Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

2016 Volvo V60 Polestar


In 2014, Polestar introduced a new version of its souped-up V60, launching on four continents in more than seven markets, including the U.S. For 2016, only a few months after Volvo purchased the Polestar brand, the performance-oriented V60 returns to North America as limited-edition model.
According to a recent announcement by Volvo Cars of North America, only 265 V60 and S60 vehicles will be imported to the U.S. for the 2016 model year, 60 percent of which will be V60s. That’s around 160 wagons, which means U.S. allocation will sell out quickly, turning the V60 Polestar into an exclusive rig on these shores.
The V60 Polestar remains mostly unchanged for the 2016 model year, featuring the same drivetrain and long list of standard equipment, as well as over 70 alterations and upgrades Polestar made to the standard V60.
"This is a performance vehicle that combines Polestar’s racing experience with Volvo Cars’ exceptional ability to build everyday cars. It is a rare combination that is hard for others to duplicate successfully," said Lex Kerssemakers, President and CEO of Volvo Cars of North America.





Next-Gen Volvo V40 Coming To US

In today’s new-car market, it doesn’t seem that a luxury automaker can fully compete without a small vehicle in its lineup, and almost every major marque has entered the premium small-car segment in recent years – including Ford’s Lincoln brand with the introduction of the 2015 Lincoln MKC crossover. One notable omission from this list, however, is Volvo, which finds itself with an entire lineup of mid-size sedans, wagons andcrossovers.
According to a recent report, that could be changing, as Volvo finally seems ready to bring the V40 to the U.S, but before you get your hopes up about buying the compact station wagon anytime soon, it likely won’t happen until the car’s next generation. Volvo’s product life cycles tend to run a little longer than most luxury automakers, so following the introduction of the current 2013 Volvo V40 in 2012, it isn’t likely the next-gen model will be ready until closer to the end of this decade. Looking to the Chinese market, Volvo’s marketing chief Alain Visser said that an extended-wheelbase V40 is also on the table if that market shows strong enough demand.
Before the next-gen V40 does arrive, Volvo will be launching a hybrid version of the car to bolster the average fuel economy of its fleet. The hybrid will use a gasoline engine (rather than diesel), and Visser suggested that this car could eventually be developed for markets outside of Europe by saying that gasoline is the global focus and that’s where Volvo wants to play.

Volvo Considers New Small Car Family

Since the 2015 Volvo V40 has been off to a pretty good sales start, Volvo seems to be in the mood to expand its lineup in the small-car segment, with the next generation of theV40 to become a larger family of models. Work on the future small Volvos has already started at the new China Euro Vehicle Technology (CEVT) center that has been built in Gothenburg, Sweden.
The modular platform engineered by CEVT will be used for both Geely models and the V40 replacement, which will be accompanied by the 2020 Volvo XC40 compact crossover , and possibly by other models as well. According to Autocar, who had a look at the jobs currently availabale at CEVT, at least one hybrid powertrain will be found in the new architecture. Apparently, the models using the platform will be FWD or AWD, except the hybrid versions using an electrified rear axle, rendering them AWD-only.
On the Geely-side of the deal, it is not yet clear what kind of cars will use the new architecture, but the report says they will probably be aimed at European and Chinese markets. Either way, any new models based on the Volvo-Geely Geelyplatform created at CEVT are at least two and a half years away, so the XC40 will probably be the first. Strangely enough, the CEO of CEVT is Mats Fagerhag, who was the lead engineer for the now-dead Phoenix platform, which was supposed to underpin a new Saab lineup before the Swedish company ran into trouble.

Honda เปิดตัว Accord Hybrid ใหม่ ประหยัดน้ำมันสูงสุด 23.6 กม./ลิตร


 Honda  ประกาศเปิดตัว HONDA ACCORD HYBRID ใหม่ ทำงานด้วยระบบ Sport Hybrid i-MMD (Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive) แบบ Full Hybrid  ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Atkinson Cycle DOHC i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีมสำหรับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว และเกียร์ E-CVT พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนประสิทธิภาพสูง ให้สมรรถนะการขับขี่อันทรงพลัง ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด  ยังคงความโดดเด่นด้วยดีไซน์ ที่หรูหรา สง่างาม เพิ่มความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยไฟหน้า ไฟท้าย และกระจังหน้าตกแต่งด้วยเลนส์สี Clear Blue ภายในห้องโดยสารยังคงความสะดวกสบาย กว้างขวาง ให้ความเงียบสบายตลอดการเดินทางครบครันด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานระดับพรีเมี่ยม และเทคโนโลยีความปลอดภัยอันเหนือชั้น พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม ด้วย 2 รุ่น ราคาตั้งแต่ 1,659,000 – 1,899,000 บาท ตั้งเป้าการจำหน่าย 6,000 คันภายในหนึ่งปี
ในปี 2556 ฮอนด้า ได้เปิดตัว ฮอนด้า แอคคอร์ด เจนเนอเรชั่นที่ 9 และได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยด้วยยอดจำหน่ายสะสมกว่า 18,000 คัน (มี.ค. 56 – มิ.ย. 57) มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด และครองอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์นั่งประเภทครอบครัว ฮอนด้ามุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามพันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมเสมอมา พร้อมกับการสร้างสรรค์ยนตรกรรมให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น จึงได้ต่อยอดการพัฒนายานยนต์ที่ผสานเทคโนโลยีไฮบริดอันล้ำสมัย เพื่อความเป็นที่สุดแห่งความสมบูรณ์แบบของเทคโนโลยีไฮบริด”
ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายน 2556 และเปิดตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เมื่อเดือนตุลาคม 2556 ประเทศไทยจึงนับเป็นประเทศที่ 4 ในโลก ที่เปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด เป็นยนตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive หรือ i-MMD แบบ Full Hybrid ที่ล้ำสมัยที่สุด ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และให้อัตราการประหยัดน้ำมันสูงถึง 23.6 กิโลเมตรต่อลิตร* สูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์ระดับเดียวกัน นับเป็นนวัตกรรมไฮบริด ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด”
การเปิดตัว ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่นี้ นับเป็นการพลิกโฉมยนตรกรรมไฮบริดระดับพรีเมี่ยมด้วยองค์ประกอบที่เป็นที่สุดของการพัฒนายนตรกรรมที่จะเปลี่ยนทุกสิ่งให้เป็นได้ ได้แก่
นวัตกรรมไฮบริดอันล้ำสมัย ด้วยเทคโนโลยีระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ทำงานด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว Atkinson-cycle Double Over Head Camshaft (DOHC) i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม สำหรับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า ด้วยแรงบิดสูงสุด 165 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ให้กำลังสูงสุด 169 แรงม้า ด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 307 นิวตัน-เมตร เกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่ให้ประสิทธิภาพสูงในการชาร์จและจ่ายกระแสไฟได้ดีกว่า จึงสามารถขับขี่ได้ต่อเนื่องยาวนานในโหมดการขับขี่ด้วยไฟฟ้า นับเป็นระบบไฮบริดแบบ Full Hybrid ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา จึงให้สมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม และประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลการจ่ายไฟและชาร์จไฟของระบบไฮบริด (Power and Charge Meter) และสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Eco Coaching ระบบแสดงผลการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน รวมทั้งปุ่ม Econ Mode ที่ช่วยควบคุมการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และรองรับพลังงานทางเลือก E20
ระบบไฮบริดแบบอัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ได้ถึง 3 โหมด ดังนี้
1. โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) มอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และในขณะลดความเร็วจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดจากการลดความเร็วนั้นให้เป็นพลังงานไฟฟ้าและชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ ซึ่งในระบบนี้จะให้ทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และความเงียบเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง
2. โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) เป็นระบบขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์ และพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว มีอัตราเร่งที่ตอบสนองทันใจ และในขณะลดความเร็ว เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และชาร์จไฟกลับอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในขณะเร่งความเร็ว
3. โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) พลังขับเคลื่อนจะมาจากเครื่องยนต์ โดยชุดล็อกอัพคลัทช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ และส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงและแรงเสียดทานต่ำ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่

ภายนอก ยังคงความหรูหรา สง่างาม และเพิ่มความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยไฟหน้าแบบ LED ตกแต่งด้วยกรอบสีฟ้า ไฟท้ายแบบ LED และกระจังหน้าดีไซน์พิเศษตกแต่งด้วยเลนส์สี Clear Blue



ภายใน ห้องโดยสารยังคงความกว้างขวาง สะดวกสบาย ครบครันด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานระดับพรีเมี่ยม อาทิ ระบบสั่งการแบบอัจฉริยะ ที่ควบคุมระบบเครื่องเสียง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย และข้อมูลรถยนต์ผ่านหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7.5 นิ้ว พร้อมด้วยพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นที่ให้การควบคุมระบบต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย และปุ่มควบคุมแบบ Interface Dial

เพิ่มความมั่นใจกับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ G-Force Control (G-CON) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ ระบบถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual i-SRS) ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ (i-Side Airbag) ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags) และฟังก์ชั่นใหม่ล่าสุด เสียงเตือนคนภายนอกรถ ขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS) โดยระบบจะส่งเสียงเตือนผู้ที่อยู่ภายนอกรถสามารถรับรู้ว่ามีรถเคลื่อนตัวอยู่ในระยะใกล้ ซึ่งมีอยู่ในฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ทุกรุ่น นอกจากนี้ ยังเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบเตือนการชนด้านหน้าด้วยเรดาห์พร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Brake System: CMBS) และระบบไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติ (Active Cornering Light)


10 เคล็ดลับขับปลอดภัยเมื่อน้ำท่วม

กรุงเทพฯ – ถึงแม้หลายภาคของประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้ง แต่พายุฝนรุนแรงก็มักเกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงมรสุม ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมขัง
ความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เพิ่มสูงขึ้น สภาปฏิรูปแห่งชาติระบุว่าแผ่นดินในกรุงเทพฯ มีอัตราการทรุดตัวเฉลี่ย 10 มม. ต่อปี ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงน้ำท่วมขังเพิ่มมากขึ้นในช่วงฤดูฝน
CHEVROLET แนะนำ 10 เคล็ดลับการขับขี่ผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขัง
  • ถ้าเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่บนถนนที่มีน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำสูงเกินกว่าขอบทาง
  • ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรปิดแอร์และเปิดหน้าต่าง การขับขี่บนถนนที่มีน้ำท่วมขังขณะเปิดแอร์อาจทำให้เครื่องยนต์ดับ เนื่องจากพัดลมจะทำงานและทำให้น้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับ พัดลมก็จะหมุนรับเศษขยะที่ลอยมาตามน้ำซึ่งจะทำให้พัดลมเสียหายได้ นำไปสู่ปัญหาความร้อนของเครื่องยนต์ที่สูงเกินไป
  • ควรหลีกเลี่ยงการขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังสูงกว่ากึ่งกลางของล้อรถ สำหรับรถเอสยูวีและรถกระบะขนาดใหญ่อย่างเชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์และโคโลราโดสามารถแล่นผ่านถนนที่มีน้ำท่วมสูงได้ แต่ควรตรวจสอบว่ารถของคุณสามารถขับขี่ผ่านระดับน้ำได้สูงเท่าใด
  • ขอให้แน่ใจว่าคุณขับอยู่บนถนนและถนนไม่มีความเสียหายใดๆ หรือถนนขาด ขณะเดียวกันควรเพิ่มความระมัดระวังเมื่อขับขี่บนถนนที่ไม่คุ้นเคยเนื่องจาก อาจมีหลุมที่ลึกเกินกว่าที่รถจะผ่านไปได้ ผู้ขับขี่สามารถจอดรถก่อนถึงบริเวณที่มีน้ำท่วมขังและสังเกตรถคันอื่นว่า สามารถขับผ่านไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
  • ควรขับรถบนกึ่งกลางหรือใกล้กับกึ่งกลางของถนน เนื่องจากระดับน้ำจะต่ำที่สุด ใช้เกียร์ต่ำและรอบเครื่องยนต์สูง ใช้เกียร์หนึ่งหรือเกียร์ “L” ขึ้นอยู่กับประเภทของเกียร์ ควรรักษาความเร็วให้คงที่และไม่เร่งอย่างรุนแรงเกินไป เนื่องจากอาจทำให้น้ำทะลักเข้าสู่เครื่องยนต์และชิ้นส่วน อิเลกทรอนิก ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับ ขณะเดียวกัน ไม่ควรถอนคันเร่งและหลีกเลี่ยงการหยุดรถบนถนนที่มีน้ำท่วมขัง
  • ควรขับรถเข้าสู่บริเวณน้ำท่วมด้วยความเร็วไม่เกิน 3 กม./ชม. และเพิ่มความเร็วเป็น 6 กม./ชม. เมื่อต้องขับผ่านน้ำท่วม ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นน้ำด้านหน้าและลดระดับน้ำโดยรอบห้องเครื่องยนต์ลง ช่วยลดความเสี่ยงที่น้ำจะไหลเข้าสู่ที่กรองอากาศและสร้างความเสียหายต่อระบบ ไฟฟ้าและชิ้นส่วนต่างๆ หากใช้ความเร็วมากกว่านี้จะทำให้น้ำไหลผ่านกระจังหน้าเข้าสู่ห้องเครื่อง ยนต์ได้
  • ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควรหรือขับรถผ่านบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ทีละคันเพื่อป้องกันการหยุดรถกลางทาง หากรถคันหน้าชะลอความเร็ว ควรระมัดระวังว่าไม่มีรถที่ขับมาจากเส้นทางอื่นเนื่องจากคลื่นของน้ำอาจท่วม รถได้โดยเฉพาะถ้ารถคันอื่นใช้ความเร็วสูงเกินไป
  • เมื่อขับรถออกจากบริเวณที่มีน้ำท่วม ควรย้ำเบรกอย่างนุ่มนวลเป็นระยะ หากผู้ขับขี่มีทักษะสามารถใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกได้ เมื่อรู้สึกว่าเบรกจับตัวแล้วให้กลับมาขับตามปกติ
  • หลังจากขับผ่านน้ำท่วมขังมาแล้ว ควรล้างทำความสะอาดรถโดยเฉพาะใต้ท้องรถและล้อ ล้างเศษหญ้า ใบไม้และสิ่งสกปรกออกให้หมดเนื่องจากอาจติดไฟได้ นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเนื่องจากน้ำอาจรั่วซึมเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์ ควรล้างทำความสะอาดพรมปูพื้นเพื่อป้องกันเชื้อรา ตรวจสอบลูกปืนและทุกระบบของตัวรถ หรือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อให้ช่างเทคนิคตรวจสอบตัวรถโดยละเอียด
  • ถ้าต้องขับรถผ่านน้ำท่วมขังบ่อยครั้ง ควรใช้รถกระบะหรือรถอเนกประสงค์เอสยูวีที่มีความสูงมากกว่ารถยนต์ทั่วไป นอกจากนี้ ท่อไอดีและท่อไอเสียของรถกระบะและรถเอสยูวียังสามารถปรับเพิ่มความสูงได้ถ้า จำเป็นต้องขับผ่านน้ำท่วมขังที่สูง 1 เมตร ท่อไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซลสามารถทำงานขณะอยู่ใต้น้ำได้ แต่ท่อไอเสียของเครื่องยนต์เบนซินไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากมีแรงดันน้อย กว่า

มิตซูบิชิ เปิดตัว “ปาเจโร่ สปอร์ต ใหม่ 2015”



มร.เทะสึโระ อาอิคาวะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วย มร.โมะริคาซุ ชกคิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานแถลงข่าวแนะนำรถยนต์ มิตซูบิชิ “ปาเจโร สปอร์ต ใหม่”อย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลกกับสื่อมวลชนในเมืองไทยในงาน “มหกรรมของยานยนต์เพื่อขายแห่งชาติ : Bangkok International Grand Motor Sale 2015 (BIG Motor Sale)” ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคม 2558 นี้ ณ ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ในฐานะรถยนต์เอสยูวีแบบออฟโรดขนาดกลาง ซึ่งมีพื้นฐานมาจากรถกระบะตั้งแต่ปี 2539 และเปิดตัว มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต เจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่างเป็นทางการในปี 2551 ที่ผ่านมา โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั่วโลกด้วยการออกแบบแนวสปอร์ต สมรรถนะที่รองรับการขับเคลื่อนแบบออฟโรดที่ถ่ายทอดมาจากมิตซูบิชิ ปาเจโร และให้ความสะดวกสบายอย่างรถยนต์นั่ง รวมไปถึงมีฟังก์ชั่นการทำงานที่เหนือระดับและเป็นรถที่ไว้วางใจได้ โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมารถรุ่นดังกล่าวมียอดขายในกว่า 90 ประเทศทั่วโลกแล้วกว่า 400,000 คัน
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ มาพร้อมแนวคิดของการออกแบบเพื่อให้เป็น รถยนต์เอสยูวีแบบออฟโรดที่ทันสมัยและให้ความสะดวกสบาย” ด้วยนิยามใหม่ Designed for Perfection : ที่สุดของความสมบูรณ์แบบ” ที่ครบครันด้วยฟังก์ชั่นการทำงานของรถยนต์เอสยูวีแบบออฟโรดที่ถ่ายทอดมาจาก “ปาเจโร” พร้อมการออกแบบภายนอกใหม่ทั้งหมด มีสมรรถนะที่โดดเด่น และความสะดวกสบายของห้องโดยสาร รวมถึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้นอีกทั้งยังมีระบบความปลอดภัยอัจฉริยะที่ครบครันสามารถรองรับกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหายนตกรรมที่มีความหรูหรามากยิ่งขึ้น สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ด้วยความปลอดภัยยิ่งกว่า และให้ความสะดวกสบายมากที่สุด ซึ่งจะมาเปลี่ยนทุกความเชื่อแบบเดิมๆ เกี่ยวกับรถยนต์อเนกประสงค์ที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ ด้วยการใส่ใจและพิถีพิถันในทุกรายละเอียดของการพัฒนา พร้อมเติมเต็มอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดเข้าไว้ด้วยกัน จนทำให้ได้มาซึ่งยนตกรรมที่ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ทันสมัย” “เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ และความหรูหราสะดวกสบาย
“ผมมั่นใจว่า มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักที่จะมาสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับบริษัทฯ จะสามารถสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้อีกครั้ง รวมทั้งช่วยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ภายหลังจากการเปิดตัวในงาน BIG Motor Sale พร้อมเปิดรับจองที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิ 220 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บริษัทฯ จะสามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป มร.ชกคิ กล่าว

(1) ภาพรวมของผลิตภัณฑ์ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ “รถยนต์เอสยูวีแบบออฟโรดที่ทันสมัยและให้ความสะดวกสบาย” เพื่อที่สุดของความสมบูรณ์แบบ “โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ทันสมัย” “เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ” และ “ความหรูหราสะดวกสบาย” สามารถตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า
  • โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ทันสมัย
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ โดดเด่นด้วยการออกแบบด้านหน้าในสไตล์ “ไดนามิก ชิลด์” (Dynamic Shield) เอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์มิตซูบิชิที่จะถูกนำมาใช้กับรถยนต์มิตซูบิชิในตระกูล ปาเจโร รุ่นต่อๆ ไปในอนาคต ด้วยการออกแบบที่ทันสมัยให้ทั้งความสปอร์ตและความปราดเปรียวเหนือกว่ารถยนต์อเนกประสงค์ทั่วไป ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยการออกแบบคอนโซลกลางแบบทีเชพ-ไฮคอนโซล (T-Shape High Console) อย่างรถยนต์เอสยูวีหรู พร้อมการตกแต่งแบบสีเงินซิลเวอร์ เดคคอเรชั่น และการออกแบบเบาะนั่งใหม่ที่ช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับห้องโดยสารมากยิ่งขึ้น
  • เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ
ให้ความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะที่ครบครัน ด้วยแชสซีส์เหล็กกล้าและโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE Body เอกสิทธิ์เฉพาะจากมิตซูบิชิ ถุงลมนิรภัย SRS 7 ตำแหน่ง รวมไปถึงระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM – Forward Collision Mitigation System) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW – Blind Spot Warning) ซึ่งติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถยนต์มิตซูบิชิ และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (UMS-Ultrasonic misacceleration Mitigation System) นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกอีกมากมายที่เหนือกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน อาทิ ระบบเบรกมือควบคุมด้วยไฟฟ้า (ติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถยนต์มิตซูบิชิ) รวมไปถึงกล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ (Multi-around Monitor) ซึ่งทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ และระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า
  • ความหรูหราสะดวกสบาย
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ได้รับการปรับระบบช่วงล่างและออกแบบจุดยึดตัวถังใหม่จึงให้ความนุ่มนวลในการขับขี่และการทรงตัวที่เป็นเยี่ยม อีกทั้งช่วยให้การควบคุมรถทำได้ดีขึ้น รวมทั้งมีห้องโดยสารที่เงียบขึ้นจากการติดตั้งและเพิ่มวัสดุซับเสียงตามจุดต่างๆ ภายในห้องโดยสาร ประกอบกับเบาะนั่งที่ได้รับการออกแบบใหม่ (ergo seat design) ให้โอบรับกับสรีระของผู้นั่งมากยิ่งขึ้น และระบบควบคุมอุณหภูมิภายในรถที่ให้ความเย็นสบายในทุกตำแหน่งที่นั่งจึงให้ความสะดวกสบายสูงสุดตลอดการเดินทาง
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล ใหม่ รหัส 4N15  ไมเวค คลีนดีเซล อลูมินัม อัลลอย บล็อก ขนาด 2.4 ลิตร ครั้งแรกกับการติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 สปีดที่พัฒนาขึ้นใหม่สำหรับ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ มาพร้อมสปอร์ตโหมดและทำงานควบคู่กับระบบตัดกำลังไปยังเพลาขับโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรก (INC: Idle Neutral Control) และระบบ G-SENSOR จึงให้การประหยัดน้ำมันมากขึ้นถึง 17% เมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังปล่อยค่ามลพิษที่ต่ำกว่า 200 กรัม / กิโลเมตร ผ่านเกณฑ์การปล่อยค่ามลพิษภายใต้โครงสร้างภาษีใหม่ที่จะประกาศใช้ในเดือนมกราคม 2559 นี้
มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมระบบ Super Select 4WD–II เทคโนโลยีสำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ เอกสิทธิ์เฉพาะของมิตซูบิชิที่สมบูรณ์แบบด้วยโหมดขับเคลื่อนแบบออฟโรดที่สามารถเลือกรูปแบบการส่งกำลังเครื่องยนต์ให้เหมาะกับสภาพพื้นผิวและเส้นทางในการขับขี่ได้มากถึง 4 รูปแบบ รวมไปถึงระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control System) ที่ติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถมิตซูบิชิ จึงช่วยให้รถสามารถขับเคลื่อนผ่านเส้นทางที่ทุรกันดารได้เป็นอย่างดี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นฟังก์ชั่นที่มีเฉพาะในรถยนต์มิตซูบิชิตระกูล “ปาเจโร” เท่านั้น
ยึดไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกไปยังนานาประเทศทั่วโลก
สำหรับ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ จะถูกผลิตจากโรงงานแห่งที่ 2 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ทั้งนี้ภายหลังจากการแนะนำอย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลกในเมืองไทย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น มีแผนจะส่ง มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ไปจำหน่ายยังออสเตรเลีย ประเทศในกลุ่มอาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา ละตินอเมริกา รัสเซีย และประเทศต่างๆ มากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
รองรับความต้องการลูกค้าด้วยเครือข่ายผู้จำหน่าย 220 แห่งทั่วประเทศ
ปัจจุบัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานทั้งสิ้น 220 แห่งทั่วประเทศ พร้อมพนักงานขายและช่างที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐานของบริษัทฯ ที่ยินดีให้บริการลูกค้ารถยนต์มิตซูบิชิทุกท่าน ทั้งนี้บริษัทฯ มั่นใจว่าจากจำนวนโชว์รูมมาตรฐานที่ครอบคลุมพื้นที่การขายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการและการดำเนินงานรวมทั้งสร้างความสะดวกสบายในการชื้อรถ ตลอดจนสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าที่เข้ารับบริการได้เป็นอย่างดี โดยในส่วนของการรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ มาพร้อมการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) และระยะเวลาการใช้คูปองเช็คระยะ ฟรีค่าแรงในการบำรุงรักษารถตามระยะสูงสุดไม่เกิน 5 ปีหรือ 100,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)
โดดเด่นอีกขั้นด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งแท้จากมิตซูบิชิ
เพื่อตอกย้ำแนวคิดของการออกแบบเพื่อให้เป็น รถยนต์เอสยูวีแบบออฟโรดที่ทันสมัยและให้ความสะดวกสบาย”ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จึงได้แนะนำอุปกรณ์ตกแต่งที่มีคุณภาพและสะท้อนความแข็งแกร่งของ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ซึ่งได้รับการออกแบบเฉพาะจากนักออกแบบของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดยมีให้เลือกทั้งชุดตกแต่งภายนอกและชุดตกแต่งภายในสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบความโดดเด่นไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังมั่นใจได้ถึงคุณภาพที่ได้มาตรฐาน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการรับประกันชุดอุปกรณ์ตกแต่งนาน 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกท่านอีกด้วย


Honda HR-V สเปคยุโรป


Honda  แบรนด์รถชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นนั้นล่าสุดได้เปิดตัวสเป็คอย่างเป็นทางการของ “all-new HR-V crossover” ในยุโรปเรียบร้อยแล้วโดยจะเปิดตัวพร้อมเครื่องยนต์ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล
สำหรับรถแบบ Honda HR-V จะมีออฟชั่นให้ลูกค้าเลือก ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลแบบ i-DTEC ขนาด 1.6 ลิตรและเบนซินแบบ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตรโดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีประหยัดน้ำมันรุ่นใหม่แบบ  Honda’s advanced Earth Dreams Technology
Honda ตั้งใจจะทำรถแบบ HR-V ให้ประหยัดน้ำมันและปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศให้น้อยที่สุด ซึ่งระบบเครื่องยนต์ดีเซลของพวกเขานั้นครองแชมป์เรื่องของการประหยัดอยู่นานแล้ว โดยมีอัตราการกินเชื้อเพลิงที่ 4.0 ลิตร/100 กิโลเมตร (70.6 mpg UK หรือ 58.8 mpg US) และปล่อย Co2 แค่ 104 กรัม/กิโลเมตร
นั่นทำให้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.6 ลิตรแบบใหม่ของพวกเขาให้กำลังมากถึง  120PS (118 แรงม้า) ส่งผลให้เจ้ารถแบบ HR-V นั้นทำความเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (62 ไมล์) ภายในเวลา 10.1 วินาที
ต่อมาคือเครื่องยนต์แบบ  1.5 ลิตร i-VTEC เบนซินที่ให้กำลัง  130PS (128 แรงม้า) มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ 5.2 ลิตร/100 กิโลเมตร (54.3 mpg UK หรือ 45.2 mpg US)  และปล่อย Co2 แค่ 120 กรัม/กิโลเมตรเท่านั้น
และเมื่อใช้งานกับเกียร์กระปุกธรรมดานั้นรถแบบ  HR-V  จะมีอัตรากินเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่  5.6 ลิตร/100 กิโลเมตร (50.4 mpg UK หรือ 40 mpg US) เท่านั้นและปล่อย Co2 แค่ 130 กรัม/กิโลเมตร ทำความเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (62 ไมล์) ภายในเวลา 10.9 วินาที
Honda HRV รุ่นใหม่นั้นจะมีขนาดความจุกว้างกว่าเดิมมีขนาดภายในทั้งสิ้น 453 ลิตร (16 คิว) และเมื่อนำเบาะด้านหลังออกจะมีพื้นที่ 1,026 ลิตร (36.2 คิว) ซึ่งกว้างมากกว่ารถแบบ SUV รุ่นก่อนๆที่ทำให้เก็บของได้เยอะกว่า
ในส่วนของไฮไลท์ได้แก่เทคโนโลยีแบบ “Honda Connect in-car infotainment system”  ซึ่งจะมีทั้งเรดาร์และกล้องหลายตัวที่ทำให้มีความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้น

NISSAN เปิดตัว NP300 NAVARA Single Cab ใหม่ โครงสร้างแข็งแกร่ง สู้งานหนัก

– ชูจุดเด่น ครั้งแรกกับกล้องมองหลังและที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้างเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
กรุงเทพมหานคร (วันที่ 28 มกราคม 2558) : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว  รถกระบะเอ็นพี 300 นาวารา รุ่น ซิงเกิ้ลแค็บ ใหม่ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สมรรถนะเหนือชั้น แข็งแกร่งด้วยโครงสร้างพิเศษเพื่อรองรับงานหนัก ครั้งแรกในตลาดรถกระบะตอนเดียวที่ติดตั้งกล้องมองหลังและที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้างเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน  พร้อมเพิ่มทางเลือกด้วยเครื่องยนต์เบนซินในทุกแบบตัวถัง
นายประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า “หลังจากที่นิสสัน ได้เปิดตัว  นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อปีที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซปต์  แกร่งเกินคาด ฉลาดเกินใคร    นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และเพื่อตอบสนองความพึงพอใจและการใช้งานของลูกค้า พร้อมตอกย้ำชื่อเสียงอันยาวนานด้านสมรรถนะพันธุ์แกร่งของนิสสัน    ในปีนี้ บริษัทฯ จึงได้เปิดตัว นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ในรุ่นซิงเกิ้ลแค็บ และเปิดตัวเครื่องยนต์เบนซินในกระบะนาวารา ใหม่ ในทุกแบบตัวถัง”
เครื่องยนต์ดีเซล
เครื่องยนต์เบนซิน
นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ซิงเกิ้ลแค็บ ใหม่  มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร คอมมอนเรล 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังแรงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 403 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ ระบบหัวฉีดมัลติพอยท์ ให้กำลังแรงสูงสุด 169 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 241 นิวตันเมตร โดยทั้งสองเครื่องยนต์ยังมาพร้อมกับระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด เหมาะกับทุกสภาพการใช้งาน ทั้งสมรรถนะการขับขี่และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ได้รับการพัฒนาให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมสูงสุดถึง 22 %
นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา นับเป็นปิคอัพพันธุ์แกร่ง  เท่ คุ้มค่า และฉลาดเหนือชั้น ที่สร้างความมั่นใจด้วยโครงสร้างเหล็กกล้าไร้รอยต่อ รองรับน้ำหนักบรรทุกได้ในปริมาณมาก  และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้านความสะดวกสบายยิ่งขึ้น นิสสันยังติดตั้งกล้องมองหลัง และที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้างโดยเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ได้รับการติดตั้งจากโรงงานในทุกรุ่น (ยกเว้นรุ่นแชสซีส์แค็บ) “ถือเป็นครั้งแรกของกลุ่มตลาดกระบะตอนเดียว  ที่มีการติดตั้งกล้องมองหลัง และติดตั้งที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้าง ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น”
กล้องมองหลังจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและเพิ่มความปลอดภัยในขณะถอยจอด  
โดยเฉพาะเมื่อของที่บรรทุกบดบังทัศนวิสัยในการขับขี่
และที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้างบันไดติดตั้งเพิ่มในรถรุ่นนี้  
จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น เมื่อต้องขนถ่ายสัมภาระจากด้านท้ายรถ


NISSAN NP300 NAVARA Single Cab ใหม่  ได้รับการออกแบบห้องโดยสารให้มีความสะดวกสบายด้วยพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง เบาะนั่งที่ออกแบบเพื่อช่วยให้อยู่ในท่านั่งที่สบาย พร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆอย่างครบครัน


ปอร์เช่ ขนทัพรถสปอร์ตสุดหรู ร่วมงาน BIG Motor Sale 2015

กรุงเทพฯ. ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านพบกับสุดยอดยนตกรรมจากค่ายรถยนต์ปอร์เช่ภายในงาน Bangkok International Grand Motor Sale 2015 หรือ BIG Motor Sale 2015 มหกรรมยานยนต์เพื่อขายที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ระหว่างวันที่ 1 – 9 สิงหาคม 2015 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ซึ่งในครั้งนี้      เอเอเอสฯ ขนทัพยนตกรรมสปอร์ตที่ไม่ได้เป็นแค่รถยนต์ในคลาสหรู แต่ยังมาพร้อมกับความคุ้มค่าในทุกการขับขี่ อาทิ ปอร์เช่ มาคันน์ (Macan), พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Panamera S E-Hybrid), คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด       (Cayenne S E–Hybrid) มากไปกว่านั้นยังเตรียมข้อเสนอและแคมเปญสุดพิเศษที่พลาดไม่ได้สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ปอร์เช่จากเอเอเอสฯ ภายในงานนี้เท่านั้น
ข้อเสนอสุดพิเศษเมื่อซื้อรถยนต์ปอร์เช่จากเอเอเอสฯ ภายในงาน
เริ่มต้นด้วยแคมเปญผ่อนเงินจอง 0% นาน 10 เดือนสำหรับบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย
มากกว่านั้น เอเอเอสฯ ขอมอบบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 100,000 บาท
พร้อมการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี นาน 9 ปี (9 years Factory Warranty)
การบริการดูแลและบำรุงรักษารถยนต์ปอร์เช่ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ นาน 4 ปี
(4 years Free Service Package)
รวมถึงรับจดหมายรับประกันการนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
มาคันน์ (Macan) ใหม่ล่าสุด รถสปอร์ตอเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็ค (Compact SUV) จากปอร์เช่ ผู้นำมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ในกลุ่มนี้ ด้วยความคล่องตัวและความสนุกสนานในการขับขี่ ทุกๆ สภาวะของถนนด้วยการขับเคลื่อนที่  โดดเด่นแต่แรกเห็น ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม ประสิทธิภาพการเบรกที่ทรงพลัง และรูปลักษณ์ภายนอกยังคงเส้นสายความเป็นสปอร์ต โดดเด่นด้วยด้านข้างตกแต่ง Slide Blades สี Lava Black ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น เครื่องยนต์ Bi-Turbo ขนาด 2 ลิตร 4 สูบ เบนซิน มาพร้อมกับ Turbocharging อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำเพียง 13.88 กิโลเมตร/ลิตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 233 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด Porsche Doppelkupplung (PDK) ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลก สามารถตอบสนองผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัวทั้งในด้านสมรรถนะที่มีประสิทธิภาพ ความสะดวกสบายในการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันและสนุกสนานในทุกการขับขี่ อีกทั้งประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมให้ท่านครอบครองด้วยราคาเพียง 5.99 ล้านบาทเท่านั้น 
พานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Panamera S E-Hybrid) รถสปอร์ตซาลูนสุดหรูที่มาพร้อมความคุ้มค่า ด้วยสมรรถนะสูง     แต่ยังคงความเป็นสปอร์ต รถยนต์ไฮบริดที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ครบครันด้วยความสะดวกสบายอย่างไร้ที่ติ สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 36 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพียง 32 กิโลเมตร/ลิตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 5.5 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุด 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟด้วยกระแสไฟบ้านได้ในเวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมง พร้อมให้ท่านครอบครองด้วยราคา 10.25 ล้านบาทเท่านั้น
คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E–Hybrid)  รถสปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) ระดับพรีเมี่ยมคันแรกของโลกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี แบตเตอรี่แบบความดันสูงสามารถชาร์จพลังงานผ่านอุปกรณ์ชาร์จหรือชาร์จระหว่างที่รถกำลังขับเคลื่อนได้ และอีกหนึ่งจุดที่โดดเด่นคือเบรกคาลิปเปอร์สีเขียว Acid ที่มาพร้อมกับคำว่า “Porsche” อย่างโดดเด่นสะดุดตา สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลถึง   18-36 กิโลเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 5.9 วินาทีเท่านั้น ด้วยความเร็วสูงสุด 243 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมให้ท่านครอบครองด้วยราคา 7.99 ล้านบาทเท่านั้น
และพลาดไม่ได้สำหรับนักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบในสินค้า Accessories ของรถยนต์ปอร์เช่ เพราะในงานนี้เอเอเอสฯได้นำสินค้าและของที่ระลึกต่างๆ จาก Porsche Driver’s Selection คอลเลคชั่นใหม่ ซึ่งได้รับการออกแบบตามแบบฉบับของความเป็นปอร์เช่ อาทิ โมเดลรถ เสื้อT-Shirt เสื้อโปโล หมวก พวงกุญแจและอีกมากมาย มาให้ทุกท่านได้เลือกเก็บสะสมในราคาพิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้น
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรงพร้อมการันตีด้วยรางวัล Porsche Service Excellence Award จากการตรวจสอบคุณภาพประจำปี รวมถึงทีมวิศวกรที่ได้รับการรับรองและผ่านการทดสอบจากโรงงานในระดับเหรียญทอง (Zertifizierter Porsche Techniker – Gold Expert) ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของปอร์เช่คอยให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน ตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ” หรือ “AAS Looking after YOU and your CAR” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ได้ที่แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-103 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่  HYPERLINK "http://www.porsche.co.thwww.porsche.co.th

BIG Motor Sale 2015 เริ่มแล้ว 1-9 สิงหาคม ศกนี้ พบกับ World Premiere Cars รุ่นใหม่ 2 รุ่นที่เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย และอีกสารพัดรถรุ่นใหม่ พร้อมแคมเปญเด็ด ดันยอดตลาดรถไตรมาส 3 พุ่ง


งาน Bangkok International Grand Motor Sale 2015 หรือ BIG Motor Sale 2015 จัดโดย บริษัท ยานยนต์ สแควร์ กรุ๊ป จำกัด มหกรรมของยานยนต์ เพื่อขายแห่งชาติ ได้เปิดฉากแล้วอย่างยิ่งใหญ่อลังการ  ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบ เทค บางนา  ระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคม 2558   โดยได้รับเกียรติจาก ดร.อรรชกา  สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม  เป็นประธานในพิธีเปิดงาน      เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา  ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์  ชั้น 2  ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต่างๆ ที่เข้าร่วมแสดงผลิตภัณฑ์  ตลอดจนสื่อมวลชนทุกแขนง
นายจรวย  ขันมณี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยานยนต์ สแควร์ กรุ๊ป จำกัด ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน   เผยว่า    “ผมขอขอบคุณในความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกฝ่ายในวงการยานยนต์และรถจักรยานยนต์เมืองไทยที่ร่วมกันจัดหนัก จัดเต็มในงานนี้ เพื่อที่จะช่วยกันลบคำว่า “โลว์ซีซั่น” ให้หายไปกลายเป็น “นิวซีซั่น”  กระตุ้นตลาดรถไตรมาส 3 ให้พุ่งขึ้นไปด้วยกัน  ในฐานะผู้จัด เราเชื่อมั่นว่างาน BIG Motor Sale 2015 จะมีส่วนช่วยในการผลักดันยอดขายรถยนต์ในปีนี้ให้บรรลุถึงเป้าหมาย 750,000-800,000 คันตามที่รัฐบาลได้มุ่งหวังไว้ หลังจากตลาดรถยนต์เมืองไทยมีการชะลอตัวในช่วงครึ่งปีแรก นั่นเพราะงานนี้ได้เป็นที่รวมของรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดหลากหลายรุ่นที่พร้อมใจกันทยอยเปิดตัวในช่วงกลางปีนี้อย่างคึกคัก หรือมีการนำเสนอรถยนต์รุ่นพิเศษในแบบ Limited Edition และที่พิเศษกว่านั้น คือ งาน BIG Motor Sale 2015 ได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบการรถยนต์ระดับโลกที่ตั้งใจกำหนดให้มีการเปิดตัว และจำหน่ายรถยนต์รุ่นใหม่ในระดับที่เรียกว่า World Premiere Cars หรือการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยถึง 2 รุ่น       ให้คนไทยได้ชมและได้ใช้ก่อนเป็นชาติแรกก่อนที่จะส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ได้แก่  “มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต” (Mitsubishi Pajero Sport) ที่มาเปิดตัวในวันเดียวกับพิธีเปิด งานในวันที่ 1 สิงหาคมนี้เช่นเดียวกัน  และ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ โฉมใหม่” (Toyota All-New Fortuner) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมาก็พร้อมให้จับจองเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ยังมีมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์รุ่นใหม่ และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์อีกมากมาย  รวมทั้งแต่ละค่ายยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสุดเพื่อกระตุ้นยอดขายกันอีกด้วย  ซึ่งทั้งหมดเป็นไฮไลท์ของงานในปีนี้  ที่เชื่อว่าจะเป็นที่ถูกใจของผู้ที่กำลังตัดสินใจจะซื้อรถอย่างแน่นอน”
งาน BIG Motor Sale 2015 จัดแสดงบนพื้นที่กว่า 37,000 ตารางเมตร เป็นงานจัดแสดงและจำหน่ายรถยนต์ รถปิกอัพ รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ และอุปกรณ์ตกแต่งที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ มีผู้ประกอบการ ผู้ผลิต/จำหน่าย และผู้บริหาร เข้าร่วมแสดงผลิตภัณฑ์ในงานจำนวนมาก   นับเป็นมหกรรมของยานยนต์เพื่อขายที่ครบวงจร มอบความคุ้มค่าให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เรียกว่าอยากได้รถ จบในงานเดียว มีทุกแบรนด์ ทุกระดับราคา นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมความบันเทิงมากมาย เพื่อความอลังการ ครบครัน สำหรับผู้เข้าชมงานตลอด 9 วัน ซึ่งไม่ควรพลาด  
 
“ตลาดที่น่าจับตามองในช่วงนี้ คือ ตลาดรถอเนกประสงค์ที่มาจากปิกอัพดัดแปลง หรือ     พีพีวี (PPV)  ซึ่งจะนำความสดใหม่และความเป็นรุ่น พิเศษมาเป็นไฮไลท์ของงาน  มีทั้งหมด 5 แบรนด์  ได้แก่ เชฟโรเลต เทลเบลเซอร์  (CHEVROLET Trailblazer) ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ (FORD Everest)   อีซูซุมิว-เอ็กซ์ (ISUZU MU-X) มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต (MITSUBISHI All-New Pajero Sport)  และ   โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ (TOYOTA All-New Fortuner)  5 แบรนด์ดังจัดใหญ่ จัดเต็มครบเครื่องแน่นอน และพลาดไม่ได้กับรถปิกอัพอีก 8 แบรนด์ ได้แก่ อีซูซุดีแมคซ์ (ISUZU D-Max) เชฟโรเลต    โคโรราโด (CHEVROLET Colorado) ฟอร์ด เรนเจอร์ (FORD Ranger) มาสด้า บีที-50 โปร (MAZDA BT-50 Pro) ที่จะเปิดตัวในวันที่ 7 สิงหาคม ก็มีมาให้ชมอย่างใกล้ชิดและเปิดรับจองในงานช่วงวันที่ 7-9 สิงหาคม มิตซูบิชิ ไทรทัน  (MITSUBISHI Triton) นิสสัน เอ็นพี300 นาวารา (NISSAN NP300 Navara)     โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว (TOYOTA Hilux Revo)  และ ทาทา ซีนอน (TATA Xenon)  ส่วนรถเก๋งซีดานที่แม้จะไม่มีโมเดลใหม่ แต่ก็มีรุ่นปรับโฉมใหม่มาให้เลือก  เช่น  ซูซูกิ เซียส (SUZUKI Ciaz)  เอ็มจี 6 (MG6)  และเชฟโลเล็ต ครูซ ที่มาเปิดตัวรุ่นลุ่ดและพร้อมจำหน่ายในงานนี้เช่นกัน    ซึ่งด้วยบรรยากาศที่เปี่ยมสุขของการซื้อ-ขายในครั้งนี้ ทำให้ผมพร้อมฟันธงว่าจะสร้างยอดขายรถยนต์มากกว่า 25,000 คัน โดยยอดขายรถกระบะดัดแปลง หรือ PPV   จะมียอดขายรวมเป็นอันดับหนึ่งไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน  รถปิกอัพ 10,000 คัน และรถเก๋งซีดาน 7,000 คัน และสร้างสถิติใหม่ยอดขายบิ๊กไบค์มากกว่า 4,000 คัน    เงินสะพัดในงานมากกว่า 30,000 ล้านบาท  และมียอดผู้เข้าชมงานมากกว่า 1,300,000 คนแน่นอน”  นายจรวยกล่าว
 
สำหรับแคมเปญพิเศษ และกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นๆ ทั้งการให้ของแถม จัดชิงโชค ส่วนลดพิเศษ และร่วมสนุกต่างๆ ของแต่ละบูธในงานขอให้ติดตามกันอย่างใกล้ชิด ผ่านสื่อออนไลน์ facebook : Bigmotorsale   ส่วนกิจกรรมชิงโชคหลักของงานที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมงานทุกท่านมีสิทธิ์ลุ้นโชคจากบัตรเข้าชม งาน  ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1,846,000 บาท ได้แก่ รถยนต์ 3 รางวัล ได้แก่ รถยนต์ซูซูกิ เซียส (SUZUKI Ciaz) รถยนต์มิตซูบิชิ แอททราจ (MITSUBISHI Attrage) รถยนต์เอ็มจี3  (MG3) และรถมอเตอร์ไซค์ยามาฮ่า แกรนด์ ฟิลาโน (YAMAHA Grand Filano)  อีก 6 รางวัลอีกด้วย
เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ยานยนต์ สแควร์ กรุ๊ป จะหักรายได้จากการขายบัตร 10 บาทต่อบัตร ไม่ว่าจะจำหน่ายในราคาเต็ม 100 บาท หรือจำหน่ายครึ่งราคาจากการใช้คูปองลดราคาต่างๆ เหลือ 50 บาท  เพื่อมอบให้สภากาชาดไทยเพื่อการกุศล  พร้อมกับเปิดจุดให้สภากาชาดรับบริจาคอวัยวะและร่างกายเพื่อการศึกษาอันเป็นกุศลทานอันสูงสุดเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นอีกต่อไปฟรีต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีในส่วนของกรมการขนส่งทางบกที่จะมาเปิดให้บริการทำใบขับขี่แบบสมาร์ทการ์ด มอบความสะดวกให้แก่ผู้เข้าชมงาน
 
“งานนี้ผมตั้งใจมากๆ ไม่ต้องการคำว่า “กำไร” แต่อยากได้ “ใจ”  ต้องการลงมือทำเพื่อเป็นแรงสนับสนุนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ต้องการให้งานนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของผู้บริโภค และผู้ประกอบการด้านยานยนต์  เป็นเทศกาลงานขายที่มีความครบวงจร เราภูมิใจที่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่การจัดงานขายรถในช่วงที่ไม่น่าเป็นไปได้ ให้เป็นไปได้  ภูมิใจที่ทำให้รถขายได้เยอะในช่วงฤดูวิกฤตเพื่อช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ไตรมาส 3 ให้พุ่งขึ้นจากเดิมที่เคยเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดรถยนต์เมืองไทย แค่นี้เราก็ถือว่าเป็นความสำเร็จระดับบวกบวกแล้วครับ”  ประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน BIG Motor Sale 2015 กล่าวทิ้งท้าย

งาน BIG Motor Sale 2015 จัดระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคม ศกนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบ เทค บางนา  โดยได้จัดโปรโมชั่นร่วมกับร้าน 7-Eleven  โดยการซื้อสินค้าผ่านบัตร 7-Card ครบ 40 บาทขึ้นไป สามารถนำใบเสร็จดังกล่าวมาแลกรับส่วนลดค่าบัตรเข้างานได้ถึง 50 % จากราคาปกติ 100 บาท เหลือเพียง 50 บาท   เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายนเป็นต้นมา หรือเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สามารถขอรับบัตรฟรี 1 บัตรต่อ 1 ใบเสร็จ ได้ตั้งแต่ 10 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม หรือการใช้บริการโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสเพื่อมาชมงาน BIG Motor Sale 2015 ที่ไบเทค  สามารถซื้อบัตรเข้าชมงานในราคา 50 บาทเช่นกัน
สำหรับผู้จองหรือซื้อรถ ทั้งรถยนต์และบิ๊กไบค์ในงาน สามารถนำเอกสารการจองหรือซื้อมารับตุ๊กตา JR Mascot ได้คันละ 1 ตัว แจกไม่อั้น จัดตามจำนวนความคาดหมายตัวเลขการซื้อขายของรถในงาน
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved