มี การปฎิบัติกันเพราะความเข้าใจผิดๆ ทั้งคิดเอง มองเห็นผู้อื่นทำ คนใกล้ตัวแนะนำ รวมถึงคนไกลตัวแบบสื่อมวลชน เช่น บางรายการวิทยุส่งเสริม หลายคนเข้าใจผิดว่า เปิดไฟฉุกเฉินขับรถกลางฝน แล้วจะทำให้คนอื่นมองเห็นได้ดีขึ้น แม้มองเห็นชัดขึ้นก็จริง แต่ผลเสียที่ตามมามีมากมาย เช่น
เกิดความชะล่าใจ ประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะเมื่อชะล่าใจก็จะเกิดความมั่นใจในการขับรถมากขึ้น คิดไปเองว่าเมื่อเปิดไฟฉุกเฉินแล้วคนอื่นเห็นชัด ตนเองก็จะขับรถใช้ความเร็วได้สูงขึ้น เพราะคนอื่นกลัวจะเข้ามาชน น่าแปลกที่มักเห็นว่าเมื่อฝนตกหนักหากรถคันใดที่เปิดไฟฉุกเฉินแล้วก็จะขับใน เลนกลางหรือขวา ใช้ความเร็วสูงกว่าที่เหมาะสม อีกทั้งยังเปลี่ยนเลนไปมา ในขณะที่คันที่ไม่เปิดไฟฉุกเฉินจะขับสงบเสงี่ยมในเลนซ้ายหรือกลางด้วยความ เร็วต่ำๆ
# แสบตาผู้อื่นจากแสงไฟกระพริบ เพราะมักไม่ได้มีคันเดียวที่เปิดไฟฉุกเฉิน ยิ่งหลายคันเปิดเต็มถนน ก็ยิ่งลายตา
# ไม่มีไฟเลี้ยวใช้ วิธีขับรถที่ถูกต้อง คือ ต้องเปิดไฟเลี้ยวเตือนผู้อื่นล่วงหน้า (แม้บางคนบอกว่าไม่จำเป็นก็ตาม) บางคนมือไวปิดไฟฉุกเฉินก่อนเปิดไฟเลี้ยว แต่ก็เสียสมาธิในการขับรถลงไป และผู้ขับรถคนอื่นก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องจ้องว่า รถคันใดที่เปิดไฟฉุกเฉินแล้วปิดก่อนจะเปิดไฟเลี้ยว
# ผู้อื่นอาจเห็นเป็นไฟเลี้ยว เพราะมีรถคันอื่นบังหรือมองผ่านๆ ยิ่งถ้ามีรถเปิดไฟฉุกเฉินขับติดๆ กัน แล้วมีบางคันเปิดไฟเลี้ยว ก็ยิ่งยากต่อการแยกแยะ ความสับสนย่อมลดความปลอดภัยลง
# สับสนรถแล่นกับรถจอดค้างบนถนน เป็นมาตรฐานเมื่อรถจอดเสียหรือเกิดอุบัติเหตุบนนถนนว่าต้องเปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อเตือนผู้อื่น แต่พอมีรถที่แล่นอยู่เปิดไฟฉุกเฉินติดๆ กันหลายคัน ก็คุ้นเคย พอเจอรถจอดและเปิดไฟฉุกเฉิน กว่าจะแยกออกว่าเป็นรถจอดหรือแล่น ก็ต้องใช้เวลาเป็นเสี้ยววินาทีทำความเข้าใจ และอาจชนเข้ากับรถที่จอดอยู่ ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับผู้ที่ทำถูกต้อง จอดค้างบนถนนแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน ผู้ที่เปิดไฟนี้แล้วขับรถ อย่ามาอ้างว่าทุกคนสามารถตัดสินใจได้เร็วว่ารถคันใดจอดหรือแล่นในขณะที่เปิด ไฟฉุกเฉิน เพราะลึกๆ แล้วคนส่วนใหญ่จะนึกว่า ไฟฉุกเฉินจะถูกเปิดใช้เมื่อฉุกเฉินตามชื่อ หรือรถจำเป็นต้องจอดค้างอยู่บนถนน