Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

เอ.พี.ฮอนด้า เปิดตัวแคมเปญ Zero Accident ปี 5 รับเทศกาลปีใหม่ชูคอนเซปต์ “ดื่มไม่ขี่” ให้บริการตรวจรถฟรี 10 รายการ พร้อมเปิดจุดพักรถพิเศษสำหรับผู้เดินทางไกล



เอ.พี.ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ร่วมรณรงค์สร้างจิตสำนึกการขับขี่อย่าง ปลอดภัยรับเทศกาลปีใหม่ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “Zero Accident อุบัติเหตุเป็นศุนย์ เริ่มที่ตัวคุณ” ปืที่ 5 หลังจากที่ได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2553 และประสบความสำเร็จด้วยเสียงตอบรับที่ดีทั้งจากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนล่าสุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ เอ.พี.ฮอนด้า ได้เน้นไปที่การลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนพร้อมสร้างการรับรู้และเตือนสติกลุ่มเป้าหมายคนวัยทำงานและวัยรุ่นทั่วไปให้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นด้วยภาพยนตร์โฆษณาชุด “ดื่มไม่ขี่” ออกอากาศทางฟรีทีวีและเคเบิลทีวีพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป อีกทั้งยังผนึกกำลังร่วมกับเครือข่ายศูนย์จำหน่ายและบริการฮอนด้าวิงเซ็นเตอร์ทั่วประเทศจัดโครงการFree Service บริการตรวจเช็ครถจักรยานยนต์ฮอนด้าฟรีถึง 10 รายการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเพียง 30 บาท และมอบส่วนลดพิเศษอีกถึง 30 % สำหรับยางและแบตเตอรี่ระหว่างวันที่ 19-21 ธันวาคม 2556 ตามด้วยการเปิดจุดพักรถพิเศษให้บริการฟรีเครื่องดื่มและสปานวดเท้า สำหรับผู้ที่เดินทางไกลด้วยรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบนเส้นทางหลวงขึ้นสู่ภาคเหนือตั้งแต่ 27 ธันวาคม – 2 มกราคม 2557 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.aphonda.co.th

นายอารักษ์ พรประภา กรรมการบริหารส่วนงานส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด และผู้อำนวยการศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า “จากแนวคิดการรณรงค์ให้มีการขับขี่อย่างปลอดภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ทาง เอ.พี.ฮอนด้าได้ริเริ่มโครงการ Zero Accident อุบัติเหตุเป็นศูนย์เริ่มที่ตัวคุณ มาตั้งแต่ปี 2553 ด้วยคำพูดบอกเล่าผ่านศิลปินที่เป็นพรีเซนเตอร์ของฮอนด้าในช่วงแรก และมีการสานต่อมาโดยตลอด จนมาถึงการร่วมมือกับนักเตะชื่อดังจากทีมแมนฯยูฯและลิเวอร์พูลในช่วงต้นปี 2556 เพื่อตอกย้ำถึงแมสเสจต่างๆของ Zero Accident ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากจุดประสงค์ในการสร้างจิตสำนึกของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนให้รู้จักลดอุบัติเหตุด้วยการเริ่มที่ตัวเอง จนได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานต่างๆของทั้งภาครัฐและเอกชนตลอด 4 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุดของกรมการขนส่งทางบกทำให้เราได้ทราบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในลำดับต้น
ๆยังคงมาจากการดื่มสุราแล้วขับขี่ ดังนั้น ในการเข้าสู่ปี 2557 ซึ่งจะเป็นปีที่ 5 ของโครงการ Zero accident นี้ เราจึงให้ความสำคัญไปที่การรณรงค์ไม่ให้มีการดื่มแล้วขี่ กลายเป็นเป็นที่มาของการสร้างภาพยนตร์โฆษณาชุดดื่มไม่ขี่ ทั้งนี้ก็เพื่อเตือนสติให้ผู้บริโภคได้ฉุกคิดถึงครอบครัวและคนที่รักทุกครั้งก่อนออกสตาร์ทรถ ว่าถ้าหากเลือกที่จะดื่ม ก็ไม่ควรที่จะขับขี่ หรือหากทราบว่าจะต้องขับขี่ก็ไม่ควรดื่มตั้งแต่แรก เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเราเชื่อว่าภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้จะช่วยปลูกจิตสำนึกให้ผู้ขับขี่ตระหนักในการดื่มไม่ขี่มากขึ้น เพื่อให้เทศกาลปีใหม่นี้เป็นเทศกาลของความสุขสำหรับคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง”

สำหรับภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของโครงการ Zero Accident อุบัติเหตุเป็นศูนย์เริ่มที่ตัวคุณ ชุดดื่มไม่ขี่มีแนวทางการสื่อสารอยู่ที่การสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ชม ในเสี้ยวขณะที่ทุกคนกำลังจะไปมีความสุขในโอกาสต่างๆโดยลืมที่จะนึกถึงครอบครัวและคนรักที่รออยู่ โดยนำเสนอเป็น 3 เวอร์ชัน จากเรื่องราวของคุณพ่อในวัยทำงานกับครอบครัว และบันฑิตหนุ่มจบใหม่กับคุณแม่ เวอร์ชันละ 30 วินาที และเวอร์ชันเต็มความยาว 60 วินาที ทั้งนี้ เอ.พี.ฮอนด้า จะเริ่มออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆทั่วประเทศ

นอกจากการรณรงค์ให้มีการขับขี่อย่างปลอดภัยผ่านโฆษณาชุดใหม่แล้ว เอ.พี.ฮอนด้า ยังได้ร่วมกับเครือข่ายศูนย์จำหน่ายและบริการฮอนด้าวิงเซ็นเตอร์ทั่วประเทศจัดโครงการ Free Service ในช่วงปีใหม่
มอบบริการตรวจเช็คสภาพสำหรบผู้ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าฟรีถึง 10 รายการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในราคาพิเศษเพียง 30 บาทเท่านั้น และยังมอบส่วนลดพิเศษอีก 30% สำหรับยางอะไหล่และแบตเตอรี่ ระหว่างวันที่ 19 ถึง 21 ธันวาคม 2556 ตามด้วยการเปิดจุดพักรถพิเศษให้บริการฟรีเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นรวมถึงของว่าง พร้อมบริการสปานวดเท้า

สำหรับผู้ที่เดินทางไกลด้วยรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบนเส้นทางหลวงขึ้นสู่ภาคเหนือสายชัยนาทสรรพยาตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2556 ถึง 2 มกราคม 2557 ผู้สนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.aphonda.co.th

นิสสัน เปิดตัว “นิสสัน จู๊ค” รถสปอร์ตครอสโอเวอร์ โดดเด่น มีเอกลักษณ์


  • -ผู้นำรถยนต์ประเภทคอมแพค สปอร์ตครอสโอเวอร์ ครั้งแรกในเมืองไทย
  • -สัมผัสประสบการณ์สมรรถนะการขับขี่ กับระบบ I-Con และ I-Connect
  • -เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ขวัญใจวัยมันส์ “พีช พชร จิราธิวัฒน์”

กรุงเทพฯ – 26 พฤศจิกายน 2556 – บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่ตื่นเต้นเร้าใจ ประกาศเปิดตัวรถยนต์สปอร์ตครอสโอเวอร์คันแรกในไทย “นิสสัน จู๊ค” ฉีกกฏรถยนต์ประเภทแฮทช์แบคอย่างสิ้นเชิง

ด้วยยอดขายมากกว่า 680,000 คันทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2553 จู๊ค ถ่ายทอดความแตกต่างอย่างมีสไตล์ บังคับควบคุมได้อย่างคล่องแคล่ว ขับสนุก และเทคโนโลยีที่ใช้ได้ง่าย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของรถประเภทครอสโอเวอร์ ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก

“ด้วยจำนวนของรถยนต์ประเภทสปอร์ตครอสโอเวอร์ที่เพิ่มมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เราได้เล็งเห็นโอกาสที่จะแนะนำรถยนต์รุ่นนี้ในประเทศไทย” นายทาคายูกิ คิมูระ ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและเสริมว่า “เนื่องจาก นิสสัน จู๊ค มีสมรรถนะการขับขี่และการควบคุมที่ดีในทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือนอกเมือง ผมมั่นใจจู๊คจะกลายเป็นรถที่มีสัญลักษณ์ที่โดดเด่นบนท้องถนนเมืองไทย”

ภายใต้แนวคิด “Born to excite” จู๊ค มีดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว ดุดันและกลมกลืน มีเอกลักษณ์ สะดุดทุกสายตาด้วยไฟหน้าและไฟท้ายรูปทรงบูมเมอแรง ผสานสไตล์รถคูเป้ ให้อารมณ์สปอร์ต ด้วยเส้นด้านข้างแบบ high waistline และโฉบเฉี่ยวด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ช่วยเสริมสมรรถนะการทรงตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน

นอกจากนี้ องค์กรที่มีชื่อเสียงด้านการสำรวจและวิจัยตลาด เจ ดี พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิค ได้ประกาศว่า นิสสัน จู๊ค ได้รับคะแนนสูงสุดด้านความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ของรูปลักษณ์ภายนอกของกลุ่มรถยนต์ประเภทคอมแพค และอยู่ในระดับที่ดีมากของในประเภทการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของรถยนต์
นอกเหนือจากดีไซน์โฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ จู๊ค ยังมาพร้อมกับ ระบบควบคุมการทำงานอัจฉริยะ I-Con (Integrated-Control System) ที่มีโหมดควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร (Climate Mode) และโหมดควบคุมรูปแบบการขับขี่ (Drive Mode) ที่เลือกปรับได้ 3 รูปแบบ ทั้งโหมดการขับขี่แบบปกติ (Normal Mode) โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Mode) เน้นขับสนุกเต็มสปีด เร่งแซง ได้รวดเร็วทันใจ และโหมดการขับขี่แบบประหยัด (Eco Mode) เน้นการขับขี่ที่ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด

นิสสัน จู๊ค ยังจัดเต็มเทคโนโลยีสุดล้ำเติมอารมณ์การขับขี่ให้สนุกมากขึ้น ด้วยระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและความบันเทิง I-Connect บนหน้าจอสัมผัสแบบพกพาขนาด 7 นิ้ว ซึ่งถอดออกจากแผงหน้าจอหลักได้เพื่อการใช้งานที่สะดวกมากขึ้น เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ด้วยสัญญาณ WIFI ผ่านอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS หรือแอนดรอยด์  สามารถชมและแชร์ไฟล์ภาพ เพลง วิดีโอได้อย่างไร้ขีดจำกัดบนหน้าจอเมื่อใช้ Micro SD Card/USB หรือเชื่อมต่อระบบปฏิบัติการ iOS หรือแอนดรอยด์ผ่านระบบ DLNA พร้อมฟังเพลงหรือโทรออก-รับสายเรียกเข้าได้อย่างปลอดภัยขณะขับรถเมื่อเชื่อมต่อด้วยบลูทูธ สะดวกสบายทุกการใช้งานด้วยระบบสั่งการเมนูหลักด้วยเสียง Voice Recognition พร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย

และเพื่อสะท้อนความเป็น จู๊ค ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นิสสัน เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ขวัญใจวัยมันส์ “พีช พชร จิราธิวัฒน์” พร้อมกับกลยุทธ์ Entertainment Marketing โดยกำหนดทิศทางสื่อสารการตลาดภายใต้แนวคิด “Born to excite” ครอบคลุมสื่อมัลติมีเดียเอ็นเตอร์เทนเมนต์ทุกรูปแบบ อาทิ บทเพลงจากศิลปินสุดฮอต “Getsunova” มิวสิควิดีโอ หนังสั้นโดยผู้กำกับฝีมือเยี่ยมที่มีผลงานกระแทกใจวัยรุ่น “ปวีณ ภูริจิตปัญญา” สติ๊กเกอร์ LINE และภาพยนตร์โฆษณา

นิสสัน จู๊ค ขับเคลื่อนปราดเปรียวด้วยเครื่องยนต์สุดล้ำ HR16 ขนาด 1.6 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบหัวฉีดคู่ (Dual Injector System) ผสานกับระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC และระบบเกียร์แปรผันอัจฉริยะ XTRONIC CVT สมรรถนะเครื่องยนต์ให้แรงบิดสูงสุดที่ 154 นิวตัน-เมตร (15.7 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบต่อนาที กำลังสูงสุด 116 แรงม้า (พีเอส) ที่ 5,600 รอบต่อนาที  เผาไหม้เชื้อเพลิงหมดจด ประหยัดน้ำมันได้ดีเยี่ยม มั่นใจในสมรรถนะการเกาะถนนด้วยระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และระบบกันสะเทือนหลังแบบทอร์ชั่นบีมพร้อมเหล็กกันโคลง มีจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น 1.6E และรุ่น1.6V มีให้เลือก 6 สี คือ สีแดงเบิร์นนิ่งเรด สีน้ำเงินแปซิฟิคบลู  สีดำแบล็คโซลิด  สีขาวไวท์โซลิด  สีเทาทไวไลท์เกรย์  และสีเงินบริลเลียนท์ซิลเวอร์

“เอกลักษณ์ที่โดดเด่น ล้ำสมัย ตอบสนองเพื่อให้ประสบการณ์ขับขี่ที่สนุก เร้าใจ จู๊ค คือสิ่งที่แบรนด์ นิสสัน ยืนหยัด ซึ่งก็คือ นวัตกรรมที่สร้างความเร้าใจให้กับทุกคน  การเปิดตัว จู๊ค อยู่ในแผนงานที่เราต้องการมอบรถยนต์ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้า เราเชื่อมั่นว่า จู๊ค จะเปิดกลุ่มรถยนต์สายพันธุ์ใหม่ที่จะดึงดูดใจลูกค้าชาวไทยอย่างแน่นอน”นายคิมูระ กล่าว

“MOTOR EXPO 2013” ยอดจองรถ 41,083 คัน ยอดผู้ชมกว่า1.36 ล้านคน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30” ปิดฉากยิ่งใหญ่


ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางการเมือง แต่ผู้ชมกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง ระดับ B+ ถึง A ยังจองรถใหม่คับคั่ง ส่งผลให้รถยนต์นั่งขนาดกลางและรถประเภทเอสยูวี ขายดี ดันราคารถเฉลี่ยในงานทะลุหลักล้าน สร้างเม็ดเงินสะพัดในงานกว่า46,000ล้านบาท

 ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30” “ถึงแม้ว่าช่วงเวลาจัดงานจะมีการชุมนุมทางการเมืองยืดเยื้อแต่ถือว่ายังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดี จำนวนผู้เข้าชมงานสูงถึง 1,367,357 คน ลดลง 14.5% จากยอดประเมินเดิม 1.6 ล้านคน โดยมียอดจองรถตลอดทั้ง 12 วัน รวม 41,083 คัน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนภายในงานได้กว่า 46,000ล้านบาท (รวมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ รถมือสอง ค่ายรถยนต์ที่มียอดจองสูงสุดในงาน 5 อันดับแรก

อันดับ 1 โตโยตา มียอดจองทั้งสิ้น 9,075 คัน 
อันดับ 2 ฮอนดา 6,099 คัน 
อันดับ 3 นิสสัน 4,007 คัน
อันดับ 4 อีซูซุ 3,753 คัน และ 
อันดับ 5 มิตซูบิชิ 3,689 คัน

 ส่วนรถเก๋งหรู นำโดยเมร์เซเดส-เบนซ์ มียอดจอง 1,227 คัน ตามด้วยบีเอมดับเบิลยู 763 คัน 

 “ผู้จัดได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ร่วมรายการซื้อรถ ชิงรถ ปีนี้ พบว่า รถเก๋ง มียอดจองคิดเป็นสัดส่วน 51.4% ของยอดจองทั้งหมดในงานรถเอสยูวี 26.8% รถกระบะ 14.6% และรถประเภทอื่น 7.2%” ที่น่าสนใจคือราคาเฉลี่ยรถในงานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,046,457 บาท จากปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 800,000 บาท 

เนื่องจากความต้องการซื้อรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (อีโคคาร์) ลดลงจากเมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งมีนโยบายคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาล

โดยปีนี้ผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจกับรถยนต์นั่งขนาดกลางและรถเอสยูด้านรถจักรยานยนต์ระดับพรีเมียม มียอดจองรวม 2,104 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.6% โดยฮอนดาขายได้ 1,001 คัน คาวาซากิ 254 คัน และเบเนลี 222 คัน ตามลำดับ



“ซูบารุ”อัดแคมเปญพิเศษงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2013 พร้อมเปิดตัว“SUBARU XV” สีใหม่ Orange Tangerine Pearl



“ซูบารุ” จัดเต็มโปรโมชั่นพิเศษที่เหนือกว่า ให้คุณเป็นเจ้าของซูบารุทุกรุ่นได้ง่ายขึ้น สำหรับทุกท่านที่จองรถภายในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30 พร้อมเปิดตัว “SUBARU XV” สีใหม่ Orange Tangerine Pearl ภายในงาน เพื่อตอบสนองตอบความต้องการของลูกค้าและต่อยอดความสำเร็จของบริษัทฯ โดยตั้งเป้าหมายยอดจองตลอดทั้งงานกว่า 1,000 คัน ขณะเดียวกันเตรียมการแสดงรถยนต์ผาดโผนระดับโลก “ซูบารุ รัสส์ สวิฟท์ สตั๊นท์ โชว์ 2013” ระหว่างวันที่ 7-10 ธันวาคมนี้ ณ ลานกิจกรรม ริมทะเลสาบ P9 เมืองทองธานี
นายอภิชัย ธรรมศิรารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ซูบารุอย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่าบริษัท ฯ ได้นำรถยนต์ซูบารุครบทุกรุ่น จัดแสดงในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30 หรือ “The 30th Thailand International Motor Expo 2013” ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2556 ที่บูทแสดงรถยนต์ซูบารุ A02 ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งโปรดักซ์ไฮไลท์ของงานนี้ คือ SUBARU XV” สีใหม่ Orange Tangerine Pearl ซึ่งจะเปิดให้ลูกค้าที่สนใจสามารถสั่งจองเป็นเจ้าของได้เป็นครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อต่อยอดความสำเร็จของบริษัทฯ ที่มียอดจองรถยนต์ “SUBARU XV” กว่า 3,000 คัน
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังได้จัดแคมเปญพิเศษสำหรับ ซูบารุทุกรุ่น รับดอกเบี้ยพิเศษที่ 1.79% พร้อมรับบริการ Roadside assist 24 ชั่วโมงทั่วประเทศ พิเศษ สำหรับลูกค้าที่จอง “SUBARU XV 2.0i PREMIUM” รับเพิ่มประกันชั้น 1 และบัตรเติมน้ำมัน PTT CASH CARD
นายอภิชัย กล่าวต่อว่า ภายในงานบริษัทฯ นำรถยนต์ซูบารุมาจัดแสดงครบทุกรุ่น นำโดย SUBARU XV 2.0i PREMIUM ราคา 1.35 ล้านบาท, ALL New Forester 2.0 i-ราคา 1.89 ล้านบาท, ALL New Forester 2.0 XT ราคา 2.59 ล้านบาท , Outback 2.5i ราคา 2.59 ล้านบาท, Legacy 2.5GT Sedan ราคา 3.45 ล้านบาท ,WRX STI ราคา 3.45 ล้านบาท และสุดยอดรถสปอร์ทที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้ BRZ 2.0MT ราคา2.56 ล้านบาท, BRZ 2.0AT ราคา 2.64 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับทุกรุ่น เพื่อให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของซูบารุได้ง่ายขึ้น โดยตั้งเป้าหมายยอดจองตลอดทั้งงานกว่า 1,000 คัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจัดกิจกรรมการแสดงรถยนต์ผาดโผนระดับโลก “ซูบารุ รัสส์ สวิฟท์ สตั๊นท์ โชว์ 2013” โดยนักขับรถยนต์ผาดโผนชาวอังกฤษชื่อดังระดับโลก “รัสส์ สวิฟท์” เจ้าของสถิติ กินเนสส์ เวิร์ล เรคคอร์ด ที่บินตรงมาโชว์การแสดงระดับโลก ระหว่างวันที่ 7-10 ธันวาคม 2556โดยจัดการแสดง 3 รอบต่อวัน เวลา 15.00 น. / 17.00น. และ 19.00 น. ณ ลาน P9 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยผู้ที่สนใจสามารถรับบัตรเพื่อเข้าชมการแสดงดังกล่าวได้ ณ บูทแสดงรถยนต์ซูบารุ A02 ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

“เอ็มจี” ประกาศความพร้อมบุกตลาดไทย อวดโฉมรถยนต์ จากประวัติศาสตร์สู่อนาคตในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30



•           พบกับนวัตกรรมการออกแบบแห่งอดีตสู่อนาคตรวม 4 รุ่น พร้อมเตรียมส่งรถยนต์รุ่นแรกบุกตลาดไทยในปี 2557
•           ร่วมรำลึกถึงความสำเร็จของรถยนต์แบรนด์ เอ็มจี ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันผ่าน อินเตอร์แอคทีฟ วอลล์ที่ผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมได้
•           การแสดง และการออกแบบบูธอันล้ำสมัย สะท้อนให้เห็นภาพอดีตอันรุ่งเรืองสู่ความรุ่งโรจน์ของแบรนด์ เอ็มจี ในปัจจุบัน และอนาคต
            กรุงเทพฯ – 28 พฤศจิกายน 2556:เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี เดินหน้าเปิดตัว เอ็มจี แบรนด์รถยนต์อังกฤษชื่อดัง สู่ตลาดรถยนต์ไทย จัดขบวนทัพนวัตกรรมการออกแบบด้านยานยนต์แห่งอดีตและอนาคต 4 รุ่น ประกาศความยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประเทศไทย ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2556 ณ อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี พร้อมเตรียมส่ง เอ็มจี 6” รถยนต์รุ่นแรกบุกตลาดไทยปีหน้า
            มร. หวู่ ฮวน ประธานบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี เป็นการร่วมทุนระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กับบริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโต้โมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SAIC) หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เพื่อผลิตและจำหน่ายรถยนต์อังกฤษภายใต้แบรนด์ เอ็มจี” เพื่อเจาะตลาดไทย โดย เอสเอไอซี มอเตอร์ มีสัดส่วนการถือหุ้น 51% และซีพี49%
            “ในขั้นต้น เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพีวางแผนที่จะแต่งตั้งดีลเลอร์อย่างน้อย 30 รายทั้งในกรุงเทพฯและตามจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้ตั้งโรงงานประกอบรถยนต์พวงมาลัยขวาแห่งใหม่ขึ้นด้วยเม็ดเงินลงทุน 9,000 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด จังหวัดระยอง ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อความสะดวกในการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ
            มร. แอนโธนี วิลเลียมส์-เคนนี ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ เอ็มจี ในลองบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และเซี่ยงไฮ้ กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า การร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30 นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ เอ็มจี ในการบุกตลาดไทย ซึ่งในก้าวแรกนี้จะมีการจัดแสดงรถยนต์ 4 รุ่น ซึ่งล้วนเป็นนวัตกรรมการออกแบบแห่งอดีตและอนาคตที่ เอ็มจี ภาคภูมิใจ ประกอบด้วยรถยนต์รุ่น เอ็มจี เอ เอ็มจี บี เอ็มจี ไอคอน และ อี 50 ให้ชมกันภายในงาน
เอ็มจี เอ เป็นรถสปอร์ตอันโด่งดังของ เอ็มจี ผลิตโดยบริษัท บริติช มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ในช่วงปี พ.ศ. 2498 ถึง 2505 และเป็นรุ่นที่แสดงให้เห็นถึงสไตล์ที่แตกต่างจากรถรุ่นก่อนๆ อย่างชัดเจน ส่วน เอ็มจี บี ที่ออกสู่ตลาดในปี พ.ศ. 2505 เป็นรถรุ่นต่อมาที่ได้รับการออกแบบให้มีความแปลกใหม่ทันสมัย ทั้งสองรุ่นจะทำให้คนไทยได้เห็นอดีตอันรุ่งเรืองของ เอ็มจี และเป็นการฉลองก้าวแรกของเราในตลาดรถยนต์เมืองไทย” มร. วิลเลียมส์-เคนนี กล่าว
ค่ายรถอังกฤษเจ้าของตราสัญลักษณ์รูปแปดเหลี่ยมยังได้เตรียมจัดแสดง เอ็มจี ไอคอน คอนเซ็ปต์คาร์ระดับรางวัลที่มีความสวยงามสะดุดตา และเป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมและการออกแบบที่เป็นสากลของ เอ็มจี
รถยนต์คอนเซ็ปต์คาร์ เอ็มจี ไอคอน คือรถเอสยูวีต้นแบบรุ่นแรกของ เอ็มจี ซึ่งได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรถสปอร์ตอย่าง เอ็มจี เอ และ เอ็มจี บี โดย เอ็มจี ไอคอน จะสะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ด้านการออกแบบเพื่อผู้ใช้รถยนต์ทั่วโลกและเป็นก้าวสำคัญในพัฒนารถยนต์เพื่ออนาคตของแบรนด์นี
มร. วิลเลียมส์-เคนนี กล่าวเพิ่มเติมว่า เอ็มจี เป็นแบรนด์ที่มีค่านิยมและปรัชญาที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งทำให้เราสามารถออกแบบยานยนต์แต่ละรุ่นให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เอ็มจี ไอคอน ถือเป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ของรถยนต์ เอ็มจี รุ่นใหม่ นอกจากนั้น เอ็มจี ไอคอน ยังแสดงให้เห็นว่าเราสามารถพัฒนารถยนต์เอสยูวี ที่คงคุณลักษณะเฉพาะ ที่สืบทอดมายาวนานของ เอ็มจี ไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความกว้างของตัวรถ รูปลักษณ์ที่ดูทรงพลัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตราสัญลักษณ์รูปแปดเหลี่ยมของแบรนด์ ที่ยังคงไว้ได้อย่างลงตัว
สำหรับรถรุ่นท้ายสุดที่ เอ็มจี นำมาจัดแสดงคือ อี50 ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ ใช้แพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ มีการจัดวางตำแหน่งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รวมถึงการออกแบบตัวรถที่คำนึงถึงความสมดุลระหว่างการทำงานของเครื่องยนต์กับความสะดวกสบายของคนขับและผู้โดยสาร ทั้งยังมีการจัดสรรพื้นที่ภายในรถอย่างเหมาะสม ประกอบกับการพัฒนาสมรรถนะอย่างสูงสุดในทุกระบบ ซึ่งให้ทั้งความปลอดภัยและลดการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี
อี50 คือเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรามีความสามารถในการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต รวมถึงสามารถผลิตชิ้นส่วนหลัก และส่วนประกอบต่างๆ ของรถยนต์ประเภทนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดได้เป็นอย่างดี” มร. วิลเลียมส์-เคนนี กล่าวทิ้งท้าย
พบกับนวัตกรรมยานยนต์ภายใต้แนวคิด “History for Future” พร้อมสัมผัสประสบการณ์ “Passion Drives” จาก เอ็มจี ได้ที่บูธ B03ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30 ณ อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1 เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2556 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและติดตามข่าวสารจากเอ็มจีได้ที่ www.mgcars.co.th และwww.facebook.com/mgcarsthailand

เกี่ยวกับ เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโต้โมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชั่น หรือ เอสเอไอซี ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน กับเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ในสัดส่วน 51:49 เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี ได้ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยเพื่อประกอบรถยนต์ภายใต้แบรนด์ เอ็มจี จากประเทศอังกฤษ สำหรับจำหน่ายในไทยและภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งตั้งบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) ดูแลด้านการขาย การตลาด บริการหลังการขาย และการจัดจำหน่าย ที่ผ่านมาในปี 2555 เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี ได้ตั้งโรงงานประกอบรถยนต์พวงมาลัยขวาในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อสะดวกในการส่งออกสินค้า
เกี่ยวกับ เอ็มจี
เอ็มจี ย่อมาจาก มอริส การาจ (Morris Garages) เป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2467 และบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ ได้เข้ามาดำเนินกิจการในปี พ.ศ. 2548 โดยการดำเนินงานยังคงอยู่ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาและออกแบบ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ แบรนด์ เอ็มจี จึงเป็นการผสมผสานเทคโนโลยียานยนต์ของยุโรปกับความเชี่ยวชาญด้านการจัดหาชิ้นส่วนและการควบคุมคุณภาพจาก เอสเอไอซี ทั้งนี้ เอ็มจี เป็นที่รู้จักมากที่สุดจากการผลิตรถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่งในอดีต อีกทั้งมีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหลายรุ่นที่ส่งไปจำหน่ายทั่วโลกในปัจจุบัน

ซิตี้ ออโต้โมบิล เผยโฉม The All New Range Rover Sport ครั้งแรกในประเทศไทย สุดยอดรถสปอร์ต SUV ที่เร็วและแรงที่สุดเพื่อการขับขี่สุดเร้าใจจากแลนด์โรเวอร์ ยานยนต์สปอร์ตหรูสมรรถนะแรงเหนือระดับพาคุณพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในชั่วพริบตาเพียง 5 วินาที! พบกันในงาน ‘มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30’




กรุงเทพฯ – สรรพงษ์ ชื่นโรจน์ (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด และ ดนัย จันทรงาม (ขวา) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการเพียงรายเดียวในประเทศไทย ร่วมเผยโฉม ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต (The All-New Range Rover Sport)” สุดยอดรถสปอร์ตเอนกประสงค์สุดหรูเร็วที่สุดและแรงที่สุดจากแลนด์โรเวอร์ พร้อมนิยาม More Range Rover More Sport  เปิดตัวในเมืองไทย 2 รุ่น ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล SDV6 3.0 และ LR-V8 5.0 ซูเปอร์ชาร์จ ราคาตั้งแต่ 7,750,000 – 10,050,000 บาท ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30” พร้อมสิทธิพิเศษ สำหรับ ท่านแรก ที่ซื้อรถ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต ภายในงาน รับบัตรเข้าชมการแข่งขัน F1 Singapore Grand Prix 2014  

 “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” คือ ยานยนต์เรนจ์โรเวอร์สปอร์ตรุ่นที่ 2 และเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกในคลาสที่ใช้สถาปัตยกรรมโครงสร้างฐานและตัวถังรถเป็นอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาทั้งหมด เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่เฉียบทันสมัย โดยยังคงประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือชั้นในสไตล์ SUV ระดับโลก เพื่อเอาใจผู้ชื่นชอบรถสปอร์ตระดับพรีเมี่ยมสมรรถนะสูงที่ทรงพลัง ขับสนุกสุดเร้าใจ พร้อมตอบสนองฉับไวในทุกสภาวะการขับขี่   นำเสนอรูปลักษณ์ใหม่ที่สวยเฉียบ พร้อมสมรรถนะที่แรงอย่างเหนือระดับ ทั้งด้านความเร็ว ความคล่องตัวในการขับขี่ ผสานสมรรถนะของสุดยอดความสมบุกสมบันในโหมดออฟโร้ดเข้ากับประสิทธิภาพการขับขี่บนทางเรียบและอัตราเร่งที่เหนือกว่า ตัวรถทั้งหมดยังสร้างจากโครงอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา เพื่อให้ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” เติมเต็มประสบการณ์การขับเคลื่อนสี่ล้อที่สนุกเร้าใจ เต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งการควบคุมที่จะปลุกเร้าทุกประสาทสัมผัส พร้อมรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวและพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อการพุ่งทะยานไปอย่างองอาจด้วยมาดแห่งผู้นำในทุกสุภาพถนน

นายสรรพงษ์ ชื่นโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด เปิดเผยว่า “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต คือรถสปอร์ตอเนกประสงค์จากแลนด์โรเวอร์ที่ถือเป็นสุดยอดแห่งขุมพลังและการตอบสนองต่อการควบคุมที่เป็นเลิศ โดยตั้งแต่เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต รุ่นแรกสามารถจำหน่ายได้กว่า 415,000 คันทั่วโลกตั้งแต่ปี 2005-2013  ขณะนี้แลนด์โรเวอร์ ได้นำเสนอ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” รุ่นที่สอง และถือได้ว่าเป็น เรนจ์โรเวอร์สปอร์ตพันธุ์แท้’ ซึ่งเราคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้อย่างประสบความสำเร็จทั้งในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปและหลังจากนี้ ด้วยการออกแบบที่เน้นทุกรายละเอียดตั้งแต่แผงหน้าปัดที่ให้ความเร้าใจในยามขับขี่มากยิ่งขึ้น ผสานการออกแบบที่นั่งคนขับระบบ Command Driving Position ที่มอบความรู้สึกภูมิฐานสง่างาม พร้อมประสิทธิภาพการควบคุมได้ดั่งใจ ทำให้ ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต เป็นรถสปอร์ตอเนกประสงค์ระดับหรูที่เร็ว แรง และคล่องตัวสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่นเครื่องยนต์ V8 ที่สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยใช้ในเวลาเพียง 5 วินาที ถือเป็นความเร็วระดับสุดยอดสำหรับยานยนต์สปอร์ต  โดยในประเทศไทย ซิตี้ ออโตโมบิล เตรียมทำตลาดในรุ่นดีเซล SDV6 3.0 และ LR-V8 5.0 ซูเปอร์ชาร์จ ในราคาตั้งแต่ 7,750,000 บาท”

สุดยอดนวัตกรรมยานยนต์
เทคโนโลยีวิศวกรรมยานยนต์ระดับโลกของ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” นำเสนอความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ด้วยนวัตกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมสี่ด้านรุ่นใหม่,ระบบควบคุมการเอียงแบบฉับพลันด้วยฟังกชั่น Dynamic Response, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชันและระบบช่วยการออกตัวรถบนทางชัน, ระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ, ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมอัตราทดเกียร์ป้องกันการลื่นไถล, ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นวัตกรรมอัจฉริยะใหม่ Terrain Response 2 Auto® สั่งการและควบคุมการขับขี่สั่งการอัตโนมัติ สามารถตรวจจับสภาพพื้นถนนและเลือกโปรแกรมการขับขี่ที่เหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ ตลอดจนเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเต็มขั้น โดยได้ติดตั้ง ทอร์ก เวคเตอริ่ง (torque vectoring) เพื่อช่วยในการการกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อเพื่อลดอาการดื้อโค้งเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนนและเข้าโค้ง รวมทั้งเรดาร์ตรวจจับด้านหลังเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ถอยหลัง ระบบควบคุมการจอดอัตโนมัติ  ทั้งจอดแบบตั้งฉาก (Perpendicular) จอดแบบขนาน (Parallel Park) และ การออกจากรถ (Park Exit)  รวมทั้ง
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติตามระยะห่างระหว่างยานยนต์ (Adaptive Cruise Control), ระบบแจ้งเตือนระยะห่างของยานยนต์คันหน้า (Queue Assist), ระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking), ระบบตรวจจับจุดบอดและยานยนต์ระยะประชิด ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยที่สุดในบรรดารถสปอร์ตคลาสเดียวกัน     

สุดยอดแห่งความหรูหราและสะดวกสบาย
“ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” ยังมอบความสะดวกสบายสูงสุด ด้วยการออกแบบเบาะด้านหลังให้มีความโอ่อ่าและกว้างขวางเป็นพิเศษเพื่อการโดยสารแสนสบายตลอดเส้นทาง โดยขยายความยาวฐานล้ออีก 178 มม. เพื่อเพิ่มพื้นที่ผ่อนคลายของผู้โดยสารด้านหลัง ทั้งยังสามารถลดระดับความสูงเบาะหลังได้มากขึ้นและมีช่องประตูที่ใหญ่กว่าเดิม นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกโทนสีรถให้สะท้อนรสนิยมและบุคลิกของผู้ขับได้ตามต้องการ ซึ่งมีทั้งโทนสีเดี่ยว แบบทูโทน และแบบสามเฉดสี ที่แตกต่างกันรวมกว่า 11 แบบ  นอกจากนี้ ที่นั่งด้านหน้าปรับได้ถึง 18 จังหวะ รวมทั้งมีฟังก์ชั่นระบบนวด พร้อมที่นั่งแถวสามารถแบบปรับอัตโนมัติแบบ 5+2

การออกแบบแผงหน้าปัดมีให้เลือกสองออพชั่น คือแบบมาตรฐานและแบบสามมิติ โดดเด่นด้วยจอมอนิเตอร์กลางคอนโซลขนาด 8 นิ้ว เพื่อง่ายต่อการจัดสรรรายการความบันเทิงระหว่างการเดินทาง อีกทั้งยังติดตั้งแผนที่ประเทศไทยในระบบเนวิเกเตอร์ผ่านดาวเทียม เบาะหลังติดตั้งจอภาพยนตร์มีให้เลือกทั้งขนาด 8 นิ้วและ 10.2 นิ้ว พร้อมหูฟังไร้สายและช่องเชื่อมต่อ USB เพิ่มพิเศษ ระบบปรับอากาศยังสามารถแบ่งควบคุมได้ทั้งแบบ 2, 3 หรือ 4 โซน เพื่อมอบความสบายที่ตรงตามความต้องการทั้งสำหรับผู้ขับและผู้โดยสารทุกคน ด้วยระบบล็อกประตูอัตโนมัติ ระบบปรับอุณหภูมิเครื่องยนต์ด้วยรีโมทและการตั้งอุณหภูมิห้องโดยสารล่วงหน้า ตลอดจนรูปแบบความบันเทิงและการเชื่อมต่อที่ไร้ข้อจำกัด ทำให้ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต”  คือยานยนต์สปอร์ตระดับหรูที่นำคุณสู่ทุกจุดหมายปลายทางด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยยิ่งกว่า

สุดยอดยานยนต์สปอร์ต SUV
“ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” คือสุดยอดยานยนต์สปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อที่สามารถพาคุณโลดแล่นไปบนทุกเส้นทางตั้งแต่ถนนทางเรียบในเมืองใหญ่ไปจนถึงการผจญภัยแบบออฟโร้ดในสภาพพื้นที่อันท้าทาย โดยยังคงมอบความแม่นยำในการขับขี่ สมรรถนะการควบคุมที่ดีเยี่ยม แรงขับเคลื่อนอันทรงพลังและประสิทธิภาพที่เชื่อมั่นได้ตลอดการเดินทาง โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองไทยที่มีทั้งพื้นที่ดินโคลน ถนนขรุขระ ดินทราย ตลอดจนสภาพพื้นถนนที่ยากลำบากแบบอื่นๆ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” จึงเป็นคำตอบสำหรับผู้ชื่นชอบรถสปอร์ตระดับพรีเมี่ยมสมรรถนะสูงที่ทรงพลัง ขับสนุกสุดเร้าใจ พร้อมตอบสนองฉับไวในทุกสภาวะการขับขี่ด้วยสัญชาติแห่ง สปอร์ตพันธุ์แท้

มอบคุณภาพและบริการหลังการขายเหนือระดับ
ซิตี้ ออโต้โมบิล ในฐานะผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์เพียงรายเดียวในประเทศไทย พร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานระดับโลกแก่ลูกค้าทุกราย ปัจจุบัน บริษัทได้สร้างเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายขึ้นใหม่และมุ่งเน้นที่การให้บริการชั้นเลิศแก่ลูกค้าเป็นสำคัญ

“บริษัทยังมอบการรับประกันมาตรฐาน 3 ปี แก่ลูกค้า พร้อมบริการฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง  นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนเพื่อการอัพเกรดศูนย์บริการ ใช้วัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการซ่อมบำรุงขั้นสูง และมอบบริการโดยช่างซ่อมบำรุงและเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างครบถ้วน เพื่อให้ลูกค้าจากัวร์และแลนด์โรเวอร์ในประเทศไทยได้รับบริการตามมาตรฐานสากลทุกประการ  โดยเฉพาะศูนย์บริการที่ถนนวิทยุและสาขาพระราม 3 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีมาตรฐานระดับสากลและเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้วในปัจจุบัน โดยบริษัทได้ทุ่มทุนกว่า 150 ล้านบาท เพื่อการเตรียมเปิดศูนย์บริการแห่งใหม่ถนนพระราม 4 ในช่วงไตรมาส 3 ในปี 2557 ที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ ซิตี้ ออโตโมบิล ยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ทุกปี ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะสร้างการเติบโตของแบรนด์จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ ในประเทศไทยอย่างจริงจังในระยะยาว” นายสรรพงษ์กล่าว

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด ศูนย์บริการสาขาถนนวิทยุ โทรศัพท์ 02 651 4545 ต่อ 131 และ สาขาพระราม 3 แขวงช่องนนทรี หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.landroverthailand.com

ฮอนด้าบิ๊กวิงโหมบุกตลาดบิ๊กไบค์ส่งท้ายปี เปิดตัวพร้อมรับจองโมเดลใหม่ CTX700N – CBR650F-CB650F งานมอเตอร์เอ็กซ์โป



          ฮอนด้าบิ๊กวิง ศูนย์จำหน่ายและบริการรถฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทย เดินเกมรุกสู่ตลาดรถบิ๊กไบค์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกาศเปิดตัวรถใหม่ รุ่นพร้อมกันในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2013 ได้แก่ Honda CTX700N รถครุยเซอร์นำเข้าจากญี่ปุ่น ดีไซน์หรูหรา สะดวกสบายด้วยเทคโนโลยี DCT ราคาแนะนำเริ่มต้นที่ 349,000 บาท, Honda CBR650F รถสปอร์ตเครื่องยนต์650ซีซี สูบเรียงแบบฟูลแฟริ่ง ราคาแนะนำ 300,000 บาทและ Honda CB650F สปอร์ตแบบเนคเกด ราคาแนะนำเริ่มต้นที่285,000 บาท พร้อมรับข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้สนใจรถฮอนด้าบิ๊กไบค์ทุกรุ่นภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นรถนำเข้าราคาพิเศษ อัตราดอกเบี้ยต่ำ รับฟรีทะเบียนและพรบ.

          มร.จิอากิ คาโต ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดปี 2013 แม้เศรษฐกิจในประเทศไทยจะอยู่ในสภาวะชะลอตัว แต่ตลาดรถบิ๊กไบค์กลับมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่ายอดจำหน่ายรวมในไทยเมื่อถึงสิ้นปีนี้น่าจะสูงกว่า 13,000 คัน หรือเติบโตขึ้นมากกว่า เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยฮอนด้าบิ๊กวิงน่าจะมียอดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 3,000 คัน

          “แม้ว่าฮอนด้าจะเข้ามาทำตลาดรถบิ๊กไบค์ในเมืองไทยได้เพียงปีเศษ แต่เราก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ความสำเร็จดังกล่าวมาจากการที่ฮอนด้านำเสนอผลิตภัณฑ์แบบฟูลไลน์อัพ พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆที่ก้าวล้ำ อาทิระบบDCT หรือ Dual Clutch Transmission ระบบแทรคชั่นคอนโทรลเพื่อการควบคุมรถที่แม่นยำ เช่นเดียวกับการให้บริการตามมาตรฐาน 6S อันประกอบไปด้วย Sales, Service, Spare Parts, Safety Riding, Second Hand และ Society จึงสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าของเราได้อย่างเต็มที่ ล่าสุดถึงขณะนี้ฮอนด้าบิ๊กวิงได้ขยายเครือข่ายของศูนย์จำหน่ายและบริการไปทั่วประเทศรวมแล้วถึง แห่ง ได้แก่ที่กรุงเทพฯพัทยา, เชียงใหม่ภูเก็ตอุดรธานีโคราช และสุราษฏร์ธานี

          “ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2013 นี้ ฮอนด้าพร้อมที่จะต่อยอดความเร้าใจให้กับลูกค้าด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่พร้อมกันถึง 3รุ่น ประกอบด้วยรถนำเข้าจากญี่ปุ่น Honda CTX700N ซึ่งเป็นรถครุยเซอร์ดีไซน่ทันสมัย หรูหรา ขับขี่สบายด้วยเทคโนโลยี DCTและอีก รุ่นในตระกูล 650 Series ซึ่งผลิตในประเทศไทยได้แก่ CBR650F รถสปอร์ตแบบฟูลแฟริ่งและ CB650F รถสปอร์ตแบบเนคเกด ซึ่งทั้ง รุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 650ซีซี สูบเรียง และรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวเร้าใจ โดยฮอนด้าได้เปิดรับจองรถทั้ง รุ่นสำหรับผู้ที่สนใจด้วยราคาพิเศษในงานนี้

          สำหรับ Honda CTX700N เป็นรถครุยเซอร์จากประเทศญี่ปุ่นที่ฮอนด้าบิ๊กวิงเลือกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ตัวรถได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด Comfort Technology Experience ดีไซน์หรูหราแต่แฝงไว้ด้วยความดุดัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 700 ซีซี สูบมาพร้อมกับเทคโนโลยี DCT (Dual Clutch Transmission) เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลไม่สะดุด ขับขี่สบายด้วยท่านั่งแบบตัวตรง เบาะต่ำเพียง 72 เซนติเมตร จึงสามารถเหยียดขาหรือเหยียบพื้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมระบบกันสะเทือนหลังแบบ Pro-Link เพื่อความมั่นใจในการเดินทางไกล

          ในส่วนของบิ๊กไบค์ตระกูล 650 Series ฮอนด้าได้เปิดตัว Honda CBR650F รถสปอร์ตแบบฟูลแฟริ่งดีไซน์บึกบึนโฉบเฉี่ยว และ Honda CB650F รถสปอร์ตแบบเนคเกดรูปทรงดุดัน ทะมัดทะแมง โดดเด่นแต่ไกลในทุกองศา ทั้งสองรุ่นใช้ขุมพลังจากเครื่องยนต์ขนาด 650ซีซี สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบเบรกแบบ ABS ทำงานร่วมกับดิสก์เบรกหน้าจานคู่เพื่อความปลอดภัยในทุกอัตราความเร็ว เสริมความคล่องตัวด้วยสวิงอาร์มอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่งทนทาน

          ฮอนด้าบิ๊กวิงพร้อมเปิดรับจองบิ๊กไบค์รุ่นใหม่ทั้ง รุ่นด้วยราคาดังต่อไปนี้ Honda CTX700N มีให้เลือก สีได้แก่ สีดำด้าน และสีขาว แบบเกียร์ธรรมดาราคาช่วงแนะนำ 349,000 บาทแบบเกียร์อัตโนมัติ DCT ราคาช่วงแนะนำ 406,000 บาท, Honda CBR650F มีให้เลือก สี ได้แก่สีแดงและสีดำราคาช่วงแนะนำ 300,000 บาทและ Honda CB650F มีให้เลือก สีได้แก่สีขาวกราฟิกไตรคัลเลอร์ล้อทองราคาช่วงแนะนำ 288,000 บาทสีดำและสีเหลืองราคาช่วงแนะนำ 285,000 บาท

          นอกจากรถรุ่นใหม่ทั้งสามรุ่นแล้ว ฮอนด้าบิ๊กวิงยังได้นำฮอนด้าบิ๊กไบค์รุ่นอื่นๆมาจัดแสดงอย่างครบครันรวมทั้งสิ้น 20 คัน ไม่ว่าจะเป็นรถนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นได้แก่ Goldwing, NC700X, Integra, CBR1000RR, VFR1200F และรถที่ผลิตในประเทศไทยในกลุ่ม 500 Series รวมไปถึงรถแต่ง 650 Series จากค่ายแต่งรถชื่อดังอย่าง Mugen, Moriwaki, และ H2C

          พบกับข้อเสนอโดนใจสำหรับรถฮอนด้าบิ๊กไบค์ทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็นรถนำเข้าราคาพิเศษ อัตราดอกเบี้ยต่ำ รับฟรีทะเบียนและพรบ. พร้อมเลือกชมอุปกรณ์ตกแต่งรถ รวมไปถึงเครื่องแต่งกายคอลเลคชั่นใหม่ที่บูธฮอนด้าบิ๊กไบค์ หมายเลข
G04 ภายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2013 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2556ติดตามรายละเอียดของฮอนด้าบิ๊กไบค์เพิ่มเติมได้ที่
http://www.hondabigwing.com/

มาเซอร์ราติ เฉลิมฉลองก้าวเข้าสู่ปีที่ 99 พร้อมเปิดตัวรถยนต์ซาลูนสัญชาติอิตาลี รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte) ที่สุดของยนตกรรมยานยนต์ระดับโลก


บริษัท เอ็มไพร์ มอเตอร์ สปอร์ต จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ “มาเซอร์ราติ” นำโดย พรศริน เมธีวัชรานนท์ (กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มไพร์ มอเตอร์ สปอร์ต จำกัด) จัดงานเฉลิมฉลองสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ฟรานเชสโค ซาเวริโอ นิสิโอ เอกอัครราชฑูตอิตาลี ประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเฉลิมฉลองก้าวสู่ปีที่ 99 พร้อมเปิดตัวรถยนต์มาเซอร์ราติ (Maserati) รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte)  ที่สุดของการดีไซน์ ในการรวมสมรรถนะแบบสปอร์ตและความหรูหราแบบคลาสสิคของรถยนต์ซาลูนสัญชาติอิตาลีอีกทั้งยังเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีสื่อมวลชและแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน อาทิ พล.ต.ต.วิสนุ หิน ปราสาททองโอสถ, ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์, ศ.ดร.ศุภชัย พิศิษฐวานิช, วรวิทย์       ศิริพากย์,จักรกฤต เบเนเดทตี้สรัญทร เตชะไพบูลย์,ธนัท  ตันอนุชิตติกุล อมรสิริ-จารุเดช บุญญสิทธิ์วรสุดา-ดลวัฒน์ แพ่งสภา,วิธวดี คุปตัษเฐียร, พงษ์ภัทร์ พงษ์พานิช,บงกชทิพย์ ภิรมย์ภักดี ณพระที่นั่งเทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2556
ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน ด้วยวีดีโอภาพประวัติของรถยนต์มาเซอร์ราติ ที่รายล้อมอยู่ภายในงานซึ่งเล่าถึงความเป็นมาของแบรนด์มาเซอร์ราติ ที่เริ่มก่อตั้งโดย 5 พี่น้องแห่งตระกูล Maserati ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1914 ณ เมืองโบลอกน่า  โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง โมเดน่า ประเทศอิตาลี และมีการพัฒนาทั้งนวัตกรรมและดีไซน์อย่างต่อเนื่อง นับจากนั้นจนถึงปัจจุบัน ภายใต้บรรยากาศ อันหรูหรา ของพระที่นั่งเทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท ที่มีประวัติมาช้านาน กว่า 104 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมการออกแบบสไตล์อิตาลี สอดคล้องกับต้นกำเนิดของรถยนต์มาเซอร์ราติที่ถือกำเนิดจากประเทศอิตาลีเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นพิธีกรได้ขึ้นกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน พร้อมเรียนเชิญ คุณพศริน  เมธีวัชรานนท์ ขึ้นกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ พร้อมร่วมพูดคุยถึงความเป็นมาของรถยนต์มาเซอร์ราติที่มีประวัติมายาวนานและแผนการตลาดที่ทำให้มาเซอร์ราติประสบความสำเร็จจนก้าวเข้าสู่ปีที่ 99  พร้อมเปิดวีดีโอพรีเซ็นเทชั่นแนะนำที่สุดของยนตกรรมยานยนต์ระดับโลก รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte)  ดีไซน์ล่าสุด ที่มีการเปิดให้แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนได้รับชมครั้งแรกในประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของรถยนต์รุ่นนี้ หลังจากนั้นไม่รอช้าเรียนเชิญผู้ร่วมงานทุกท่าน มายังด้านหน้าลานน้ำพุเพื่อยลโฉมรถ รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte)  ครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ฟรานเชสโค ซาริโอ  นิสิโอ  เอกอัครราชฑูตอิตาลี ประจำประเทศไทย  เป็นประธานเปิดตัวด้วยการนั่งรถยนต์หรูเข้ามาที่ลานน้ำพุเพื่อโชว์ความเป็นสุดยอดของนวัตกรรมยายนต์อิตาลี ที่ผสมผสานความเป็นสปอร์ตและความหรูหรา พร้อมความสะดวกสบายของเทคโนโลยีต่างๆ และความสวยงามของการตกแต่ง ที่เปรียบดั่งเม็ดน้ำงาม ที่เจิดจรัสอยู่ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมงาน พร้อมกล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่รถยนต์มาเซอร์ราติก้าวเข้าสู่ปีที่ 99 และในโอกาสครบรอบ 50 ของรถยนต์ รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte)  พร้อมด้วย คุณพรศริน เมธีวัชรานนท์ ขึ้นกล่าวถึงรายละเอียดและความพิเศษของรถยนต์รุ่นนี้ โดยรถยนต์รุ่นนี้มีประวัติมายาวนาน และได้ผ่านการออกแบบจากเหล่าดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก ถึง 6 เจเนอเรชั่น
เริ่มด้วย คนแรก ปิเอ โตร ฟรูอา (Frua) ในปี ค.ศ.1963 ผู้สร้างประวัติศาสตร์รถซาลูน 4 ประตู ที่ทำความเร็วได้สูงสุด 230 กิโลเมตร/ชม. ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่แม้แต่เจ้าชาย เรเนีย แห่งประเทศโมนาโก หรือ นักแสดงดัง แอนโธนี ควินน์ ยังเลือกที่จะใช้รถยนต์รุ่นนี้ในสมัยนั้น    คนที่สอง เบอร์โทเน่ (Bertone) ในปี ค.ศ. 1973 ที่เน้นการออกแบบเพื่อความสะดวกสบาย เพื่อสร้างประสบการณ์การใหม่ในการขับขี่  ซึ่งมีเพียง 13 คันเท่านั้น โดยทั้งหมดได้ถูกขายไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง คนที่สาม จิออร์เก็ตโต้ จุยเกียโร่ (Giorgetto Giugiaro) ในปี ค.ศ.1979 ภายใต้การดูแลของ อเล็กซานโดร เดอ โทมาโซ (Alejandro de Tomaso) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในสำหรับเจเนอเรชั่นนี้ คนที่สี่ มาร์เซลโล กานดินี่ (Marcello Gandini) ในปี ค.ศ. 1994  ถือเป็นการดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยการเป็นรถซาลูนขนาดเล็ก ที่สามารถทำความเร็วได้ถึง 260 กิโลเมตร/ชม. ภายในเวลาเพียงแค่ 6 วินาที  คนที่ห้า  พินินฟาริน่า(Pininfarina) ในปี ค.ศ. 2003 สร้างความแตกต่าง แบบสิ้นเชิง ในการผสมผสานความหรูหราและความเป็นสปอร์ตที่ให้ความสะดวกสบายต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
จนถึงปัจจุบันมาเซอร์ราติ โฉมใหม่นี้ ได้รับการออกแบบจากดีไซเนอร์ดัง ลอเรนโซ่ รามาซิโอติ (Lorenzo Ramaciotti) เป็นผู้ออกแบบในดีไซน์ล่าสุด ที่ยังคงสืบทอดผลงานชิ้นเอก ที่เหล่านักออกแบบระดับโลกได้เคยออกแบบไว้ ด้วยการคงเอกลักษณ์กระจังหน้ารูปไข่แบบดั้งเดิม พร้อมลักษณะที่เพรียวลมที่ทรงพลัง ภายในยังให้ความรู้สึกเหมือนห้องพักส่วนตัวที่หรูหรา เบาะหุ้มด้วยหนังอันนุ่มนวลของ พอลโทรน่า ฟราว (Poltrona Frau) ไม้ชั้นดีและรอยเย็บอันประณีตภายในรถยังครอบคุลมด้วยนวัตกรรมทางเทคนิคที่จะเปลี่ยนการเดินทางให้เป็นประสบการณ์ความผ่อนคลายที่ไม่เหมือนใคร รถรุ่นนี้ยังให้ความใส่ใจเป็นพิเศษสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ด้วยช่องวางขาที่เพียงเพื่อความสะดวกสบายอย่างสูงสุด ด้านความปลอดภัย ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte) ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ระบบไฟฟ้าระดับสูงเมื่อรถเกิดการไถล จะช่วยลดแรงบิดจากเครื่องยนต์และสามารถกระตุ้นเบรคให้เข้าสู่ระดับเสถียรภาพภายในเสี้ยววินาที, ไฟหน้าระบบ Bi-Xenon ช่วยให้มองเห็นได้หลายระยะ สามารถปรับความลึกของแสงได้อัตโนมัติ และไฟกลางวัน LED ช่วยให้มองเห็นรถได้ในทันที พร้อมถุงลมนิรภัย 6 ชิ้น ในตัวรถ ไม่เพียงเท่านั้น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte) ยังสร้างความโดดเด่น ด้วยการตกแต่งแบบเฉพาะตัวไม่ซ้ำใครที่ลูกค้าสามารถปรับเลือกใหม่ได้ถึง 8 เฉดสี และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงเพลง รถรุ่นนี้ยังได้ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่มองหาอุปกรณ์เสียงที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้ดื่มด่ำกับรายละเอียดที่เล็กที่สุดของเสียงด้วยระลำโพงภายในตัวรถถึง 15 ชิ้น

พรศริน เมธีวัชรานนท์ ได้กล่าวว่า “  บริษัท เอ็มไพร์ มอเตอร์สปอร์ต จำกัด รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่นอกจากเราจะเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวแล้ว วันนี้เรายังได้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการจัดงานเฉลิมฉลองก้าวเข้าสู่ปีที่ 99  ของรถยนต์มาเซอร์ราติ ซึ่งมีประวัติมายาวนาน
โดยเราได้เลือก พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท ในการจัดงาน เพราะหากจะเปรียบการกันแล้วที่นี่ก็คล้ายกับรถยนต์มาเซอร์ราติ ที่มีการออกแบบในไสตล์อิตาลี และมีประวัติมายาวนาน พร้อมทั้งยังได้รับการปรับปรุงพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง จนกลายเป็นสถานที่ที่มีความหรูหราร่วมสมัย แต่ยังมีกลิ่นอายของความดั่งเดิมอยู่ในตัว และวันนี้ยังถือเป็นโอกาสอันดีในการเปิดตัวรถยนต์รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte) ดีไซน์ใหม่ครั้งแรกใน  ประเทศ ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของรถยนต์รุ่นนี้ซึ่งเรียกได้ว่าผ่านการปรับเปลี่ยนและพัฒนา นวัตกรรมยายนต์ของรถรุ่นนี้มากว่า 6    เจเนอเรชั่นเลยก็ว่าได้ โดยแต่ละเจเนอเรชั่นจะถูกออกแบบโดยนักออกแบบรถยนต์แถวหน้าระดับโลกที่ไม่ซ้ำกัน ไม่ใช่  เพียงแค่ดีไซน์ที่หรูหราล้ำสมัยเท่านั้น  รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมความสะดวกสบาย ที่จะทำให้การเดินทางของผู้ที่ใช้รถกลายเป็นความรื่นรมย์อย่างแท้จริง  โดยเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte) ดีไซน์ใหม่นี้ จะยังคงได้รับการตอบรับที่   ดีจากผู้ที่ชื่นชอบความหรูหราในสไตล์อิตาลี  เหมือนเช่นเคยค่ะ”

จักรกฤต เบเนเดทตี้ ได้กล่าวว่า ผมเป็นคนที่ชื่นชอบและหลงใหลในรถยนต์ มาเซอร์ราติ มานานแล้ว อีกทั้งไลฟ์สไตล์ผมยังเป็นคนชอบการตกแต่งและออกแบบในสไตล์อิตาลี โดยเฉพาะดีไซน์ใหม่ของรถยนต์มาเซอร์ราติ รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte)  ที่รวมเอาความสปอร์ตและหรูหราเข้าด้วยกัน อีกทั้งเทคโนโลยีภายใน ที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนชอบความเอ็นเตอร์เทนเม้นท์อย่างผม ได้อย่างลงตัว  ไม่เท่านั้นเสียงเร่งของเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8ขนาด 3.8 ลิตรแบบใหม่ของรถรุ่นนี้ มันยังทำให้ผมรู้สึกฮึกเหิมทุกครั้งที่ได้ยิน
สรัญทร เตชะไพบูลย์ ได้กล่าวว่า “ส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบรถซาลูนอยู่แล้วค่ะ เพราะเป็นคนที่ของเยอะ และชอบไปไหนกับเพื่อนเยอะๆ บอกได้คำเดียวว่าประทับใจมาก กับรถยนต์ มาเซอร์ราติ  รุ่น ควอตโตรปอร์เต้ (Quattroporte) เพราะคิดมาเสมอว่ารถยนต์อิตาลี จะมีดีไซน์ที่ค่อนข้างมีอายุ  แต่รถยนต์รุ่นนี้ทำให้ เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะรถยนต์รุ่นนี้ได้รับการ
พัฒนาทั้งนวัตกรรมและการดีไซน์ แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบคลาสสิคไว้ และมีให้เลือกปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของเราถึง 8 สี และที่ถูกใจอีกอย่างคือการตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึกหรูหรา และกว้างสบายไม่รู้สึกอึดอัด อีกทั้งยังหุ้มเบาะด้วยหนังระดับโลกของ พอลโทรน่า ฟราว (Poltrona Frau) ที่เปลี่ยนความรู้สึกของเบาะหนังแบบเดิมๆ ไปเลยค่ะ
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved