เบนท์ลี่ย์ได้จาก บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานเบนท์ลี่ย์ประเทศอังกฤษโดยตรง คอยให้บริการรถยนต์เบนท์ลี่ย์ของท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์เบนท์ลี่ย์ได้ที่แผนกขายโทร. 02-261-1050-1 หรือ 02-610-9911-3และท่านสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.thailand.bentleymotors.com


จากัวร์ เอ็กซ์อี (JAGUAR XE) เผยโฉมครั้งแรกในโลก ณ งานเปิดตัวสุดอลังการริมแม่น้ำเทมส์กลางกรุงลอนดอน ซิตี้ ออโต้โมบิล เตรียมเปิดตัวและจัดจำหน่ายในเมืองไทยปี 2558


กรุงเทพฯ, 10 ตุลาคม 2557 – จากัวร์ จัดงานเปิดตัว จากัวร์ เอ็กซ์อี (Jaguar XE) ยานยนต์แนวสปอร์ตซีดานหรูรุ่นใหม่ล่าสุด ในย่านเอิร์ลคอร์ทกลางกรุงลอนดอน พร้อมการแสดงสุดยิ่งใหญ่อลังการเพื่อร่วมฉลองความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของยนตกรรมชั้นสูงแห่งสหราชอาณาจักร โดยมีไฮไลท์เป็นการเปิดตัวเพลง “Feels Like โดย เอมิลี ซานเด นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอังกฤษ เจ้าของรางวัลแพลทินัมอะวอร์ดส์ บนเวทีกลางแม่น้ำเทมส์ โดยมีแลนด์มาร์คของกรุงลอนดอน อย่าง London Eye และอาคาร County Hall อันสง่างามเป็นฉากหลัง บทเพลงนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แคมเปญ Feel XE โดยได้รับแรงบันดาลใจจากผู้คนในโซเชียลมีเดียที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นว่า สิ่งใดที่กระตุ้นเร้าอารมณ์ของคุณได้มากที่สุดผ่านแฮชแท็ก#FEELXE ฝ่าย บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์ในประเทศไทย กำหนดเปิดตัวและจัดจำหน่าย จากัวร์ เอ็กซ์อี ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการภายในปี พ.ศ. 2558

งานเปิดตัว จากัวร์ เอ็กซ์อี จัดขึ้นในย่านเอิร์ลคอร์ท ซึ่งเป็นสถานที่สุดคลาสสิกที่ถูกใช้จัดงานเปิดตัวรถยนต์จากัวร์มาแล้วกว่า 14 รุ่น โดยมี จอห์น ฮันน่าห์  นักแสดงภาพยนตร์ชื่อดัง รับหน้าที่พิธีกร ซึ่งการแสดงที่มีความยาวถึง 45 นาที ประกอบด้วยนักแสดงชื่อดังมากมาย ทั้ง เอมิลี ซานเด, วงเดอะ ไกเซอร์ ชีฟส์, เอลิซ่า ดูลิตเติ้ล, คณะลอยัล บัลเล่ต์, วงดุริยางค์ลอนดอน ฟิลฮาโมนิค ออร์เคสตร้า และ แม็กซ์ มิลเนอร์ จากรายการ เดอะ ว๊อยซ์ โดยโชว์ทุกชุดแสดงถึงช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองของจากัวร์ นับตั้งแต่การเปิดตัวรถยนต์รุ่น เอสเอส100 (SS100) เมื่อปี ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478) จนถึงความสำเร็จทั่วโลกของแบรนด์จากัวร์ในปัจจุบัน ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว จากัวร์ เอ็กซ์อี ซึ่งนำเสนอการเดินทางอันน่าประทับใจจากโรงงานผลิตในเมืองโซลิฮัลล์สู่การเปิดตัวในย่านเอิร์ลคอร์ท ซึ่งงานครั้งนี้มีคนดังและบุคคลสำคัญกว่า 3,000 คนเข้าร่วมงาน อาทิ สเตลล่า แมคคาร์ทนีย์, เดวิด แกนดี้, โจเซ่ มูริญโญ่, ไบรอัน จอห์นสัน, แซม ไรลีย์,  แกรี ลินิเกอร์, รูเบน คอร์ทาดา, เซียนน่า กิลเลอร์รี่ย์ และอีกมากมาย  

เอมิลี ซานเด กล่าวว่า การร่วมงานกับแบรนด์จากัวร์ในครั้งนี้นับเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งผลงานเพลงครั้งนี้เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากการสร้างปฏิสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของแฟนเพลงจำนวนมาก และที่พิเศษสุดคือ การได้มีโอกาสเปิดการแสดงสดเป็นครั้งแรกบนเวทีกลางน้ำอันน่าตื่นใจเพื่อฉลองการเปิดตัว จากัวร์ เอ็กซ์อี

จากัวร์ เอ็กซ์อี มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง มาพร้อมโครงสร้างน้ำหนักเบา ดีไซน์สุดล้ำ การตกแต่งภายในอันหรูหรา ตลอดจนระบบขับขี่และควบคุมที่เหนือชั้น นอกจากนี้ จากัวร์ เอ็กซ์อี เสนอขายในระดับราคาที่นักขับสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายกว่า พร้อมคุณสมบัติในด้านการประหยัดเชื้อเพลิง อัตราการปล่อยมลพิษต่ำ เงื่อนไขการรับประกันและบริการบำรุงรักษาชั้นเยี่ยม และมูลค่าคงเหลือที่ดีกว่า

นอกจากนี้ จากัวร์ เอ็กซ์อี ยังให้คุณสามารถเข้าถึงทุกแอพพลิเคชั่นของสมาร์ทโฟนได้ด้วยฟังก์ชั่น InControl Apps บนหน้าจอสัมผัสภายในห้องโดยสาร ให้คุณสามารถจัดการประชุมสายผ่านโทรศัพท์ ค้นหาจุดจอดรถบริเวณใกล้เคียง หรือแม้แต่จองโรงแรมได้จากภายในรถยนต์ของคุณเอง และด้วยฟังก์ชั่นจุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบ Wi-Fi จากเสาสัญญาณของตัวรถ ทำให้คุณสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์สื่อสารของคุณได้หลากหลายรูปแบบ

ระบบ InControl infotainment ของ จากัวร์ เอ็กซ์อี ยังได้รับการทำงานด้วยระบบสนับสนุนการขับขี่ที่เหนือชั้นมากมาย อาทิ การแสดงผล Laser Head-up Display (HUD) ครั้งแรกของวงการ ด้วยคุณภาพเลเซอร์ปรับปรุงใหม่ที่ให้ภาพบนจอไวด์สกรีนขนาดเล็กลงแต่สว่างกว่าเดิมถึง 3 เท่า ทั้งยังคมชัดและให้สีสันสดใสยิ่งกว่า ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นข้อมูลสถานะรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย ทั้งความเร็วและระบบนำทางได้อย่างชัดเจนโดยไม่รบกวนวิสัยทัศน์การขับขี่ 

จากัวร์ เอ็กซ์อี ยังถือเป็นยานยนต์จากัวร์ที่ผลิตโดยใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลักรุ่นแรกของโรงงานแห่งใหม่ในเมืองโซลิฮัลล์ แถบเวสต์มิดแลนด์ของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นโรงงานที่สร้างขึ้นเพื่อการผลิตยานยนต์เฉพาะแบบเท่านั้น ด้วยโครงสร้างวัสดุอะลูมิเนียมของ จากัวร์ เอ็กซ์อี ไม่เพียงถูกออกแบบมาอย่างสวยงามหมดจดในทุกมุมมอง หากยังมอบแรงต้านการบิดในระดับสูงสุด ทั้งยังมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนขั้นสูงเพื่อมอบคุณภาพแห่งการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบทั้งการควบคุมได้ดั่งใจและการเลี้ยวโค้งที่แม่นยำในทุกสภาวะ

จากัวร์ เอ็กซ์อี คือรถยนต์รุ่นแรกของโลกที่ใช้อะลูมิเนียมเกรดใหม่ที่ให้ความแข็งแกร่งระดับสูงมาก นั่นคือรุ่น RC 5754 มาเป็นวัสดุหลักในการผลิต และเนื่องจากการใช้รีไซเคิลในอัตราส่วนที่สูงมากนี้เอง ทำให้การคิดค้นวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยชนิดนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของจากัวร์ ในการบรรลุซึ่งเป้าหมายด้านการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตให้มากถึง 75% ก่อนปี พ.ศ.2563 นอกจากนี้ยังให้การประหยัดน้ำมันสูงสุดที่ระดับ 75 ไมล์/แกลลอน* (น้อยกว่า 4 ลิตร/100 กม.) ตามอัตราการใช้เชื้อเพลิงรวมหน่วยยูโร

ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E-Hybrid) เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ณ กรุงปารีส



โดด เด่นเป็นเอกลักษณ์เหนือกว่ายนตกรรมที่เคยมีมา:  รถสปอร์ตแบบ plug-in hybrid  3 รุ่นจากปอร์เช่                                        
สตุ้ดการ์ด. ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E-Hybrid)1) เปิดตัวสู่สายตาสาธาณชนอย่างเป็นทางการแล้วในงานมหกรรมยานยนต์ปารีส มอเตอร์โชว์ วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา นี่คือรถยนต์แบบ Plug-in Hybrid ระดับพรีเมี่ยมในตลาดรถสปอร์ตอเนกประสงค์ หรือ SUV คัน แรกของโลก พร้อมออกมาตั้งค่ามาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถหรูในระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ นอกจากนี้ยังเป็นรุ่นที่แสดงให้เห็นว่าปอร์เช่คือผู้นำในเรื่องของการผลิตรถ ไฮบริดแบบ Plug-in ซึ่งหลังจากที่ปล่อยรุ่นพานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Panamera S E-Hybrid) 2) และ 918 สไปเดอร์ 3) (918 Spyder) ออกมาให้ยลโฉมแล้วก่อนหน้านี้

นอกเหนือจากคาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E-Hybrid) ยังมีปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) 4) รุ่นต่างๆ ออกมาให้ยลโฉมเช่นกัน นั่นคือคาเยนน์ เอส (Cayenne S) , คาเยนน์ เทอร์โบ (Cayenne Turbo) ,  คาเยนน์ ดีเซล (Cayenne Diesel) และคาเยนน์ เอส ดีเซล (Cayenne S Diesel) โดยต่างมีลักษณะที่ ดดเด่นเป็นพิเศษทั้งในเรื่องประสิทธิภาพของรถ ความประหยัด การรักษาเสถียรภาพของรถที่แม่นยำมากขึ้น รูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว และอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครันมากยิ่งขึ้น   

ต้องขอบคุณต่อเทคโนโลยีไฮบริดแบบplug-in ได้รับการนำมาใช้กับคาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด  (Cayenne S E-Hybrid) คันนี้ส่งผลให้รถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้น โดยมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำเพียง 3.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (29.4 กิโลเมตร/ลิตร) และอัตราการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพียง 79 กรัม ต่อกิโลเมตร นี่คือตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เกินพิกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ในตลาดรถยนต์หนูนั้นปอร์เช่มาพร้อมกับนวัตกรรมไฮบริดแบบ Plug-in ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ภายใน 8 เดือนแรกของปี 2014 ปอร์เช่ส่งมอบรถยนต์พานาเมร่า (Panamera)5) ไปทั้งหมด 16,698 คัน โดยเป็นรุ่นพานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Panamera S E-Hybrid) ถึง 1,513 หรือคิดเป็น 9% จากยอดรวมเลยทีเดียว และปอร์เช่คาดหวังว่าคาเยนน์   เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E-Hybrid) จะมียอดขายที่ถล่มทลายเช่นเดียวกัน

คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E-Hybrid) เผยโฉมเป็นทางการต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานแถลงข่าวของปอร์เช่ที่ Hall 4 วันที่ 2 ตุลาคม เวลา 9.35 น. โดยทำการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ (www.porsche.com/paris) นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดตัวรุ่นคาเยนน์รุ่นอื่นๆ ด้วยเช่นกัน นั่นคือ คาเยนน์ ดีเซล (Cayenne Diesel) ,คาเยนน์ เอส ดีเซล (Cayenne S Diesel) , คาเยนน์ เอส (Cayenne S) และ คาเยนน์ เทอร์โบ (Cayenne Turbo) รุ่น Flagship  สูงสุดของคาเยนน์

1)   ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E-Hybrid): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่: 3.4 ลิตร/100 กิโลเมตร (29.4 กิโลเมตร/ลิตร); ผสมผสานกับการบริโภคพลังงานไฟฟ้าโดยมีอัตราที่: 20.8 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง/100 กิโลเมตร; อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 79 กรัม/กิโลเมตร

2)   ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Panamera S E-Hybrid): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่: 3.1 ลิตร/100 กิโลเมตร (32.25 กิโลเมตร/ลิตร); ผสมผสานกับการบริโภคพลังงานไฟฟ้าโดยมีอัตราที่: 16.2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง/100 กิโลเมตร;อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 71 กรัม/กิโลเมตร

3) ปอร์เช่ 918 สไปเดอร์: อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่: 3.1-3.0 ลิตร/100 กิโลเมตร               (32.25-33.33 กิโลเมตร/ลิตร); ผสมผสานกับการบริโภคพลังงานไฟฟ้าโดยมีอัตราที่: 12.7 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง/100 กิโลเมตร;อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 72-70 กรัม/กิโลเมตร

4)    รุ่น คาเยนน์ต่างๆอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่: 11.5-6.6 ลิตร/100 กิโลเมตร                               (8.7-15.15 กิโลเมตร/ลิตร); ในเมืองอยู่ที่ 8.9-6.0 ลิตร/100 กิโลเมตร (11.23-16.66 กิโลเมตร/ลิตร) นอกเมืองอยู่ที่ 15.9-7.6 ลิตร/100 กิโลเมตร (6.29-13.15 กิโลเมตร/ลิตร) ;อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 267-173 กรัม/กิโลเมตร

5)   รุ่นพานาเมร่า (Panamera) ต่างๆ อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่:10.7-6.4ลิตร/100 กิโลเมตร(9.34-15.62 กิโลเมตร/ลิตร); ในเมืองอยู่ที่ 7.8–5.6 ลิตร/100 กิโลเมตร (12.8-17.85 กิโลเมตร/ลิตร)    นอกเมืองอยู่ที่ 15.7–7.7 ลิตร/100 กิโลเมตร(6.37-13 กิโลเมตร/ลิตร) ;อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่ 249–169 กรัม/กิโลเมตร

ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรงพร้อมการันตี ด้วยรางวัล Porsche Service Excellence Award จากการตรวจสอบคุณภาพประจำปี รวมถึงทีมวิศวกรที่ได้รับการรับรองและผ่านการทดสอบจากโรงงานในระดับเหรียญ ทอง (Zertifizierter Porsche Techniker – Gold Expert) ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของปอร์เช่คอยให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน ตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า“เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ” หรือ “AAS Looking after YOU and your CAR” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Porsche Classic Service Clinic ได้ที่แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 02-522-6655 ต่อ   400 - 402 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.porsche.co.th

ระดับโลก! FIA รับรองสนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็น FIA GRADE 1 ใช้แข่งฟอร์มูล่า วัน ได้


ระดั
            สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (FIA) ส่งหนังสือรับรองถึงสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (CHANG INTERNATIONAL CIRCUIT) รับรองให้เป็นแทร็กระดับมาตรฐาน FIA GRADE 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้กลายเป็นสนามแข่งลำดับที่ 27 ของโลก ที่รองรับการแข่งขันฟอร์มูล่า วัน ได้
โดยเมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ทิม เชงเก้น (Tim Schenken) ตัวแทนที่ได้รับมอบหมายจากสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ หรือ FIA พร้อมด้วย นายประเสริฐ อภิปุญญา เลขาธิการราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยฯ เดินทางมาตรวจสนามแข่งระดับมาตรฐานโลกแห่งแรกของไทย โดยมี    นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ ผู้อำนวยการโครงการ BRIC และนายไชยชนก ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการให้การต้อนรับ เพื่อตรวจความพร้อมขั้นสุดท้าย
            ล่าสุด ฌอง ท็อดด์ ประธานใหญ่สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ หรือ FIA ได้ส่งจดหมายพร้อมลงลายเซ็นรับรองให้ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต (CHANG INTERNATIONAL CIRCUIT) เป็นสนามแข่งรถระดับมาตรฐาน FIA GRADE 1 รียบร้อยแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน เป็นต้นไป 
ทั้งนี้การรับรองจากสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (FIA) ส่งผลให้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ผ่านมาตรฐานจัดการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบได้ทุกระดับทั่วโลก รวมถึงการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลกหรือฟอร์มูล่า วัน ขณะเดียวกันยังเป็นการยืนยันความพร้อมที่จะจัดการแข่งขัน "บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซูเปอร์จีที เรซ" ในวันที่ 4-5 ตุลาคมนี้
ด้าน นายเนวิน ชิดชอบ ประธานที่ปรึกษาบริษัทบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด     ผู้ริเริ่มโครงการสร้างสนามแข่งรถมาตรฐานสูงสุดของโลกในประเทศไทย กล่าวถึงการที่ FIA รับรองมาตรฐาน สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นสนามระดับ FIA GRADE 1 ถือว่าเป็นการยกระดับมอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทย ให้ก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก และเชื่อว่าสนามแห่งนี้จะสร้างนักกีฬามอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทย ให้ก้าวสู่การเป็นนักกีฬาระดับโลกได้ ที่ผ่านมานักกีฬาของเรามีความสามารถ มีความตั้งใจ พอสมควร แต่เราไม่มีสนามที่ได้มาตรฐานให้ได้แข่งขัน และ ฝึกซ้อม ทำให้นักกีฬาของเราพัฒนาความสามารถได้ไม่สูงสุด แต่จากนี้ไป สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พร้อมแล้วที่จะเป็นโอกาสให้นักกีฬาของไทย พัฒนาและยกระดับไปสู่ระดับโลก

            "สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นโครงการที่ผมทุ่มเทชีวิต จิตใจ สร้างขึ้นมาด้วยความตั้งใจและความหวังว่าจะยกระดับมอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทย และอยากเห็นนักกีฬาไทย ก้าวสู่ระดับโลก ทั้งในสนาม f1 และ moto gp " นายเนวิน กล่าว และว่าขอขอบคุณผู้สนับสนุนสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือและกำลังใจมาโดยตลอด 

            สำหรับสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต มีระยะทางต่อ 1 รอบ 4.554 กิโลเมตร หรือ 2.83 ไมล์ มีความกว้าง 13 เมตร มีทั้งหมด 12 โค้ง เป็นเส้นทางตามเข็มนาฬิกา และนักขับที่ออกสตาร์ทจากตำแหน่งโพลโพซิชั่นจะประจำกริดสตาร์ทด้านซ้ายของแทร็ก                                                                           
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved