Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เปิดตัวอีโค คาร์ ซีดาน “แอททราจ” ก้าวที่เหนือใคร Mitsubishi ATTRAGE ...Be Beyond


มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศพร้อมเปิดตัวมิตซูบิชิ แอททราจ อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “แอททราจ...ก้าวที่เหนือใคร” มาตรฐานใหม่ของรถอีโคคาร์ ซีดาน ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งาน และความสะดวกสบายที่เหนือใคร อีกทั้งยังให้ความสนุกในการขับขี่และการประหยัดน้ำมันที่เป็นเยี่ยมตามแบบ ฉบับของรถอีโค คาร์ พร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปด้วยราคาเริ่มต้นที่ 443,000 บาท กับข้อเสนอโบนัสพิเศษเงินคืน 10,000 บาท และฟรีประกันภัยชั้น 1 “ไดมอนด์ โปรเทคชั่น”  รวมทั้งมีสิทธิ์ ลุ้นรับแพคเกจทัวร์ประเทศญี่ปุ่น รวม 150 รางวัล พร้อมดึงพระเอกสุดฮอท “มาริโอ้ เมาเร่อ” และนางเอกสาว “คิมเบอร์ลี่” ร่วมสะท้อนตัวตนของกลุ่มเป้าหมาย

มร.โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัวรถยนต์มิซูบิชิ “แอททราจ” อย่างเป็นทางการที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ 185 แห่งทั่วประเทศ สำหรับมิตซูบิชิ แอททราจเป็นรถยนต์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการ ที่หลากหลาย และจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับรถอีโคคาร์ ซีดานในเมืองไทย

“โอ้ชอบดีไซน์ของแอททราจที่ดูสปอร์ต และห้องโดยสารที่กว้างจนทำให้คนตัวสูงอย่างโอ้ยังรู้สึกนั่งสบายไม่อึดอัด ส่วนเรื่องสมรรถนะโอ้ว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือจะไป เที่ยวในวันหยุดก็สบายครับ ที่สำคัญรถคันนี้ประหยัดน้ำมันมาก” มาริโอ้ กล่าว
“มิตซูบิชิ เริ่มทำตลาดรถยนต์รถอีโค คาร์ ในเมืองไทย ด้วยการแนะนำ มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ ภายใต้โครงการโกลบอล สมอลล์ ในเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมาก่อนจะส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั้งประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย รวมไปถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียน และยุโรป รวมทั้งมีแผนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยปัจจุบันจำหน่ายไปแล้วกว่า 45 ประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าโดยมียอดขายรวมทั้งในและต่างประเทศ จนถึงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาแล้วกว่า 100,000 คัน”

“หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจากมิราจ ใหม่ “แอททราจ” จะเป็นรถยนต์นั่งรุ่นล่าสุดที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับสายผลิตภัณฑ์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส สำหรับแอททราจเป็นรถที่มีความคล่องตัวในการขับขี่ ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย และให้การประหยัดน้ำมันสูงสุดเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถอีโค คาร์ ซีดานในเมืองไทย ที่ให้ความคุ้มค่าจากทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่ครบ ครันและพละกำลังที่เพียงพอสำหรับการใช้งาน พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังได้มอบข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมให้กับลูกค้าที่จองรถในช่วงนี้ซึ่งนอกจากจะ ได้รับโบนัสพิเศษเงินคืน 10,000 บาท และฟรีประกันภัยชั้น 1 “ไดมอนด์ โปรเทคชั่น” แล้วยังมีสิทธิ์ลุ้นรับแพคเกจทัวร์ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย” มร.มูราฮาชิ กล่าว



มิตซูบิ แอททราจ ก้าวที่เหนือใคร
แอทราจ มาพร้อม 4 รุ่น ให้เลือก พร้อมราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้; รุ่น GLX เกียร์ธรรมดา และ GLX เกียร์อัตโนมัติมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานและความปลอดภัยครบครัน ในขณะที่รุ่น GLS มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับการขับขี่ในทุกวัน ส่วนรุ่น GLS Ltd. มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เหนือกว่าไม่ว่าจะเป็น เนวิเกเตอร์รุ่นล่าสุดพร้อมหน้าจอระบบสัมผัส กล้องมองหลัง ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย เบาะหนังและระบบความปลอดภัยครบครัน

โดดเด่นเหนือใคร ... แอททราจ มาพร้อมความโดดเด่นของรถยนต์นั่งขนาดเล็กเจนเนอเรชั่นใหม่จากการออกแบบส่วน หน้าให้สั้นลงช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่และง่ายต่อการควบคุมโดยมาพร้อม รัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 4.8 เมตร พร้อมการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่สมดุลกับพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่ กว้างขวางสะดวกสบาย และเส้นสายข้างตัวรถที่ปราดเปรียวจากด้านหน้าจรดท้าย


ไปได้ไกล เหนือใคร ... แอททราจมาพร้อมสมรรถนะการขับเคลื่อนที่เหนือ กว่าและอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 22 กิโลเมตร/ลิตร สูงสุดในรถระดับเดียวกันซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างตัวถังแบบ RISE body ตัวถังที่มีน้ำหนักเบาจากโครงสร้างเหล็กความแข็งแรงสูง High tensile steel การขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์น้ำหนักเบาขนาด 1.2 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ CVT และเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน 0.29 จึงให้การประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม


กว้างสบายเหนือใคร ... แอททราจสร้างความพึงพอใจในการขับขี่โดยให้ ความคล่องตัวและความปราดเปรียวจากน้ำหนักของรถที่เบาลง แต่ยังคงให้ความมั่นใจในการควบคุมและความสะดวกสบายในการขับขี่ อีกทั้งยังให้ความสะดวกสบายกับผู้โดยสารด้วยประตูที่กว้างขึ้นช่วยเพิ่มความ สะดวกในการเข้า-ออก รวมไปถึงพื้นที่นั่งและที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่กว้างและสะดวกสบาย ขึ้น

สะดวกสบาย เหนือใคร ... แอททราจทุกรุ่นมาพร้อมระบบอำนวยความสะดวกและปลอดภัยอัจฉริยะ ตามแบบฉบับของมิตซูบิชิ ETACs เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ พร้อมฟังก์ชั่นภายในห้องโดยสารที่เหนือกว่า รับรู้ได้ถึงความแตกต่างทั้งเบาะหนัง พวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และระบบความบันเทิงครบครัน

ปลอดภัยเหนือใคร ... ด้วยระบบความปลอดภัยได้มาตรฐานโลก ตัวถังของรถมิตซูบิชิ “แอททราจ” ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อความปลอดภัยสูงสุดได้มาตรฐานโลก ด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ RISE Body เอกสิทธิ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส และคานกันกระแทกด้านข้างที่ประตูทั้ง 4 บาน ที่เสริมความแข็งแกร่งด้วยส่วนรับแรงกระแทกจากเหล็กที่แข็งแรงเป็นพิเศษ “High Tensile Steel” จึงทำให้สามารถปกป้องแรงกระแทกจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจยิ่งกว่าด้วยระบบเบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติแบบคู่


ประเทศไทย ฐานการผลิตและส่งออก
ด้วยศักยภาพและความพร้อมของโรงงานมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ทำให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถมิตซูบิชิ แอททราจ เพื่อการส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ ภายหลังจากการแนะนำรถเป็นครั้งแรกในประเทศไทยแล้ว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีแผนจะทยอยเปิดตัวรถรุ่นดังกล่าวในภูมิภาคต่างๆ ต่อไป


มาริโอ้ เมาเร่อ และ คิมเบอร์ลี่ เป็นตัวแทนกลุ่มลูกค้า
จากบุคลิกที่โดดเด่นช่วยสะท้อนตัวตนของกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความ คิดที่ทันสมัย ฉลาดในการใช้จ่าย ทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงตัดสินใจเลือก “มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “คิมเบอร์ลี่ แอน เทียมสิริ” ดารานักแสดงชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ของมิตซูบิชิ แอททราจ โดยทั้งคู่จะมาร่วมถ่ายทอดมุมมองที่ชาญฉลาดในการเลือกซื้อรถคู่ใจเพื่อตอบ รับกับทุกไลฟ์สไตล์ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีของสัญญานั้น นอกเหนือจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับภาพยนตร์โฆษณาและสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ แล้ว มาริโอ้ เมาเร่อ และ คิมเบอร์ลี่ ยังจะได้ร่วมทำกิจกรรมของบริษัทฯ ในโอกาสต่างๆ อีกด้วย

ในขณะที่นางเอกสาวคิมเบอร์ลี่ กล่าวเสริมว่า “ถึงแม้จะเป็นรถอีโค คาร์ แต่แอททราจ กลับมีห้องโดยสารที่กว้างและมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบซึ่งคิมเชื่อว่า ผู้หญิงน่าจะชอบเพราะมีทั้งกล้องมองหลัง เนวิเกเตอร์ บลูธูท และกุญแจ KOS โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบราคากับสิ่งที่มีมาให้ถือว่าคุ้มค่าเกินราคา เหนือกว่ารถอีโค คาร์ ทั่วไปจริงๆ เห็นปุ๊ปคิมก็ตัดสินใจจองรุ่น GLS Ltd. สีฟ้าเลยค่ะ”

มั่นใจเต็มที่กับคุณภาพของการบริการหลังการขาย
ปัจจุบันบริษัทฯ มีโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐาน 186 แห่ง ทั่วประเทศ พร้อมพนักงานขายและช่างที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐานของบริษัท ที่พร้อมให้บริการลูกค้ารถยนต์มิตซูบิชิทุกท่าน พร้อมการจัดสำรองอะไหล่สิ้นเปลืองไว้ เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการได้ทันท่วงที


เครือข่ายผู้จำหน่าย 185 แห่งทั่วประเทศ
ทั้งนี้จากนโยบายขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายของบริษัทฯ ทำให้ปัจจุบันมิตซูบิชิมีโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานที่เปิดให้บริการไป แล้วรวม 185 ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจากจำนวนโชว์รูมมาตรฐานที่เพิ่มขึ้นและครอบคลุมพื้นที่การขายดัง กล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการและการดำเนินงาน รวมทั้งสร้างความสะดวกสบายในการชื้อรถ ตลอดจนสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าที่เข้ารับบริการได้เป็นอย่างดี

โบนัสพิเศษ สำหรับลูกค้าคนพิเศษ
สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มิตซูบิชิ “แอททราจ” ทุกรุ่น 9,000 คันแรก รับราคาแนะนำช่วงเปิดตัวด้วยโบนัสพิเศษเงินคืน 10,000 บาท พร้อม ฟรีประกันภัยชั้น 1 “ไดมอนด์ โปรเทคชั่น”
จอง แอททราจ วันนี้ลุ้นเที่ยวญี่ปุ่นฟรี 5 วัน


สำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์มิตซูบิชิ แอททราจ ทุกรุ่น ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับแพคเกจทัวร์ประเทศญี่ปุ่น รวม 150 รางวัล มูลค่ารวม 15 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
เงื่อนไขการเข้าร่วมกิจกรรม สำหรับลูกค้าที่จองรถตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2556 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2556 และได้รับรถภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันจอง
รายละเอียดรางวัล แพคเกจทัวร์ประเทศญี่ปุ่น 5 วัน 3 คืน รวมทั้งสิ้น 150 รางวัล (รางวัลละ 2 ที่นั่ง)
การจับรางวัล วันที่ 14 ตุลาคม 2556
การประกาศรางวัล วันที่ 28 ตุลาคม 2556

กิจกรรมการขาย

- เปิดขายอย่างเป็นทางการที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ 185 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
- กิจกรรมโรดโชว์ในกรุงเทพและต่างจังหวัด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
- กิจกรรมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่พาร์คพารากอน วันที่ 4-7 กรกฎาคม
- เปิดขายอย่างเป็นทางการ กรกฎาคมเป็นต้นไป
- พร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า กรกฎาคมเป็นต้นไป

รับรู้ข่าวสาร “แอททราจ” ก่อนใคร


สำหรับผู้ที่สนใจสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับมิตซูบิชิ “แอททราจ” พร้อมร่วมกิจกรรมกับทางบริษัทฯ ผ่านทางเว็บไซต์ และ Fanpage ได้ที่;
- มิตซูบิชิ “แอททราจ” เว็บไซต์ : www.mitsubishimotors-attrage.com
- Facebook Fanpage : www.facebook.com/MitsubishiAttrage
· ชมและทดลองขับ มิตซูบิชิ “แอททราจ” ได้ที่ โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ 185 แห่งทั่วประเทศ
· มิตซูบิชิ Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 1800 900 009 หรือ โทร. 02-529-9500 ทุกวันจันทร์ - เสาร์ ระหว่างเวลา 8.30-17.00 น.
· เว็บไซต์ www.mitsubishi-motors.co.th


บ๊อชมั่นใจศักยภาพการเติบโตต่อเนื่อง ตอกย้ำ บ๊อช ประเทศไทยขุมกำลังสำคัญภูมิภาคอาเซี่ยน เร่งลุยนโยบายธุรกิจปี 2013 ชูนวัตกรรมเทคโนโลยีล่าสุด ผ่านฝ่ายธุรกิจใหม่ เทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม


กรุงเทพฯ, ประเทศไทย : โรเบิร์ต บ๊อช เผยตัวเลขปี 55 มียอดขายในประเทศไทยรวม 9,300 ล้านบาท ภูมิใจผลการดำเนินงานปี 55 เติบโตขึ้นอัตราร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อน เปิดตัวฝ่ายธุรกิจใหม่ เทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม (Drive and Control Technology) มั่นใจประเทศไทยมีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมเต็มพิกัด ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ๆ ในหลายธุรกิจเพื่อสนองตอบความต้องการของตลาด
นายปีเตอร์ แวนดลิค กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด (ประเทศไทย)  ผู้นำด้านเทคโนโลยีและบริการระดับโลกเปิดเผยว่า ในปี 2555 บ๊อชประเทศไทยมียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 9,300 ล้านบาท (222 ล้านยูโร) คิดเป็นอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยมีผลมาจากการลงทุนของ บ๊อช ในตลาดใหม่ๆ รวมถึงการขยายตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ทำรายได้สูงสุดของบ๊อชในภูมิภาคเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ โดยมีสัดส่วนยอดขายมากกว่า ร้อยละ 30 ของยอดขายรวมภูมิภาคนี้
แม้ ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2555 จะเต็มไปด้วยความท้าทาย บ๊อชยังมั่นใจว่าการเติบโตในปี 2556 จะเกิดขึ้นและขยายตัวอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย นายแวนดลิค กล่าวเสริมว่า "กับความพยายามในการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กลับคืนมาและมุ่งเน้น ความเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยจะยังคงเป็นฐานที่มั่นสำหรับการเติบโตและการขยายตัวสำหรับธุรกิจ ของบ๊อช" ปัจจุบันบ๊อช ประเทศไทย มีพนักงานเกือบ 900 คน ทำงานในสำนักงาน 7 แห่งทั่วประเทศ และมีการเติบโตของพนักงานที่เพิ่มขึ้นสอดรับกับการเติบโตทางธุรกิจคิดเป็น เกือบร้อยละ 7

เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกหน่วยธุรกิจ
หน่วยงาน ธุรกิจต่างๆ ของ บ๊อช  มีการพัฒนาและสามารถทำยอดขายได้ดี โดยฝ่ายเทคโนโลยีระบบความร้อน  (Thermotechnology) สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นปีต่อปีสูงสุดมากกว่า 3 เท่า จากโครงการสำคัญๆในอุตสาหกรรมเคมี อาหารและเครื่องดื่ม ในขณะที่ฝ่ายอะไหล่รถยนต์  ฝ่ายขายชิ้นส่วนรถยนต์ ฝ่ายเครื่องมือไฟฟ้า และ ฝ่ายผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย  ล้วนมีตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักเช่นเดียวกันในปี 2555 

ขยายธุรกิจทั่วประเทศไทย
ใน ปี 2556 บ๊อช วางแผนขยายธุรกิจในประเทศไทยผ่านการเปิดฝ่ายธุรกิจใหม่ๆ การแนะนำผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่นใหม่ รวมถึงการขยายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ นายแวนดลิค เปิดเผยว่า "ล่าสุด บ๊อชได้เปิดสำนักงานขายแห่งใหม่ที่เชียงใหม่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลลูกค้าที่อยู่ในเขต 17 จังหวัดภาคเหนือได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่พันธกิจของบริษัทในการสนองตอบความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับองค์กร นอกจากนี้มีการวางแผนขยายธุรกิจไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้"

ฝ่ายเครื่องมือไฟฟ้า บ๊อชเตรียมรุกตลาดด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์มากขึ้นในปีนี้ ซึ่งรวมถึงการเปิดตัวของ ‘เดรเมล’ (Dremel) เครื่องมืออเนกประสงค์จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นรู้จักกันดีสำหรับมือ อาชีพ  ช่างฝีมือ ศิลปิน และผู้ที่ชื่นชอบงานประดิษฐ์ด้วยตนเองเพื่อเจาะตลาดเมืองไทย

ในส่วน ของฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัย  ได้เปิดตัวกล้องโทรทัศน์วงจรปิด รุ่นใหม่ “Starligtht” ที่ทำงานผ่านเว็บ และให้ภาพคมชัดแม้ในสภาพที่มีแสงน้อยมาก

สำหรับ ฝ่ายอะไหล่รถยนต์  ภายในปีนี้เตรียมแผนขยายศูนย์บริการบ๊อชสำหรับทั้งรถยนต์นั่งบุคคล และ รถเพื่อการพาณิชย์ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อให้ผู้ขับขี่รถยนต์ทั่วประเทศไทยเข้าถึงบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น

ใน เดือนเมษายน 2556 ฝ่ายเทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม (Drive & Control Technology) ได้ทำการเปิดสำนักงานและศูนย์บริการที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ. ชลบุรี ฝ่ายเทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม พร้อมนำเสนอโซลูชั่นและการประยุกต์ใช้งานแก่อุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศ รวมถึงบริการที่กว้างขวางครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย

เพื่อรองรับ การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และความต้องการรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บ๊อชเตรียมขยายการดำเนินงานในส่วนของการผลิตชิ้นส่วนประกอบยานยนต์เพื่อผลิต ส่วนประกอบของระบบการจัดการเครื่องยนต์ เช่น เซ็นเซอร์ และตัวกระตุ้นการทำงาน (actuator)

พัฒนาการด้านบุคลากรใหม่ๆ
บ๊อช ได้เตรียมแผนพัฒนาบุคลากร ผ่านโครงการฝึกงานและพัฒนาทักษะด้านเมคคาทรอนิกส์บ๊อช หรือ Bosch Mechatronics Apprenticeship Program (BMAP) ที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะความสามารถทางด้านวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ เครื่องกลสำหรับการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับนักศึกษาในระดับอาชีวศึกษาที่ มีศักยภาพ "จากการเติบโตทางธุรกิจของบ๊อชในประเทศไทย บ๊อชมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะและความสามารถเฉพาะเพื่อสนับสนุนและผลัก ดันให้เกิดการเติบโต โครงการ BMAP เป็นโครงการที่บ๊อชมุ่งมั่นในการยกระดับการศึกษาในระดับอาชีวศึกษาในประเทศ ไทย ให้มีทักษะความชำนาญที่เชี่ยวชาญขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมไทยในระยะยาว" นายแวนดลิคกล่าว

ภาพรวมธุรกิจบ๊อชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิก
ใน ปี  2555 กลุ่มบริษัทบ๊อชมียอดขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 29.4 พันล้านบาท (702 ล้านยูโร) ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน  และมีจำนวนพนักงานในภูมิภาคเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9 

นาย มาร์ติน เฮย์ส ประธานของบ๊อชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "ปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดสำหรับบ๊อช และคาดหวังจะรักษาสัดส่วนการเติบโตนี้ไว้ และตั้งเป้าในปี 2556 จะสร้างการเติบโตขึ้นได้ในอัตราตัวเลขสองหลัก"

สำหรับภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก บ๊อชมียอดขายที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.6 คิดเป็นยอดขายรวมประมาณ  530 พันล้านบาท (12.6 พันล้านยูโร) โดยยอดขายในประเทศจีนและอินเดียสำหรับปี 2555 ไม่เคลื่อนไหวมากนักเมื่อเทียบกับปี 2554  และเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวในการเพิ่มสัดส่วนยอดขายของบ๊อชในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิค ให้เป็นร้อยละ 30 บ๊อชใช้เงินลงทุนในปี 2555 เท่ากับในปี 2554 หรือประมาณ  32.8 พันล้านบาท (780 ล้านยูโร)

การพัฒนาธุรกิจของกลุ่มบ๊อชในปี 2555 - 2556
ใน ปี 2555 กลุ่มบริษัทบ๊อชทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 คิดเป็นยอดขายรวมมูลค่ากว่า  2.2 ล้านล้านบาท (52.5 พันล้านยูโร) โดยมีกำไรก่อนหักภาษีมากถึง 118 พันล้านบาท (2.8 พันล้านยูโร) โดยในแต่ละส่วนธุรกิจมีพัฒนาการที่แตกต่างกันไป  ในปี 2555 ฝ่ายเทคโนโลยียานยนต์  ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของบ๊อช มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 คิดเป็นยอดขายรวมมูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท ( 31.1 พันล้านยูโร) ในส่วนของธุรกิจเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ยอดขายรวมเป็น 336 พันล้านบาท (8 พันล้านยูโร) และธุรกิจสินค้าอุปโภคและเทคโนโลยีสิ่งก่อสร้าง ทำยอดขายได้ถึง 562 พันล้านบาท (13.4 พันล้านยูโร) เพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 2.5

จำนวนพนักงานเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับการพัฒนาธุรกิจของบริษัทใน ช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 3,400 คน รวมพนักงานทั่วโลกกว่า  305,900  คน ด้านการลงทุน ในปี 2555    บ๊อชได้ใช้เงินลงทุนเพื่ออนาคตไปทั้งสิ้นกว่า 336 พันล้านบาท (8 พันล้านยูโร) โดยแบ่งเป็น 202 พันล้านบาท (4.8 พันล้านยูโร) สำหรับการวิจัยและพัฒนา และกว่า  134 พันล้านบาท (3.2 พันล้านยูโร) เป็นเงินลงทุนด้านสินทรัพย์ต่าง ๆ

สำหรับปี 2556 บ๊อชคาดว่ายอดขายทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2-4 นอกจากนี้มาตรการณ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงธุรกิจที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2555 เช่น การจำกัดค่าใช้จ่ายเงินลงทุน และการซื้อกิจการบริษัทจะถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง

บ๊อชจะยังคง ดำเนินงานตามกลยุทธ์หลักที่วางไว้อย่างจริงจังด้วยระบบสำหรับการคุ้มครองและ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัย บ๊อชเชื่อว่ายังมีช่องทางในการจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพอีกมาก ตลอดจนมีโอกาสด้านการขายในส่วนของการปรับปรุงแหล่งจ่ายพลังงาน การจัดการพลังงาน และฉนวนกันความร้อนของอาคารมากขึ้น เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556  บ๊อชได้ตั้งกลุ่มธุรกิจที่ 4 คือ กลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร โดยปรับรวมธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเฉพาะกลุ่มธุรกิจใหม่นี้ ทำยอดขายได้ประมาณ  210 พันล้านบาท (5 พันล้านยูโร) ในปี 2555

กลุ่มบริษัทบ๊อช คาดว่า ยอดขายจะยังคงเติบโตจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นประโยชน์ รูปแบบธุรกิจบนเว็บ และการขยายธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ  ในงานแถลงข่าวประจำปีของกลุ่มบริษัทบ๊อชในประเทศเยอรมนี ดร. โฟล์คมาร์  เดนเนอร์  ประธานคณะกรรมการบริหารของ  กลุ่มบ๊อช กล่าวว่า "เครือข่ายที่กว้างขวางของบ๊อชมีประโยชน์อย่างมากในยุคที่ชีวิตถูกเชื่อมต่อ เข้าด้วยกัน"

เกี่ยวกับบ๊อชในประเทศไทย
ประวัติของบ๊อชในประเทศ ไทยเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 ที่สินค้าบ๊อชได้เริ่มเข้าสู่ตลาดประเทศไทย  ด้วยคุณภาพ และความไว้วางใจต่อสินค้าบ๊อชทำให้ชื่อเสียงของบ๊อชเป็นที่รู้จักและเชื่อ ถือเป็นอย่างดีในประเทศไทย  ปัจจุบัน บ๊อชมี 3 หน่วยงานในประเทศไทยทำการบริหารและดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ของบ๊อช โดยมียอดขายรวมกว่า 9,300 ล้านบาท (222 ล้านยูโร)  และมีพนักงานรวมกว่า  900 คน ในปีพ.ศ. 2555   บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด รับผิดชอบธุรกิจของฝ่ายอะไหล่รถยนต์  เครื่องมือไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย เทคโนโลยีระบบความรร้อน  เทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม และ เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์   และมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง  รวมถึงโรงงานล่าสุดที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ที่ตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา เพื่อผลิตเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเคี้ยว
ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.bosch.co.th

เกี่ยวกับกลุ่มบริษัทบ๊อช
กลุ่ม บริษัทบ๊อชเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลกในปีพ.ศ. 2555กลุ่มบริษัทบ๊อช มียอดขายรวมทั้งสิ้นกว่า2.2 พันล้านบาท (52.5 พันล้านยูโร) พนักงานรวมมากกว่า 306,000 คน  ณ ต้นปี พ.ศ. 2556 กลุ่มบริษัทบ๊อชได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจสำคัญได้แก่ กลุ่ม เทคโนโลยียานยนต์ กลุ่มเทคโนโลยีอุตสาหการ กลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร  และ สินค้าอุปโภค กลุ่มบริษัทบ๊อช ประกอบด้วยบริษัท Robert Bosch GmbH และบริษัทในเครืออีกกว่า 360 บริษัท รวมถึงสำนักงานระดับภูมิภาคในประเทศต่าง ๆ อีกกว่า   50ประเทศ ถ้ารวมถึงบริษัทพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายและให้บริการต่าง ๆ  บ๊อชมีตัวแทนในประเทศต่าง ๆ กว่า 150  ประเทศ เครือข่ายการพัฒนา การผลิต และการขายทั่วโลกดังกล่าวเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในปี 2555 บ๊อชใช้เงินมากกว่า202 พันล้านบาท(4.8  พันล้านยูโร) เพื่อการพัฒนาและวิจัย และยื่นขอจดสิทธิบัตรมากกว่า 4,800  ชิ้นทั่วโลก ผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดในกลุ่มบริษัทบ๊อชได้รับการออกแบบมาเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิต โดยการเสนอคำตอบที่ล้ำสมัยและเป็นประโยชน์ ไปพร้อมๆกับสิ่งที่น่าดึงดูดใจ ซึ่งเป็น “เทคโนโลยีเพื่อชีวิต”

ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.bosch.com หรือ www.bosch-press.com

ดูปองท์ รีฟินิช เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์” ตอกย้ำบริษัทผู้นำระบบสีพ่นรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก

กรุงเทพฯ  - - บริษัท ดูปองท์ รีฟินิช (ประเทศไทย) จำกัด เปลี่ยนชื่อบริษัทและโลโก้ จาก “ดูปองท์ รีฟินิช” เป็น “แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์” ชูสโลแกน “Built for performance” เสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน  

นายสิทธิศักดิ์ อนันตประยูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “บริษัท ดูปองท์ รีฟินิช (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้พัฒนา ผลิต และจำหน่ายสีพ่นรถยนต์ชั้นนำของโลก มากว่า 145 ปี จากการที่เราเดินหน้าเปลี่ยนโฉมแบรนด์และโลโก้ใหม่ ช่วยทำให้เอกลักษณ์และความโดดเด่นของแบรนด์ครอบคลุมขอบเขตการดำเนินงานธุรกิจโดยรวมทั้งหมด โดยโลโก้ของแบรนด์ใหม่จะเน้นชื่อ Axalta ให้โดดเด่น เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายสีพ่นรถยนต์ให้แก่ผู้ผลิตยานยนต์และอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งมีลูกค้าอยู่กว่า 120,000 รายใน 130 ประเทศทั่วโลก

บริษัทฯ ได้มีแนวทางในการสร้างแบรนด์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและภาพลักษณ์เดียวกันทั่วโลก ภายใต้ชื่อ “แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์” ในปี 2556 นี้ บริษัทฯ จึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก DuPont Refinish (ดูปองท์ รีฟินิช) เป็น Axalta Coating Systems (แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์) ภายใต้สโลแกน “Built For Performance”

นายมนตรี ค้ำโพธิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ยังกล่าวว่า “ธุรกิจที่อยู่ในตลาดสีพ่นยานยนต์ปัจจุบันต้องมีการปรับตัวและดึงกลยุทธ์ต่าง ๆ มาใช้ให้เหมาะสม จึงจะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ การสร้างแบรนด์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เกิดความจงรักภักดีในตรายี่ห้อถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่ช่วยสร้างรากฐานธุรกิจให้ยั่งยืนขึ้น นอกเหนือจากการที่บริษัทฯ มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และนวัตกรรมที่ทันสมัยตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเพื่อใช้งานให้มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง”

Axalta ได้มีการพัฒนาคุณภาพสีให้แก่ฐานลูกค้าที่มีความหลากหลาย และยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดในสี่ตลาดหลัก โดยบริษัทฯ จำหน่ายสีให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อผลิตชิ้นส่วนให้กับเจ้าของตราสินค้า หรือ OEMs ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และยังได้รับการรับรองการใช้งานของผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตอุปกรณ์ชั้นนำมากมาย โดยในตลาดสีพ่นรถยนต์ จะมีแบรนด์หลัก ๆ ได้แก่ Centari®, Cromax® Pro, Standox®, Spies Hecker® และ DuPont Refinish ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์ระดับโลก ส่งผลให้ Axalta กลายเป็นผู้ผลิตสีสำหรับศูนย์บริการซ่อมสีมาตรฐานรายใหญ่ที่สุดของโลก ส่วนลูกค้าที่อยู่ในภาคขนส่ง แบรนด์ Imron® ของ Axalta ก็ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตรถบรรทุกหนัก รถบรรทุกและรถพ่วง หัวรถจักร และรถไฟฟ้ารางเบา
 
ขณะที่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งมีตั้งแต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ Voltatex® ของ Axalta ไปจนถึงผู้ผลิตท่อน้ำมันและท่อก๊าซซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์ Nap-Gard® เพื่อป้องกันการกัดกร่อนและปกป้องสิ่งแวดล้อม ส่วนลูกค้าที่อยู่ในแวดวงสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน้าต่าง ประตู วัสดุหุ้ม ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ ต่างก็ใช้สีฝุ่นแบรนด์ Alesta® เพื่อให้ได้สีคุณภาพเยี่ยม ทนทานต่อการกัดกร่อน

ผลิตภัณฑ์ของ Axalta ช่วยเพิ่มผลผลิตโดยการลดเวลาในการพ่นสีรถยนต์ใหม่หรือพ่นสีรถยนต์เก่า โดยผลิตภัณฑ์สีไร้กลิ่นฉุนและสีสูตรน้ำที่มีหลากหลายที่ใช้ในโรงงาน OEMs และอู่พ่นสีรถยนต์อย่างแบรนด์      Cromax® Pro ยังมีคุณสมบัติในการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทั้งนี้สีพ่นรถยนต์ของ Axalta ยังสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยการปกป้องการกัดกร่อนและยืดอายุการใช้งานของวัสดุต่างๆ ตั้งแต่โครงรถยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ ไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องเล่นสำหรับสนามเด็กเล่น และเหล็กสำหรับการก่อสร้าง
บริษัท แอ็กซอลตา  โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมระบบสีโค้ทติ้งยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ Axalta Coating Systems โดยมุ่งมั่นในการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุด และมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งลูกค้าหรือผู้บริโภคสามารถวางใจในเรื่องคุณภาพและการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เยี่ยมชมเว็บไซต์ใหม่ของ Axalta ได้ที่ axaltacoatingsystems.com

บริดจสโตนแนะนำยางบริดจสโตน “ECOPIA” ยางมาตรฐานใหม่ เพื่อโลก เพื่อเรา



[กรุงเทพ] (5 กรกฎาคม 2556) – บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ บริดจสโตน “ECOPIA” ใหม่ 2 รุ่น คือ “ECOPIA EP200” สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ “ECOPIA EP850” สำหรับรถยนต์เอนกประสงค์ (SUV)
ผลิตภัณฑ์ยางบริดจสโตน ECOPIA ยางมาตรฐานใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นยางรถยนต์ที่ผสานคุณสมบัติอันโดดเด่นเอาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งประหยัดน้ำมันและการขับขี่ที่ปลอดภัย รวมทั้งอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น ด้วยส่วนผสมพิเศษ ECOPIA COMPOUND ช่วยลดความต้านทานการหมุนของยาง ทำให้สามารถขับเคลื่อนในระยะทางที่ไกลกว่าโดยใช้ปริมาณพลังงานเท่าเดิม จึงช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ในขณะเดียวกัน ECOPIA ยังมีประสิทธิภาพเยี่ยม การขับขี่ที่ปลอดภัย สามารถควบคุมการขับขี่ และเบรกในสภาพถนนเปียกได้ดี เมื่อเทียบกับยางอื่นๆ รวมทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเพิ่มความคุ้มค่ายิ่งขึ้นอีกด้วย
ผลการทดสอบจากสมาคมเทคโนโลยีการขนส่งทางรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่นพบว่า
ผลิตภัณฑ์
ประหยัดน้ำมัน
อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนด์ไดออกไซด์
ECOPIA EP200
8.1 %*1
11.1 %*1
ECOPIA EP850
3.9 %*2
3.0 %*2


ด้วยคุณสมบัติและประสิทธิภาพของยางECOPIAบริดจสโตนมั่นใจว่าสามารถเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายไม่เฉพาะผู้ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ยังรวมถึงผู้ที่ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัย การประหยัดพลังงาน และความคุ้มค่าในการใช้งานอีกด้วย
สำหรับยางเพื่อสิ่งแวดล้อม ECOPIA EP200 มีให้เลือกถึง 19 ขนาด ตั้งแต่ขอบ 14-17 นิ้ว และ ECOPIA EP850 มีให้เลือกถึง 8 ขนาด ตั้งแต่ขอบ 15-17 นิ้ว จำหน่ายที่ศูนย์บริการค็อกพิท, ออโต้บอย, แอค และผู้แทนจำหน่ายยางบริดจสโตนทั่วประเทศ
ข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ติดต่อแผนกลูกค้าสัมพันธ์   โทร 0-2636-1555

*1 เปรียบเทียบกับยาง TURANZA AR10 ขนาด 195/65R15 รถยนต์ที่ใช้ในการทดสอบ TOYOTA Altis.
*2 เปรียบเทียบกับยาง DUELER H/L 683 ขนาด 225/65R17 รถยนต์ที่ใช้ในการทดสอบ HONDA CR-V
 ที่มา : สมาคมเทคโนโลยีการขนส่งทางรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น


เกี่ยวกับ บริดจสโตน
บริษัท  บริดจสโตน คอร์ปอเรชั่น มีสำนักงานใหญ่ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นบริษัทผลิตยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากการผลิตยางรถยนต์สำหรับการนำไปใช้ที่หลากหลายกวางขวางแล้ว ยังผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆที่หลากหลายครอบคลุมในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ยางอุตสาหกรรมและเคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์กีฬา ผลิตภัณฑ์ของบริดจสโตน มีจำหน่ายมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย  บริดจสโตนประสบผลสำเร็จในการเป็นผู้นำทางการตลาดยางรถยนต์ในปรเทศตลอดกว่า 44 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2512 โดยมีแนวทางการทำงาน คือ มุ่งมั่น ริ่เริ่ม สร้างสรรค์ คิดค้น วิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ในทุกๆ ด้านให้ดีที่สุดและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในประเทศ ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต การตรวจสอบควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน นอกจากนี้บริดจสโตนยังส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกิจกรรมเพื่อสังคมให้สอดคล้องกับปรัชญาที่ยึดมั่นเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลกว่า “รับใช้สังคมด้วยคุณภาพที่เหนือกว่า” (Serving Society with Superior Quality)

มาสด้าเดินหน้าก่อสร้างโรงงานผลิตเกียร์อัตโนมัติแห่งแรกในประเทศไทย

ฮิโรชิมา – ประเทศญี่ปุ่น – 5 กรกฎาคม 2556, มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตเกียร์อัตโนมัติแห่งใหม่ขึ้นในประเทศไทย ที่จังหวัดชลบุรี ภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการวาส บริษัท มาสด้า พาวเวอร์เทรน เมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ MPMT โดยมีคณะผู้บริหาร-พนักงาน และแขกผู้มีเกียรติร่วมงานประมาณ 50 คน ซึ่งได้รับเกียรติอย่างสูงจากที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย, ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม และ มร. มิตซูโยชิ นากามูระ ประธานกรรมการ บริษัท คาจิมา คอร์ปอเรชั่น, มร. เซอิตะ คาไนย เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง รองประธานคณะกรรมการบอร์ดบริหาร และมร. ฮิเดโนริ คาวากามิ ประธานกรรมการโรงงานมาสด้าแห่งใหม่
มร. เซอิตะ คาไนย เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง และรองประธานคณะกรรมการบริหาร มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงโรงงานแห่งใหม่ว่า “เทคโนโลยีสกายแอคทีฟของมาสด้าในขณะนี้ กำลังได้รับความสนใจและยอมรับอย่างมากทั่วโลก การสร้างโรงงานผลิตเกียร์อัตโนมัติ MPMT ในประเทศไทยขึ้นเป็นแห่งที่สองของมาสด้า  จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ และช่วยให้มาสด้าสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีเพิ่มมากขึ้นในอนาคตได้อย่างดี นอกจากจะกลายเป็นส่วนสำคัญที่จะนำการเติบโตมาสู่มาสด้าแล้ว โรงงานแห่งนี้ยังเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้รุดหน้ายิ่งขึ้น”
สำหรับปีงบประมาณ 2556 นี้ซึ่งสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2557 มาสด้าตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกไว้สูงถึง 1.7 ล้านคัน ที่สำคัญยอดขายกว่าร้อยละ 80 จะเป็นรถยนต์ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่คือสกายแอคทีฟ การเพิ่มโรงงานผลิตในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของแผนปฏิรูปโครงสร้างองค์กรของมาสด้า โรงงานใหม่แห่งนี้จะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในปีงบประมาณ 2559 และพร้อมที่จะผลิตเกียร์อัตโนมัติ “สกายแอคทีฟ-ไดร์ฟ” SKYACTIV DRIVE ได้ถึง 400,000 ลูกต่อปี หากรวมกับกำลังการผลิตของโรงงานโฮฟุในญี่ปุ่นแล้ว มาสด้าจะสามารถผลิตได้ถึง 1.5 ล้านลูกต่อปี

บรรยายภาพ
มร. ฮิเดโนริ คาวากามิ (ที่3 จากขวา) ประธานกรรมการโรงงานมาสด้าแห่งใหม่
นายโชอิชิ ยูกิ (ที่2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วย นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย (ที่2 จากขวา) ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

เอเอเอสฯ เปิดตัวสุดยอดยนตรกรรมหรูจากอังกฤษ เบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล(CONTINENTAL GT SPEED CONVERTIBLE) รถยนต์เปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลก


บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียว ในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวสุดยอดยนตรกรรมหรูจากอังกฤษ ที่สุดของความสมบูรณ์แบบและความทรงพลังอย่างเต็มพิกัด เบนท์ลี่ย์  คอนติเนนทอล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible )  ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2556  ณ Hall of Mirrors ชั้น M  ศูนย์การค้าสยามพารากอน

•   รถยนต์เปิดประทุน 4 ที่นั่งที่เร็วที่สุดในโลก: 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
•   ประสิทธิภาพ เครื่องยนต์เสมือนกับซูเปอร์คาร์ ด้วยพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 616 แรงม้า เครื่องยนต์ W12 มาพร้อมกับระบบส่งผ่านกำลัง 8 สปีด
•   เส้นสายของรถที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยความสปอร์ต ผสมผสานเข้ากับงานหัตถกรรมชั้นหรูร่วมสมัย
•   สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยม และปราณีตเหมือนรุ่นคูเป้
•   เครื่องยนต์ W12 ได้รับการพัฒนาให้มีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษได้มากถึง 15%
•   เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งานมหกรรมยานยนต์ Detroit Auto Show เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา


เบนท์ลี่ย์ เปิดตัว คอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) รถยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพและพละกำลัง อีกทั้งยังได้รับการขนานนามว่าเป็นรถยนต์ 4 ที่นั่ง เปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการแล้วในงานมหกรรมยานยนต์ North American International Auto Show ที่เมืองดีทรอย ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

คอน ติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) ใหม่ล่าสุดคือรถยนต์ที่เสมือนเป็นตัวแทนของการผสมผสานกันระหว่างรถเปิด ประทุนที่หรูหราเข้าไว้กับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่ทรงพลังได้อย่างลง ตัว โดยเครื่องยนต์ twin-turbocharged 6.0 ลิตร W12 มีพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 616 แรงม้า และพัฒนาศักยภาพในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีขึ้นอีก 15% เลยทีเดียว ระบบส่งกำลังเครื่องยนต์มีอัตราการทดเกียร์อยู่ที่ 8 สปีด ระบบช่วงล่างได้รับการพัฒนาให้มีการยกระดับให้สูงและต่ำลงได้ ระบบพวงมาลัยมีความแม่นยำส่งผลให้รถมีอัตราการเร่งเครื่องยนต์ที่โดดเด่น การขับเคลื่อนและการรักษาเสถียรภาพของรถสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้รถมีความสะดวกสบายสูงสุด ระบบขับเคลื่อนออกมาในรูปแบบระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถมีสมรรถนะในการเกาะถนนได้อย่างดี และมีพละกำลังเครื่องยนต์ที่ถูกส่งออกมาสู่ทุกๆ สภาวะของท้องถนนได้อย่างเต็มพิกัดอีกด้วย 

คอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) ใหม่ล่าสุดคันนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะสมกับความเป็นที่สุดในรุ่นคอนติเนนทัลของเบนท์ลี่ย์ได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังผสมผสานไว้ทั้งงานหัตถกรรมชั้นเยี่ยม หรูหรา และมีพละกำลังเครื่องยนต์และประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่เหนือชั้นกว่าใคร

ล้อ อัลลอยด์ 21 นิ้วที่โดดเด่น ปลายท่อไอเสียในรูปแบบ ‘rifled’ ต่างได้รับการติดตั้งเสริมรูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ตให้กับรถคันนี้มากขึ้น ภายในห้องโดยสารเต็มไปด้วยงานฝีมือชั้นเยี่ยม และมีจุดเด่นด้วยการติดตั้งชุดแต่ง Mulliner Driving Specification มาเป็นอุปกรณ์ตกแต่งมาตรฐานให้กับรถ เสริมความเป็นเอกลักษณ์ของความหรูหราที่ร่วมสมัยเข้าไว้กับความเป็นสปอร์ต ที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างลงตัว

Dr Wolfgang Schreiber ประธานกรรมการและประธานบริหารของเบนท์ลี่ย์ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับคอนติ เนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) ใหม่ล่าสุดคันนี้ว่า “หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากรุ่นจีที สปีด (GT Speed) ในตอนนี้เราจึงขอแนะนำ คอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) ใหม่ล่าสุดที่ออกมาสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการสัมผัสถึงความเป็นที่สุดของรถ ยนต์ 4 ที่นั่งเปิดประทุนที่เร็วที่สุด มีประสิทธิภาพตามความเป็นรถยนต์แกรนด์ ทัวเร่อร์ ทุกประการ อีกทั้งยังมาพร้อมกับความหรูหรา ปราณีต และได้รับการออกแบบมาให้มีความสมบูรณ์แบบ” 

ระบบขับเคลื่อน: 12 สูบ 616 แรงม้า และเกียร์ 8 จังหวะ
ราย ละเอียดของระบบขับเคลื่อนของคอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) จะคล้ายกับรุ่นจีที สปีด คูเป้ (GT Speed coupé) เครื่องยนต์ออกมาในรูปแบบ W12 48 วาล์ว twin-turbocharged และให้พละกำลังสูงสุดถึง 616 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ในเวลาเพียงแค่ 4.4 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอัตราเร่งจาก 0-100 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำได้ในเวลาเพียงแค่ 9.7 วินาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 800 นิวตันเมตร ขณะที่รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบต่อนาที และสามารถรักษาระดับแรงบิดนี้ไว้ได้จนถึง 5,000 รอบต่อนาทีเลยทีเดียว

ระบบ ME17 engine management system มีความสามารถในการคำนวนการทำงานได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังทำการควบคุม turbocharger และการจัดการแรงบิด และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม คอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) ได้รับการเสริมทัพด้วยระบบหมุนเวียนพลังงาน Energy recuperation system เหมือนกับรุ่นเครื่องยนต์ W12 รุ่นอื่น มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีความสามารถในการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว ส่งผลให้รถสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลงอีก 15% หากเทียบกับรุ่นสปีดเจเนอเรชั่นเดิม

คอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) ใหม่ล่าสุดมีระบบขับเคลื่อนที่ดีขึ้นกว่ารุ่นสปีดเดิม และมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเทียบเท่ากับรุ่นคอนติเนนทัล จีที (Continental GT) W12 ใหม่ หากทำการเปลี่ยนเกียร์เข้าสู่โหมดสปอร์ตจะทำให้ได้มาซึ่งการตอบสนองต่อ เครื่องยนต์ที่รวดเร็วขึ้น และระบบส่งผ่านกำลังจะเปลี่ยนเกียร์เมื่อความเร็วของเครื่องยนต์สูงขึ้น และทำการ ‘block shifting’ ได้เร็วขึ้น (เช่น เปลี่ยนจากระดับเกียร์ 8 เข้าสู่เกียร์ 4 โดยตรงเป็นต้น) ส่งผลให้ได้มาซึ่งอัตราเร่งที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย



ตัวถัง; ต่ำลง เฉียบคมขึ้น และมีส่วนร่วมมากขึ้น
ด้วย ดีกรีของความแกร่งเชิงบิดที่ยอดเยี่ยมที่ 22,500 นิวตันเมตรต่อดีกรี ทำให้ตัวถังของคอนติเนนทัล จีที สปีด     คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) มีความแข็งแกร่ง และเป็นพื้นฐานที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่ง ขึ้น  ด้วยการตั้งค่าช่วงล่างด้านหน้าแบบปีกนกคู่ (Double wishbone) และช่วงล่างด้านหลังแบบ trapezoidal multi-link นี้เองที่เป็นจุดเด่นทำให้สปริงของช่วงล่างแบบถุงลมและเครื่องลดกันสะเทือน ได้รับการปรับเปลี่ยน และพัฒนาให้เกิดการเกาะถนน การทรงตัว และการควบคุมตัวรถได้ดีขึ้น อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

ระบบ การลดระดับ self-levelling system ได้รับการตั้งค่าให้ลดลง 10 มิลลิเมตร จากรุ่น คอนทิเนนทัล จีที            คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Convertible) ช่วงล่างมีความแน่นหนาและแข็งแกร่ง รักษาเสถียรภาพของรถได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมี Anti-roll bars เข้ามาช่วยในการทรงตัวและรักษาเสถียรภาพของรถให้ดีมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือประสิทธิภาพในการควบคุมตัวรถที่ยอดเยี่ยม เกาะถนนได้ดียิ่งขึ้นแม้จะอยู่ภายใต้สภาวะการเข้าโค้งที่หนักหน่วง

ระบบ Electronic Stability Control (ESC) ได้รับการปรับค่าให้เหมาะสมกับระบบจัดการเครื่องยนต์               (engine management system) ใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้มาซึ่งความปลอดภัยสูงสุดและสร้างความมีส่วนร่วมในการ ขับขี่มากขึ้น ระบบ ESC รักษาการตั้งค่า “Dynamic Mode” ไว้เพื่อเพิ่มการ slip ของล้อที่ความเร็วสูง รวมไปถึงการเรียกแรงบิดของเครื่องยนต์คืนได้อย่างรวดเร็ว  ระบบเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้ค้นหาการคั้งค่าของตัวถังใหม่พร้อมด้วย กำลังขับจากเครื่องยนต์ที่สูงมากขึ้นอีกด้วย

รูปลักษณ์ภายนอก – ความเข้มข้นจากการออกแบบของเบนท์ลี่ย์
หาก มองคอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) จะพบกับความแตกต่างที่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบเมทริกซ์ และช่องดักอากาศที่กันชนออกมาในรูปแบบ Dark-tint chrome หรือโครเมี่ยมเคลือบสีเข้ม ล้อมีขนาด 21 นิ้วในลาย Speed alloy wheels สร้างความโดดเด่น ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งสีเงินหรือสี Dark tint ได้ ปลายท่อไอเสียขนาดใหญ่ออกมาในรูปทรงไข่ และหากเปิดฝากระโปรงรถจะพบกับท่อรวมไอดีสีดำที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีโลโก้ “B” พื้นหลังสีดำตกแต่งอยู่บนฝาครอบหมอน้ำเพิ่มความโดดเด่นเช่นเดียวกัน

ปีก หน้าของคอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) ทำมาจากอลูมิเนียมแบบ superformed aluminium ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสร้างชิ้นส่วนของรถโดยไม่มีรอยต่อและราบเรียบเป็นส่วน เดียวกัน สามารถสร้างภาพลักษณ์ของความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี ช่วงล่างได้รับการปรับให้ต่ำลง 10 มิลลิเมตร เติมเต็มด้วยล้อ 21 นิ้ว และเพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพของรถตามแบบฉบับรถซูเปอร์คาร์ รถคันนี้จึงได้รับการประดับด้วยสปอยเลอร์เพิ่มเติม และเสริมด้วยลิ้นบนฝากระโปรง double-horseshoe เพื่อสร้างแรงกดตามหลักอากาศพลศาสตร์ให้กับ คอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) เมื่ออยู่ที่ความเร็วเกินกว่า 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อีกด้วย

ภายในห้องโดยสาร: หรูหรา โดดเด่นอย่างสง่างาม และเต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นนำ
ท่าน จะได้สัมผัสกับตำนานความเป็นสปีด และความโดดเด่นที่เฉพาะจากภายในห้องโดยสารของรถ 4 ที่นั่งคันนี้ อีกทั้งยังมีจุดเด่นด้วยงานหัตถกรรมชั้นเยี่ยมด้วยชุดตกแต่งภายใน Mulliner Driving Specification เบนท์ลี่ย์ได้นำเสนออุปกรณ์พิเศษสำหรับคอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) คันนี้โดยเฉพาะนั่นคือ แผงหน้าปัดในรูปแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถ Le Mans ที่คว้าชัยชนะและสร้างตำนานมาอย่างโด่งดังในปี 1920 อีกทั้งยังมีแผงเนื้อไม้ชั้นดี และตกแต่งคอนโซลกลางด้วยอุปกรณ์ตกแต่งคาร์บอนไฟเบอร์ในรูปแบบสี     ซาติน (อุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้) เพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ให้กับห้องโดยสารได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ระบบ Infotainment ได้รับการอัปเกรดซอฟแวร์ด้วยเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่แตกต่างกันไปตามความแตก ต่างของแต่ละภูมิภาค รวบรวมไว้ซึ่งอุปกรณ์ที่ให้ความสะดวกสบายและข้อมูลที่สำคัญ อาทิเช่น แผนที่สำหรับจุดต่างๆ ที่น่าสนใจ ภาพภูมิทัศน์จากดาวเทียม ข้อมูลการจราจร และ digital radio ระบบ Infotainment มีหน่วยความจำถึง 15 กิกาไบท์เพื่อใช้ในการเก็บเพลง และยังสามารถเล่นเพลงจากเครื่อง iPod, MP3 Player หรือเครื่องเล่น CD 6 แผ่นของรถ หรือการ์ด SD ได้เช่นกัน

ลำโพง ของเครื่องเสียงออกมาในรูปแบบ Balanced Mode Radiator (BMR) ซึ่งผสมผสานฟังก์ชั่นของลำโพงที่แยกเสียงแหลมและเสียงกลางไว้ในลำโพงตัว เดียว เพื่อให้ได้มาซึ่งการส่งตรงของเสียงที่ชัดเจนและให้สเปกตรัมของเสียงที่ดี ยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านี้เบนท์ลี่ย์ยังขอนำเสนอชุดเครื่องเสียง Naim ให้สามารถเลือกติดตั้งได้ ความโดดเด่นของระบบนี้คือการทำงานของลำโพงที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดีและยัง มีโหมด Digital Sound Processing modes หากทำการเปิดหลังคาลงนั้นผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าความสมดุลของ เสียงให้เหมาะสมได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น

คอนติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) ใหม่ล่าสุดจะทำให้คุณได้สัมผัสถึงความปราณีตตามแบบฉบับความเป็นคูเป้ หากแต่สามารถเปิดประทุนได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น หลังคามีระดับชั้น 4 ชั้นเพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถมีความสะดวกสบายในระดับสูง หลังคาได้รับการทดสอบเพื่อพัฒนาในทุกๆ สภาวะจาก -30 องศาเซลเซียส จนถึง +50 องศาเซลเซียส ผลลัพธ์ที่ได้คือหลังคาที่มีความแข็งแกร่งและคงทนต่อฝน อีกทั้งยังรักษาความสะดวกสบายของห้องโดยสารไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ให้ความอบอุ่นกับห้องโดยสารได้แม้ต้องอยู่ในวันที่หนาวที่สุดอีกด้วย

อีก หนึ่งจุดเด่นของรถยนต์เปิดประทุนคันนี้คือระบบให้ความอบอุ่นต่อคอ (Neck warmer) ซึ่งจะทำงานและให้ความสะดวกสบายแด่ผู้โดยสารได้เป็นอย่างดีเมื่อเปิดประทุน วิ่งในวันที่มีอุณหภูมิต่ำของช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงได้

คอน ติเนนทัล จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (Continental GT Speed Convertible) มีระบบขับเคลื่อนแบบท 4 ล้อเหมือนกับเบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัล รุ่นอื่นๆ โดยแน้นการกระจายแรงบิดไปทางด้านหลังในสัดส่วน 60:40 เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอาการ understeer ระหว่างเข้าโค้งที่หนักหน่วง และระบบจะปรับเปลี่ยนการกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังตามความ เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพการเกาะถนนบนทุกๆ สภาวะอากาศ

ผลลัพธ์ที่ได้ คือการผสมผสานของประสิทธิภาพเครื่องยนต์และความสามารถในการใช้งานจริงใน ชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังกลายมาเป็นเบนท์ลี่ย์ที่สามารถวิ่งไปบนถนนที่ปกคลุมด้วยน้ำหรือ ผ่านเทือกเขาแอลป์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะด้วยความมั่นใจได้

ข้อมูลเฉพาะทางเทคนิค
   GT Speed Convertible   GT Speed
เครื่องยนต์
ชนิด   6 ลิตร twin-turbocharged W12
พละกำลังสูงสุด   616 แรงม้า / 460 กิโลวัตต์ / 625 PS ที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด   800 นิวตันเมตร / 590 lb.ft ที่รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบต่อนาที
ระบบส่งผ่านกำลัง
ชนิด   ZF 8 สปีดอัตโนมัติมาพร้อมกับการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและแม่นยำ (QuickShift) รวมถึงพวงมาลัยที่ติดตั้งก้านเกียร์มาด้วย
ระบบขับเคลื่อน   ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Continuous all-wheel drive (40:60 เน้นทางด้านหลัง)
อัตราการทดเกียร์   1st : 4.71; 2nd: 3.14; 3rd: 2.1; 4th: 1.67; 5th: 1.29; 6th: 1.00; 7th: 0.839; 8th: 0.667
Final Drive   2.85
เบรก
ด้านหน้า   จานเบรกระบายความร้อน 405 มิลลิเมตร (หรือ 420 มิลลิเมตร Carbon Silicon Carbide, cross drilled)
ด้านหลัง   จานเบรกระบายความร้อน 335 มิลลิเมตร (หรือ 356 มิลลิเมตร Carbon Silicon Carbide, cross drilled)
ล้อและยาง
ล้อ   9.5J x 21”
ยาง   275/35 ZR21
ระบบพวงมาลัย
ชนิด   Rack & pinion, power assisted, speed-sensitive ZF servotronic
หมุนจาก lock to lock   2.6 รอบ
หมุนรอบวง   11.3 m
ระบบกันสะเทือน (SUSPENSION)
ด้านหน้า   ช่วงล่างแบบปีกนกแบบ Four link double wishbones, ควบคุมการลดระดับของช่วงล่างแบบถุงลมโดยระบบคอมพิวเตอร์, anti-roll-bar.
ด้านหลัง   ช่วงล่าง Trapezoidal multi-link, ควบคุมการลดระดับของช่วงล่างแบบถุงลมโดยระบบคอมพิวเตอร์, anti-roll-bar.
ขนาด
ฐานล้อ   2,746 มิลลิเมตร / 108.1 นิ้ว
ความยาวโดยรวม   4,806 มิลลิเมตร / 189.2 นิ้ว
ความกว้าง   1,944 มิลลิเมตร / 76.5 นิ้ว
ความกว้างรวมกระจกข้าง   2,227 มิลลิเมตร / 87.7 นิ้ว
ความสูงโดยรวม   1,393 มิลลิเมตร / 54.8 นิ้ว   1,394 มิลลิเมตร / 54.9 นิ้ว
ความจุถังน้ำมัน   90 ลิตร / 20 แกลลอน / 24 US แกลลอน
ความจุของที่เก็บสัมภาระ   260 / 9.18 cu ft   358 ลิตร / 12.6 cu ft
น้ำหนักรถเปล่า (EU)   2,495 กิโลกรัม / 5500 lb   2,320 กิโลกรัม / 5115 lb
น้ำหนักรถรวม   2,900 กิโลกรัม / 6393 lb   2,750 กิโลกรัม / 6063 lb
ประสิทธิภาพ
ความเร็วสูงสุด   325 กิโลเมตร/ชั่วโมง   330 กิโลเมตร/ชั่วโมง
0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง   4.1 วินาที   4.0 วินาที
0-100 ไมล์ต่อชั่วโมง   9.7 วินาที   9.0 วินาที
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง   4.4 วินาที   4.2 วินาที
0-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง   9.7 วินาที   9.0 วินาที
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงตามรูปแบบวงจรการขับขี่ EU*
ในเมือง   22.7 ลิตร/100 กิโลเมตร   22.2 ลิตร/100 กิโลเมตร
นอกเมือง   10.4 ลิตร/100 กิโลเมตร   10.1 ลิตร/100 กิโลเมตร
ในเมืองผสมกับนอกเมือง   14.9 ลิตร/100 กิโลเมตร   14.5 ลิตร/100 กิโลเมตร
อัตราการปล่อย CO2   347 กรัม/กิโลเมตร   338 กรัม/กิโลเมตร
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงตามรูปแบบวงจรการขับขี่ EPA **
ขับขี่ในเมือง (ไมล์ต่อกรัม (US))   12   13
ขับขี่บนทางหลวง (ไมล์ต่อกรัม (US))   20   20
ผสมผสานทั้งสองรูปแบบ (ไมล์ต่อกรัม (US))   15   15
ระบบควบคุมมลพิษ   EU 5 and US LEV II

* อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเพียงอัตราชั่วคราวและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามชนิดที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้
** อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเพียงอัตราชั่วคราวและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการรับรองโดย EPA

สำหรับ ประเทศไทย ท่านสามารถค้นหาหรือสอบถามเกี่ยวกับรถยนต์เบนท์ลี่ย์ ได้จาก บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียว ในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ พร้อมให้บริการรถเบนท์ลี่ย์ของท่าน และซื้อรถยนต์เบนท์ลี่ย์จากทางเอเอเอสฯ เท่านั้นที่สามารถได้สิทธิ์การรับประกันจากโรงงานเบนท์ลี่ย์ประเทศอังกฤษ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมการบริการดูแลและบำรุงรักษารถยนต์เบนท์ลี่ย์จากผู้นำเข้าอย่างเป็นทาง การ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ ตลอด 5 ปี (5 Years Free Service Package) มากกว่านั้นเอเอเอสฯ ยังมอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงตลอดระยะเวลารับประกัน และบริการสายด่วนให้คำแนะนำปรึกษาทางเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง* โดยรถยนต์เบนท์ลี่ย์ที่ซื้อจากทางเอเอเอสฯ เท่านั้น ที่จะสามารถเข้ารับบริการจากศูนย์บริการของทางเอเอเอสฯ ได้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์เบนท์ลี่ย์ ได้ที่ โทร. 02-261-1051 หรือ 02-610-9911 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่  www.bentleymotors.com
*Terms & Condition Apply

ข้อความจากผู้เขียน
1.   รุ่น สปีดได้รับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2007 ในรุ่นคอนทิเนนทัล จีที สปีด (Continental GT Speed) เจเนอเรชั่นแรก โดยชื่อนี้ได้รับมาจาก W.O. Bentley ซึ่งใช้เรียกเบนท์ลี่ย์ที่ชนะการแข่งขัน Le Mans ในปี 1925 เบนท์ลี่ย์ สปีด (Bentley Speed) คันแรกเป็นรถยนต์ทัวเร่อร์เปิดประทุนที่สร้างโอกาสให้ผู้โดยสารได้รับความ สุนทรีย์ไปกับสายลมที่พัดเข้ามา และในตอนนี้จีที สปีด คอนเวอร์ติเบิล (GT Speed Convertible) มีพละกำลังเครื่องยนต์ที่เร็วกว่าเดิมถึง 2 เท่าตัวและได้รับการพิจารณาว่าเป็นรุ่นที่สร้างความสุนทรีย์ในการขับขี่ให้ ผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างแท้จริง

2.   เบนท์ลี่ย์ มอเตอร์ คือบริษัทผลิตรถยนต์ในประเทศอังกฤษที่มีอัตราการลงทุนเพื่อการพัฒนาเป็น อันดับสาม และเปิดทำการมานาน บริษัทมีพนักงานกว่า 4,000 คนที่เมือง Crewe ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของบริษัท มีทั้งแผนกออกแบบ แผนกวิจัยและพัฒนา วิศวกร และโรงงานผลิต เกือบทุกชิ้นส่วนของรถทำจากงานฝีมือของช่างที่มีความเชี่ยวชาญมาหลายยุคหลาย สมัย และรถทุกคันยังได้รับการพัฒนาขึ้นจากวิศวกรยานยนต์ที่มีความเชี่ยวชาญเป็น พิเศษ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและแตกต่างจากโรงงานผลิตรถยนต์หรูหราค่าย อื่นๆ อีกทั้งรถยนต์จากเบนท์ลี่ย์คือรถยนต์จากอังกฤษที่มีคุณค่าสูง เบนท์ลี่ย์มีการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่ากว่า 500 ล้านปอนด์ในแต่ละปีเพื่อสร้างฐานตลาดให้มากขึ้นเช่นในสหรัฐอเมริกา ด้วยการเจาะตลาดในประเทศจีน และประเทศทางอเมริกาใต้

GS Battery รุกอีกขั้นกับสปอร์ตมาเก็ตติ้ง ประกาศสนับสนุนทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ซิตี้ 2 ปีรวด

GS Battery ตอกย้ำ “พลังที่เป็นหนึ่ง” เปิดตัวการสนับสนุนสโมสรระดับโลก “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”  ในประเทศไทย  เผยเซ็นสัญญา 2 ปี มั่นใจกลยุทธ์สปอร์ตมาเก็ตติ้งครบวงจรตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่ง พร้อมขยายฐานคนรุ่นใหม่ ไปกับทีมเรือใบสีฟ้าที่มีนักเตะซุปเปอร์สตาร์กว่าค่อนทีม

 นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการบริหาร บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้นำด้านแบตเตอรี่ “GS Battery”  ภายใต้สโลแกน “เทคโนโลยีระดับโลก” ที่มาพร้อม Concept “พลังที่เป็นหนึ่ง” เปิดเผยว่า  GS Battery  ได้บรรลุข้อตกลงเซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุน ทีมสโมสรฟุตบอลระดับโลก “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”  อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในการสนับสนุนเป็นระยะเวลา 2  ปี คือปี 2014 และ 2015      GS Battery  จะได้รับสิทธิ์ในการใช้ตราสัญลักษณ์และภาพลิขสิทธิ์ของสโมสร สิทธิ์การทำกิจกรรมการตลาดร่วมกับสโมสร รวมถึง การทำกิจกรรมกับนักเตะชุดใหญ่ของทีม และยังได้เตรียมวางแผนทำกิจกรรมร่วมกับสโมสรอย่างต่อเนื่องในต้นปีหน้า
การเป็นผู้สนับสนุนสโมสรแมนเชสเตอร์  ซิตี้อย่างเป็นทางการครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ที่บริษัทมุ่งใช้ในการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่  ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีแฟนคลับเป็นคนรุ่นใหม่จำนวนมาก สร้างทีมอย่างมีมาตรฐาน  เป็นทีมที่รวมเอา Football Stars ที่มีความสามารถไว้มากที่สุดทีมหนึ่งของอิงลิช พรีเมียร์ ลีก เช่น ดาบิด ซิลบา ทีมชาติสเปน/ กุน อากูเอโร่ ทีมชาติอาร์เจนติน่า / โจ ฮาร์ท และแกเร็ท แบร์รี่ทีมชาติอังกฤษ/ ยาย่า ตูเร่ ทีมชาติ ไอวอรี่ โคสต์ อีกทั้งเป็นสโมสรที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของทีมที่มีมาตรฐานระดับสูง และตรงกับแนวคิดของ GS Battery ที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมด้านแบตเตอรี่ ด้วยเทคโนโลยีระดับสูงเช่นกัน รวมถึงบริการต่างๆ ให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “พลังที่เป็นหนึ่งที่ไม่หยุดก้าวไปข้างหน้า” จากผู้นำด้านแบตเตอรี่ ตัวจริง GS Battery เทคโนโลยี ระดับโลก
 “แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นสโมสรคลื่นลูกใหม่แนวหน้าของโลก เป็นขวัญใจคนรุ่นใหม่ โดยพบว่าปัจจุบันเรือใบสีฟ้ามีแฟนคลับทั่วโลก  โดยในประเทศไทยมีสาวกอยู่กว่า 2.3 ล้านคน การสนับสนุนครั้งนี้ถือเป็นความมุ่งมั่นในการยกระดับวงการฟุตบอลเมืองไทย ให้มีความน่าสนใจและตื่นตัวในการพัฒนาให้ก้าวหน้า ขณะเดียวกันเป็นการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ GS Battery  ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้าทั้งเก่าและใหม่”
นายประกาสิทธิ์ กล่าวอีกว่า “ปัจจุบันทางบริษัทให้การสนับสนุนและช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลของเมืองไทย ด้วยการเป็นผู้สนับสนุนทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และ ดิวิชั่น 2 อย่างต่อเนื่อง การจับมือกันระหว่างทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่จากเกาะอังกฤษและ GS BATTERY ในครั้งนี้ ถือเป็นการก้าวไปอีกขั้นของการสนับสนุนวงการกีฬา ที่ได้ยกระดับจากระดับประเทศไปสู่ระดับโลก โดยมุ่งหวังว่าในอนาคต ทาง GS BATTERY จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาบุคคลากรและมอบโอกาสให้กับผู้มีความสามารถทางด้านกีฬาให้ได้ก้าวเข้าไปสู่วงการกีฬาระดับโลกได้อย่างเต็มตัว
สำหรับสโมสรแมนเชสเตอร์  ซิตี้ (Manchester City) เป็นสโมสรฟุตบอลที่มาแรงที่สุดในศตวรรษนี้ โดยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1880 (พ.ศ. 2423) ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ประสบความสำเร็จตั้งแต่ช่วงปลายยุค 1960 – 1970 โดยผลงานที่ผ่านมา เป็นแชมป์อังกฤษพรีเมียร์ลีก 3 สมัย , เอฟ เอ  คัพ 5 ครั้ง  , ลีก คัพ 2 ครั้ง , ยูโรเปี้ยนคัพหรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก 1 ครั้ง โดยปัจจุบันสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในทีมที่มีมูลค่าในการใช้จ่ายด้านการทำการตลาด และการซื้อขายนักเตะ สูงสุด ทีมหนึ่งของอิงลิช พรีเมียร์ ลีก
ด้านความสำเร็จของ GS BATTERY ในปัจจุบัน เป็น แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับและมียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 40 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนรวมในตลาดแบตเตอรี่ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านลูก โดยทาง บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีระดับโลก ในการผลิตสินค้าคุณภาพสูงสำหรับคนไทย เพื่อขอบคุณคนไทยที่ให้ความไว้วางใจ GS BATTERY ทำให้บริษัทมียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง

“เอนเนอร์จี รีฟอร์ม” ย้ำผู้นำแก๊สรถยนต์เบอร์ 1 ของเมืองไทย เปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ชูจุดเด่นผลตอบแทนโครงการสดใส ตั้งเป้าขยายศูนย์ตัวแทนฯกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ

เอนเนอร์จี รีฟอร์ม”  ย้ำภาพผู้นำด้านเทคโนโลยีแก๊สรถยนต์เบอร์ 1 ของเมืองไทย เร่งปฏิรูปและยกระดับมาตรฐานการติดตั้งให้กับตัวแทนจำหน่าย  พร้อมเปิดตัวศูนย์ต้นแบบที่ลาดกระบัง เพื่อให้นักลงทุนและผู้ประกอบการที่สนใจในในธุรกิจพลังงานทดแทนได้ศึกษาการปฎิบัติงานจริงและระบบภายในของศูนย์บริการอย่างเป็นขั้นตอนซึ่งจะเป็นศูนย์ติดตั้งแก็สครบวงจรให้บริการทั้งระบบแก็สและน้ำมันครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเป็นตัวแทนฯแล้วกว่า 20 ราย ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด      ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่เเละสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคที่ต้องการติดตั้งแก็สในศูนย์บริการมาตรฐานอย่างแท้จริง  อีกทั้งเพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของธุรกิจแก็สรถยนต์ที่สร้างผลตอบแทนให้กับเจ้าของกิจการที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามประชากรรถยนต์ ภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมัน.   ตั้งเป้าขยายศูนย์ที่ได้มาตรฐานเพื่อรองรับลูกค้าจำนวนกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ
 
              นายสุรศักดิ์ นิตติวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท เอนเนอร์จี รีฟอร์ม จำกัด  ผู้นำด้านเทคโนโลยีแก๊สรถยนต์คุณภาพอันดับ 1 ของโลกจากอิตาลี  เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ติดตั้งแก๊สรถยนต์ทั้งในระบบ NGV และ LPG มากกว่า 1,300,000 คัน  ราย  หรือคิดเป็นสัดส่วน 33%  ของรถยนต์ที่จดทะเบียนในเมืองไทย  และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคันในอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้พบว่าจากสถิติรถจดทะเบียนที่กรมขนส่งทางบกฯ ยังมีรถยนต์อีก 33% หรือราว 2,500,000 คันที่ต้องการติดตั้งแก๊สรถยนต์ ซึ่งยังไม่รวมรถยนต์ใหม่ป้ายแดงที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นทุกปี. ซึ่งเป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ในการดำเนินธุรกิจ   ในฐานะที่เอนเนอร์จี รีฟอร์ม เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแก๊สรถยนต์ทั้งระบบ NGV , LPG และเครื่องยนต์ดีเซล ด้วยชุดอุปกรณ์ระบบหัวฉีดก๊าซจากอิตาลี ที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับระดับโลก จึงมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมธุรกิจติดตั้งอุปกรณ์แก๊สรถยนต์ให้ดีขึ้น เพื่อจูงใจให้เจ้าของรถหันมาใช้พลังงานทางเลือกที่ถูกกว่าและสะอาดกว่า เป็นมิตรกับสิงแวดล้อม และช่วยลดภาระค่าเชื้อเพลิงได้มากกว่า 60% ต่อเดือน แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะและความปลอดภัยที่เอนเนอร์จี รีฟอร์ม ให้ความสำคัญมาโดยตลอดกว่า 7 ปี.    โดยโครงการนี้ได้พร้อมเชิญชวนนักลงทุน  ผู้ประกอบการธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ รวมถึงผู้ประกอบการในธุรกิจอื่นๆ ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Exclusive Dealer)  ให้มากขึ้น โดยบริษัทพร้อมให้การสนับสนุนเรื่องของการฝึกอบรมทางด้านเทคนิค การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนทั้งระบบ รวมถึงให้การสนับสนุนการตลาดเต็มรูปแบบ
 
              ด้านนายสุรชัย นิตติวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท เอนเนอร์จี รีฟอร์ม จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท เอนเนอร์จี รีฟอร์ม ได้เปิดศูนย์บริการลาดกระบังขึ้น บนถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง บนพื้นที่ 2 ไร่ ด้วยงบลงทุนกว่า 16 ล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์ให้บริการต้นแบบและศูนย์แห่งการเรียนรู้ทั้งระบบ การติดตั้งแก๊สที่ได้มาตรฐานระดับโลก  อุปกรณ์ติดตั้งแก๊สของ เอนเนอร์จี รีฟอร์ม คัดเลือกสินค้าที่ดีที่สุด นำเข้าจากประเทศอิตาลี ผ่านมาตรฐาน ยุโรปรับรอง ECE67 R01 และ ECE R110 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ที่บังคับใช้กับอุปกรณ์แก๊สรถยนต์ และผ่านข้อบังคับของกรมการขนส่งทางบก  นอกจากนี้ ศูนย์ต้นแบบ เอนเนอร์จี รีฟอร์ม ยังได้มาตรฐานต่างๆ ประกอบไปด้วย มาตรฐานการออกแบบทั้งภายนอกและภายในศูนย์บริการครบวงจร เอาใจใส่ทุกขั้นตอน การให้บริการและการทำงานมาตรฐานการติดตั้ง ราคา และการรับประกัน เหมือนกันทั่วประเทศ มาตรฐานระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ตั้งแต่การนัดลูกค้า เปิดจ๊อป การติดตั้งชุดอุปกรณ์แก็ส คลังสินค้า ตลอดจนระบบบัญชี-การเงิน และที่สำคัญมาตรฐานการควบคุมคุณภาพและฝึกอบรม 
 
             ทั้งนี้รูปแบบการลงทุนศูนย์บริการใช้เงินลงทุนประมาณ 4-15 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับทำเล ที่ตั้ง ขนาดของศูนย์บริการ และลักษณะการให้บริการ  โดยการลงทุนดังกล่าวจะมีระยะเวลาการคืนทุนประมาณ 2 ปี และผลตอบแทนโครงการ (IRR) สูงมากกว่า 50% 
                “ในธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากคุณภาพของระบบแก็สแล้ว คือศูนย์บริการที่ต้องได้มาตรฐาน เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน  การสนับสนุนและยกระดับผู้ประกอบการติดตั้งแก๊สรถยนต์ให้มีมาตรฐานถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้นบริษัทจึงมุ่งมั่นศึกษาและพัฒนาเพื่อเป็นต้นแบบให้นักลงทุน ผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ และผู้ประกอบการธุรกิจติดตั้งแก๊สรถยนต์ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและบริการที่ดี และพร้อมจะพัฒนาธุรกิจให้เดินไปข้างหน้า โดยเอนเนอร์จี รีฟอร์มพร้อมจะให้คำปรึกษาและแนะนำ รวมถึงการฝึกอบรม และการตลาดแบบครบวงจรด้วย”
 
                ปัจจุบันศูนย์ Exclusive Dealer แห่งแรกของ ENERGY REFORM  ตั้งอยู่ที่ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 12 แห่ง ประกอบไปด้วย ห้างหุ้นส่วนสามัญ สมานแก๊ส เซอร์วิส ลาดพร้าว , บริษัท ไฮ ฟิวเจอร์ จำกัด (พระราม 3) , บริษัทโอท๊อป เซอร์วิส จำกัด พระยาสุเรนท์ , บริษัท เอสเคทีแอ็คเซสเซอรี่ จำกัด นนทบุรี , บริษัท ไฮฟิวเจอร์ จำกัด (กิ่งแก้ว) สมุทรปราการ , บริษัท เค ซี ออโต้ชอพ จำกัด ชลบุรี , บริษัท เอสทีอาร์ 2013 จากัด ระยอง , บริษัทซี เค ออโต้เวอร์ค จำกัด ระยอง บริษัทมิตรดีเซลกำแพงเพชร 2013 จำกัด กำแพงเพชร , บริษัทเอ็กซ์-ไลน์ แอลพีจี จำกัด นครสวรรค์ , บริษัท สุรนคร ออโต้ จำกัด นครราชสีมา , บริษัท ซี เค ออโต้คาร์ เซ็นเตอร์ จำกัดพิษณุโลก และ Volvo  ขอนแก่น รายอื่นนอกจากนี้ อยู่ในช่วง เขียนแบบและขออนุญาตก่อสร้าง
 
                 “แนวโน้มการติดตั้งแก๊สรถยนต์ในเมืองไทยพบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากนโยบายรถคันแรกที่ส่งผลให้มีรถยนต์เพิ่มขึ้นในท้องถนนกว่า 1.2 ล้านคัน  โดยคาดว่าตลอด 5 ปีนับจากนี้ไปสัดส่วนรถยนต์ติดตั้งแก๊สจะเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ  20% ต่อปี”

มาสด้าเสริมความคุ้มค่าให้คนรักความสปอร์ต จับมาสด้า3 ใส่อุปกรณ์ล้นคัน แซงหน้าคู่แข่งไปอีกก้าว



กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 27 มิถุนายน 2556 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเดินหน้าสร้างความแปลกใหม่ให้ตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลางหรือซีเซ็กเม้นต์ในประเทศไทย ประกาศเปิดตัวรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 ใหม่ รุ่นปี 2013 ปรับโฉมเสริมความเป็นสปอร์ตรอบคันทั้งภายในและภายนอก ทั้งเครื่องยนต์ 1.6 และเครื่องยนต์ 2.0 ที่ถูกถ่ายทอดความเป็นสปอร์ตจาก DNA ของรถต้นแบบสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขับสนุกมาสด้า MX-5 กับคอนเซ็ปต์ “Jinba-Ittai” หรือ “Oneness” เมื่อคุณกับรถเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมฉีกหนีคู่แข่งไปอีกขึ้นด้วยอุปกรณ์ตกแต่งหนึ่งเดียวในคลาส ไฟหน้าไบ-ซีนอน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือ Cruise Control ซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์เสริมความสปอร์ตรอบคัน ย้ำขายราคาเดิมเริ่มต้น 755,000 บาทเท่านั้น
นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 คือรถยนต์ที่ได้รับการการันตีมาแล้วจากลูกค้าทั่วโลกกว่า 3 ล้านคัน รวมทั้งลูกค้าชาวไทยอีกกว่า 4 หมื่นคัน สำหรับการปรับโฉมเพิ่มความสดใหม่ให้กับมาสด้า3 ในครั้งนี้ จะส่งผลให้รถมาสด้า3 เป็นรถยนต์ให้ความสปอร์ตมากที่สุด รวมทั้งการเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลากหลายและโดดเด่นเหนือคู่แข่ง คาดว่าจะส่งผลให้ยอดขายรถมาสด้า3 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นไปอีก ผมมั่นใจว่าการเพิ่มความคุ้มค่าให้กับรถมาสด้า3 โฉมใหม่ในครั้งนี้ จะทำให้ลูกค้าเกิดความภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น และนั่นคือจุดมุ่งหมายหลักของแนวทางของ ซูม-ซูม แบบยั่งยืนของมาสด้า
“ปัจจุบันเรามียอดจำหน่ายมาสด้า3 ไปแล้วมากกว่า 40,000 คัน และรถมาสด้า3 ยังช่วยส่งเสริมให้ยอดขายและภาพลักษณ์ของมาสด้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น สำหรับการเปิดตัวมาสด้า3 ใหม่ ในครั้งนี้คาดว่าจะทำให้ยอดขายของมาสด้าเติบโตและครองใจผู้บริโภคในกลุ่มรถยนต์นั่ง คาดว่าภายในสิ้นปีนี้มาสด้าจะมียอดการจำหน่ายอยู่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของภาพลักษณ์ต่อไปยิ่งๆ ขึ้นอีกด้วย” นายโชอิชิ ยูกิ กล่าวเพิ่มเติม
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ตลาดรถยนต์นั่งคอมแพ็คคาร์ หรือ ซี-คาร์ เป็นกลุ่มรถหลักในตลาดประเทศไทย และเป็นตลาดที่มีการเติบโตที่ทรงตัวมาโดยตลอด และมีโอกาสที่เราจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากยิ่งขึ้น ลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าที่มีความคาดหวังค่อนข้างสูง ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ดีไซน์ที่งามสง่า สมรรถนะการขับขี่ ความคุ้มค่าคุ้มราคา อุปกรณ์ที่เพิ่มความหรูหราสะดวกสบาย คุณภาพของวัสดุที่นำมาประกอบ และระบบความปลอดภัยที่มั่นใจ รวมถึงความประหยัดทั้งค่าบำรุงดูแลรักษาและการประหยัดน้ำมัน สำหรับมาสด้า3 ใหม่ นอกจากเป็นรถยนต์ที่มีอุปกรณ์ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ มีความคุ้มค่าสมราคาแล้ว ยังมีความสปอร์ตที่โดดเด่นเหนือกว่ารถอื่นในคลาสเดียวกัน ด้วยรูปลักษณ์ความสวยงามของดีไซน์ทั้งภายในภายนอก ซึ่งแตกต่างจากรถในกลุ่มคอมแพ็คที่มักเน้นแต่ความหรูหราเพียงอย่างเดียว ซึ่งจุดขายนี้โดนใจลูกค้ากลุ่มพรีเมียมผู้รักรถสปอร์ตหรู การปรับโฉมเข้าสู่ตลาดในครั้งนี้จะส่งผลเราสามารถสร้างความแตกต่างจากรถยนต์แบบเดิมๆ
รถยนต์นั่งสปอร์ต Mazda3 ใหม่ ได้รับการออกแบบใหม่หมดทั้งภายนอกและภายใน ภายใต้ DNA ของมาสด้า รูปลักษณ์ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวให้ความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เป็นรถยนต์นั่งที่โฉมเฉี่ยวสไตล์ ซูม-ซูม รวมถึงเครื่องยนต์อันทรงพลัง 2000 ซีซี. และเครื่องยนต์ 1600 ซีซี. ที่ได้รับการปรับแต่งให้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 147 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที และให้กำลังแรงบิดสูงสุดถึง 182 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด มาพร้อมกับระบบ Sports Paddle Shift และระบบควบคุมเกียร์ AAS (Active Adaptive Shift) สามารถควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะโดยอัตโนมัติตามสไตล์ของผู้ขับขี่ให้สัมผัสถึงความเป็นสปอร์ตและควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ (สำหรับเครื่องยนต์ 2.0L) และอีกหนึ่งฟังค์ชั่น สปอร์ตแอคทีฟเมติค ที่สามารถควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบเกียร์ธรรมดา พัฒนามาให้มีความนุ่มนวล ต่อเนื่องและตอบสนองได้โดยอย่างแม่นยำ
ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบไบ-ซีนอนพร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟท้ายแบบ LED รูปทรงสปอร์ต ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry เปิด-ปิดประตูโดยไม้ต้องใช้กุญแจหรือรีโมท พร้อมระบบ Push Start Button เพียงปลายนิ้วสัมผัส ซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบการควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัว (Dynamic Stability Control, DSC) ให้ความมั่นใจทุกการเข้าโค้ง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและการลื่นไถล (Traction Control) ล้ออัลลอยด์ลายสปอร์ตเรียบหรูขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางซีรี่ต่ำเช่นเดียวกับรถสปอร์ตชั้นนำ
สำหรับราคาจำหน่ายรถยนต์ New Mazda3 รุ่นเครื่องยนต์ขนาด 1600 ซีซี. เริ่มต้นเพียง 755,000 บาท และยังเพิ่มรุ่นอีก 3 รุ่น คือ รุ่น 1.6L Spirit Sports Plus 5 ประตู, รุ่น 1.6L Spirit Plus 4 ประตู และ รุ่น 2.0L Spirit Plus 4 ประตู มาพร้อมกับ เบาะหนังสไตล์สปอร์ต ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) กุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry) และระบบ Push Start สัญญาณกะระยะถอยหลัง 4 จุด ช่องเชื่อมต่อ AUX/USB และอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆอย่างครบครัน ซึ่งนับว่าคุ้มค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน คุณภาพของระดับสูง ระบบความปลอดภัย ประโยชน์ใช้สอยรอบคัน และอุปกรณ์ตกแต่งสไตล์สปอร์ตที่มาพร้อมกับตัวรถ รถมาสด้า3 ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 8 สี และพิเศษสีขาวมุก สโนว์แฟล็กซ์* ซึ่งเป็นสีใหม่ ที่มาคู่กับล้ออัลลอยด์สีใหม่ สีเงิน ไบรท์ซิลเวอร์ เพื่อความพิเศษยิ่งขึ้น โดยเพิ่มเงินเพียง 10,000 บาท
หมายเหตุ: * สีใหม่ ขาวมุก สโนว์แฟล็กซ์ จะมีให้เลือกเฉพาะรุ่น 1.6L Spirit Plus, 1.6L Spirit Sports Plus, 2.0L Spirit Plus, 2.0L Maxx, 2.0L Maxx Sports


มาสด้า3 รุ่น 4 ประตู
เครื่องยนต์
ราคาจำหน่าย
Mazda3 Groove
MZR 1600cc
755,000 บาท
Mazda3 Spirit
MZR 1600cc
825,000 บาท
Mazda3 Spirit Plus
MZR 1600cc
880,000 บาท**
Mazda3 Spirit Plus
MZR 2000cc
989,000 บาท**
Mazda3 Maxx S/R
MZR 2000cc
1,079,000 บาท**
มาสด้า3 รุ่น 5 ประตู
เครื่องยนต์
ราคาจำหน่าย
Mazda3 Spirit Sports
MZR 1600cc
869,000 บาท**
Mazda3 Spirit Sports Plus
MZR 1600cc
895,000 บาท**
Mazda3 Maxx Sports S/R
MZR 2000cc
1,079,000 บาท**
หมายเหตุ: ** ราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้น 10,000 บาท สำหรับสีขาวมุก สโนว์แฟล็กซ์

เชิญสัมผัสและทดลองขับรถยนต์มาสด้า2 สปอร์ต และมาสด้า2 เอลิแกนซ์ รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 2.0ลิตร และ 1.6 ใหม่ ปิกอัพสไตล์เก๋ง มาสด้า บีที-50 โปร และรถสปอร์ตโรดสเตอร์มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 และรถสปอร์ตครอสโอเวอร์หรู 7 ที่นั่ง มาสด้า ซีเอ็กซ์-9 ได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 145 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ (02) 664-4888 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข1-800-226-408
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved