Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

Bendix หนุนมอเตอร์สปอร์ตต่อเนื่อง ชู “Bendix Blue is Better” พิสูจน์คุณภาพสนาม !

นายประพัฒน์ อัศวาดิศยางกูร  ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดประจำภูมิภาค บริษัท เอฟ เอ็ม พี กรุ๊ป (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์  เดินหน้าสนับสนุนมอเตอร์สปอร์ตเต็มตัว ส่ง 4 นักแข่งดาวรุ่ง สู้ศึกทุกรายการแข่งขัน  ประเดิม 2 คู่หู  “บูม”  กันตธีร์  กุศิริ  (บูม เอกกี้)  กับผลงานสุดประทับใจ  คว้าตำแหน่งชนะเลิศการแข่งขัน Thailand  super  series  รุ่น  Super  1500  สนาม  1-2  ณ  สนามเซปังเซอร์กิต  ประเทศมาเลเซี พร้อม  “พงษ์”  พงษ์  พาวิทยลาภ (พงษ์  Bendix)  คว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 2  รายการ  Pro-Series  Thailand  2013  Class  C  สนาม 1  กับ  Honda  NSX  สุดยอดรถ  Supercar  ปรับเปลี่ยนหัวใจเป็นเครื่อง K200A  2,000 cc  เป็นคันแรก  และคันเดียวใน Asia  ฉลองเรสแรกของปี
โดย นายประพัฒน์  กล่าวถึง นโนบายหลักของการสื่อสารการตลาด ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการสื่อสารกับผู้ใช้ โดยมุ่งเน้น “มอเตอร์สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง” เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ “Bendix Blue is Better” ตรอกย้ำความมั่นใจให้กับลูกค้าถึงความเป็นอันดับหนึ่งของเบ็นดิกซ์ ในตลาดผ้าเบรกพรีเมี่ยมประเทศไทย

ยางนิตโตะ คอนเฟิร์ม NT420S โดนใจ คุ้มค่า ดีไซส์ถูกใจคอ SUV ไทย

 
หลังจากมีการเปิดตัวยาง NITTO NT420S  ยางนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น 100%  มาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว ผลตอบรับจากกลุ่มผู้ใช้และตัวแทนจำหน่ายของยางนิตโตะกว่า 300  ร้านค้าทั่วประเทศ  ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจในการขยายไลน์การผลิต  เพิ่มขนาดของยาง NITTO NT420S  ให้ครอบคลุมรถ SUV และ กระบะ ในเมืองไทยมากยิ่งขึ้น

                นาย อภิชัย  ตั้งวงศ์ศิริ  กรรมการผู้จัดการ  บริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายยางนิตโตะ  ยางนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น 100%  กล่าว “ยาง NITTO NT420S  เป็นยาง Ultra High Performance สำหรับรถ SUV หรือรถกระบะ ที่ต้องการความพิเศษไม่เหมือนใคร ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน  ทั้งบนถนนแห้งและเปียก  ที่ยางรุ่นดังกล่าวสามารถทำได้เป็นอย่างดีเยี่ยมเทียบเท่ายางสปอร์ต รวมถึงสัมผัสของความนุ่มนวลตลอดการเดินทาง  ที่มาพร้อมกับการออกแบบลายดอกยางที่ไม่เหมือนใคร  ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของยาง NITTO ที่ให้ความรู้สึกสปอร์ต, หรูหรา ไม่ซ้ำใคร”

                โดย ที่ผ่านมา ยาง NITTO NT420S  ดังกล่าว ได้รับเสียงตอบรับจากกลุ่มผู้ใช้และตัวแทนจำหน่ายเป็นอย่างดี  ในเรื่องของความคุ้มค่าของสินค้า  กับราคาจำหน่ายที่เหมาะสม จึงทำให้ยาง NT420S  ได้เพิ่มขนาดรองรับความต้องการสำหรับล้อขนาด 17 นิ้ว จนถึง 26 นิ้ว  โดยปัจจุบันทางบริษัทฯ ได้เพิ่มขนาดใหญ่พิเศษสำหรับรถ SUV และ Super Car ที่ต้องการยางขนาดพิเศษมากมายหลายรุ่น และด้วย “นโยบายการรับประกันคุณภาพจากผลิตตลอดอายุการใช้งาน”  ซึ่งมีเพียงเจ้าเดียวในประเทศไทยนั้น ทำให้ ยาง NITTO NT420S  เป็นอีกหนึ่งในหลากหลายรุ่นสินค้าของทางบริษัทฯ ที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด  ในตลาดยางพรีเมี่ยมสำหรับรถ SUV และ กระบะ  นายอภิชัย กล่าวปิดท้าย


ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยครึ่งปีแรกยังแรงพอใช้ แม้ท้ายไตรมาส 2 ชะลอตัว

ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยครึ่งปีแรกยังไปได้ดี แม้เศรษฐกิจในช่วงปลายไตรมาสที่สองจะมีความผันผวนอยู่บ้าง การซื้อขายโดยรวมมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ ในขณะที่ฮอนด้าครองความเป็นผู้นำตลาดหลังทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆมาตั้งแต่ต้นปีจนมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค เช่นเดียวกับการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างหนักเพื่อกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง


นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า “ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยช่วงครึ่งปีแรกมียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 1,097,490 คัน ใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่มียอดอยู่ที่ 1,106,037 คัน หรือคิดเป็น 99% ถือได้ว่าการซื้อขายยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแม้ตลาดในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนจะชะลอตัวจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อลงไปบ้าง ซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้ ฮอนด้ามียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 810,070 คัน เติบโตขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมีผลมาจากการที่เราทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆลงสู่ตลาดตั้งแต่ต้นปี ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมในหลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างความคึกคักในการขายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญลุ้นชมการแข่งขันนัดพิเศษในเมืองไทยของทีมฟุตบอลระดับโลกอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูลและบาร์เซโลน่า กิจกรรมส่งเสริมการสร้างแบรนด์อิมเมจผ่านไลฟ์สไตล์ความสนุกทั้งดนตรีและกีฬา”
“ในปีที่แล้ว ฮอนด้าขยายไลน์อัพจนครอบคลุมทุกเซกเมนท์ของตลาดพร้อมกับสร้างเทรนด์ใหม่ด้วยการเปิดตัว Zoomer-X ซึ่งเป็นรถแฟชั่นเอ.ที.ที่มีความแหวกแนว ในขณะที่ปีนี้เราได้เพิ่มความหลากหลายและมองไปถึงทาร์เก็ตกรุ๊ปใหม่ๆ จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว Honda MSX125 รถมินิไบค์ที่มีดีไซน์โฉบเฉี่ยว ขับขี่สนุกคล่องตัว โดยรถทั้งสองรุ่นต่างก็มีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นโดนใจวัยรุ่นเป็นอย่างมาก”
สำหรับช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ คาดว่าการแข่งขันในตลาดจะมีความเข้มข้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงที่การซื้อขายรถจักรยานยนต์ชะลอตัว ทำให้ผู้ผลิตต้องเร่งทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายมากกว่าปกติ คาดว่ายอดจดทะเบียนตลอดทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ 2.1 ล้านคัน ลดลงจากที่เราคาดการณ์ไว้เมื่อต้นปีเล็กน้อย”
สรุปจำนวนยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2556 พบว่ามีทั้งสิ้น 1,097,490 คัน แบ่งเป็นแบบครอบครัว 523,581 คัน ส่วนแบ่งตลาด 48%, แบบเอ.ที. 500,092 คัน ส่วนแบ่งตลาด 46%, รถสปอร์ต 41,241 คัน ส่วนแบ่งตลาด 4% และรถแบบอื่นๆ รวมกันอีก 32,576 คัน ส่วนแบ่งตลาด 3% เมื่อแบ่งตามค่ายผู้ผลิตพบว่าฮอนด้ามียอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 810,070 คัน สัดส่วนครองตลาด 74%, ยามาฮ่า 211,824 คัน ส่วนแบ่งตลาด 19%, ซูซูกิ 28,894 คัน ส่วนแบ่งตลาด 3%, คาวาซากิ 24,926 คัน ส่วนแบ่งตลาด 2% และยี่ห้ออื่นๆ ที่เหลือมียอดจดทะเบียนรวมกันที่ 21,776 คัน ส่วนแบ่งตลาด 2%
ในส่วนของยอดจดทะเบียนเฉพาะเดือนมิถุนายน 2556 มีทั้งสิ้น 190,336 คัน แบ่งเป็นรถแบบเอ.ที. 89,193 คัน ส่วนแบ่งตลาด 47%, รถแบบครอบครัว 86,691 คัน ส่วนแบ่งตลาด 46%, รถสปอร์ต 8,641 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5% และรถแบบอื่นๆ รวมกันอีก 5,811 คัน ส่วนแบ่งตลาด 3% หากแบ่งตามค่ายผู้ผลิตพบว่าฮอนด้ามียอดจดทะเบียนรวม 141,545 คัน สัดส่วนครองตลาด 74%, ยามาฮ่า 36,624 คัน ส่วนแบ่งตลาด 19%, ซูซูกิ 4,231 คัน ส่วนแบ่งตลาด 2%, คาวาซากิ 4,442 คัน ส่วนแบ่งตลาด 2% และยี่ห้ออื่นๆ ที่เหลือมียอดจดทะเบียนรวมกันที่ 3,494 คัน ส่วนแบ่งตลาด 2%

DUCATI SHOWCASE

ดูคาติไทย แลนด์จัดงานโชว์ยนตรกรรม ณ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ภายใต้ชื่องาน DUCATI SHOWCASE โดยภายในงานได้มีการนำรถมอเตอร์ไซค์คันแรกของดูคาติตั้งแต่สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 และรุ่นอื่นๆ ที่หาชมได้ยาก รวมถึงเปิดเผยโฉมยนตรกรรมล่าสุด Diavel Stripe และ Diavel Dark จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 21 กรกฎาคม 2556

มาสด้า ซูม-ซูม คำรามบนสนามแข่งส่งมาสด้า2 ลงมอเตอร์สปอร์ต

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, 26 กรกฎาคม 2556 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมประกาศศักดาก้าวเข้าสู่วงการกีฬามอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทยอย่างเต็มภาคภูมิ เดินหน้ากิจกรรมด้านสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งอย่างเต็มตัว พร้อมเปิดตัวรถแข่งใหม่ล่าสุดที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยทีมงานมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกของมาสด้า พร้อมทีมแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Innovation Motorsports ส่งคู่หู 2 สปอร์ตตัวจี๊ดมาสด้า2 ลงประเดิมชิงชัยในรายการไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซี่รี่ส์ รายการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่ยิ่งใหญ่และได้รับความสนใจที่มากสุดของประเทศไทย
ความเป็นสปอร์ตไม่เคยจางหายไปจาก ดีเอ็นเอ ของมาสด้า สมกับสโลแกนเด็ด “ซูม-ซูม เราใส่ความเป็นสปอร์ตลงไปในรถทุกคันที่ผลิต” หลังจากห่างหายไปได้ไม่นาน มาสด้าก็หวนกลับเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตของประเทศไทยอีกครั้ง แต่การมาในครั้งนี้กลับดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ด้วยการเตรียมส่งรถยนต์มาสด้า2 ทั้งสปอร์ต แฮตช์แบค 5 ประตูและเอลิแกนซ์ ซีดาน 4 ประตู เข้าร่วมประลองความเร็ว เพื่อตอกย้ำถึงสมรรถนะอันทรงพลังของมาสด้า2 ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งบุกกิจกรรมด้านสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง (sport marketing) ให้ครอบคลุมทุกด้าน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้การสนับสนุนฟุตบอลไทยมาแล้วกับทีม นครราชสีมา-มาสด้า เอฟซี. ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ รวมทั้งกำลังเตรียมกิจกรรมอื่นๆ ทางด้านการกีฬาเข้ามาเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นสปอร์ตของมาสด้า
นายโชอิชิ ยูกิ ประธานกรรมการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความเป็นสปอร์ตของรถยนต์มาสด้านั้นถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจากอดีตจวบจนปัจจุบันและในอนาคตต่อจากนี้ มาสด้ากับกีฬามอเตอร์สปอร์ตนั้นถือว่ามีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการแข่งขันในรถยนต์ประเภททางเรียบ นับตั้งแต่การคว้าชัยชนะในการแข่งขัน 24 ชั่วโมง ที่เร้าใจกับชัยชนะที่ได้รับจากการแข่งขันที่ประทศฝรั่งเศส ในรายการ เลอ มังส์ 24 ชั่วโมง เอ็นดูแรนซ์ เรซ (Le Mans 24 Hour Endurance Race) เมื่อปี 1991 ของรถมาสด้า 787 ปี  นั่นคือที่สุดแห่งความภาคภูมิใจของเราชาวมาสด้า และชาวญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายแรก และรายเดียวที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขัน…ความภาคภูมิใจหนึ่งเดียวนี้ กำลังจะถูกถ่ายทอดลงสู่มาสู่รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 ที่กำลังจะลงสู้ศึกประลองความเร็วในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
สำหรับทีม Innovation Motorsports เป็นทีมแข่งน้องใหม่ของวงการที่รวบรวมเอาบุคลากรและทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์ของมอเตอร์สปอร์ตมาพัฒนารถแข่งเพื่อลงทำการแข่งขันจำนวน 2 คัน ได้แก่ รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 สปอร์ต รุ่นแฮตช์แบค 5 ประตู หมายเลข 17 มีนักขับที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ซึ่งเป็นนักขับที่เคยคลุกคลีอยู่กับทีมและรถยนต์มาสด้ามาตั้งแต่ต้น และลงทำการแข่งขันในนามทีมมาสด้า ทั้งประเภททางฝุ่น หรือครอสคันทรี และประเภททางเรียบ พีท ทองเจือ และสามารถคว้าแชมป์ประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมากับรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 และรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 เอลิแกนซ์ ซีดาน 4 ประตู หมายเลข 55 มร. ไมค์ ฟรีแมน ซึ่งเป็นนักขับมากประสบการณ์ ในปีนี้ รถแข่งมาสด้า2 ทั้ง 2 รุ่น จะลงทำการแข่งขันในรายการไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรี่ส์ ในประเภท Super Production
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า วันนี้มาสด้าได้เดินหน้าเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทยอย่างเต็มความภาคภูมิ กับการเปิดตัวทีมแข่งขันรถยนต์ประเภททางเรียบกับสปอร์ตมาสด้า2 ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะแห่งการขับขี่ที่ทรงพลังแห่งยุค นั้นคือทีม "MAZDA INNOVATION MOTORSPORTS" นับเป็นความร่วมอย่างดียิ่งระหว่างมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย รวมทั้งการได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากแม่บริษัทแม่ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงทีมงานที่ดูแลกิจกรรมด้าน Motor Sports Team ที่ทำให้เราสามารถสร้างรถแข่งที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพรวมทั้งทีมแข่งขันที่แข็งแกร่งเพื่อลงชิงชัยในสนามการแข่งขันรถยนต์ในปีนี้ ที่สำคัญการที่มาสด้านำเอารถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงสมรรถนะอันทรงพลังและประสิทธิภาพของมาสด้า2 ที่ไม่สองรองใคร ตลอดจนการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์รถยนต์ที่สามารถถ่ายทอดความเป็นรถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตออกมาได้โดดเด่นที่สุด และสามารถสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
สำหรับแฟนๆ กีฬามอเตอร์สปอร์ตไม่ควรพลาดกับกีฬาสุดมันส์ สามารถร่วมเชียร์และส่งกำลังใจให้กับ 2 นักแข่งของมาสด้า ในรายการไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรี่ส์ สำหรับปี 2556 ซึ่งจะมีให้ร่วมลุ้นกันทั้งหมด 8 สนาม ซึ่งสำหรับสนามแรกที่ 1-2 ได้ผ่านจัดการแข่งขันไปแล้ว ซึ่งมาสด้าจะทีมลงทำการแข่งขันในสนามที่ 3-4 ของรายการจัดการแข่งขันเป็นสนามแรกสำหรับมาสด้า ในระหว่างวันที่ 17-18 สิงหาคมนี้ ที่สนามพีระ เซอร์กิต และสามารถลุ้นต่อได้ในส่วนของสนามที่ 5-6 วันที่ 5-6 ตุลาคม ที่สนามพีระ เซอร์กิต เช่นเดียวกัน ส่วนในสนามสุดท้ายซึ่งถือเป็นไฮไลท์เด็ดของการแข่งขัน นั่นคือการปิดถนนเลียบชายหาดบางแสน โดยจะจัดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 14-15 ธันวาคมนี้ หรือสามารถเข้าไปอัพเดรสความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/mazda2life
รายละเอียดเกี่ยวกับรถสปอร์ตมาสด้า2
ด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นสปอร์ตมาสด้า2 ด้วยรูปโฉมที่สปอร์ตตั้งแต่ดีไซน์ของกระจังหน้า กระจังหน้าส่วนล่าง ไฟหน้า กรอบไฟตัดหมอก ไฟท้าย และเส้นสายโฉบเฉี่ยวรอบคัน เสริมความสปอร์ตอีกขั้นด้วยชุดสปอร์ตของกันชนหน้า-หลัง สเกิร์ตข้าง สปอยเลอร์หลัง เครื่องยนต์ MZR ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOCH) 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1500 ซีซี 103 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ S-VT (Sequential Valve Timing) และระบบวาล์วควบคุมการไหลเวียนของไอดี TSCV (Tumble Swirl Control Value) ตอบสนองการขับขี่ทุกจังหวะความเร็วและแม่นยำ พวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า EPAS (Electric Power Assistance Steering) แม่นยำคุมได้ได้ตามสั่ง

สยามกลการอะไหล่ เอาใจสาวกรถแต่ง แสดงสินค้าอุปกรณ์ตกแต่ง เรซซิ่ง ในงาน “ บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต ซาลอน 2013 ”




บริษัท สยามกลการอะไหล่ จำกัด ร่วมออกบูธในงาน “ บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต ซาลอน 2013 ” โดยนำสินค้าไฮไลท์ “ โช้คอัพสมรรถนะสูง เควายบี (KYB) และ EXEDY RACING CLUTH อันดับหนึ่งจากสนามแข่ง ” ร่วมจัดแสดงกับ กลุ่มบริษัทในเครือสยามกลการ ได้แก่ ยีเอสแบตเตอรี่ (GS BATTERY) , ศูนย์ซ่อมบำรุงและดูแลรักษาสีรถยนต์ เอสแบรนด์(SBRAND) , และสปริงคามิย่า (KAMIYA) ภายในงานได้จัดกิจกรรมและโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษให้กับผู้เข้าชมงาน อย่างจุใจ ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เปิดตัวอีโค คาร์ ซีดาน “แอททราจ” ก้าวที่เหนือใคร Mitsubishi ATTRAGE ...Be Beyond


มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศพร้อมเปิดตัวมิตซูบิชิ แอททราจ อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “แอททราจ...ก้าวที่เหนือใคร” มาตรฐานใหม่ของรถอีโคคาร์ ซีดาน ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งาน และความสะดวกสบายที่เหนือใคร อีกทั้งยังให้ความสนุกในการขับขี่และการประหยัดน้ำมันที่เป็นเยี่ยมตามแบบ ฉบับของรถอีโค คาร์ พร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปด้วยราคาเริ่มต้นที่ 443,000 บาท กับข้อเสนอโบนัสพิเศษเงินคืน 10,000 บาท และฟรีประกันภัยชั้น 1 “ไดมอนด์ โปรเทคชั่น”  รวมทั้งมีสิทธิ์ ลุ้นรับแพคเกจทัวร์ประเทศญี่ปุ่น รวม 150 รางวัล พร้อมดึงพระเอกสุดฮอท “มาริโอ้ เมาเร่อ” และนางเอกสาว “คิมเบอร์ลี่” ร่วมสะท้อนตัวตนของกลุ่มเป้าหมาย

มร.โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเปิดตัวรถยนต์มิซูบิชิ “แอททราจ” อย่างเป็นทางการที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ 185 แห่งทั่วประเทศ สำหรับมิตซูบิชิ แอททราจเป็นรถยนต์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการ ที่หลากหลาย และจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับรถอีโคคาร์ ซีดานในเมืองไทย

“โอ้ชอบดีไซน์ของแอททราจที่ดูสปอร์ต และห้องโดยสารที่กว้างจนทำให้คนตัวสูงอย่างโอ้ยังรู้สึกนั่งสบายไม่อึดอัด ส่วนเรื่องสมรรถนะโอ้ว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือจะไป เที่ยวในวันหยุดก็สบายครับ ที่สำคัญรถคันนี้ประหยัดน้ำมันมาก” มาริโอ้ กล่าว
“มิตซูบิชิ เริ่มทำตลาดรถยนต์รถอีโค คาร์ ในเมืองไทย ด้วยการแนะนำ มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ ภายใต้โครงการโกลบอล สมอลล์ ในเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมาก่อนจะส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ทั้งประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย รวมไปถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียน และยุโรป รวมทั้งมีแผนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยปัจจุบันจำหน่ายไปแล้วกว่า 45 ประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าโดยมียอดขายรวมทั้งในและต่างประเทศ จนถึงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาแล้วกว่า 100,000 คัน”

“หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจากมิราจ ใหม่ “แอททราจ” จะเป็นรถยนต์นั่งรุ่นล่าสุดที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับสายผลิตภัณฑ์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส สำหรับแอททราจเป็นรถที่มีความคล่องตัวในการขับขี่ ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย และให้การประหยัดน้ำมันสูงสุดเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถอีโค คาร์ ซีดานในเมืองไทย ที่ให้ความคุ้มค่าจากทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่ครบ ครันและพละกำลังที่เพียงพอสำหรับการใช้งาน พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังได้มอบข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมให้กับลูกค้าที่จองรถในช่วงนี้ซึ่งนอกจากจะ ได้รับโบนัสพิเศษเงินคืน 10,000 บาท และฟรีประกันภัยชั้น 1 “ไดมอนด์ โปรเทคชั่น” แล้วยังมีสิทธิ์ลุ้นรับแพคเกจทัวร์ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย” มร.มูราฮาชิ กล่าว



มิตซูบิ แอททราจ ก้าวที่เหนือใคร
แอทราจ มาพร้อม 4 รุ่น ให้เลือก พร้อมราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้; รุ่น GLX เกียร์ธรรมดา และ GLX เกียร์อัตโนมัติมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานและความปลอดภัยครบครัน ในขณะที่รุ่น GLS มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับการขับขี่ในทุกวัน ส่วนรุ่น GLS Ltd. มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เหนือกว่าไม่ว่าจะเป็น เนวิเกเตอร์รุ่นล่าสุดพร้อมหน้าจอระบบสัมผัส กล้องมองหลัง ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย เบาะหนังและระบบความปลอดภัยครบครัน

โดดเด่นเหนือใคร ... แอททราจ มาพร้อมความโดดเด่นของรถยนต์นั่งขนาดเล็กเจนเนอเรชั่นใหม่จากการออกแบบส่วน หน้าให้สั้นลงช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่และง่ายต่อการควบคุมโดยมาพร้อม รัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 4.8 เมตร พร้อมการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่สมดุลกับพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่ กว้างขวางสะดวกสบาย และเส้นสายข้างตัวรถที่ปราดเปรียวจากด้านหน้าจรดท้าย


ไปได้ไกล เหนือใคร ... แอททราจมาพร้อมสมรรถนะการขับเคลื่อนที่เหนือ กว่าและอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 22 กิโลเมตร/ลิตร สูงสุดในรถระดับเดียวกันซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างตัวถังแบบ RISE body ตัวถังที่มีน้ำหนักเบาจากโครงสร้างเหล็กความแข็งแรงสูง High tensile steel การขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์น้ำหนักเบาขนาด 1.2 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ CVT และเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน 0.29 จึงให้การประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม


กว้างสบายเหนือใคร ... แอททราจสร้างความพึงพอใจในการขับขี่โดยให้ ความคล่องตัวและความปราดเปรียวจากน้ำหนักของรถที่เบาลง แต่ยังคงให้ความมั่นใจในการควบคุมและความสะดวกสบายในการขับขี่ อีกทั้งยังให้ความสะดวกสบายกับผู้โดยสารด้วยประตูที่กว้างขึ้นช่วยเพิ่มความ สะดวกในการเข้า-ออก รวมไปถึงพื้นที่นั่งและที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่กว้างและสะดวกสบาย ขึ้น

สะดวกสบาย เหนือใคร ... แอททราจทุกรุ่นมาพร้อมระบบอำนวยความสะดวกและปลอดภัยอัจฉริยะ ตามแบบฉบับของมิตซูบิชิ ETACs เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ พร้อมฟังก์ชั่นภายในห้องโดยสารที่เหนือกว่า รับรู้ได้ถึงความแตกต่างทั้งเบาะหนัง พวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และระบบความบันเทิงครบครัน

ปลอดภัยเหนือใคร ... ด้วยระบบความปลอดภัยได้มาตรฐานโลก ตัวถังของรถมิตซูบิชิ “แอททราจ” ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อความปลอดภัยสูงสุดได้มาตรฐานโลก ด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ RISE Body เอกสิทธิ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส และคานกันกระแทกด้านข้างที่ประตูทั้ง 4 บาน ที่เสริมความแข็งแกร่งด้วยส่วนรับแรงกระแทกจากเหล็กที่แข็งแรงเป็นพิเศษ “High Tensile Steel” จึงทำให้สามารถปกป้องแรงกระแทกจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจยิ่งกว่าด้วยระบบเบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติแบบคู่


ประเทศไทย ฐานการผลิตและส่งออก
ด้วยศักยภาพและความพร้อมของโรงงานมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ทำให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถมิตซูบิชิ แอททราจ เพื่อการส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ ภายหลังจากการแนะนำรถเป็นครั้งแรกในประเทศไทยแล้ว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีแผนจะทยอยเปิดตัวรถรุ่นดังกล่าวในภูมิภาคต่างๆ ต่อไป


มาริโอ้ เมาเร่อ และ คิมเบอร์ลี่ เป็นตัวแทนกลุ่มลูกค้า
จากบุคลิกที่โดดเด่นช่วยสะท้อนตัวตนของกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความ คิดที่ทันสมัย ฉลาดในการใช้จ่าย ทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงตัดสินใจเลือก “มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “คิมเบอร์ลี่ แอน เทียมสิริ” ดารานักแสดงชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ของมิตซูบิชิ แอททราจ โดยทั้งคู่จะมาร่วมถ่ายทอดมุมมองที่ชาญฉลาดในการเลือกซื้อรถคู่ใจเพื่อตอบ รับกับทุกไลฟ์สไตล์ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีของสัญญานั้น นอกเหนือจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับภาพยนตร์โฆษณาและสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ แล้ว มาริโอ้ เมาเร่อ และ คิมเบอร์ลี่ ยังจะได้ร่วมทำกิจกรรมของบริษัทฯ ในโอกาสต่างๆ อีกด้วย

ในขณะที่นางเอกสาวคิมเบอร์ลี่ กล่าวเสริมว่า “ถึงแม้จะเป็นรถอีโค คาร์ แต่แอททราจ กลับมีห้องโดยสารที่กว้างและมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบซึ่งคิมเชื่อว่า ผู้หญิงน่าจะชอบเพราะมีทั้งกล้องมองหลัง เนวิเกเตอร์ บลูธูท และกุญแจ KOS โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบราคากับสิ่งที่มีมาให้ถือว่าคุ้มค่าเกินราคา เหนือกว่ารถอีโค คาร์ ทั่วไปจริงๆ เห็นปุ๊ปคิมก็ตัดสินใจจองรุ่น GLS Ltd. สีฟ้าเลยค่ะ”

มั่นใจเต็มที่กับคุณภาพของการบริการหลังการขาย
ปัจจุบันบริษัทฯ มีโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐาน 186 แห่ง ทั่วประเทศ พร้อมพนักงานขายและช่างที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐานของบริษัท ที่พร้อมให้บริการลูกค้ารถยนต์มิตซูบิชิทุกท่าน พร้อมการจัดสำรองอะไหล่สิ้นเปลืองไว้ เพื่อให้สามารถรองรับจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการได้ทันท่วงที


เครือข่ายผู้จำหน่าย 185 แห่งทั่วประเทศ
ทั้งนี้จากนโยบายขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายของบริษัทฯ ทำให้ปัจจุบันมิตซูบิชิมีโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานที่เปิดให้บริการไป แล้วรวม 185 ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจากจำนวนโชว์รูมมาตรฐานที่เพิ่มขึ้นและครอบคลุมพื้นที่การขายดัง กล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการและการดำเนินงาน รวมทั้งสร้างความสะดวกสบายในการชื้อรถ ตลอดจนสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าที่เข้ารับบริการได้เป็นอย่างดี

โบนัสพิเศษ สำหรับลูกค้าคนพิเศษ
สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มิตซูบิชิ “แอททราจ” ทุกรุ่น 9,000 คันแรก รับราคาแนะนำช่วงเปิดตัวด้วยโบนัสพิเศษเงินคืน 10,000 บาท พร้อม ฟรีประกันภัยชั้น 1 “ไดมอนด์ โปรเทคชั่น”
จอง แอททราจ วันนี้ลุ้นเที่ยวญี่ปุ่นฟรี 5 วัน


สำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์มิตซูบิชิ แอททราจ ทุกรุ่น ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับแพคเกจทัวร์ประเทศญี่ปุ่น รวม 150 รางวัล มูลค่ารวม 15 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
เงื่อนไขการเข้าร่วมกิจกรรม สำหรับลูกค้าที่จองรถตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2556 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2556 และได้รับรถภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันจอง
รายละเอียดรางวัล แพคเกจทัวร์ประเทศญี่ปุ่น 5 วัน 3 คืน รวมทั้งสิ้น 150 รางวัล (รางวัลละ 2 ที่นั่ง)
การจับรางวัล วันที่ 14 ตุลาคม 2556
การประกาศรางวัล วันที่ 28 ตุลาคม 2556

กิจกรรมการขาย

- เปิดขายอย่างเป็นทางการที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ 185 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
- กิจกรรมโรดโชว์ในกรุงเทพและต่างจังหวัด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
- กิจกรรมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ที่พาร์คพารากอน วันที่ 4-7 กรกฎาคม
- เปิดขายอย่างเป็นทางการ กรกฎาคมเป็นต้นไป
- พร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า กรกฎาคมเป็นต้นไป

รับรู้ข่าวสาร “แอททราจ” ก่อนใคร


สำหรับผู้ที่สนใจสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับมิตซูบิชิ “แอททราจ” พร้อมร่วมกิจกรรมกับทางบริษัทฯ ผ่านทางเว็บไซต์ และ Fanpage ได้ที่;
- มิตซูบิชิ “แอททราจ” เว็บไซต์ : www.mitsubishimotors-attrage.com
- Facebook Fanpage : www.facebook.com/MitsubishiAttrage
· ชมและทดลองขับ มิตซูบิชิ “แอททราจ” ได้ที่ โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ 185 แห่งทั่วประเทศ
· มิตซูบิชิ Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 1800 900 009 หรือ โทร. 02-529-9500 ทุกวันจันทร์ - เสาร์ ระหว่างเวลา 8.30-17.00 น.
· เว็บไซต์ www.mitsubishi-motors.co.th


บ๊อชมั่นใจศักยภาพการเติบโตต่อเนื่อง ตอกย้ำ บ๊อช ประเทศไทยขุมกำลังสำคัญภูมิภาคอาเซี่ยน เร่งลุยนโยบายธุรกิจปี 2013 ชูนวัตกรรมเทคโนโลยีล่าสุด ผ่านฝ่ายธุรกิจใหม่ เทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม


กรุงเทพฯ, ประเทศไทย : โรเบิร์ต บ๊อช เผยตัวเลขปี 55 มียอดขายในประเทศไทยรวม 9,300 ล้านบาท ภูมิใจผลการดำเนินงานปี 55 เติบโตขึ้นอัตราร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อน เปิดตัวฝ่ายธุรกิจใหม่ เทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม (Drive and Control Technology) มั่นใจประเทศไทยมีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมเต็มพิกัด ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ๆ ในหลายธุรกิจเพื่อสนองตอบความต้องการของตลาด
นายปีเตอร์ แวนดลิค กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด (ประเทศไทย)  ผู้นำด้านเทคโนโลยีและบริการระดับโลกเปิดเผยว่า ในปี 2555 บ๊อชประเทศไทยมียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 9,300 ล้านบาท (222 ล้านยูโร) คิดเป็นอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยมีผลมาจากการลงทุนของ บ๊อช ในตลาดใหม่ๆ รวมถึงการขยายตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่ทำรายได้สูงสุดของบ๊อชในภูมิภาคเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ โดยมีสัดส่วนยอดขายมากกว่า ร้อยละ 30 ของยอดขายรวมภูมิภาคนี้
แม้ ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2555 จะเต็มไปด้วยความท้าทาย บ๊อชยังมั่นใจว่าการเติบโตในปี 2556 จะเกิดขึ้นและขยายตัวอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย นายแวนดลิค กล่าวเสริมว่า "กับความพยายามในการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กลับคืนมาและมุ่งเน้น ความเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยจะยังคงเป็นฐานที่มั่นสำหรับการเติบโตและการขยายตัวสำหรับธุรกิจ ของบ๊อช" ปัจจุบันบ๊อช ประเทศไทย มีพนักงานเกือบ 900 คน ทำงานในสำนักงาน 7 แห่งทั่วประเทศ และมีการเติบโตของพนักงานที่เพิ่มขึ้นสอดรับกับการเติบโตทางธุรกิจคิดเป็น เกือบร้อยละ 7

เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกหน่วยธุรกิจ
หน่วยงาน ธุรกิจต่างๆ ของ บ๊อช  มีการพัฒนาและสามารถทำยอดขายได้ดี โดยฝ่ายเทคโนโลยีระบบความร้อน  (Thermotechnology) สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นปีต่อปีสูงสุดมากกว่า 3 เท่า จากโครงการสำคัญๆในอุตสาหกรรมเคมี อาหารและเครื่องดื่ม ในขณะที่ฝ่ายอะไหล่รถยนต์  ฝ่ายขายชิ้นส่วนรถยนต์ ฝ่ายเครื่องมือไฟฟ้า และ ฝ่ายผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย  ล้วนมีตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักเช่นเดียวกันในปี 2555 

ขยายธุรกิจทั่วประเทศไทย
ใน ปี 2556 บ๊อช วางแผนขยายธุรกิจในประเทศไทยผ่านการเปิดฝ่ายธุรกิจใหม่ๆ การแนะนำผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่นใหม่ รวมถึงการขยายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ นายแวนดลิค เปิดเผยว่า "ล่าสุด บ๊อชได้เปิดสำนักงานขายแห่งใหม่ที่เชียงใหม่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลลูกค้าที่อยู่ในเขต 17 จังหวัดภาคเหนือได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่พันธกิจของบริษัทในการสนองตอบความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับองค์กร นอกจากนี้มีการวางแผนขยายธุรกิจไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้"

ฝ่ายเครื่องมือไฟฟ้า บ๊อชเตรียมรุกตลาดด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์มากขึ้นในปีนี้ ซึ่งรวมถึงการเปิดตัวของ ‘เดรเมล’ (Dremel) เครื่องมืออเนกประสงค์จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นรู้จักกันดีสำหรับมือ อาชีพ  ช่างฝีมือ ศิลปิน และผู้ที่ชื่นชอบงานประดิษฐ์ด้วยตนเองเพื่อเจาะตลาดเมืองไทย

ในส่วน ของฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัย  ได้เปิดตัวกล้องโทรทัศน์วงจรปิด รุ่นใหม่ “Starligtht” ที่ทำงานผ่านเว็บ และให้ภาพคมชัดแม้ในสภาพที่มีแสงน้อยมาก

สำหรับ ฝ่ายอะไหล่รถยนต์  ภายในปีนี้เตรียมแผนขยายศูนย์บริการบ๊อชสำหรับทั้งรถยนต์นั่งบุคคล และ รถเพื่อการพาณิชย์ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อให้ผู้ขับขี่รถยนต์ทั่วประเทศไทยเข้าถึงบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น

ใน เดือนเมษายน 2556 ฝ่ายเทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม (Drive & Control Technology) ได้ทำการเปิดสำนักงานและศูนย์บริการที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ. ชลบุรี ฝ่ายเทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม พร้อมนำเสนอโซลูชั่นและการประยุกต์ใช้งานแก่อุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศ รวมถึงบริการที่กว้างขวางครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย

เพื่อรองรับ การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และความต้องการรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บ๊อชเตรียมขยายการดำเนินงานในส่วนของการผลิตชิ้นส่วนประกอบยานยนต์เพื่อผลิต ส่วนประกอบของระบบการจัดการเครื่องยนต์ เช่น เซ็นเซอร์ และตัวกระตุ้นการทำงาน (actuator)

พัฒนาการด้านบุคลากรใหม่ๆ
บ๊อช ได้เตรียมแผนพัฒนาบุคลากร ผ่านโครงการฝึกงานและพัฒนาทักษะด้านเมคคาทรอนิกส์บ๊อช หรือ Bosch Mechatronics Apprenticeship Program (BMAP) ที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะความสามารถทางด้านวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ เครื่องกลสำหรับการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับนักศึกษาในระดับอาชีวศึกษาที่ มีศักยภาพ "จากการเติบโตทางธุรกิจของบ๊อชในประเทศไทย บ๊อชมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะและความสามารถเฉพาะเพื่อสนับสนุนและผลัก ดันให้เกิดการเติบโต โครงการ BMAP เป็นโครงการที่บ๊อชมุ่งมั่นในการยกระดับการศึกษาในระดับอาชีวศึกษาในประเทศ ไทย ให้มีทักษะความชำนาญที่เชี่ยวชาญขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมไทยในระยะยาว" นายแวนดลิคกล่าว

ภาพรวมธุรกิจบ๊อชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิก
ใน ปี  2555 กลุ่มบริษัทบ๊อชมียอดขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 29.4 พันล้านบาท (702 ล้านยูโร) ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน  และมีจำนวนพนักงานในภูมิภาคเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9 

นาย มาร์ติน เฮย์ส ประธานของบ๊อชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า "ปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดสำหรับบ๊อช และคาดหวังจะรักษาสัดส่วนการเติบโตนี้ไว้ และตั้งเป้าในปี 2556 จะสร้างการเติบโตขึ้นได้ในอัตราตัวเลขสองหลัก"

สำหรับภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก บ๊อชมียอดขายที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.6 คิดเป็นยอดขายรวมประมาณ  530 พันล้านบาท (12.6 พันล้านยูโร) โดยยอดขายในประเทศจีนและอินเดียสำหรับปี 2555 ไม่เคลื่อนไหวมากนักเมื่อเทียบกับปี 2554  และเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวในการเพิ่มสัดส่วนยอดขายของบ๊อชในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิค ให้เป็นร้อยละ 30 บ๊อชใช้เงินลงทุนในปี 2555 เท่ากับในปี 2554 หรือประมาณ  32.8 พันล้านบาท (780 ล้านยูโร)

การพัฒนาธุรกิจของกลุ่มบ๊อชในปี 2555 - 2556
ใน ปี 2555 กลุ่มบริษัทบ๊อชทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 คิดเป็นยอดขายรวมมูลค่ากว่า  2.2 ล้านล้านบาท (52.5 พันล้านยูโร) โดยมีกำไรก่อนหักภาษีมากถึง 118 พันล้านบาท (2.8 พันล้านยูโร) โดยในแต่ละส่วนธุรกิจมีพัฒนาการที่แตกต่างกันไป  ในปี 2555 ฝ่ายเทคโนโลยียานยนต์  ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของบ๊อช มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 คิดเป็นยอดขายรวมมูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท ( 31.1 พันล้านยูโร) ในส่วนของธุรกิจเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ยอดขายรวมเป็น 336 พันล้านบาท (8 พันล้านยูโร) และธุรกิจสินค้าอุปโภคและเทคโนโลยีสิ่งก่อสร้าง ทำยอดขายได้ถึง 562 พันล้านบาท (13.4 พันล้านยูโร) เพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 2.5

จำนวนพนักงานเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับการพัฒนาธุรกิจของบริษัทใน ช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 3,400 คน รวมพนักงานทั่วโลกกว่า  305,900  คน ด้านการลงทุน ในปี 2555    บ๊อชได้ใช้เงินลงทุนเพื่ออนาคตไปทั้งสิ้นกว่า 336 พันล้านบาท (8 พันล้านยูโร) โดยแบ่งเป็น 202 พันล้านบาท (4.8 พันล้านยูโร) สำหรับการวิจัยและพัฒนา และกว่า  134 พันล้านบาท (3.2 พันล้านยูโร) เป็นเงินลงทุนด้านสินทรัพย์ต่าง ๆ

สำหรับปี 2556 บ๊อชคาดว่ายอดขายทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2-4 นอกจากนี้มาตรการณ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงธุรกิจที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2555 เช่น การจำกัดค่าใช้จ่ายเงินลงทุน และการซื้อกิจการบริษัทจะถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง

บ๊อชจะยังคง ดำเนินงานตามกลยุทธ์หลักที่วางไว้อย่างจริงจังด้วยระบบสำหรับการคุ้มครองและ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัย บ๊อชเชื่อว่ายังมีช่องทางในการจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพอีกมาก ตลอดจนมีโอกาสด้านการขายในส่วนของการปรับปรุงแหล่งจ่ายพลังงาน การจัดการพลังงาน และฉนวนกันความร้อนของอาคารมากขึ้น เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556  บ๊อชได้ตั้งกลุ่มธุรกิจที่ 4 คือ กลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร โดยปรับรวมธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเฉพาะกลุ่มธุรกิจใหม่นี้ ทำยอดขายได้ประมาณ  210 พันล้านบาท (5 พันล้านยูโร) ในปี 2555

กลุ่มบริษัทบ๊อช คาดว่า ยอดขายจะยังคงเติบโตจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นประโยชน์ รูปแบบธุรกิจบนเว็บ และการขยายธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ  ในงานแถลงข่าวประจำปีของกลุ่มบริษัทบ๊อชในประเทศเยอรมนี ดร. โฟล์คมาร์  เดนเนอร์  ประธานคณะกรรมการบริหารของ  กลุ่มบ๊อช กล่าวว่า "เครือข่ายที่กว้างขวางของบ๊อชมีประโยชน์อย่างมากในยุคที่ชีวิตถูกเชื่อมต่อ เข้าด้วยกัน"

เกี่ยวกับบ๊อชในประเทศไทย
ประวัติของบ๊อชในประเทศ ไทยเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 ที่สินค้าบ๊อชได้เริ่มเข้าสู่ตลาดประเทศไทย  ด้วยคุณภาพ และความไว้วางใจต่อสินค้าบ๊อชทำให้ชื่อเสียงของบ๊อชเป็นที่รู้จักและเชื่อ ถือเป็นอย่างดีในประเทศไทย  ปัจจุบัน บ๊อชมี 3 หน่วยงานในประเทศไทยทำการบริหารและดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ของบ๊อช โดยมียอดขายรวมกว่า 9,300 ล้านบาท (222 ล้านยูโร)  และมีพนักงานรวมกว่า  900 คน ในปีพ.ศ. 2555   บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด รับผิดชอบธุรกิจของฝ่ายอะไหล่รถยนต์  เครื่องมือไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย เทคโนโลยีระบบความรร้อน  เทคโนโลยีขับเคลื่อนและควบคุม และ เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์   และมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง  รวมถึงโรงงานล่าสุดที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ที่ตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา เพื่อผลิตเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเคี้ยว
ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.bosch.co.th

เกี่ยวกับกลุ่มบริษัทบ๊อช
กลุ่ม บริษัทบ๊อชเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีและบริการชั้นนำของโลกในปีพ.ศ. 2555กลุ่มบริษัทบ๊อช มียอดขายรวมทั้งสิ้นกว่า2.2 พันล้านบาท (52.5 พันล้านยูโร) พนักงานรวมมากกว่า 306,000 คน  ณ ต้นปี พ.ศ. 2556 กลุ่มบริษัทบ๊อชได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจสำคัญได้แก่ กลุ่ม เทคโนโลยียานยนต์ กลุ่มเทคโนโลยีอุตสาหการ กลุ่มเทคโนโลยีพลังงานและอาคาร  และ สินค้าอุปโภค กลุ่มบริษัทบ๊อช ประกอบด้วยบริษัท Robert Bosch GmbH และบริษัทในเครืออีกกว่า 360 บริษัท รวมถึงสำนักงานระดับภูมิภาคในประเทศต่าง ๆ อีกกว่า   50ประเทศ ถ้ารวมถึงบริษัทพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายและให้บริการต่าง ๆ  บ๊อชมีตัวแทนในประเทศต่าง ๆ กว่า 150  ประเทศ เครือข่ายการพัฒนา การผลิต และการขายทั่วโลกดังกล่าวเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในปี 2555 บ๊อชใช้เงินมากกว่า202 พันล้านบาท(4.8  พันล้านยูโร) เพื่อการพัฒนาและวิจัย และยื่นขอจดสิทธิบัตรมากกว่า 4,800  ชิ้นทั่วโลก ผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดในกลุ่มบริษัทบ๊อชได้รับการออกแบบมาเพื่อพัฒนา คุณภาพชีวิต โดยการเสนอคำตอบที่ล้ำสมัยและเป็นประโยชน์ ไปพร้อมๆกับสิ่งที่น่าดึงดูดใจ ซึ่งเป็น “เทคโนโลยีเพื่อชีวิต”

ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.bosch.com หรือ www.bosch-press.com

ดูปองท์ รีฟินิช เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์” ตอกย้ำบริษัทผู้นำระบบสีพ่นรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก

กรุงเทพฯ  - - บริษัท ดูปองท์ รีฟินิช (ประเทศไทย) จำกัด เปลี่ยนชื่อบริษัทและโลโก้ จาก “ดูปองท์ รีฟินิช” เป็น “แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์” ชูสโลแกน “Built for performance” เสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน  

นายสิทธิศักดิ์ อนันตประยูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “บริษัท ดูปองท์ รีฟินิช (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้พัฒนา ผลิต และจำหน่ายสีพ่นรถยนต์ชั้นนำของโลก มากว่า 145 ปี จากการที่เราเดินหน้าเปลี่ยนโฉมแบรนด์และโลโก้ใหม่ ช่วยทำให้เอกลักษณ์และความโดดเด่นของแบรนด์ครอบคลุมขอบเขตการดำเนินงานธุรกิจโดยรวมทั้งหมด โดยโลโก้ของแบรนด์ใหม่จะเน้นชื่อ Axalta ให้โดดเด่น เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายสีพ่นรถยนต์ให้แก่ผู้ผลิตยานยนต์และอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งมีลูกค้าอยู่กว่า 120,000 รายใน 130 ประเทศทั่วโลก

บริษัทฯ ได้มีแนวทางในการสร้างแบรนด์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและภาพลักษณ์เดียวกันทั่วโลก ภายใต้ชื่อ “แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์” ในปี 2556 นี้ บริษัทฯ จึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก DuPont Refinish (ดูปองท์ รีฟินิช) เป็น Axalta Coating Systems (แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์) ภายใต้สโลแกน “Built For Performance”

นายมนตรี ค้ำโพธิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ยังกล่าวว่า “ธุรกิจที่อยู่ในตลาดสีพ่นยานยนต์ปัจจุบันต้องมีการปรับตัวและดึงกลยุทธ์ต่าง ๆ มาใช้ให้เหมาะสม จึงจะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ การสร้างแบรนด์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เกิดความจงรักภักดีในตรายี่ห้อถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่ช่วยสร้างรากฐานธุรกิจให้ยั่งยืนขึ้น นอกเหนือจากการที่บริษัทฯ มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และนวัตกรรมที่ทันสมัยตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเพื่อใช้งานให้มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง”

Axalta ได้มีการพัฒนาคุณภาพสีให้แก่ฐานลูกค้าที่มีความหลากหลาย และยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดในสี่ตลาดหลัก โดยบริษัทฯ จำหน่ายสีให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อผลิตชิ้นส่วนให้กับเจ้าของตราสินค้า หรือ OEMs ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และยังได้รับการรับรองการใช้งานของผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตอุปกรณ์ชั้นนำมากมาย โดยในตลาดสีพ่นรถยนต์ จะมีแบรนด์หลัก ๆ ได้แก่ Centari®, Cromax® Pro, Standox®, Spies Hecker® และ DuPont Refinish ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์ระดับโลก ส่งผลให้ Axalta กลายเป็นผู้ผลิตสีสำหรับศูนย์บริการซ่อมสีมาตรฐานรายใหญ่ที่สุดของโลก ส่วนลูกค้าที่อยู่ในภาคขนส่ง แบรนด์ Imron® ของ Axalta ก็ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตรถบรรทุกหนัก รถบรรทุกและรถพ่วง หัวรถจักร และรถไฟฟ้ารางเบา
 
ขณะที่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งมีตั้งแต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ Voltatex® ของ Axalta ไปจนถึงผู้ผลิตท่อน้ำมันและท่อก๊าซซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์ Nap-Gard® เพื่อป้องกันการกัดกร่อนและปกป้องสิ่งแวดล้อม ส่วนลูกค้าที่อยู่ในแวดวงสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน้าต่าง ประตู วัสดุหุ้ม ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ ต่างก็ใช้สีฝุ่นแบรนด์ Alesta® เพื่อให้ได้สีคุณภาพเยี่ยม ทนทานต่อการกัดกร่อน

ผลิตภัณฑ์ของ Axalta ช่วยเพิ่มผลผลิตโดยการลดเวลาในการพ่นสีรถยนต์ใหม่หรือพ่นสีรถยนต์เก่า โดยผลิตภัณฑ์สีไร้กลิ่นฉุนและสีสูตรน้ำที่มีหลากหลายที่ใช้ในโรงงาน OEMs และอู่พ่นสีรถยนต์อย่างแบรนด์      Cromax® Pro ยังมีคุณสมบัติในการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทั้งนี้สีพ่นรถยนต์ของ Axalta ยังสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยการปกป้องการกัดกร่อนและยืดอายุการใช้งานของวัสดุต่างๆ ตั้งแต่โครงรถยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ ไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องเล่นสำหรับสนามเด็กเล่น และเหล็กสำหรับการก่อสร้าง
บริษัท แอ็กซอลตา  โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมระบบสีโค้ทติ้งยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ Axalta Coating Systems โดยมุ่งมั่นในการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุด และมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งลูกค้าหรือผู้บริโภคสามารถวางใจในเรื่องคุณภาพและการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เยี่ยมชมเว็บไซต์ใหม่ของ Axalta ได้ที่ axaltacoatingsystems.com

บริดจสโตนแนะนำยางบริดจสโตน “ECOPIA” ยางมาตรฐานใหม่ เพื่อโลก เพื่อเรา



[กรุงเทพ] (5 กรกฎาคม 2556) – บริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ บริดจสโตน “ECOPIA” ใหม่ 2 รุ่น คือ “ECOPIA EP200” สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ “ECOPIA EP850” สำหรับรถยนต์เอนกประสงค์ (SUV)
ผลิตภัณฑ์ยางบริดจสโตน ECOPIA ยางมาตรฐานใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นยางรถยนต์ที่ผสานคุณสมบัติอันโดดเด่นเอาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งประหยัดน้ำมันและการขับขี่ที่ปลอดภัย รวมทั้งอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น ด้วยส่วนผสมพิเศษ ECOPIA COMPOUND ช่วยลดความต้านทานการหมุนของยาง ทำให้สามารถขับเคลื่อนในระยะทางที่ไกลกว่าโดยใช้ปริมาณพลังงานเท่าเดิม จึงช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ในขณะเดียวกัน ECOPIA ยังมีประสิทธิภาพเยี่ยม การขับขี่ที่ปลอดภัย สามารถควบคุมการขับขี่ และเบรกในสภาพถนนเปียกได้ดี เมื่อเทียบกับยางอื่นๆ รวมทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเพิ่มความคุ้มค่ายิ่งขึ้นอีกด้วย
ผลการทดสอบจากสมาคมเทคโนโลยีการขนส่งทางรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่นพบว่า
ผลิตภัณฑ์
ประหยัดน้ำมัน
อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนด์ไดออกไซด์
ECOPIA EP200
8.1 %*1
11.1 %*1
ECOPIA EP850
3.9 %*2
3.0 %*2


ด้วยคุณสมบัติและประสิทธิภาพของยางECOPIAบริดจสโตนมั่นใจว่าสามารถเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายไม่เฉพาะผู้ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ยังรวมถึงผู้ที่ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัย การประหยัดพลังงาน และความคุ้มค่าในการใช้งานอีกด้วย
สำหรับยางเพื่อสิ่งแวดล้อม ECOPIA EP200 มีให้เลือกถึง 19 ขนาด ตั้งแต่ขอบ 14-17 นิ้ว และ ECOPIA EP850 มีให้เลือกถึง 8 ขนาด ตั้งแต่ขอบ 15-17 นิ้ว จำหน่ายที่ศูนย์บริการค็อกพิท, ออโต้บอย, แอค และผู้แทนจำหน่ายยางบริดจสโตนทั่วประเทศ
ข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ติดต่อแผนกลูกค้าสัมพันธ์   โทร 0-2636-1555

*1 เปรียบเทียบกับยาง TURANZA AR10 ขนาด 195/65R15 รถยนต์ที่ใช้ในการทดสอบ TOYOTA Altis.
*2 เปรียบเทียบกับยาง DUELER H/L 683 ขนาด 225/65R17 รถยนต์ที่ใช้ในการทดสอบ HONDA CR-V
 ที่มา : สมาคมเทคโนโลยีการขนส่งทางรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น


เกี่ยวกับ บริดจสโตน
บริษัท  บริดจสโตน คอร์ปอเรชั่น มีสำนักงานใหญ่ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นบริษัทผลิตยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากการผลิตยางรถยนต์สำหรับการนำไปใช้ที่หลากหลายกวางขวางแล้ว ยังผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆที่หลากหลายครอบคลุมในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ยางอุตสาหกรรมและเคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์กีฬา ผลิตภัณฑ์ของบริดจสโตน มีจำหน่ายมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย  บริดจสโตนประสบผลสำเร็จในการเป็นผู้นำทางการตลาดยางรถยนต์ในปรเทศตลอดกว่า 44 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2512 โดยมีแนวทางการทำงาน คือ มุ่งมั่น ริ่เริ่ม สร้างสรรค์ คิดค้น วิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ในทุกๆ ด้านให้ดีที่สุดและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในประเทศ ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต การตรวจสอบควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอน นอกจากนี้บริดจสโตนยังส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกิจกรรมเพื่อสังคมให้สอดคล้องกับปรัชญาที่ยึดมั่นเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลกว่า “รับใช้สังคมด้วยคุณภาพที่เหนือกว่า” (Serving Society with Superior Quality)
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved