Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

Big Best Car of the Year 2015-2016 เอเอเอสฯ คว้า 2 รางวัล การันตีสมรรถนะรถยนต์ปอร์เช่อันเหนือชั้น


กรุงเทพฯ. ปอร์เช่ ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย คว้า 2 รางวัลอันทรงเกียรติอันได้แก่ รางวัล “Compact Premium SUV ทรงสมรรถนะ” ตกเป็นของ ปอร์เช่ มาคันน์ (Macan) และ รางวัล “Luxury SUV ยอดนิยม” ตกเป็นของ ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Porsche Cayenne S E-Hybrid) ในงาน Big Best Car of The Year 2015-2016 ณ ห้องอังรีดูนังต์ สมาคมราชกรีฑาสโมสร (Royal Bangkok Sports Club) เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2016


งาน Big Best Car of The Year 2015-2016 จัดขึ้นโดย บริษัท ยานยนต์ สแควร์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อส่งเสริม และเป็นกำลังใจแก่ผู้ประกอบการยานยนต์ในประเทศไทย อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และ นวัตกรรมยานยนต์อันเหนือชั้น ภายในงานนี้ Mr. Peter Rohwer กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ให้เกียรติขึ้นรับรางวัลในครั้งนี้


คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E-Hybrid) รถ Plug-in Hybrid คันแรกในคลาสรถสปอร์ตอเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยม (Premium SUV) ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถที่คุ้มค่าเงินมากที่สุดในขณะนี้ มาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบความดันสูงสามารถชาร์จพลังงานผ่านอุปกรณ์ชาร์จหรือชาร์จระหว่างที่รถกำลังขับเคลื่อนได้ วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลถึง 18-36 กิโลเมตร อัตราการบริโภคน้ำมันเพียง 29.4 4 กิโลเมตรต่อลิตร พละกำลังเครื่องยนต์ 16 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 243 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


มาคันน์ (Macan) รถสปอร์ตอเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็ค (Compact SUV) จากปอร์เช่ ผู้นำมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ในกลุ่มนี้ ที่โดดเด่นในเรื่องของความคล่องตัวและความสนุกสนานในการขับขี่ ทุกๆ สภาวะของถนน ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม ประสิทธิภาพการเบรกที่ทรงพลัง ด้วยเครื่องยนต์ Bi-Turbo ขนาด 2 ลิตร 4 สูบ เบนซิน มาพร้อมกับ
Turbocharging อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำเพียง 13.88 กิโลเมตร/ลิตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 233 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด Porsche Doppelkupplung (PDK) ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลก

ปอร์เช่ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรผ่านการทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 10 คน ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 13 ประเทศ สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการหลังการขายของ เอเอเอส โดยทุ่มเทงบการอบรมวิศวกรของเราให้มีคุณภาพสูงสุดตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ” “AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า AAS The Name you can Trust ซึ่งได้พิสูจน์ให้ท่านเห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินการมากกว่า 30 ปี

มิลเลนเนียม ออโต้ เอาใจคนรักครอบครัว และนักกิจกรรมตัวยง ส่ง บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ นำทัพรถหรู โปรฯ แรง บุก สยามพารากอน




บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู อย่างเป็นทางการ นำโดย ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ ปิยะเทพ ศิวากาศ (ที่ 3 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด วรัญญู เจริญวงศ์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายขายระยะยาว บริษัท มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล จำกัด และ  ภูยส มังกรกาญจน์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโส ร่วมเป็นเกียรติเปิดงาน PASSION. PERFORMANCE. PRIVILEGE BY MILLENNIUM AUTO. เพื่อมอบสิทธิพิเศษ สำหรับคนพิเศษ ผู้สนใจครอบครอง บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ (BMW 2 Series Gran Tourer) ยนตรกรรมเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง คันแรกของตระกูล BMW ประกอบเยอรมนี ที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตอเนกประสงค์ในแบบลัคชัวรี่ส์ได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับครอบครัว และคนรักกิจกรรม ซึ่งมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะงานนี้ พร้อมชมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ป๊อด โมเดิร์นด๊อก, ฟิล์ม บงกช และตี๋ เดอะวอยซ์ ระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 2 พฤษภาคม ศกนี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน


มิลเลนเนียม ออโต้ ผนึกกำลังกับ ศูนย์การค้า สยามพารากอน จัดกิจกรรม PASSION. PERFORMANCE. PRIVILEGE BY MILLENNIUM AUTO. โดยนำ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ (BMW 2 Series Gran Tourer) รถยนต์หรูสไตล์เอ็มพีวี 7 ที่นั่ง รุ่นแรกจากตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ประกอบเยอรมนีทั้งคัน มานำเสนอในราคาสุดพิเศษ พร้อมรายการส่งเสริมการขาย มอบอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน แถมทัพด้วย BMW Series 3 และ Series 5 และ มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังขับกล่อมทุกวัน

ปิยะเทพ ศิวากาศ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า “สำหรับกิจกรรม PASSION. PERFORMANCE. PRIVILEGE BY MILLENNIUM AUTO. ในครั้งนี้ เราร่วมกับ ศูนย์การค้า สยามพารากอน จัดขึ้นเพื่อขอบคุณสมาชิกคนพิเศษที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันเสมอมา พร้อมทั้งเป็นการแนะนำยนตรกรรมทั้ง 3 รุ่น คือ BMW Series 2, Series 3 และ Series 5 ซึ่งไฮไลต์ของงานนี้ คือ การนำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะภายในงานนี้ สำหรับคนที่กำลังหมายตา บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ (BMW 2 Series Gran Tourer) รถยนต์หรูสไตล์เอ็มพีวี 7 ที่นั่ง รุ่นแรกจากตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ประกอบเยอรมนีทั้งคัน ซึ่งเป็นรถที่ตอบโจทย์ได้แทบทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นคนรักกิจกรรม ที่ต้องการพื้นที่ในการเก็บสัมภาระค่อนข้างมาก สามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะในวันกิจกรรมสบายๆ หรือในวันทำงานหรือแม้กระทั่งกลุ่มคุณแม่ยุคใหม่ ที่ต้องดูแลทุกคนในครอบครัวได้อย่างทั่วถึง มอบความสะดวกสบาย แต่ก็ยังคงต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ ความโดดเด่น และความหรูหรา สง่างามยามโลดแล่นบนท้องถนนในราคาสุดพิเศษที่มีจำนวนจำกัดสำหรับล็อตนี้เท่านั้น พร้อมมอบอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน ทั้งยังเชิญศิลปินชื่อดังอย่าง ป๊อด โมเดิร์นด๊อก มาขับกล่อมทุกท่านด้วยเพลงสไตล์อะคูสติกในปาร์ตี้วันเปิดงาน และยังมีฟิล์ม บงกช, ตี๋ เดอะวอยซ์ และศิลปินท่านอื่นๆ หมุนเวียนมาขับกล่อมทุกท่าน ระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 2 พฤษภาคม ศกนี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นี้อีกด้วย”

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ (BMW 2 Series Gran Tourer) เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ระดับพรีเมียมรุ่นแรกของ ตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 7 ที่นั่ง โฉบเฉี่ยวด้วยรูปลักษณ์และดีไซน์ ได้อย่างลงตัว พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานของห้องโดยสารด้วยเบาะแถวสอง ที่เลื่อนและปรับพนักพิงได้ เพิ่มพื้นที่ภายในด้วยเบาะแถวสาม ซึ่งสามารถพับลงให้ราบกับพื้น จึงช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของ สามารถปรับเปลี่ยนความจุจาก 560 ลิตร เป็น 1,820 ลิตรได้ จึงตอบสนองทุกความต้องการของครอบครัวยุคใหม่หรือ นักกิจกรรม หรือนักดนตรี ที่ต้องการพื้นที่สำหรับสัมภาระมาก แต่ไม่ทิ้งความหรูหรามีระดับที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตอเนกประสงค์ในแบบลัคชัวรี่ส์ได้เป็นอย่างดี ด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics และ ConnectedDrive ล่าสุด ช่วยให้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ เป็นผู้นำด้านความปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และการเชื่อมต่อสื่อสารภายในรถพร้อมการขับขี่สไตล์สปอร์ตแบบ บีเอ็มดับเบิลยู ช่วยให้รถยนต์รุ่นนี้ผสมผสานทั้งประโยชน์ใช้สอย และความเพลิดเพลินของผู้ขับขี่เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวเหนือใคร

บีเอ็มดับเบิลยู 218i แกรน ทัวเรอร์ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากบีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ เบนซิน 3 สูบ 136 แรงม้าที่ 4,400 รอบต่อนาทีแรงบิด 220 นิวตัน-เมตรที่ 1,250 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 9.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 202 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศถึง 18.5 กิโลเมตรต่อลิตรด้วยโหมดการขับขี่แบบ ประหยัดพลังงาน ECO PRO ที่ช่วยลดการเผลาผลาญเชื้อเพลิงในขณะขับขี่ และมีอัตราการปล่อย CO2 เพียง 125 กรัมต่อกิโลเมตร

บีเอ็มดับเบิลยู 218i แกรน ทัวเรอร์ ล๊อตพิเศษจำนวนจำกัดนี้ จำหน่ายในราคา 2,699,000 บาท รับประกัน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และ BSI โปรแกรมซ่อมบำรุงรักษาฟรี 5 ปี หรือ 100,000 กม. และโปรแกรมการผ่อนชำระที่หลากหลายที่สามารถตอบสนองตามความต้องการของลูกค้า พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย จาก มิลเลนเนียม ออโต้ เท่านั้น

ปัจจุบัน มิลเลนเนียม ออโต้ มีโชว์รูมจำนวนทั้งสิ้น 7 แห่ง ประกอบด้วยสาขาในกรุงเทพฯ 5 แห่งได้แก่ สาขาลาดพร้าว, สาขาพระราม 4, สาขาพระราม 3, สาขาสยามพารากอน และ Pop-up Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และต่างจังหวัด 3 แห่ง ได้แก่ สาขาภูเก็ต, สาขาหาดใหญ่ และสาขาอุบลราชธานี สามารถรองรับบริการหลังการขายได้ 45,000 คันต่อปี มีจำนวนช่างชำนาญการพิเศษสำหรับรองรับบริการด้านยานยนต์ระบบไฮเทคโนโลยีประจำทุกสาขารวมกว่า 60 คนทั่วประเทศ

ทั้งนี้สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับ บีเอ็มดับเบิลยู 218i แกรน ทัวเรอร์ ที่จะเดินสายอวดโฉม พร้อมบุกเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ เพิ่มเติมได้ที่ www.bmw-millenniumauto.comหรือเฟสบุ๊ค (www.facebook.com/bmwmillenniumauto) และ Official Line: BMW Millennium Auto

เผยโฉม เชฟโรเลต โคโลราโด รุ่นใหม่ล่าสุด ผสานความแข็งแกร่งและความหรูหราอย่างลงตัว



  • โคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุด ถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเกือบ 100 ปีของเชฟโรเลตในการออกแบบและผลิตรถกระบะที่มีคุณภาพ
  • การออกแบบภายนอกและภายในใหม่เน้นความแข็งแกร่งและหรูหรา
  • ยกระดับความสะดวกสบาย ความประณีต และความปลอดภัย พร้อมสมรรถนะควบคุมการขับขี่ ลดเสียงรบกวน และแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน
  • รถกระบะรุ่นแรกในตลาดที่รองรับแอปเปิล คาร์เพลย์ และฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท
  • ทรงพลังและประหยัดน้ำมันด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน VGT พร้อมระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ
  • อุปกรณ์ตกแต่งมากมายหลากหลายรูปแบบพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้า

กรุงเทพฯ – เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทยเผยโฉมรถกระบะขนาดกลาง โคโลราโดรุ่นใหม่ ที่จะสานต่อตำนานความสำเร็จของรถกระบะเชฟโรเลตที่มีประวัติอันยาวนานเกือบ 100 ปี โคโลราโดใหม่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติที่ครบครันทุกด้านในแบบฉบับรถกระบะอเมริกันของเชฟโรเลต มาพร้อมการออกแบบภายนอกและภายในใหม่ สมรรถนะที่เหนือชั้นกว่าเดิม ความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น ความหรูหรามากกว่าเดิม และเทคโนโลยีระดับผู้นำเซกเมนท์

มาร์คอส เพอร์ตี้ กรรมการผู้จัดการ จีเอ็มและเชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย กล่าวระหว่างงานเปิดตัวว่า “เชฟโรเลตโคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุด เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในตำนานรถกระบะที่มีประวัติอันยาวนานของเชฟโรเลต รถกระบะรุ่นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราให้ความสำคัญกับตลาดนี้มากเพียงใด และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อเซกเมนท์รถกระบะที่มีความสำคัญอย่างมาก”

“โคโลราโดใหม่ไม่ได้เป็นแค่รถกระบะทั่วไป แต่เป็นรถกระบะที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะทางของตลาดเหมือนรถกระบะเชฟโรเลตทุกรุ่นก่อนหน้านี้ โคโลราโดมีความแข็งแกร่งและทรงพลังซึ่งเป็นคุณสมบัติที่รถกระบะควรมี พร้อมกับความสะดวกสบายและความหรูหราที่เหมาะต่อการใช้งานในเมือง” เพอร์ตี้ กล่าว

เชฟโรเลตโคโลราโดรุ่นใหม่นี้ เป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกอย่างแท้จริง โดยในระหว่างการพัฒนาได้รับความร่วมมือทั้งจากประเทศไทย ออสเตรเลีย บราซิล รวมถึงสหรัฐอเมริกา เพื่อให้แน่ใจว่ารถกระบะรุ่นนี้ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของตลาดเท่านั้น แต่ต้องเหนือกว่าทุกความต้องการของผู้บริโภค

วันชนะ อูนากูล ผู้อำนวยการทั่วไปฝ่ายวิศวกรรม จีเอ็ม ประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า “โคโลราโดรุ่นใหม่ถูกพัฒนาหลายด้าน ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่สวยงามและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือการปรับแต่งระบบช่วงล่าง เครื่องยนต์ และเกียร์”

“เป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลายว่าเชฟโรเลตโคโลราโดมีความโดดเด่นในเรื่องของความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติม โดยทำการลดเสียงลมและแรงสั่นสะเทือน”


การออกแบบที่แข็งแกร่งและประณีต

โคโลราโดรุ่นใหม่ ได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแกร่งและความประณีต มีลวดลายเส้นสายที่สวยงามและชัดเจน เปี่ยมไปด้วยดีเอ็นเอแบบฉบับรถกระบะอเมริกันพันธุ์แท้ ตัวถังรถมีสัดส่วนที่บึกบึน เสริมภาพลักษณ์ความสมบุกสมบัน สะท้อนศักยภาพการลุยเส้นทางออฟโรดได้อย่างเต็มที่

รถกระบะรุ่นนี้มาพร้อมเอกลักษณ์การออกแบบระดับโลกที่ถ่ายทอดพละกำลังและความแข็งแกร่ง ด้วยการออกแบบด้านหน้าใหม่ที่เน้นความสปอร์ตทั้งแผงกันชน กระจังหน้า ฝากระโปรง และไฟหน้า ซึ่งทำให้รถกระบะรุ่นนี้โดดเด่นเหนือกว่ารถกระบะทั่วไป รูปลักษณ์ใหม่เน้นความสะดุดตาด้วยไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวันแอลอีดีรูปทรงเรียวบางที่พร้อมดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนน

ภายในห้องโดยสารของโคโลราโดรุ่นใหม่ ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งและความหรูหราเหมือนกับภายนอก ด้วยการออกแบบใหม่ทั้งหมดที่เน้นความสะดวกสบาย ความกว้างขวาง ความประณีต และเทคโนโลยี แผงแดชบอร์ดและการตกแต่งเบาะที่นั่งใหม่ยกระดับความรู้สึกพรีเมียม ซึ่งออกแบบเพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้ขับขี่และผู้โดยสารโดยเฉพาะ ขณะที่คอนโซลกลางที่ถูกปรับดีไซน์ใหม่ทำให้ใช้งานได้ง่ายดายมากขึ้น การจัดวางตำแหน่งเน้นความสะดวกสบายด้วยหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่น) และระบบอินโฟเทนเมนท์ มายลิงค์

วัสดุผ้าให้พื้นผิวสัมผัสนุ่มนวล การตกแต่งทั่วทั้งห้องโดยสารให้ความสะดวกสบาย มีการเลือกใช้วัสดุอย่างละเอียดเพื่อให้มีความทนทานและเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง การตัดเย็บที่ออกแบบมาสำหรับโคโลราโดโดยเฉพาะ ช่วยสร้างมาตรฐานใหม่แห่งความประณีตบรรจงซึ่งไม่สามารถพบได้ในรถกระบะขนาดกลางทั่วไป

นอกจากการออกแบบภายนอกและภายในใหม่แล้ว ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งอีกมากมายที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของโคโลราโดใหม่ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมต่อโคโลราโด เอ็กซ์ตรีม รถกระบะ Show Truck ที่จัดแสดงภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2016 ที่ผ่านมาลูกค้าที่ต้องการตกแต่งรถกระบะเพื่อให้มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถเลือกอุปกรณ์ตกแต่งที่ได้รับความนิยม อย่างกระจังหน้าสีดำ กรอบไฟหลัง สปอร์ตบาร์แบบพิเศษ กันชนหลังสีดำ หรือมือจับประตูสีดำ

เจ้าของโคโลราโดรุ่นใหม่ สามารถตกแต่งรถกระบะของท่านเองตามต้องการได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อสร้างความโดดเด่นสะดุดตาให้เหนือกว่ารถกระบะทั่วไปและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” คุณอุณา ตัน ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดและประสบการณ์ลูกค้า เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย กล่าว

รถกระบะที่ถูกพัฒนาด้านวิศวกรรมเพื่อการขับขี่ที่ทรงพลังและสะดวกสบาย

โคโลราโดรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร ที่ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อสมรรถนะที่ดีขึ้น ประหยัดน้ำมันยิ่งกว่า และลดมลพิษไอเสีย ด้วยการใช้ระบบเทอร์โบแปรผันหรือ VGT (Variable Geometry Turbocharger) เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 2.5 ลิตร มีพละกำลัง 180 แรงม้า (132 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 440 นิวตันเมตร (325 ฟุต-ปอนด์) ที่รอบต่ำ 2,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์รุ่นนี้ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4

สมรรถนะของเครื่องยนต์ถูกควบคุมโดยกล่องควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) ที่พัฒนาโดยจีเอ็ม เพื่อเสริมบุคลิกการขับขี่ของเครื่องยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีฟังก์ชั่นควบคุมที่เป็นสิทธิบัตรของจีเอ็มมากกว่า 150 ฟังก์ชั่น ซึ่งช่วยประสานการทำงานระหว่างซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดหรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีดตามแต่รุ่นย่อย โดยระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดได้รับการปรับแต่งอัตราทดเกียร์ใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะและความประหยัดน้ำมัน

เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 2.5 ลิตรถูกติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงรบกวนบริเวณหัวฉีด เพื่อให้ทำงานได้เงียบขึ้น โคโลราโดทุกรุ่นยังมาพร้อมยางรองตัวถังและยางรองแท่นเครื่องยนต์แบบใหม่ ซึ่งช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ ทำให้มีระดับเสียงและแรงสั่นสะเทือนภายในห้องโดยสารลดลง จากการทดสอบของทีมวิศวกรแสดงให้เห็นว่าห้องโดยสารของโคโลราโดรุ่นใหม่เงียบลง 2-4 เดซิเบล และมีแรงสั่นสะเทือนลดลง

โคโลราโดพัฒนาบนระบบช่วงล่างที่มีความแข็งแกร่ง ทำให้มีความเสถียรยิ่งกว่าเดิม ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ ห้องโดยสารถูกแยกจากระบบช่วงล่างด้วยยางรองตัวถัง ทำให้สามารถลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนลง พร้อมกับทำให้มีการขับขี่ที่คล่องตัวและหนึบมากขึ้น จานดิสก์เบรกชุดใหม่มีเสียงการทำงานที่ลดลง นอกจากนี้ ระบบกันสะเทือนชุดใหม่ยังถูกปรับตั้งพร้อมช็อกอัพแบบไดเกรสซีฟ ซึ่งช่วยให้โคโลราโดมีการขับขี่ที่สะดวกสบายและเสถียรภาพที่เหนือชั้น

โคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุด ยังมาพร้อมระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการบังคับพวงมาลัยสำหรับการขับขี่ในเมืองและขณะจอดรถ อีกทั้งยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น ระบบบังคับเลี้ยวจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นตามความเร็วในการขับขี่ ดังนั้นโคโลราโดรุ่นใหม่จึงมีน้ำหนักพวงมาลัยที่เหมาะสมเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงขึ้น


อัดแน่นทุกอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสไตล์รถกระบะพรีเมียม

โคโลราโดรุ่นใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในแบบที่พบได้ในรถกระบะระดับพรีเมียมเท่านั้น

ระบบความปลอดภัยอันล้ำสมัย

ในเรื่องของความปลอดภัยยังคงมีความสำคัญสูงสุดสำหรับเชฟโรเลต และโคโลราโดรุ่นใหม่สะท้อนปรัชญานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยระบบความปลอดภัยแบบแอคทีฟและแพสซีฟ (ขึ้นอยู่กับรุ่น) ทั้งระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทั้งขณะออกตัวและในโค้ง Traction Control System (TCS), ระบบรองรับการเบรกกะทันหัน Panic Brake Assist (PBA), ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Electronic Stability Control (ESC), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control (HDC) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน Hill Start Assist (HSA) พร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตลอดจนถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่

ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่

โคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุด โดดเด่นด้วยระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและหลัง และระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝน ไฟหน้าเปิด/ปิดอัตโนมัติ และฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเวลาจอดกลางแจ้งด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้จากกุญแจ เพื่อให้ห้องโดยสารเย็นสบายก่อนขึ้นรถ ขณะที่ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและกล้องมองหลังช่วยให้การขับขี่ในที่คับแคบมีความสะดวกง่ายดายมากขึ้น ฟังก์ชั่นอื่นๆ ยังรวมถึงกระจกหน้าต่างคู่หน้าที่เลื่อนลงเล็กน้อยเพื่อช่วยในการปิดประตู (ขึ้นอยู่กับรุ่น)

การเชื่อมต่อที่เหนือกว่า

การเชื่อมต่อมีความสำคัญสำหรับผู้ขับขี่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่โคโลราโดรุ่นใหม่ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีที่พบได้ในรถกระบะระดับพรีเมียมเท่านั้น โคโลราโดใหม่เป็นรถกระบะรุ่นแรกในเซกเมนท์ที่รองรับการเชื่อมต่อแอปเปิล คาร์เพลย์ ทำให้ลูกค้าสามารถแสดงผลหน้าจอสมาร์ทโฟนขึ้นบนหน้าจอทัชสกรีนของตัวรถได้

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นสิริ อายส์ฟรี และซอฟต์แวร์สั่งงานด้วยเสียง ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานด้วยเสียงโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย ระบบนี้มุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่โคโลราโดที่สามารถบุกเบิกเส้นทางใหม่ทั้งการทำงานและการท่องเที่ยว

มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ฉลองยอดผลิตครบ 1 ล้านคันทั่วโลก




ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น - มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ยอดการผลิตสปอร์ตโรดสเตอร์ชื่อก้องโลกอย่าง มาสด้า เอ็มเอ็กซ์- 5 (ในญี่ปุ่น ชื่อ มาสด้า โรดสเตอร์) ประสบความสำเร็จอย่างสวยสดงดงาม มียอดการผลิตครบ 1 ล้านคันไปแล้วเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา นับเป็นนิมิตรหมายสำคัญหลังจากที่รถยนต์รุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นเป็นคันแรกเมื่อเดือนเมษายน 1989 หรือเมื่อ 27 ปีก่อน ณ โรงงานยูจินะ โรงงานผลิต 1 ในเมืองฮิโรชิมา

“นับตั้งแต่มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เจนเนอเรชั่นแรกจนมาถึงเจนเนอเรชั่นที่ 4 นี้ เหตุผลสำคัญที่เรายังคงสามารถจำหน่าย เอ็มเอ็กซ์-5 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีมาจนถึงทุกวันนี้ สืบเนื่องมาจากการได้แรงสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งของแฟนๆ ทั่วโลก” มาซามิชิ โคไก ประธานบริหาร และซีอีโอของ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “มาสด้าเริ่มก่อตั้งขึ้นในเมืองฮิโรชิมาเมื่อ 96 ปีก่อน บริษัทของเรากำลังจะมีอายุครบ 100 ปี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ แน่นอนว่าเรายังคงมุ่งมั่นเพื่อจะส่งมอบความสุข ความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าของเราผ่านทางรถยนต์รุ่นนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ต่อไปเรื่อยๆ มาสด้ามีความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อจะสร้างสายสัมพันธ์อันแสนวิเศษให้กับลูกค้า กลายเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้ารักและจะเลือกใช้ตลอดไป”



มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 คันที่ 1,000,000 (สเปคญี่ปุ่น เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร หลังคาผ้าใบ)

ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอบคุณแฟนๆ เจ้าของมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ทั่วโลก รถยนต์คันที่ 1,000,000 นี้จะถูกนำไปจัดแสดงและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อลูกค้า ในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งกิจกรรมทัวร์ครั้งนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม ในเทศกาลงานดอกไม้ของเมืองฮิโรชิมา และรถยนต์คันนี้จะเข้าร่วมวิ่งโชว์กับขบวนพาเหรดดอกไม้

มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งปรัชญาของการพัฒนารถยนต์ของมาสด้า และเป็นตัวแทนของการแสวงหาความสนุกสนานในการขับขี่อย่างแท้จริง นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1989 หรือราว พ.ศ. 2533 รถยนต์รุ่นนี้ก็ส่งมอบความสนุกสนานในการขับขี่ที่มีให้เฉพาะในรถยนต์สปอร์ตน้ำหนักเบาคันนี้เท่านั้น พร้อมกันนี้ยังได้รับการชื่นชมอย่างล้นหลามจากผู้คนทั่วโลก ทุกเพศ ทุกวัย และจากหลากหลายวัฒนธรรม

นอกจากนี้ เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นนี้ยังสามารถคว้ารางวัลความยอดเยี่ยมมาแล้วกว่า 200 รางวัลทั่วโลก รวมทั้งยังก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลอันทรงเกียรติอย่างรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งประเทศญี่ปุ่น ประจำปี 2015-2016 Japan Car of the Year รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลก World Car of the Year และรางวัลรถยนต์ออกแบบยอดเยี่ยมของโลก ประจำปี 2016 World Design of the Year ในปีนี้มาครองอย่างเต็มภาคภูมิ

มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ได้รับการบันทึกใน Guinness World Record ว่าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนสองที่นั่งที่ขายดีที่สุดในโลก ด้วยยอดการผลิตครบ 1 ล้านคันนี้ มาสด้ายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ มาสด้าพร้อมมุ่งหน้าทำลายสถิติของตัวเองไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ประวัติศาสตร์ของมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5

ก.พ. 1989
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เผยโฉมครั้งแรกที่งาน Chicago Auto Show

ต.ค. 1997
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นที่ 2 เผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน Tokyo Motor Show

ธ.ค. 1998
เปิดตัวมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ฉลองครบรอบ 10 ปี

พ.ค. 2000
Guinness World Records ลงบันทึกว่า มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนสองประตูที่ขายดีที่สุดในโลก

(ยอดการผลิต 531,890 คัน)

ม.ค. 2002
ยอดการผลิตครบ 600,000 คัน (ได้รับการอัพเดทใหม่ใน Guinness World Record)

มี.ค. 2005
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นที่ 3 เผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน Geneva Motor Show

เม.ย. 2005
ยอดการผลิตครบ 700,000 คัน (ได้รับการอัพเดทใหม่ใน Guinness World Record)


ก.ค. 2006
รุ่นหลังคาไฟฟ้าเปิด-ปิดอัตโนมัติเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน British International Motor Show

ม.ค. 2007
ยอดการผลิตครบ 800,000 คัน (ได้รับการอัพเดทใหม่ใน Guinness World Record)

ก.ค. 2009
เปิดตัวมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ฉลองครบรอบ 20 ปี

ก.พ. 2011
ยอดการผลิตครบ 900,000 คัน (ได้รับการอัพเดทใหม่ใน Guinness World Record)

เม.ย. 2014
เปิดตัวมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ฉลองครบรอบ 25 ปี

ก.ย. 2014
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นที่ 4 เผยโฉมเป็นครั้งแรก


มี.ค. 2016
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 อาร์เอฟ เผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน New York International Auto Show


· *1 Certified by Guinness World Records Limited

Website for One-Millionth Mazda MX-5 (Japanese only):

เว็บไซต์สำหรับรถมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 คันที่ 1,000,000 (ข้อมูลเป็นภาษาญี่ปุ่น)
http://www.mazda.co.jp/cars/roadster/million/

For information on awards visit the Mazda Global Website:

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัลที่ได้รับ:
http://www.mazda.com/en/innovation/awards/





http://www.mazda.co.th

“NDR” เปิดตัวยางรถจักรยานยนต์ “AIR LOCK” นวัตกรรมใหม่ทดแทนยางใน ตั้งเป้าปี 59 ยอดพุ่ง 5-10%



บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ผู้ผลิตยางนอก-ยางในรถจักรยานยนต์ ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำด้านยางรถจักรยานยนต์ เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมด้วยฝีมือคนไทย กับ “AIR LOCK” ล็อคลมสนิท หมดสิทธิ์รั่ว ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อใช้ทดแทนยางในรถจักรยานยนต์ ที่มาพร้อมสมรรถนะที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ในตลอดทุกเส้นทางกับคุณสมบัติโดดเด่นตามแนวคิด “Tipple S” Substitution (ทดแทน) Safety (ความปลอดภัย) และ Saving (ประหยัด)
คุณชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา เอ็น.ดี.รับเบอร์ ถือเป็นบริษัทคนไทย ที่ก้าวขึ้นแท่นเป็นผู้นำด้านการผลิตยางรถจักรยานยนต์ และ เราไม่หยุดนิ่ง ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในแง่ของคุณภาพ และความแตกต่าง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาอย่างต่อเนื่อง และ “AIR LOCK” ก็เป็นอีกสุดยอดผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ที่กำลังเกิดขึ้นในวงการยางรถมอเตอร์ไซค์ ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่สามารถทดแทนยางในได้ 100%
คุณชัยสิทธิ์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติเด่นของ AIR LOCK ว่าต้องการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการยางรถจักรยานยนต์ไทย โดยพัฒนาให้ AIR LOCK มีคุณสมบัติที่โดดเด่นภายใต้หลักการสำคัญ Tipple S (3S) ได้แก่ 1.Substitution (ทดแทนยางใน) โดยนำ AIR LOCK มาประกอบกับวงล้อที่ได้ขนาดและยางนอกที่ได้มาตรฐาน โดยยางนอกจะต้องไม่มีรูรั่ว AIR LOCK จะทำหน้าที่ล็อคลมเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ 2.Safety (ปลอดภัย) การเก็บลมของยางในทั่วไปมีลักษณะคล้ายลูกโป่ง เมื่อโดนตะปูตำ ทำให้ยางในที่เก็บลมแตกทันที ส่งผลให้รถที่วิ่งด้วยความเร็วอาจเสียการทรงตัวและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ แต่สำหรับ AIR LOCK เมื่อถูกของแหลมคมตำจะเสียบเข้าไปกับยางนอกเท่านั้น ลมจึงค่อยๆ ซึมออก และมีคุณสมบัติที่แตกต่างคือ เป็นยางรุ่นพิเศษที่สามารถกักเก็บลมไว้ภายในได้นานกว่ายางทั่วไปถึง 5 เท่า ด้วยขนาดรอยรั่วที่เท่ากัน คือ ยาง TUBE ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ในขณะที่ AIR LOCK ใช้เวลาในการรั่วซึมนานถึง 25 นาทียางถึงจะแบนในสภาพที่ไม่มีลมเหลืออยู่ ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่มความปลอดภัยในชีวิตของผู้ใช้รถใช้ถนนได้เป็นอย่างดี
คุณชัยสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วน S ที่ 3 คือ Saving (ประหยัด) เมื่อใช้ AIR LOCK จะช่วยคุณประหยัดเวลา เพราะการปะยางไม่ต้องถอดล้อ ใช้เพียงตัวหนอนในการปะโดยไม่ต้องถอดล้อ จากนั้นเติมลมยางให้เต็มก็ขับได้ปกติ ในส่วนของราคานั้น ก็ยังย่อมเยากว่ายางในทั่วไปอีกด้วย โดยมีขนาดให้เลือกใช้ได้ตามวงล้อ ถึง 5 ขนาดด้วยกัน คือ ขนาด 1.2*17, 1.4*17 , 1.6*17 , 1.4*14 และ 1.6*14  


กรรมการผู้จัดการกล่าวถึงความคาดหวังทางการตลาดว่า AIR LOCK ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังนั้น แผนการตลาดของเราจึงจำเป็นต้องให้ความรู้ ให้ข้อมูลควบคู่ไปกับการค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้เข้าใจและมั่นใจในสินค้าตัวนี้ โดยได้ปล่อยคลิปโฆษณา และ MV “ไม่แตกใน” ที่เพิ่งปล่อยไปทางช่องทางสื่อต่างๆจะช่วยเป็นอีกหนึ่งในการขับเคลื่อนให้แบรนด์ เอ็น.ดี.รับเบอร์ กลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยเป้าที่ตั้งไว้สำหรับยอดขาย AIR LOCK ในปีนี้นั้นอยู่ที่ 5-10% ของรายได้รวมทั้งหมด  เพราะถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่ที่ค่อนข้างใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ เชื่อว่า คนที่ใช้แล้วจะยินดีใช้ต่อบอกต่ออย่างแน่นอน
“นอกจากนี้ยังได้เซตอัพทีมคอมมานโดเคลื่อนที่เร็ว เข้าไปปูพรมสร้างความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ให้กับร้านค้าในพื้นที่ทั่วทั้งประเทศที่เป็นลูกค้า เพื่อให้มีข้อมูลพื้นฐาน และเป็นกระบอกเสียงช่วยเชียร์ให้สินค้าของเราต่อไป  เรียกได้ว่ายางรถจักรยานยนต์ AIR LOCK นับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ ND RUBBER คิดค้นขึ้นมาเพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภคให้หันมาใส่ใจการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสะดวกต่อการใช้งานเพิ่มสมรรถนะในการเดินทาง สร้างความแตกต่างให้ตัวคุณอย่างแท้จริง”

วัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักของบริษัทฯ

บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ต้องการเป็นหนึ่งใน 3 อันดับแรกของบริษัทในอุตสาหกรรมการผลิตยางรถจักรยานยนต์ในประเทศ และขยายส่วนแบ่งการตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการค้าอาเซียนในปี 2558 ต้องการเน้นการรักษาคุณภาพของสินค้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ตรงตามความต้องการของตลาดเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังพัฒนาสินค้าให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว และสามารถนำเป็นจุดขายในการแข่งขันกับคู่แข่งทางด้านราคาในตลาด และความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ได้ ที่สำคัญมุ่งเน้นขบวนการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน การผลิตสินค้าที่มีคุณสมบัติเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสอดคล้องกับกฎบัตร เรื่อง Social Accountability หรือความรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองคุณภาพในหลายๆประเทศเป็นข้อได้เปรียบในการขาย สินค้าตามที่รัฐบาลแต่ละประเทศเป็นผู้กำหนด นอกจากนี้ ในกระบวนการผลิตบริษัทยังเน้นถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และหลังการผลิตเสร็จ บริษัทยังมีขั้นตอนในการกำจัดของเสีย ที่เป็นไปเพื่อความปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม อีกด้วย

เอ.พี. ฮอนด้า เปิดตัวผู้บริหารใหม่ มร.โยอิจิ มิซึทานิ นำทัพในฐานะประธานกรรมการบริหาร



บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ประกาศเปิดตัวผู้บริหารระดับสูงชุดใหม่นำโดย มร.โยอิจิ มิซึทานิ (Mr.Yoichi Mizutani) ในฐานะประธานกรรมการบริหาร (President), ดร.อรรณพ พรประภา ประธานบริษัท (Chairman), นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ รองประธานกรรมการบริหาร (Vice President) และนายอารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร (Vice President) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2559 เป็นต้นไป

มร.โยอิจิ มิซึทานิ มีประสบการณ์ในการทำงานให้กับฮอนด้ามอเตอร์ประเทศญี่ปุ่นและกลุ่มบริษัทฮอนด้ามาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2529 ทั้งในสายงานขาย วางแผนผลิตภัณฑ์ การตลาด โลจิสติกส์ และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีความชำนาญในธุรกิจรถจักรยานยนต์เป็นพิเศษโดยเฉพาะตลาดเอเชียใต้และประเทศไทย ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ระหว่างปี 2551 - 2554 มาก่อน จึงมีความเข้าใจในตลาดรถจักรยานยนต์ไทยเป็นอย่างดี ล่าสุดดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท บังกลาดิช ฮอนด้า จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศบังกลาเทศ

นอกจากความสามารถด้านการบริหารในสายงานที่หลากหลายแล้ว มร.โยอิจิ มิซึทานิ ยังมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ และภาษาไทยได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
นอกจากการขึ้นดำรงตำแหน่งของ มร.โยอิจิ มิซึทานิ ทางบริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ยังได้มีการแต่งตั้งผู้บริหารชาวไทยขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่อีกสามท่านได้แก่ดร.อรรณพ พรประภา รับตำแหน่งประธานบริษัท ทำหน้าที่ดูแลในส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับสังคมและหน่วยงานภายนอก, นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์  และนายอารักษ์ พรประภา ขึ้นรับตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารดูแลการดำเนินธุรกิจของบริษัท

ผู้บริหารระดับสูงชุดใหม่ทั้งสี่ท่านต่างก็เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ในการบริหารกิจการของบริษัทฯมาอย่างยาวนาน จะร่วมกันนำพาบริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด สู่การเป็นองค์กรที่ยั่งยืนในอนาคต และรักษาความเป็นผู้นำในวงการรถจักรยานยนต์ไทยต่อไป

การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ FIA World Endurance Championship WEC, LMP1 ปอร์เช่ 919 Hybrid ใหม่ พร้อมแล้วสำหรับการป้องกันตำแหน่งแชมป์



สตุ๊ทการ์ด. การเปิดตัวปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) เป็นครั้งแรกของโลก: 2 วันก่อนหน้าการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ FIA World Endurance Championship (WEC) ที่สนาม Paul Ricard ประเทศฝรั่งเศส ปอร์เช่ได้ทำการแนะนำรถแข่งที่จะลงสนามในฤดูกาลนี้นั่นคือ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) ใหม่ ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังที่เปี่ยมประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม ระบบอากาศพลศาสตร์ชั้นยอดที่ได้รับการออกแบบให้มีความเหมาะสมกับการขับขี่สูงสุดแตกต่างกันในแต่ละสนามแข่งขัน รวมทั้งการลดน้ำหนักของชิ้นส่วนต่างๆ ในตัวรถให้มีน้ำหนักเบาที่สุด “รถแข่ง Le Mans ที่มีพละกำลังกว่า 900 แรงม้า พร้อมแล้วสำหรับการลงแข่งเพื่อป้องกันตำแหน่ง” Fritz Enzinger รองประธานของ LMP1 กล่าว

ปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) คือรถแข่งที่เป็นตัวแทนของวิวัฒนาการจากรุ่นสู่รุ่น: 919 ได้รับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2014 ในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ตตัวถังสีขาว พร้อมนิยามการออกแบบ “อัจฉริยภาพแห่งสมรรถนะจากปอร์เช่ (Porsche Intelligent Performance)” และปรัชญาการออกแบบดังกล่าวนั้น ได้รับการสืบทอดมายังปี 2015 ด้วยรถแข่งที่ประกอบขึ้นจากพื้นตัวถังสีขาว ตกแต่งด้วยลายคาดสีแดงและดำ ในปี 2016 นี้ สีจากตัวถังทั้ง 3 สีได้รับการผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวทางการออกแบบใหม่

หมายเลขประจำตัวรถใหม่: ด้วยการคว้าตำแหน่งอันดับ 1 และอันดับ 2 ในการแข่งขันรายการ Le Mans 24 ชั่วโมง ในปี 2015 รวมทั้งตำแหน่งแชมป์ประเภทโรงงานผู้ผลิตของปอร์เช่ในรายการ World Championship ส่งผลให้ในปีนี้ นักแข่งทั้ง 3 คนอันได้แก่ Timo Bernhard (DE), Brendon Hartley (NZ) และ Mark Webber (AU) จะลงแข่งขันด้วยรถแข่งที่ติดหมายเลข 1 ส่วน Romain Dumas (FR), Neel Jani (CH) และ Marc Lieb (DE) จะลงแข่งขันในรถแข่งหมายเลข 2

การพัฒนาที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถแข่ง 919 ไฮบริด (919 Hybrid) ใหม่: เป็นครั้งแรกที่ปอร์เช่ช่วงชิงความได้เปรียบจากกติกาการแข่งขันของ WEC ด้วยการออกแบบลักษณะตัวถังรถให้มีอากาศพลศาสตร์ที่แตกต่างกันถึง 3 รูปแบบ เพื่อให้มีความเหมาะสมสูงสุดสำหรับการขับขี่ในแต่ละสนามโดยกติกาการแข่งขันอนุญาติ ให้ปรับเปลี่ยนลักษณะตัวถังได้สูงสุด 3 แบบเช่นเดียวกัน พร้อมกับการลดน้ำหนักและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบ ซึ่งผสานการทำงานเป็นหนึ่งกับระบบขับเคลื่อนแบบ hybrid สมรรถนะสูงซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่สำหรับรถแข่งปี 2016 โดยทำการเพิ่มกำลังและประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าในระบบดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้น ชุดมอเตอร์ไฟฟ้ารับหน้าที่ในการสร้างกำลังขับเคลื่อนให้แก่เพลาคู่หน้า โดยได้รับพลังงานจากเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน (lithium ion battery cells) แบบใหม่ล่าสุดซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำ พร้อมระบบขับเคลื่อนที่ล้อคู่หน้าใหม่ และเพิ่มฟังก์ชั่นการทำงานที่สามารถปรับตั้งได้หลากหลายรูปแบบ โดยติดตั้งยางรถยนต์แบบพิเศษจาก Michelin พัฒนาและดีไซน์เพื่อสมรรถนะการขับขี่สูงสุดของปอร์เช่  919 ไฮบริด (919 Hybrid) ใหม่เท่านั้น  
เจาะลึกปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) รุ่นปี 2016:
สำหรับปอร์เช่ 919 รุ่นปี 2016 นั้น โครงสร้างพื้นฐานของระบบตัวถัง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงไว้ซึ่งแนวทางการ ออกแบบของระบบขับเคลื่อนแบบ hybrid ที่ผสานการทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เบนซิน V4 ขนาดความจุ 2.0 ลิตร ติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ และระบบชาร์จพลังงานกลับแบบ 2 ช่องทาง (two different energy recovery systems) ผ่านระบบเบรกของล้อคู่หน้าและระบบระบายไอเสีย นับตั้งแต่เปิดตัวรถยนต์รุ่นดังกล่าวเป็นครั้งแรกเมื่อฤดูกาล 2014 ปอร์เช่ยังคงยึดมั่นในปรัชญาการออกแบบดังกล่าวไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะในเรื่องของการลดน้ำหนักโดยรวมของตัวรถให้ต่ำลง ผลลัพธ์ที่ได้คือรถแข่งที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2015 และสำหรับรถแข่งในปี 2016 ที่กำลังจะมาถึงนั้น ปอร์เช่ยังคงยืนอยู่ในระดับแนวหน้าของการแข่งขันด้วยปรัชญาการออกแบบที่ได้รับความเชื่อมั่นตลอดมา  

กฎกติกาของ WEC สนับสนุนการพัฒนาระบบ hybrid:
กติกาการแข่งขันสำหรับรายการ LMP1 กำหนดให้โรงงานผู้ผลิตต้องทำการติดตั้งระบบขับเคลื่อนแบบ hybrid เป็นแหล่งกำเนิดพละกำลังซึ่งมีผลโดยตรงกับประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถแข่ง นั่นย่อมหมายความว่า ระบบชาร์จพลังงานกลับ คือส่วนสำคัญอย่างยิ่งเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนตัวรถ และส่งผลต่อเนื่องไปยังสัดส่วนของข้อจำกัดปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ต่อการแข่งขันหนึ่งรอบสนาม โดยปริมาณการใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวจะถูกนำมาคำนวณเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสิน ผลการแข่งขัน WEC เปิดโอกาสให้วิศวกรของแต่ละทีมสามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อน hybrid ในลักษณะต่างๆ ได้อย่างเสรีไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์ดีเซลหรือเครื่องยนต์เบนซิน ติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จหรือไม่ติดตั้ง ขนาดความจุเครื่องยนต์ที่หลากหลาย และสามารถเลือกใช้ระบบชาร์จพลังงานกลับทั้งแบบ 1 หรือ 2 ช่องทางทั้งนี้กฎกติกาดังกล่าวมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่นำไปต่อยอดให้แก่รถยนต์สายการผลิตปกติ และนี่คือเหตุผลหลักที่ปอร์เช่ตัดสินใจกลับเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับชั้นนำของโลกอีกครั้ง

เครื่องยนต์ V4­เทอร์โบ พร้อมระบบจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าห้องเผาไหม้ (direct injection):
ประสิทธิภาพในการจุดระเบิดและการจัดสรรส่วนผสมของเชื้อเพลิงจากเครื่องยนต์เบนซินขนาดความจุ 2.0 ลิตร V4 ติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จรับหน้าที่ส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังเพลาคู่หลัง ได้รับการออกแบบขึ้นจากความมุ่งมั่นทุ่มเทของทีมวิศวกรจากฝ่ายวิจัยและพัฒนาในเมือง Weissach ก่อกำเนิดนวัตกรรมเครื่องยนต์สูบ V แบบ 90 องศา น้ำหนักเบา ให้พละกำลังสูงสุดกว่า 500 แรงม้า สะท้อนให้เห็นถึงสมรรถนะชั้นเลิศตลอดฤดูกาลแข่งขันในปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2016 กติกากำหนดให้ผู้ผลิตทำการลดกำลังที่ได้จากปริมาณเชื้อเพลิงต่อ 1 รอบให้ต่ำลงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ให้มีความประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด ด้วยแนวทางดังกล่าวส่งผลให้รถแข่งในรายการ LMP1 ทุกคันมีความเร็วสูงสุดที่ลดต่ำลงในทางกลับกันทีมวิศกวกรต้องทุ่มเทความสามารถในการพยายามเรียกพละกำลังจากเครื่องยนต์ให้มากขึ้นในขณะที่ใช้เชื้อ เพลิงน้อยลง สำหรับปอร์เช่ 919 ซึ่งลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงลงประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ เปรียบได้กับการประหยัดพลังงานที่ใช้ในการแข่งขันต่อหนึ่งรอบสนาม Le Mans ถึง 10 เมกะจูล ระยะเวลาเพิ่มขึ้นประมาณ 4 วินาทีต่อระยะทางทุกๆ 13.629 กิโลเมตรของสนาม Le Mans และด้วยกติกาการแข่งขันใหม่นี้ กำลังสูงสุดที่ได้จากเครื่องยนต์จะลดลงต่ำกว่า 500 แรงม้า

ระบบชาร์จพลังงานกลับแบบ 2 ช่องทาง:
พลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของระบบเบรกจากล้อคู่หน้าจะได้รับการแปลงให้อยู่ในรูปของพลังงานไฟฟ้า สำหรับระบบชาร์จพลังงานกลับในช่องทางที่ 2 ได้รับการติดตั้งในส่วนของระบบระบายไอเสีย เมื่อไอเสียที่ระบายออกจาก เครื่องยนต์ไปขับเคลื่อนชุดเทอร์โบชาร์จเป็นการใช้แรงดันไอเสียที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์แทนที่จะปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมอย่างเปล่าประโยชน์เทคโนโลยี VTG ทำหน้าที่ปรับการทำงานของครีบดักไอเสียเพื่อสร้างระดับแรงดันให้เหมาะสมกับรอบการทำงานของเครื่องยนต์แม้ในสภาวะการทำงานของเครื่องยนต์ในรอบต่ำระบบดังกล่าวจะติดตั้งชุดเทอร์ไบน์เพิ่มเติมโดยยึดติดกับอุปกรณ์กำเนิดไฟฟ้า (electric generator) พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นจะได้รับการควบคุมด้วยระบบKERSพลังงานที่ได้ จากล้อคู่หน้าจะได้รับการเก็บไว้ที่เซลล์แบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน ในกรณีที่ผู้ขับขี่ต้องการกำลังขับเคลื่อนเพิ่มขึ้น พละกำลังกว่า 400 แรงม้า จะตอบสนองอย่างทันท่วงทีให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมด้วยการถ่ายทอดแรงขับเคลื่อนจากชุดมอเตอร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงไปยังเพลาคู่หน้า ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ปอร์เช่ 919 กลายเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่มาพร้อมกำลังสูงสุดถึง 900 แรงม้า ในชั่วขณะหนึ่งด้วยการทำงานที่ประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบของระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 แบบจึงพร้อมรองรับทุกสถาน
การณ์การขับขี่ในทุกสนามแข่งที่ต้องเผชิญ   

แบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน แหล่งสำรองพลังงานชั้นยอด:
จากกฎกติกาการแข่งขันของ WEC ซึ่งเปิดกว้างให้วิศวกรของแต่ละทีมสามารถออกแบบระบบสำรองพลังงานได้ตามต้องการ ตัวอย่างเช่น บางทีมใช้ล้อช่วยแรง (flywheels) และ ultracaps (electro chemical supercapacitors) ในการเก็บพลังงานไฟฟ้า แต่สำหรับในปี 2016 นี้ ทุกทีมตัดสินใจใช้แบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน ในการสำรองพลังงานไฟฟ้า เฉกเช่นเดียวกันกับทีมปอร์เช่ ทั้งนี้หัวใจหลักของระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่เหนือชั้นของ 919 ไฮบริด  (919 Hybrid) คือ เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแรงดันสูงถึง 800 โวลต์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากรถยนต์ต้นแบบแห่งอนาคต ปอร์เช่ Mission E

การจัดระดับ Energy classes ของ WEC:
กฎข้อบังคับได้รับการกำหนดให้มีความแตกต่างกันทั้งหมด 4 ระดับโดยขึ้นกับการใช้พลังงานในการขับเคลื่อนตัวรถตั้งแต่ระหว่าง 2-8 เมกะจูลล์ (MJ) ด้วยการคำนวณจากระยะทาง 13.629 กิโลเมตรรอบสนาม Le Mans และปรับเปลี่ยนไปในแต่ละสนามแข่งขัน ด้วยประสิทธิภาพการทำงานชั้นเลิศของเครื่องยนต์ ระบบชาร์จพลังงานกลับ รวมทั้งระบบสำรองพลังงานไฟฟ้าที่เยี่ยมยอดในฤดูกาลแข่งขันปี 2015 ปอร์เช่คือทีมผู้ผลิตเพียงรายแรกและรายเดียวที่ได้รับการจัดระดับคลาสสูงสุดที่ 8 เมกะจูลล์ (MJ) ด้วยข้อกำหนดของระบบชาร์จพลังงานกลับที่เข้มงวด เครื่องมือวัดอัตราการไหลของ FIA ถูกปรับตั้งให้จำกัดอัตราการใช้เชื้อเพลิงต่อรอบสนามที่ไม่เกิน 4.31 ลิตรเท่านั้นนับเป็นภาระกิจหนักที่วิศวกรของแต่ละทีมจะต้องพัฒนาระบบขับเคลื่อนที่ไม่เพียงให้กำลังได้สูงแต่ต้องเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพในการชาร์จพลังงานกลับและมีระบบสำรองพลังงานไฟฟ้าที่ดีเพียงพออีกด้วย

พลังงาน/ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ คำนวณตามระยะทางต่อหนึ่งรอบสนามแข่ง Le Mans* (13.629 กิโลเมตร):
พลังงานที่ 2 เมกะจูลล์ = น้ำมันเบนซิน 4.70 ลิตร = น้ำมันดีเซล 3.70 ลิตร
พลังงานที่ 4 เมกะจูลล์ = น้ำมันเบนซิน 4.54 ลิตร = น้ำมันดีเซล 3.58 ลิตร
พลังงานที่ 6 เมกะจูลล์ = น้ำมันเบนซิน 4.38 ลิตร = น้ำมันดีเซล 3.47 ลิตร
พลังงานที่ 8 เมกะจูลล์ = น้ำมันเบนซิน 4.31 ลิตร = น้ำมันดีเซล 3.33 ลิตร
*กำหนดใช้ตั้งแต่วันที่ 01.01.2016 เป็นต้นไปในการแข่งขันรายการ Le Mans 2016

ปลอดภัยสูงสุดด้วยการปกป้องจากโครงสร้างตัวถัง:
เช่นเดียวกับรถแข่ง Formula 1 โครงสร้างของปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) ได้รับการผลิตขึ้นจากชิ้นงาน คาร์บอนไฟเบอร์ หลายแผ่นประกบกันเป็นชิ้นเดียว หรือ โมโนคอร์ (monocoque) เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังยึดติดเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อความแข็งแกร่งสูงสุด เกียร์ซีเควนเชียลทำงานด้วยไฮดรอลิกแบบ 7 จังหวะ (the hydraulically operated sequential 7-­speed racing gearbox) ผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมยึดติดกับโครงสร้างคาร์บอนอย่างแน่นหนาได้รับการพัฒนาด้วยการลดน้ำหนักของระบบเกียร์ลง สำหรับรุ่นปี 2016

ชุดขับเคลื่อนล้อหน้าใหม่ พร้อมยางประสิทธิภาพสูง:
เพื่อการบังคับควบคุมที่ยอดเยี่ยม การขับขี่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ การยึดเกาะที่มั่นคงพร้อมตอบสนองทุกสภาวะปอร์เช่ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) รุ่นปี 2016 ได้รับการติดตั้งชุดขับเคลื่อนที่ล้อคู่หน้าใหม่ รวมทั้งปรับแต่งการทำงานของชุดขับเคลื่อนที่ล้อคู่หลังผสานการทำงานกับยางรถยนต์สมรรถนะสูงจาก Michelin โดยผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  

อากาศพลศาสตร์ที่ทุกสนามแข่งต้องสยบให้:
ปอร์เช่ออกแบบหลักอากาศพลศาสตร์ของตัวถังรถสำหรับรุ่นปี 2016 ไว้ถึง 3 รูปแบบ พร้อมแล้วสำหรับการลงแข่งขันในรายการ World Championship แรกของฤดูกาลที่สนาม Silverstone ซึ่งปอร์เช่เลือกใช้ชุดตัวถังที่ลดแรงกดให้น้อยลง เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพการขับขี่ในสนามดังกล่าวอย่างสูงสุด และแน่นอนว่าการปรับแต่งอากาศพลศาสตร์ตัวรถจะมุ่งเน้นไปที่การแข่งขันอันเป็นที่สนใจที่สุดของฤดูกาลนั่นคือสนาม Le Mans ในประเทศฝรั่งเศสบนเส้นทางตรงที่มีระยะยาวเป็นพิเศษ โดยรถแข่งต้องมีแรงเฉื่อยที่น้อยที่สุด นั่นหมายความว่าแรงกดที่กระทำกับตัวรถจะต้องถูกจำกัดให้อยู่ในช่วงที่มีความหมาะสมที่สุดเช่นเดียวกัน ฤดูกาลแข่งขันปี 2016 นี้ ปอร์เช่ 919 จะออกสตาร์ทด้วยชุดตัวถังที่สร้างแรงกดสูง จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ชุดตัวถังที่ให้แรงกดต่ำป็นพิเศษสำหรับการลงแข่งที่ Le Mans และกลับมาใช้ชุดตัวถังแรงกดสูงอีกครั้งเพื่อลงแข่งขันในรายการ WEC อีก 6 สนาม ทั้งหมดนี้เป็นไปตามข้อกำหนดที่เปิดโอกาสให้ปรับเปลี่ยนชุดตัวถังได้สูงสุดถึง
3 รูปแบบต่อ 1 ฤดูกาล

การปรับแต่งอากาศพลศาสตร์ของตัวรถมีผลโดยตรงต่อการเพิ่มสมรรถนะการขับขี่และประสิทธิ ภาพในการบังคับควบคุมที่แตกต่างกันไปในแต่ละสภาพสนามที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางของลมปะทะด้านข้างความสมดุลของรถในขณะเข้าโค้ง รวมไปถึงความสามารถในการลดอาการที่เกิดขึ้นในลักษณะต่างๆ ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน

ปอร์เช่ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรผ่านการทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 10 คน ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 13 ประเทศ สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการหลังการขายของ เอเอเอส โดยทุ่มเทงบการอบรมวิศวกรของเราให้มีคุณภาพสูงสุดตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ” “AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า AAS The Name you can Trust ซึ่งได้พิสูจน์ให้ท่านเห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินการมากกว่า 30 ปี

สิงโต นำโชค-โฟลท-ติ๊งโน๊ต ร่วมรณรงค์อุบัติเหตุเป็นศูนย์เริ่มที่ตัวคุณ ตรวจเช็คมอเตอร์ไซค์ฟรี พร้อมสถานีพักเหนื่อยระหว่างทางในเทศกาลสงกรานต์นี้


            เอ.พี. ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย แถลงข่าวเปิดตัวโครงการลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ Zero Accident ในเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง ชูแนวคิด “เริ่มที่ตัวคุณ” รณรงค์ให้คนไทยให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมทั้งมอบบริการพิเศษตรวจเช็ครถฟรี และบริการจุดพัก Rest Station ระหว่างเดินทาง โดยมีผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงและกีฬามาร่วมรณรงค์เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
นายอารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า “ช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปีถือเป็นช่วงที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งทางเอ.พี. ฮอนด้า ได้รณรงค์ลดอุบัติเหตุมาอย่างต่อเนื่องผ่านแคมเปญZero Accident จนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 7 แล้ว และในเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะถึงนี้ เราได้นำแนวคิดของคำว่า “เริ่มที่ตัวคุณ” เข้ามาเป็นแกนหลักในการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมก่อนเดินทางไกลไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถหรือตัวผู้ขับขี่ โดยเราจะมอบบริการตรวจรถฟรี 10รายการที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ และมอบบริการจุดพักรถพิเศษหรือที่เรียกว่า Rest Stationระหว่างการเดินทางบนถนนสายมิตรภาพเพื่อคลายความเหนื่อยล้าให้กับผู้ขับขี่ด้วยเครื่องดื่ม อาหารว่าง และบริการนวดเท้า พร้อมกับตรวจเช็คสภาพรถไปในตัวโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ถือเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่ง Rest Station ของเราสามารถรองรับการซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์ได้ทุกรุ่นรวมถึงรถบิ๊กไบค์”
“นอกจากนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ทางเอ.พี. ฮอนด้า ได้ดึงผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงอย่างสิงโต นำโชค และนักแข่งรถจักรยานยนต์ฝีมือดีของไทยนั่นคือโฟลท-รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ จากทีมเอ.พี. ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์และติ๊งโน๊ต-ฐิติพงศ์ วโรกร จากทีมฮอนด้า ติ๊งโน๊ต เรซซิ่ง มาช่วยกันรณรงค์ และยังได้รับการสนับสนุนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และมูลนิธิเมาไม่ขับ ในการประชาสัมพันธ์อีกด้วย”
สำหรับบริการตรวจเช็ครถฟรีหรือ Free Service นั้น ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าสามารถนำรถเข้ารับการตรวจฟรี 10 รายการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในราคาพิเศษเพียง 30 บาท และรับส่วนลดพิเศษ 30% สำหรับผ้าเบรคและไส้กรองอากาศ ที่ศูนย์จำหน่ายและบริการ Honda Wing Center ทั่วประเทศระหว่างวันที่ 7-9 เมษายน 2559
ในส่วนของจุดพักรถพิเศษหรือ Rest Station สำหรับผ่อนคลายความเมื่อยล้าและซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายจะเปิดให้บริการ 24ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 13 เมษายน 2559 ณ กิโลเมตรที่ 15 (ขาออก) เทศบาลทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฮอนด้าคอลเซ็นเตอร์ โทร 02-725-4000
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved