- จากัวร์ แลนด์โรเวอร์ นำเสนอรถยนต์ 4 รุ่นใหม่สู่ตลาดรถหรูเมื
องไทยอย่างเป็นทางการ ได้แก่ ดิ ออล-นิว จากัวร์ เอ็กซ์อี, เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต ไฮบริด, เรนจ์โรเวอร์ ไฮบริด และเรนจ์โรเวอร์ อีโวค รุ่นปี 2016 - ดิ ออล-นิว จากัวร์ เอ็กซ์อี รถสปอร์ตซาลูนที่มอบสุดยอดแห่
งนวัตกรรม สมรรถนะการขับขี่และดีไซน์ที่ งามสง่า ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษที่ 3,999,000 บาท สำหรับรุ่น R-Sport เฉพาะในงานเท่านั้น - เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต ไฮบริด และ เรนจ์โรเวอร์ ไฮบริด รถไฮบริดเครื่องยนต์ดีเซลรุ่
นแรกของโลกที่เปิดตั วในประเทศไทย มาพร้อมกับเทคโนโลยีไฮบริดแท้ด้ วยสมรรถนะแลนด์โรเวอร์อย่างเต็ มขั้น - เรนจ์โรเวอร์ อีโวค รุ่นปี 2016 รถยนต์ขายดีอันดับหนึ่งที่มาพร้
อมดีไซน์และเทคโนโลยีสุดล้ำ - เชิญทดลองขับทดสอบสมรรถนะเหนื
อระดับของรุ่นต่างๆ ได้แก่ ดิ ออล-นิว จากัวร์ เอ็กซ์อี, เดอะ นิว แลนด์โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรี่ สปอร์ต และ เรนจ์ โรเวอร์ อีโวค 2016 - พบกับโปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิ
เศษในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 32 เรนจ์โรเวอร์ อีโวค รุ่นปี 2016 เริ่มต้นที่ 3,999,000 บาท สำหรับรุ่น SE Plus, ดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%* และเงินดาวน์ขั้นต่ำที่ 35% ผ่อนนาน 48 เดือน พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษาตัวรถฟรี 3 ปี** พร้อมด้วยส่วนลด 15% สำหรับผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการขาย และอุปกรณ์ตกแต่ง พร้อมฟรีค่าติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่ ง
จากัวร์ แลนด์โรเวอร์เปิดตัวยนตรกรรมหรู 4 รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32
Posted by Contemporary industry
Posted on 22:54
(ในภาพ) :ชาญชัย มหันตคุณ (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด เปิดตัวรถยนต์ 4 รุ่นใหม่สู่ตลาดรถหรูเมื องไทยอย่างเป็นทางการ ได้แก่ ดิ ออล-นิว จากัวร์ เอ็กซ์อี, เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต ไฮบริด, เรนจ์โรเวอร์ ไฮบริด และเรนจ์โรเวอร์ อีโวค รุ่นปี 2016 ภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี โดยมีชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ รองประธานกรรมการผู้จัดการ และ ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานกรรมการบริษัทสื่อสากล จำกัด ให้เกียรติร่วมถ่ายภาพ
1 ธันวาคม 2558, กรุงเทพฯ – จากัวร์ แลนด์โรเวอร์ เปิดตัวยนตรกรรมหรูสัญชาติอั งกฤษ 4 รุ่นใหม่อย่างเป็ นทางการ ณ งานมหกรรมยานยนต์ครั้ งที่ 32 (The 32th Thailand International Motor Expo 2015) ที่บูธหมายเลข B04 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 ระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคม 2558 โดยในงานนี้ ซิตี้ ออโต้โมบิล นำเสนอสุดยอดยานยนต์สมรรถนะสู งจากจากัวร์ แลนด์โรเวอร์หลากหลายรุ่น เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้ องการของไลฟ์สไตล์ที่แตกต่ างสำหรับผู้บริโภคระดับสูงในเมื องไทย
ไฮไลท์ภายในบู๊ท
บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือคาวาซากิ เฮฟวี่ อินดัสตรีส์ ได้เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 หรือ Thailand International Motor Expo 2015
Posted by Contemporary industry
Posted on 22:41
บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือคาวาซากิ เฮฟวี่ อินดัสตรีส์ ได้เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 หรือ Thailand International Motor Expo 2015 โดยในปีนี้คาวาซากิได้แสดงสุดยอดเทคโนโลยีรถจักรยานยนต์เหนือระดับออกสู่สายตาประชาชน เพื่อส่งมอบความสนุกสนานในการขับขี่ให้แก่แฟนๆ นักบิดและบรรดานักแข่งทั้งหลาย ทั้งในแง่ของการเป็นยานพาหนะและการส่งมอบความสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่ผู้ขับขี่ นอกจากนี้คาวาซากิในฐานะของผู้นำตลาดรถบิ๊กไบค์ก็ยังช่วยเพิ่มสีสันและโอกาสใหม่ๆ ให้แก่คนไทยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างมากกับการเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ
โดย Kawasaki Global ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยองนั้นถือเป็นฐานการส่งออกที่สำคัญของกลุ่ม Kawasaki ที่ได้ผลิตรถจักรยานยนต์เพื่อป้อนให้แก่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ประเทศสหรัฐฯ ยุโรป หรือญี่ปุ่น มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 นอกจากนี้คาวาซากิก็ยังได้นำรถ จักรยานยนต์ที่มีคุณภาพและสมรรถนะขั้นสูงเข้ามา ซึ่งตลาดของไทยให้การตอบรับรถจักรยานยนต์โมเดลชั้นนำเหล่านี้ด้วยดี ส่งผลให้ตลาดรถจักรยานยนต์ของไทยเติบโตเป็นอย่างมาก
โดยรุ่นที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ “Ninja ZX-10R” ซึ่งในปีนี้ Kawasaki คว้าแชมป์ World Superbike Championship มาครองได้สำเร็จ ทางเราได้มีการนำ Know-how และ เทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนารถจักรยานยนต์รุ่นนี้และนำมาสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในรอบ 5 ปี โดยปี 2016 ที่กำลังจะมาถึง Kawasaki Motors Thailand จะเข้าร่วมแข่งขันในรายการ ชิงแชมป์ภายในประเทศพร้อมกับ Champion machine “Ninja ZX-10R” ทางเรายังมีแผนที่จะสนับสนุน Racing kits และอะไหล่ต่างๆให้กับทีมอิสระที่ใช้ “Ninja ZX-10R” ในการเข้าร่วมแข่งชิงแชมป์ภายในประเทศ นอกจากนี้ทาง Kawasaki ยังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดการแข่งขันรุ่น Ninja ZX-10R One make race ในการแข่งขัน “Kawasaki Road Racing Championship” ที่ทาง Kawasaki จะเป็นผู้ดำเนินการจัดการแข่งขันอีกด้วย เรามีความปรารถนาที่จะให้ทุกท่านมีโอกาสชมและสัมผัส Champion machine “Ninja ZX-10R” ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากทาง Kawasaki ผ่านทางกิจกรรมต่างๆที่เราได้กล่าวไปในข้างต้น
ไฮไลท์อีกคัน Ninja H2 ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจาก Ninja H2R รถสนามที่เรียกว่าเร็วและแรงที่สุดในโลก ปีนี้ Ninja H2 มาพร้อมกับโฉมสีใหม่ สวย ดุดัน สมกับเป็นรถสปอร์ตอย่างแท้จริง ด้วยรูปลักษณ์และเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Super Charger ที่ให้ความแรง ความเร็ว ความท้าทาย ผสมผสานไปกับการออกแบบรูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ตเพื่อรับกับการขับขี่ในความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเจ้า H2 คันนี้ยังสามารถขับขี่ได้บนถนนได้จริงด้วยกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่สามารถควบคุมได้ด้วยระบบป้องกันการลื่นไถลและระบบรองรับความเร็วเพื่อความสนุกของการขับขี่ โดยทางคาวาซากิจะจัดส่งรถรุ่นนี้ถึงมือท่านในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2016 สำหรับคุณลูกค้าที่จองรถในงาน Motor Expo 2015
อีกหนึ่งรุ่นของคาวาซากิสำหรับสาวก Super Naked ขนาด 125 ซีซี เครื่องยนต์ 1 สูบ ระบบหัวฉีด รถจักรยานยนต์ที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาเครื่องยนต์โดยทีมงานคนไทย มีการสำรวจจริงจากผู้ใช้งานทำให้ทราบถึงความต้องการของผู้ขับขี่ ทั้งนี้ Z125 มีให้เลือกขับขี่ถึง 2 สไตล์ด้วยกันคือ Z125 PRO การขับขี่ที่เพิ่มความสนุกให้แก่ผู้ขี่โดยมีระบบคลัทช์เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบการควบคุมรถด้วยตัวเอง สำหรับรุ่น Z125 การควบคุมด้วยระบบคลัทช์อัตโนมัติ ง่ายเพียงแค่สตาร์ทก็สามารถขับขี่ได้อย่างสนุกสนาน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า คาวาซากิใส่ใจในรายละเอียดทุกการขับขี่ เพื่อให้การเดินทางสนุกสนานและราบลื่นซึ่งถือเป็นคอนเซ็ปต์หลักของบริษัทอย่างแท้จริง
รถจักรยานยนต์ที่ถูกนำมาจัดแสดงในงาน Motor Expo ได้แบ่งตามสไตล์การขับขี่ โดยมีรุ่นต่างๆดังนี้ Ninja 250SL ABS (WSB), Ninja 300 ABS (WSB), Ninja 650 ABS, Ninja ZX-10R ABS, Ninja H2, Ninja ZX-14R สำหรับสไตล์ Naked ที่นำมาโชว์มีดังนี้ Z125/Z125 PRO, Z250 ABS, Z300 ABS (Accessories), Er-6n ABS, Z800 (Accessories), Z1000 สำหรับสไตล์ทัวร์ริ่งคาวาซากิก็นำมาอวดสีใหม่พร้อมอุปกรณ์แต่งในราคาพิเศษ อย่าง Versys 650 ABS (Accessories), Versys 1000 (Accessories), Vulcan S (Accessories) ใน Café สไตล์ สำหรับสไตล์วิบากคาวาซากิได้จัดเต็มอวดโฉมอย่างจุใจทั้ง D-Tracker 150 (Accessories) และ KLX150BF ยังไม่เพียงเท่านี้คาวาซากิยังจัดแสดงรถแต่งรุ่น Z125 ให้ทุกท่านได้สัมผัสและชมอย่างใกล้ชิดภายในงานอีกด้วย
Kawasaki มีความประสงค์ที่จะนำเสนอ Life Style ที่หลากหลายสู่ผู้ใช้งานทุกเพศทุกวัยผ่านทางไลน์ผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์ของเราต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ง มีการจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะในงาน Motor Expo เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ทุกท่านได้มีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่รถจักรยานยนต์ของเรา รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ Website ของเรา หรือสอบถามไปยังตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน และเจ้าหน้าที่ซึ่งคอยให้คำแนะนำประจำบูธของเราได้เช่นกัน
คาวาซากิขอเชิญชวนทุกท่านร่วมชมและสัมผัสมิติแห่งการขับขี่อย่างมีสไตล์ได้ที่บูธคาวาซากิภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 หรือ Thailand International Motor Expo 2015 ส่งเสริมมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้พัฒนาไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานีเมืองทองธานี วันที่ 2-13 ธันวาคม 2558 จันทร์ - ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 12.00 - 22.00 น. เสาร์ - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 11.00 - 22.00 น.ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและข่าวสารจากคาวาซากิได้ที่ www.kawasaki.co.th และ www.facebook.com/KawasakiMotorsThailand
สิ้นสุดการรอคอย! ฮอนด้าส่งมอบความเอ็กไซท์ เปิดตัวบิ๊กไบค์ New 500Series รวดเดียว 3 รุ่น แถมสร้างความฮือฮาด้วยการเผยโฉม All New Honda Africa Twin สุดยอดแอดเวนเจอร์ไบค์ เปิดให้คนไทยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2015
Posted by Contemporary industry
Posted on 22:35
เอ.พี.ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทยโหมรุ กตลาดรถใหญ่ส่งท้ายปีด้วยการเปิ ดตัวโมเดลใหม่ในตระกูล 500Series พร้อมกันทีเดียว 3 รุ่น ได้แก่ New Honda CBR500R, New Honda CB500F, New Honda CB500X พร้อมกับเผยโฉม All New Honda Africa Twin สุดยอดแอดเวนเจอร์ไบค์ให้ คนไทยได้สัมผัสเป็นครั้ งแรกภายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2015 ที่บูธ G04 อิมแพค ชาลเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 2 ถึง 13 ธันวาคม 2558
นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทยเปิ ดเผยว่า “ตลาดรถบิ๊กไบค์ในเมืองไทยปี 2015 ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดจดทะเบียนในช่วง 11 เดือนแรกของปีอยู่ที่ประมาณ 18,400 คัน เติบโตขึ้นประมาณ 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ก่อนหน้า ในขณะที่ฮอนด้าบิ๊กไบค์มี ยอดจดทะเบียนมากกว่า 6,300 คัน เติบโตขึ้นประมาณ 32%ครองความเป็นผู้นำตลาดด้วยส่ วนแบ่ง 34% โดยประมาณ”
“ความครบวงจรในตัวสินค้าคือกุ ญแจสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ รถฮอนด้าบิ๊กไบค์ได้รับความไว้ วางใจมากที่สุดในเมืองไทย แต่เราก็ยังไม่หยุดส่ งมอบประสบการณ์ระดับโลกให้กับลู กค้า เช่นเดียวกับในงานมอเตอร์เอ็กซ์ โปครั้งนี้ เราได้เปิดตัวบิ๊กไบค์โฉมใหม่ ของตระกูล 500Series Unrestricted Riding รวม 3 รุ่น ประกอบด้วย New Honda CBR500R, New Honda CB300F, New Honda CB500X ซี่งถูกรีดีไซน์ให้มีความโฉบเฉี ่ยวล้ำสมัย เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ มีสมรรถนะที่โดดเด่น และความปลอดภัยเหนือระดับ เพื่อให้ลูกค้าฮอนด้าบิ๊กไบค์ทุ กท่านได้ขับขี่รถอย่างสนุกและมั ่นใจ โดยประเทศไทยยังถือเป็ นประเทศแรกของโลกที่เปิดรั บจองรถทั้ง 3 รุ่นนี้อีกด้วย”
“พร้อมกันนี้ เรายังได้นำ All New Honda Africa Twin บิ๊กไบค์ทางฝุ่นที่มีประวัติ ศาสตร์อันยิ่งใหญ่ในฐานะแชมป์ แรลลี่หฤโหด Dakar Rally 4 สมัยมาให้คนไทยได้สัมผัสกันเป็ นคร้งแรก โดย All New Honda Africa Twinได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถนะที่ สูงขึ้นยิ่งกว่าเดิมตามสไตล์ รถแอดเวนเจอร์ยุคใหม่ที่เน้นใช้ งานได้ทั้งบนทางฝุ่นและทางเรี ยบภายใต้รหัส CRF1000L ถือเป็นตัวท็อปของตระกูล CRF ทั้งหมด มีดีไซน์โดดเด่น แข็งแกร่งและทรงพลังด้ วยเทคโนโลยีล้ำสมัยของฮอนด้า ลุยไปได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็ นออฟโรดหรือทัวริ่ง หรือแม้กระทั่งการขับขี่ในชีวิ ตประจำวัน โดย All New Honda Africa Twin จะเปิดรับจองในช่วงต้นปีหน้า”
สำหรับ New Honda CBR500R บิ๊กไบค์สปอร์ตฟูลคาว ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคัน แฟริ่งให้ความดุดันและปราดเปรี ยวทุกมุมมอง ไฟหน้าคู่และไฟท้าย แบบ LED เบาะนั่งแบบแยกส่วนชัดเจน พร้อมกับด้านท้ายที่สั้นลงเพื่ อความเป็นสปอร์ตเต็มขั้น มีให้เลือก 3 สีได้แก่สีดำแมตกันพาวเดอร์แบล็ คเมทัลลิค, สีแดงมิลเลนเนียมเรด, สีเทาอินดี้เกรย์เมทัลลิค
New Honda CB500F บิ๊กไบค์แบบเนคเกด ออกแบบใหม่ทั้งคัน เผยให้เห็นเครื่องยนต์ และเฟรมรถมากขึ้น ไฟหน้าใหม่แบบ LED ให้ความดุดัน ไฟท้ายแบบ LED เบาะซ้อนท้ายแบบแยกส่วน มีให้เลือก 3 สีได้แก่ สีส้มแคนดีเอเนอร์จีออเรนจ์, สีดำแมตกันพาวเดอร์แบล็คเมทัลลิ ค, และสีเลมอนไอซ์เยลโลว์
New Honda CB500X บิ๊กไบค์แบบแอดเวนเจอร์มาพร้ อมกับรูปลักษณ์ที่ดูปราดเปรี ยวยิ่งขึ้น ไฟหน้าและไฟท้ายใหม่แบบ LED พร้อมวินด์ชีลด์ที่สูงขึ้นกว่ าเดิม มีให้เลือกทั้งสิ้น 4 สี ได้แก่สีแดงมิลเลนเนียมเรด, สีน้ำตาลแมตเฟรสโกบราวน์, สีขาวแมตเพิร์ลซัมมิทไวท์, และสีดำแมตกันพาวเดอร์แบล็กเมทั ลลิค
ทั้ง 3 รุ่นขับเคลื่อนด้วยขุมพลั งจากเครื่องยนต์ 2 สูบ DOHC ขนาด 500cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมกลไกการเปลี่ยนเกียร์ แบบใหม่ที่ให้ความรู้สึกนุ่ มนวลขึ้น เสริมความมั่นใจด้วยระบบเบรก ABS และกุญแจแบบWave Key ฝังชิพพิเศษป้องกันการโจรกรรม โช้คหน้าใหม่เพิ่มระบบ Preload Adjuster ปรับระดับได้สำหรับการรองรับน้ ำหนักหลากหลายรูปแบบ ก้านเบรกหน้าปรับได้ 5 ระดับเพื่อความสะดวกสบายของผู้ ขับขี่ นอกจากนี้ ในรุ่นNew CBR500R และ CB500F ยังได้ติดตั้งท่อไอเสียดีไซน์ ใหม่ที่มีความสปอร์ตเต็มตั วและให้เสียงที่นุ่มนวลขึ้นอี กด้วย
ฮอนด้าพร้อมเปิดรับจองรถใหม่ ในตระกูล 500Series ในประเทศไทยเป็ นประเทศแรกในโลกภายในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2015 เริ่มจาก New Honda CBR500R ราคา 215,000 บาท, New Honda CB500F ราคา210,000 บาท, และ New Honda CB500X ราคา 220,000 บาท ด้วยข้อเสนอพิเศษดอกเบี้ยต่ำสุ ดเพียง 3.75%เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ที่ ซื้อฮอนด้าบิ๊กไบค์ตระกูล 650Series รับทันทีคูปองเงินสดมูลค่า10,000 บาทสำหรับซื้อสินค้าและบริ การในศูนย์ฮอนด้าบิ๊กวิง และสำหรับผู้ที่ซื้อรถนำเข้าทุ กคันรับฟรีประกันภัยชั้น1 ทะเบียน และพรบ. วันนี้ถึง 13 ธันวาคมนี้เท่านั้น
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติ มและข่าวสารของฮอนด้าบิ๊กไบค์ ได้ที่เว็บไซต์ www.hondabigbike.com พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมต่ างๆได้ที่แฟนเพจของฮอนด้าบิ๊ กไบค์ www.facebook.com/HondaBigBike และอินสตราแกรมIG:HondaBigBike
“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32” เปิดยิ่งใหญ่ ชูแนวคิด “มาตรฐานใหม่ ยานยนต์ไทยใส่ใจโลก”
Posted by Contemporary industry
Posted on 22:23
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ที่ 5 จากซ้าย) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32" โดยมี ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน (ที่ 6 จากซ้าย) ให้การต้อนรับ ณ ห้องรอยัล จูบีลี อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2558
“MOTOR EXPO 2015” เปิดงานยิ่งใหญ่
รถแนวคิด รถใหม่เพียบ พร้อมราคาสุดท้ายก่อนปรับภาษี
รถแนวคิด รถใหม่เพียบ พร้อมราคาสุดท้ายก่อนปรับภาษี
“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32” เริ่มแล้ว ค่ายรถระดมเปิดตัวรถใหม่ แคมเปญเร้าใจ กระตุ้นตลาดส่งท้ายปี ก่อนปรับราคารับภาษีใหม่ คาดยอดจอง 50,000 คัน ผู้ชมงาน 1.5 ล้านคน
ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32" หรือ “The 32nd Thailand International Motor Expo 2015” เปิดเผยว่า ปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด “มาตรฐานใหม่ ยานยนต์ไทยใส่ใจโลก” หรือ “NEW STANDARDS…THAI VEHICLES CARE ABOUT THE EARTH” โดยได้รับเกียรติจาก หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงานอย่างเป็ นทางการ
ขวัญชัย กล่าวต่อว่า “ในงานมีค่ายรถร่วมงานจำนวน 33 ยี่ห้อจาก 11 ประเทศ รถจักรยานยนต์อีก 15 ยี่ห้อ จาก 8 ประเทศ ไฮไลท์ของงานจัดแสดงรถแนวคิ ดและรถต้นแบบถึง 4 คัน เปิดตัวรถใหม่กว่า 10 รุ่น รวมทั้งแต่ละค่ายยังจัดโปรโมชั นที่น่าสนใจ พร้อมจำหน่ายราคาเดิมก่อนปรับขึ ้นในปีหน้าตามอัตราภาษีสรรพสามิ ตใหม่ จึงคาดว่าจะมียอดจองรถยนต์ ในงานสูงถึง 50,000 คัน รถบิ๊กไบค์ 3,000 คัน และผู้ชมงาน 1.5 ล้านคน เม็ดเงินสะพัดในงานกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท”
งาน ”มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32” มีพื้นที่จัดแสดงงานทั้ งภายในและภายนอกอาคารทั้งสิ้ นกว่า 100,000 ตารางเมตร ผู้ชมงานจะพบ รถยนต์ 33 ยี่ห้อ ได้แก่ BMW, CARLSSON, CHANGAN, CHEVROLET, DFSK, FORD, FOTON, FUSO, HONDA, HYUNDAI, ISUZU, JAGUAR, LAMBORGHINI, LAND ROVER, LEXUS, MAZDA, McLAREN, MERCEDES-BENZ, MG, MINI, MITSUBISHI, MOKE, NISSAN, PEUGEOT, PORSCHE, SAMMITR GREEN POWER, SUBARU, SUZUKI, SWIFT, TATA, TOYOTA, VOLKSWAGEN และ VOLVO รวมถึง รถจักรยานยนต์ 15 ยี่ห้อ ได้แก่ BENELLI, BMW, DUCATI, GPX, HARLEY-DAVIDSON, HONDA, KAWASAKI, KEEWAY, KTM, ROYAL ENFIELD, SUZUKI, TRIUMPH, UDA, VESPAและ YAMAHA
สำหรับรถแนวคิดและรถต้นแบบที่จั ดแสดงในงาน ได้แก่ HYUNDAI HED-9 เผยโฉมครั้ งแรกในงานมหกรรมยานยนต์เจนีวา ออกแบบภายใต้แนวคิด FLUIDIC SCULPTURE DESIGN 2.0 เครื่องยนต์พลังงานเชื้อเพลิ งไฮโดรเจน ขนาดเล็ก พร้อมแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 36 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จพลังงานเต็ มในเวลาเพียงไม่กี่นาที วิ่งได้มากกว่า 600 กิโลเมตร
MG CS รถอเนกประสงค์ประเภทครอสส์ โอเวอร์ เอสยูวี ที่เอมจี มีแผนจะผลิตและจัดจำหน่ ายในประเทศไทยเร็วๆ นี้
SUBARU VIZIV 2 CONCEPT รถยนต์ต้นแบบครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี 5 ประตู ขุมพลังแบบพลัก-อิน ไฮบริด ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร ไดเรคท์อินเจคชันเทอร์โบ (DIT) มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 1 ตัว และด้านหลัง 2 ตัว แบทเตอรีชนิดลิเธียม-ไอออน ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ แปรผัน (CVT) ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD
TOYOTA FT-86 OPEN CONCEPT รถแนวคิดเวอร์ชันเปิดประทุ นของรถยนต์สปอร์ท จีที 86 ที่เอาหลังคาเดิมออกแล้วแทนที่ ด้วยหลังคาผ้าใบสีน้ำเงินพร้ อมกระจกหลังในตัว รูปทรงคูเป ห้องโดยสารแบบ 2+2 ออกแบบโดย TOYOTA BOSHOKU MILAN DESIGN (TBMD)
นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิ จกรรมอื่นๆ อีกมาก อาทิ นิทรรศการสมาคมรถโบราณแห่ งประเทศไทย, ลานศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย , นิทรรศการ ศิลปินน้อย MOTOR EXPO, โครงการ "ขับเป็น... ขับปลอดภัย กับ สื่อสากล", โครงการประกวดภาพถ่ายMOTOR EXPO, โครงการประกวดนวัตกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 6 และกิจกรรมโรงเรียนพัฒนาทั กษะการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงกิจกรรมคืนกำไรแก่ผู้เข้าชมงาน ซึ่งมีรางวัลรวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ได้แก่ ซื้อรถ ชิงรถ, ซื้อบัตร ชิงรถ, SMS ชิงรถ, ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ชิงบิ๊กไบค์, ซื้อสินค้า ชิงรางวัล, ประกวดภาพถ่าย “MOTOR EXPO PHOTO CONTEST 2015 “ ฯลฯ
สำหรับการเดินทางไปชมงานมีรถ Express Shuttle Bus บริการรับ-ส่งฟรี วันธรรมดา เวลา 12.00-22.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ เวลา 11.00-22.00 น. ใน 4 เส้นทางหลัก ประกอบด้วย
1. หมอชิต-อิมแพค-หมอชิต MRT สถานีจตุจักร EXIT 4, BTS สถานีหมอชิต EXIT 2
2. อ่อนนุช-อิมแพค-อ่อนนุช สถานีอ่อนนุช EXIT 2
3. สีลม-อิมแพค-สีลม MRT สถานีสีลม EXIT 1
4. รังสิต-อิมแพค-รังสิต ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ลานจอดรถตู้ หน้าห้างบิกซี
ห้ามพลาด.. “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32” ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 2-13 ธันวาคม2558 พร้อมรับชมการถ่ายทอดสดงานได้ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทั พบกช่อง 5 ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2558 ตั้งแต่เวลา 14.00 – 16.00 น. ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที ่ http://www.motorexpo.co.th
เอเอเอสฯ ขยายธุรกิจเพื่อรองรับและบริการกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นในฐานะผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กับ Porsche Centre Pattanakarn โชว์รูม และศูนย์บริการรถยนต์ปอร์เช่แห่งใหม่
Posted by Contemporary industry
Posted on 23:44
กรุงเทพฯ. ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เดินหน้ารุกตลาดอย่างเหนือชั้น ขยายสาขาในการให้บริการ เปิด โชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ปอร์เช่เพิ่มอีก 1 แห่งใจกลางเมือง ริมถนนพัฒนาการ (ระหว่างซอย 30-28) เพื่อรองรับและบริการกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยงานเฉลิมฉลองเปิดตัวโชว์รูมแห่งใหม่นี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน 2015 ณ โชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ปอร์เช่ พัฒนาการ (Porsche Centre Pattanakarn) โดย เอเอเอสฯ ในฐานะผู้นำเข้ารถยนต์ปอร์เช่ อย่างเป็นทางการ พร้อมแล้วที่จะพาทุกท่านสัมผัสกับประสบการณ์แห่งการขับขี่สไตล์ปอร์เช่อย่างแท้จริง ภายในงานท่านจะได้พบกับการเปิดตัว สุดยอดรถสปอร์ตส่งตรงจากสนามแข่ง ที่สามารถขับขี่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ปอร์เช่ 911 จีที 3 อาร์เอส (911 GT3 RS) และ เคย์แมน จีที 4 (Cayman GT4)
เกี่ยวกับโชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ปอร์เช่ พัฒนาการ (Porsche Centre Pattanakarn)
เอเอเอสฯ ทุ่มงบประมาณกว่า 550 ล้านบาท เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน เปิดโชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ปอร์เช่แห่งที่ 2 ณ ถนนพัฒนาการ โดยตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ พื้นที่ใช้สอยภายในมากกว่า 9,000 ตารางเมตร สร้างเป็นอาคารทันสมัยกว่า 6 ชั้น ภายใต้สถาปัตยกรรมและการตกแต่งที่โดดเด่น เรียบหรู แต่ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เพื่อเตรียมพร้อมรองรับสำหรับส่วนขยายในการดูแลลูกค้าทุกท่านในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุด ตกแต่งโชว์รูมด้วยไฟแอลอีดีชนิดพิเศษ Smart Adjustable Light for the Internet of Things (SALIOT) นวัตกรรมใหม่จากประเทศญี่ปุ่น สามารถควบคุมและปรับตำแหน่งได้โดย Application บน Smartphone
นอกเหนือจากความทันสมัยของ Smart Lighting โชว์รูมปอร์เช่ พัฒนาการแห่งนี้ พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ในการนำเสนอข้อมูลรถยนต์ด้วยเทคโนโลยีผ่านลำแสง “LiFi : Wi-Fi but by the light” ซึ่งท่านสามารถรับชมข้อมูลรถยนต์ ปอร์เช่ หรือวีดีโอต่างๆ ได้ ผ่าน Smartphone ซึ่งควบคุมโดยลำแสง ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในขณะนี้
ภายในโชว์รูม ท่านจะได้พบกับรถยนต์ปอร์เช่หลากหลายรุ่น ที่ให้ท่านได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยโซน Porsche Driver’s Selection ที่จัดแสดงไว้ด้านหน้าอย่างโดดเด่น พร้อมให้ผู้ที่ชื่นชอบในสินค้า Accessories ของปอร์เช่ได้เข้ามาเลือกสรรในราคาพิเศษ ส่วนบริเวณ Customer Lounge ที่รับรองลูกค้าทั้งในพื้นที่โชว์รูมและพื้นที่ชั้นบน ซึ่งครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิง ห้อง Fitting Lounge สรรสร้างรถยนต์ปอร์เช่ของท่านในทุกแบบที่ต้องการด้วยโปรแกรม Porsche Car Configurator และในส่วนของศูนย์บริการ สามารถรองรับได้ถึง 8 ช่องที่พร้อมดูแลรถยนต์ปอร์เช่ของท่าน ด้วยทีมงานวิศวกรที่มีคุณภาพ อะไหล่ เครื่องมือ และอุปกรณ์ตกแต่งของแท้ตามมาตรฐานของโรงงานปอร์เช่ ทั้งหมดนี้สร้างขึ้นตาม Corporate Identity (CI) ของโรงงานปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับศูนย์ปอร์เช่ทั่วโลก
เกี่ยวกับ บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด
เอเอเอสฯ ในฐานะผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ให้ความมั่นใจว่ารถยนต์ทุกคันที่ทางเอเอเอสฯ นำเข้าและจัดจำหน่ายได้ผ่านการทดสอบโฮโมโลเกชั่น (Homologation) ของประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายและครบทุกกระบวนการที่จำเป็นและสำคัญสำหรับการนำมาใช้งานในประเทศไทย ระบบจัดการของเครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับแต่งและปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับกฎระเบียบและสภาพภูมิประเทศของประเทศไทยอย่างดีที่สุด รวมถึงยังมีศูนย์บริการของรถยนต์ปอร์เช่ที่ได้มาตรฐานตามโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีกำหนดไว้ พร้อมทั้งมีทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานโดยตรง พร้อมให้การดูแลและบริการรถยนต์ปอร์เช่ของท่าน โดยลูกค้าสามารถมั่นใจในบริการที่จะได้รับหากซื้อรถยนต์กับทางเอเอเอสฯ อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการบริการหลังการขายที่ได้คุณภาพโดยตรงจากโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนี ราคาที่เสียภาษีนำเข้ารถยนต์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และคุณภาพของรถยนต์ปอร์เช่ที่ได้มาตรฐาน
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรงพร้อมการันตีด้วยรางวัล Porsche Service Excellence Award จากการตรวจสอบคุณภาพประจำปี รวมถึงทีมวิศวกรที่ได้รับการรับรองและผ่านการทดสอบจากโรงงานในระดับเหรียญทอง (Zertifizierter Porsche Techniker – Gold Expert) ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของปอร์เช่คอยให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน ตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ” หรือ “AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อก้าวเข้าสู่คำว่า AAS The Name you can Trust ความไว้วางใจที่ให้คุณได้มากกว่า ตลอดระยะเวลาดำเนินการมา กว่า 30 ปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ได้ที่แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-103 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.porsche.co.th
รถยนต์ปอร์เช่ เคย์แมน จีที4 คลับสปอร์ต (Cayman GT4 Clubsport) ใหม่ล่าสุด สายพันธุ์สปอร์ตจากสนามแข่ง
Posted by Contemporary industry
Posted on 00:58
สตุ๊ดการ์ท. ปอร์เช่ เปิดตัวยนตกรรมสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด โดยการพัฒนาขึ้นเพื่อการลงสนามแข่งขันอย่างแท้จริง: รถยนต์ปอร์เช่ เคย์แมน จีที4 คลับสปอร์ต (Cayman GT4 Clubsport) เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลก ในงานมหกรรมยานยนต์ Los Angeles ด้วยเครื่องยนต์วางกลางพร้อมพละกำลังกว่า 283 แรงม้า (385 hp) ออกแบบเพื่อสมรรถนะการขับขี่สูงสุดสำหรับการแข่งขันในสนาม ต่อยอดการพัฒนาจากรถยนต์ปอร์เช่ เคย์แมน จีที4 คลับสปอร์ต (Cayman GT4
Clubsport)
Clubsport)
เฉกเช่นเดียวกับรถสปอร์ตสมรรถนะสูงจากปอร์เช่ทุกรุ่น เคย์แมน จีที4 คลับสปอร์ต (Cayman GT4 Clubsport) ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์แบบ 6 สูบนอนขนาด 3.8 ลิตร โดยวางตำแหน่งของเครื่องยนต์บริเวณกลางตัวรถหลังที่นั่งของผู้ขับขี่ ระบบเกียร์คลัทช์คู่ 6 จังหวะ ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรถในสนามแข่งโดยเฉพาะ ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วย paddle shift บนพวงมาลัย พร้อมระบบเฟืองท้ายประสิทธิภาพสูงเพื่อการขับขี่ในสไตล์สปอร์ตเต็มรูปแบบ ระบบช่วงล่างด้านหน้าประสานการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบช่วงล่างด้านหลังด้วยชุดสตรัทน้ำหนักเบา จากรถแข่งปอร์เช่ 911 จีที3 คัพ (911 GT3 Cup) ที่ได้รับการพิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยมของสมรรถนะในการยึดเกาะพื้นผิวถนนผ่านการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบหลากหลายสนามทั่วโลก เหนือกว่าด้วยระบบเบรกแบบสปอร์ต ด้วยจานเบรกหน้าและหลังขนาด 380 มิลลิเมตร คาลิเปอร์อลูมินั่ม 6 ลูกสูบสำหรับเบรกหน้า และ 4 ลูกสูบสำหรับเบรกหลัง ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรกสามารถปรับตั้งการทำงานได้อย่างละเอียดถึง 12 จังหวะ พร้อมระบบควบคุมการทรงตัวและระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ที่ได้รับการปรับจูนให้รองรับกับการขับขี่ในสนามแข่ง
ด้วยน้ำหนักรวมเพียง 1,300 กิโลกรัม รถยนต์ปอร์เช่ เคย์แมน จีที4 คลับสปอร์ต (Cayman GT4 Clubsport) ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพื่อความปลอดภัย ซึ่งประกอบด้วย การเสริมโครงสร้างตัวถังนิรภัย (safety cage) เบาะนั่งแบบสปอร์ตน้ำหนักเบาพร้อมจุดยึดเข็มขัดนิรภัยแบบ 6 จุดสำหรับการแข่งขัน, ถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดมาตรฐาน 90 ลิตร หรือสั่งติดตั้งอุปกรณ์พิเศษถังน้ำมันเชื้อเพลิงนิรภัยแบบ FT3 ได้ทั้งขนาดความจุ 70 ลิตร และ 100 ลิตร ล้ออัลลอยด์ขอบโลหะรูปแบบสายฟ้า 5 คู่ ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางสมรรถนะสูงจากมิชลิน (Michelin) คู่หน้าขนาด 25/64-18 และคู่หลังขนาด 27/68-18
รถยนต์ปอร์เช่ เคย์แมน จีที4 คลับสปอร์ต (Cayman GT4 Clubsport) สามารถสั่งซื้อได้แล้วจาก Porsche Motorsport เมือง Weissach โดยรองรับรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับสากลในปี 2016 หลายรายการ ได้แก่ รายการ VLN Long Distance Championship Nürburgring, รายการ SRO GT4 series, รายการ Pirelli GT3 Cup Trophy USA, รายการ Ultra 94 GT3 Cup Challenge Canada และ การแข่งขัน club races ของสมาชิก Porsche Club ประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรงพร้อมการันตีด้วยรางวัล Porsche Service Excellence Award จากการตรวจสอบคุณภาพประจำปี รวมถึงทีมวิศวกรที่ได้รับการรับรองและผ่านการทดสอบจากโรงงานในระดับเหรียญทอง (Zertifizierter Porsche Techniker – Gold Expert) ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของปอร์เช่คอยให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน ตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ” หรือ “AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อก้าวเข้าสู่คำว่า AAS The Name you can Trust ความไว้วางใจที่ให้คุณได้มากกว่า ตลอดระยะเวลาดำเนินการมา กว่า 30 ปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ได้ที่แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-103 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.porsche.co.th
NICHE CARS GROUP UNVEILS THE 570S COUPE: THE FIRST MODEL IN THE NEW McLAREN SPORTS SERIES
Posted by Contemporary industry
Posted on 00:16
In photo: Vittawat Chinabarramee (3rd left), Managing Director, Niche Cars Group, Thailand’s leading high end distributor of elite automotive brands, and the sole authorised dealer for McLaren in Thailand, brings the McLaren 570S Coupé, the first – and highest powered – model launched in the recently announced Sports Series, for VIP guests and media to closely experience the most accessible McLaren model to date. The event is honored by Nattanit Suphaveera (1st left), Wongchanok Chevasiri (2nd left), and Nanjaporn Chongkavinit (2nd right) to share McLaren driving experience. Pasupong Leenutaphong (3rd right), President, McLaren Owner’s Club Thailand and Van Zuilekom (1st right), McLaren Owner's Club member also joined for the close look of 570S Coupé, at McLaren showroom, Motorway, Km1.
Bangkok: Niche Cars Group, Thailand’s leading high end distributor of elite automotive brands, and the sole authorised dealer for McLaren in Thailand, brings the McLaren 570S Coupé, the first – and highest powered – model launched in the recently announced Sports Series, for VIP guests and media to closely experience the most accessible McLaren model to date. Following its global debut at the New York International Auto Show in April 2015, the new model range marks the entry of McLaren into the luxury sports car market, introducing race-derived technologies and supercar performance in a package which is very much a pure McLaren. Lightweight construction, including the use of a carbon fibre chassis, recognisable design values and a comprehensive specification list ensures a class-leading offering, and as uncompromised as is expected from a McLaren. With pricing starting at 21,800,00 THB, the 570S Coupé is available to order now at Niche Cars Group Tel. 02-321-1111 with deliveries starting Q1 of 2016 - the 540C Coupé, which retails from 19,800,000 THB follows in Q3 2016.
Vittawat Chinabarramee, Managing Director of Niche Cars Group said “McLaren is famous as Formula 1™ racing cars. Hence, it is very thrilling for the launch of its sport series for its high performance, yet suited to daily driving.
McLaren 570S Coupé represents the most attainable McLaren models to-date, and also offers the highest level of personalization with a broad colour palette and the widest variety of optional equipment ever, making it not difficult to be the class leading in sport cars market.”
The latest addition to the range completes the three tier model strategy for McLaren alongside the Super Series and Ultimate Series. The Sports Series is the most usable and attainable model to wear a McLaren badge to date, but it retains the core design and dynamic focus that ensures it is still worthy of the iconic name. Weighing as little as 1,313kg (2,895lbs), thanks in part to the unique lightweight carbon fibre MonoCell II chassis, the Sports Series is almost 150kg lighter than its closest rival. Power is provided by an evolution of the 3.8-litre twin turbo V8 engine with 30 percent new components. This ensures electrifying performance, with the 570S boasting a class-leading power-to-weight figure of 434PS. At the same time, the interior is more tailored around day-to-day usability, with optimised access, greater levels of stowage space and more refinement.
The Sports Series is a showcase of modern craftsmanship, with each model hand-finished at the state-of-the-art McLaren Production Centre (MPC) in Woking, England. A suite of new optional content and a ‘By McLaren’ designer range of interiors highlight the levels of customisation available.
‘The Sports Series is aimed at a new audience for McLaren,’ explains Mike Flewitt, Chief Executive Officer, McLaren Automotive. ‘It is the first time we’ve competed in the sports car as opposed to the supercar market. As with all McLaren models, we have prioritised performance, driving engagement and exhilaration. It is a totally driver-focused car, with excellent ergonomics and visibility, and a class-leading driving position. This is also the most day-to-day usable, practical and attainable McLaren we’ve ever made. It is a dramatic and beautiful sports car.’
Chris Goodwin, McLaren Chef Test Driver adds: ‘For the Sports Series we wanted to offer a real sports car feel. Ultimately, it means a car that feels nimble, agile and it must also possess a lightness and directness of response to a driver’s inputs. Certainly for us, a sports car really needs to engage the driver, at any speed.’
THE McLAREN 570S COUPE: THE DETAILS
The McLaren Sports Series is the third and final product family to join the recently announced three tier model range from McLaren Automotive. A pure McLaren from the ground up, the Sports Series launches in coupé bodystyle with two models – the first, and most powerful, is the 570S Coupé, which will be joined by the more accessible 540C Coupé from Q2 in 2016. These models complete the range alongside the Ultimate Series, comprising the McLaren P1™ and McLaren P1™ GTR, and the Super Series, which is the core McLaren range featuring the 650S, available as a Coupé and Spider, and the 675LT.
The Sports Series introduces the unique McLaren DNA to the sports car market. Each model has been designed and engineered by a team of experts at the iconic McLaren Technology Centre (MTC) alongside the Formula 1™ team operations, and every car is hand built in the state-of-the-art McLaren Production Centre (MPC) alongside the current range.
As with every McLaren model designed for road or track since 1981, the Sports Series range is built around a lightweight carbon fibre chassis. High performance and high efficiency is also delivered through a mid-mounted twin-turbocharged V8 engine. With no compromises, the Sports Series is the perfect entry point into the world of McLaren.
DESIGN AND AERODYNAMICS
The air-piercing front bumper separates airflow into four directions, with each path being worked over, under and through the sculpted bodywork. The beautiful organic form, with features including the door tendon and flying buttress work with the fixed rear wing to optimise aerodynamics’
Rob Melville, Chief Designer
- ‘Shrink wrapped’ design maximises efficiency of the airflow over, under and through the bodywork with a fixed aerodynamic package
- Aerodynamically-optimised dihedral doors feature ‘floating’ tendons to channel the flow of clean air
- Elegant flying buttresses provide increased levels of downforce and enhanced cooling
The Sports Series introduces the McLaren design language to the sports car segment for the first time, with tense, ‘shrink wrapped’, body lines marking it out from the competition. Design cues and learnings from models in the Ultimate and Super Series ensure the Sports Series looks every part a true McLaren, but with a clear identity of its own. Key design features include elegant flying buttresses, dihedral doors and a concave rear window to bring a new, unique and exciting look to the sports car segment.
The final design of the 570S Coupé is closely matched to the initial design sketches first proposed by Chief Designer Rob Melville and his team at the outset of the project. Clean, sweeping lines, and an uncluttered exterior have a clear focus on the way air flows over the sculpted panels, channelling air around the tightly packaged glasshouse, over and, in some areas, through the bodywork.
Dynamic styling provides visual presence and is based around functional elements. This approach combines fluid surfaces and strong features to deliver a final aerodynamic shape designed to optimise air flow management in, out and around the vehicle. Weight is minimised through the layering of panels, designed to float above aerodynamic surfaces along with suspended members, supporting the potency of this compact sports car.
FIXED AERODYNAMIC PACKAGE
The front bumper on the Sports Series is crucial to how the air interacts with the bodywork as it travels from the front to the rear. The design dictates how air is controlled before passing over, under and through the vehicle. The front bumper has a pronounced point which generates the centre of pressure, piercing the air to reduce drag and forming four quadrants. The air is divided above and below the bodywork, and also to either side. The strong crease lines along the bonnet add design definition and, more importantly, aid air flow over the doors and into the side air intakes to help cool the high temperature radiators – a principle used in Formula 1™. Below the front bumper are Aero Blades, angled specifically to create an area of high pressure ahead of the low temperature radiators.
At the rear, the sculpted rear fenders merge to form a level rear deck, where the engine plenum cover is visible through open, hexagon shaped mesh vents designed to aid heat evacuation. The trailing edge of the rear deck features an integrated fixed spoiler designed for an optimised balance of drag and downforce. The surfaces leading to the trailing edge have been designed to be as streamlined as possible, ensuring clean airflow to provide enhanced levels of downforce.
DIHEDRAL DOORS FEATURE ‘FLOATING’ TENDONS
Every McLaren road car since the iconic McLaren F1 from the 1990s has included distinctive dihedral doors, and the Sports Series continues the design tradition. The advanced and intricate door design is inspired by those on the McLaren P1™, and features a ‘floating’ tendon which works to channel air into the ultra efficient air intake. This supplements the side intakes that directly feed the HTRs (high temperature radiators) which, in turn allows for smaller side intakes, reducing drag.
Every effort has been made to optimise aerodynamic performance on the Sports Series. An example of this is evident in the design of the wing mirror arms, which improve cooling efficiency by two percent. This aerodynamic gain has been achieved through minimising the cross sectional area of the wing mirror arms while also studying how best the airflow from the vehicle and mirrors interact.
Further evidence aerodynamic efficiency can be seen with a tyre spoiler on the leading edge of the wheel arch and side skirts running down each flank. These work in conjunction to ‘clean’ the airflow as it passes around the front wheel arches and travel rearwards.
FLYING BUTTRESSES
The ‘shrink wrapped’ design of McLaren Sports Series carefully channels airflow over every panel. The rear of the glasshouse on the Sports Series features unique floating C-pillars, allowing air to follow the shape of the cabin, and flow beneath. The elegant flying buttress design of the Sports Series Coupé body has been aerodynamically optimised to primarily counteract lift over the roof. The airflow channelled through the buttress equalises the areas of low pressure created by the convex roof, increasing downforce. In addition, this feature also minimises drag, and increases the flow of cool, clean air over the engine bay to optimise powertrain heat management.
A further distinctive feature of the Sports Series Coupé models is a concave rear windscreen which sits between the flying buttresses. Together with new thinner B-pillars, this design ensures excellent visibility from within the Sports Series – something McLaren models are renowned for – especially for a mid-engined sports car where rear and rear-three-quarter vision can often be compromised.
REAR DIFFUSER
Airflow management is key to the Sports Series, from the front bumper through the integrated rear spoiler. Below this sits an intricate rear diffuser, unrivalled in its class for complexity and effectiveness. Efficiency is maximised with the underside of the Sports Series being completely flat, feeding clean air to the rear of the vehicle and the aggressive diffuser. As in Formula 1™, the careful management of air flowing below the car allows ‘ground effect’ aerodynamic optimisation to ensure further downforce is harnessed.
LED LIGHTING
As standard, the Sports Series uses LED lighting across the range at the front and rear. The design of the front light units reflects the McLaren ‘Speed Mark’ logo, with LED daytime running lights (DRLs) following the edge of the unit to create a distinctive visual signature. The lights are automatically activated and include ‘Follow Me Home’ and ‘Overseas Tourist’ functions. The later allows easy adjustment between left- and right-hand drive markets. The rear light signature incorporates the turn signal, and follows the trailing edge of the rear body panels giving the illusion that the panel is floating.
LIGHTWEIGHT
With a carbon fibre chassis and lightweight superformed aluminium bodywork, the 570S Coupé tips the scales at just 1,313kg, making it more than 140kg lighter than its nearest rival’
Mark Vinnels, Executive Director – Product Development
- Class-leading power-to-weight figure of 434PS per tonne
- Unique carbon fibre MonoCell II features a lower, narrower sill to aid cabin access; weighs 75kg
- ‘Superformed’ aluminium body panels are used for the first time on a McLaren, allowing for more complex designs and ensuring optimised weight
- The Sports Series is the only model range within the sports car segment to offer a full carbon fibre chassis. This lightweight component, and the use of aluminium for the majority of the body panels ensures that weight is kept to a minimum. The dry weight of the 570S Coupé is just 1,313kg, giving a class-leading power-to-weight figure of 434PS per tonne
CHASSIS
As with every McLaren designed and developed for the road or track since 1981, the heart of the Sports Series is a lightweight carbon fibre chassis. While similar to the chassis in the Super Series, the MonoCell II is unique. It has been newly designed with more of a focus on day-to-day usability, with the narrower front sill and height reduced by 80mm to offer improved ingress to and egress from the cabin. As is inherent with carbon fibre construction, the chassis is incredibly strong and stiff yet weighs 75kg, offering optimum levels of protection.
The carbon fibre MonoCell II is 25 percent stiffer than a comparable aluminium chassis, and has an even greater margin of superiority over steel. This structural stiffness improves handling, agility and ride comfort. It is stronger and safer in a crash, and needs no extra bracing or reinforcement (such as side intrusion beams). The carbon fibre has enough intrinsic strength without ‘bolt on’ safety beams. It is also more durable than metal, and its greater dimensional accuracy improves build quality.
As part of this development, the front and rear aluminium structures have also been revised, fine tuning load paths into the new carbon structure, accommodating the new anti-roll bar positions, and to reduce complexity and inevitably weight.
There are also advantages in ease of repair. Front and rear aluminium extrusions and castings are designed to absorb impacts and are easily fixed. Cars with full aluminium or steel chassis use their structures to absorb and crumple on impact, causing more damage and expense to the entire structure.
BODYWORK
Aluminium is utilised for the majority of body panels on the 570S Coupé. Through a process called ‘Superform’ – where hot aluminium is blown into shape over a mould – the lightweight material can be formed into detailed design features, such as the intricate rear deck. Through this method, this component weighs the same as a composite equivalent.
The dihedral doors are produced primarily from aluminium to minimise weight and allow for the intricate aerodynamic design. The upper ‘floating’ tendon is manufactured using a resin injection process to deliver an extremely rigid yet slender component, along with a lightweight core to minimise weight. To keep the exterior surfaces clear, the door is opened using the button located on the lower edge of the tendon.
WHEELS
The Sports Series is launched with a range of newly designed wheels. The 570S Coupé is fitted as standard with fourteen-spoke lightweight forged wheels, 19-inch at the front, and 20-inch at the rear. Two Super Lightweight designs, in either five- or 10-spoke offer a combined 7kg weight saving. Each design has a silver finish as standard, but can be specified with a Stealth and Diamond Cut finish as an option.
THE DRIVE
‘We have worked hard on each of the touchpoints within the cabin to ensure the Sports Series is the most accessible McLaren model to date – not only in terms of price, but it allows a wider range of drivers to enjoy, and push, the limits of the car’
Chris Goodwin, Chief Test Driver
- Class leading power-to-weight ratio of 434PS per tonne gives breathtaking performance; 0-100km/h (0-62mph) in 3.2 seconds; 0-200km/h (124 mph) in 9.5 seconds
- Performance Traction Control incorporates bespoke McLaren software to deliver more precise control in extreme situations
- Newly-developed suspension system uses adaptive dampers and anti-roll bars to ensure enhanced levels of driver engagement and refinement on both road and track
The Sports Series offers unrivalled performance and driving exhilaration in the sports car class. It is the only car in its sector to offer all the credentials typically found in the top-tier supercars: lightweight carbon fibre chassis construction, mid-engine rear wheel drive configuration. Overall performance for the 570S Coupé is class-leading with the 0 to 100 km/h (0-62 mph) sprint taking 3.2 seconds, while 200 km/h is reached in just 9.5 seconds. Top speed is 328 km/h (204 mph).
A dry weight of 1,313kg (2,895lbs) is around 140kg (309lbs) lighter than the nearest rival. This low weight ensures optimised handling, agility and makes the Sports Series even more responsive.
STEERING
The steering in the Sports Series has been designed with refinement and feel as the key parameters. A fast steering rack ratio allows quick changes of direction and improves ease of control when driving at the limit – pivotal to a great sports car. As with the models in the Super Series and Ultimate Series ranges, the system used for the Sports Series is electro-hydraulic ensuring a natural feel that cannot be replicated with a fully electric setup.
The electro-hydraulic pump also powers the optional front lift system – which allows the ride height to be increased by 40mm at speeds of up to 60km/h (37mph). A one touch short-cut to raise the vehicle is available through the steering wheel-mounted menu stalk.
TYRES DEVELOPED WITH PIRELLI
As with the all models in the McLaren range, the tyres for the Sports Series have been tested continuously throughout the development programme specifically in conjunction with technical partners Pirelli. The design brief was focused on balance and agility, with a view to create a tyre with progressive levels of grip allowing the driver to explore the limits of the car with total confidence.
‘We have worked closely with Pirelli throughout the programme to design a bespoke tyre to best suit the Sports Series, and it is a really important partnership. Being the only contact with the road, the tyre is critical to how the car handles and behaves, and we treat them in the same way as any key suspension component. They are specially tuned and developed with Pirelli, and that makes a huge difference to the dynamics of this car.’ explains Goodwin.
The 570S Coupé is fitted with performance-focused Pirelli P Zero™ Corsa tyres as standard, while a Pirelli P Zero™ is available as a no-cost option. Tyre sizes are 225/35/R19 on the front and 285/35/R20 on the rear. The P Zero™ Corsa tyres have been developed with stiffer sidewalls and treads, offering outstanding grip levels, and yield advantages on a circuit and in standing-start acceleration. The P Zero™ option provides optimum performance levels in extreme wet and cold conditions.
BRAKING SYSTEM
The 570S Coupé is equipped as standard with carbon ceramic discs (front: 394mm x 36mm / rear: 380mm x 34mm), with six-piston callipers on the front and four-piston callipers at the rear. Newly developed ABS software is also present, and bespoke to the Sports Series, which has been designed to optimise brake feel. This new system also reduces pulsing through the pedal.
A new ESC (Electronic Stability Control) system, developed with Bosch, includes a new ‘Dynamic’ mode which provides reduced intervention, to allow greater vehicle control on the limit and ‘driftability’. The ESC system for the first time includes a dedicated control switch, allowing ESC control independently to the handling control dial. This allows the choice of full, dynamic or ESC-off when in Sport and Track handling modes. With an improved pump and dual valve system, the ESC system is refined and provides greater resolution and thus more progressive control.
Also new to the Sports Series is a new Performance Traction Control, which incorporates bespoke McLaren software to deliver more precise control in extreme situations. In Dynamic mode, the traction control allows a gradual transition at the point of slip (YAW angle) and therefore more confidence to explore the Sports Series at the limits of its handling.
The McLaren Sports Series features a number of Formula 1™-derived technologies, including the Brake Steer system. Initially developed by McLaren during the 1997 season, and subsequently banned due to the significant performance advantage offered, the system aids cornering by bringing the vehicle’s nose into the apex by applying braking force to the inside rear wheel. This enables the driver to brake later and get on the power earlier.
SUSPENSION
The Sports Series is fitted with a newly-developed suspension system ensuring enhanced levels of driver engagement and refinement on both road and track. The system uses independent adaptive dampers with front and rear anti-rollbars – distinct from the Super Series and Ultimate Series – and Formula 1™-style dual wishbones.
Adaptive dampers offer control over bump and rebound settings using the familiar McLaren ‘Normal’, ‘Sport’ and ‘Track’ handling settings, with the 570S Coupé having bespoke damper settings to other McLaren models to date. In ‘Normal’ mode, the system provides a refined yet engaging ride, while the ‘Sport’ and ‘Track’ settings allow the 570S Coupé to become more track-focused when required. Twin damper valves give precise control, while dual wishbone suspension provides optimum suspension travel and geometry.
Chris Goodwin added: ‘For a sports car, it is more about the grip balance and the response of the tyres and the response of the steering. The Sports Series has narrower tyres than the models in the Super or Ultimate Series, and the car still has high enough objective performance, but it is also about the subjective feel. It is hard to measure subjective performance, but how big the smile on the drivers face is when he goes round a corner is always a good measure. We have used the suspension geometry and set-up to create a balance that makes the car really want to turn in to a corner. It feels like all you have to do is look at the apex of the corner and the car is sucked into it.’
POWERTRAIN
3.8-litre twin turbo V8, with 30 percent of components bespoke to the new model, produces 570PS (562bhp) and 600Nm (443 lb ft)
Stop-start system fitted for the first time on a McLaren offers greater efficiency during city driving, improving fuel consumption and CO2 output
Optimised gearchanges through seven-speed seamless-shift gearbox (SSG) with ‘Cylinder Cut’ technology
The Sports Series features an evolution of the 3.8-litre V8 twin turbo engine, named M838TE, with 30 percent of components bespoke to the new model. Engineered by McLaren, it produces 570PS (562 bhp) at 7,400 rpm, and 600Nm (443 lb ft) of torque at 5,000-6,500 rpm. The classic mid-engine rear-wheel drive supercar configuration optimises handling and agility – except that it competes in the sports car, not the supercar, market – delivering power through a seven-speed seamless shift gearbox (SSG). Despite being one of the world’s most powerful road car engines, it is also extremely efficient. A new stop-start system seen for the first time at McLaren provides greater efficiency during city driving, improving fuel consumption and CO2 output. The 570S Coupé returns 26.6 mpg (10.7 litres/100km) on the EU combined cycle with an improved range, while emissions are just 249g/km.
Other improvements to the efficiency of the powertrain include new 60-degree camshaft phase controllers that reduce internal engine inertia and provide greater control, both benefitting CO2 figures and engine response. The vacuum system has also been deleted from the engine which saves 2.5kg and reduces complexity.
Sharing technology with the Super Series, the M838TE engine includes Formula 1™ technology such as dry sump lubrication – to enable higher cornering speeds without oil surge – and a flat-plane crankshaft, to allow the engine to be sited as low as possible to improve the centre of gravity and both handling and agility. ExxonMobil ensures each groundbreaking McLaren model benefits from the highest levels of technical commitment and expertise. The Sports Series joins the Super Series and Ultimate Series in being factory-filled with New Life™ 0W-40 developed by McLaren Automotive technology partner Mobil 1. The high technology engine lubricant has an optimum combination of synthetic base oils designed to meet the high performance engine demands. The advanced formula contains additives specially developed to better protect the engine by preventing build-up on critical engine parts, allowing McLaren engines to run like new after thousands of miles, even in the harshest driving conditions.
The Sports Series is fitted with new equal length exhaust manifolds produced from cast stainless steel mounting sections mated to stainless steel hydroformed tubes. These optimise exhaust flow and provide a performance advantage in terms of consistent, uniform back pressure, while also delivering a new, distinctive crisp exhaust note.
TRANSMISSION
The Sports Series uses the same seven-speed twin-clutch SSG (Seamless Shift Gearbox) as seen in the Super Series, offering ‘Normal’, ‘Sport’ and ‘Track’ modes. The settings have been recalibrated to produce faster shifts, achieved through new control strategies, focusing on the rate of engine speed transitions. New advanced throttle control during shifts ramps up or down engine speed with greater urgency.
The sense of engagement with the car during gearshift as well as when accelerating and decelerating is key in delivering the exhilarating feel for the McLaren Sports Series,’ says Mark Vinnels, Executive Director – Product Development. ‘It is also key to delivering exhilaration throughout the performance envelope of the car, not just when the driver might be seeking the fastest lap time, for example.’
‘Cylinder Cut’ technology, first seen on the 650S for upshifts, has been further enhanced to activate on both upshifts and downshifts, now utilising the engine ignition control it can act up to 10 times faster than previously.
To provide the greatest sense of interaction and performance during all driving situations three control strategies have been developed; Powershift, GT3 Shift and ‘Inertia Push’.
The Sports Series uses the innovative ‘Inertia Push’ technology – again pioneered on the 650S. Available in Track mode – above 5000rpm and from 60 percent throttle input – the system harnesses the inertia of the flywheel to deliver an impulse of torque as the next gear is engaged. As on the 650S, this approach delivers the next gear before the engine speed has dropped, resulting in continual strong acceleration, with no drop in the rate of acceleration as the driver upshifts.
For the first time, the gearbox clutch control has been separated from the engine control, to enhance refinement. This helps produce quicker gear changes.
CRAFTSMANSHIP
'As we move forward as a business we take learnings from previous projects and current products, and now moving into the sports car sector, the programme has become the most challenging to date as we push the bar of quality and performance even higher’
Andreas Bareis, Executive Director – Quality
- By McLaren’ designer interiors offer the ultimate vehicle specification with a Sport or Luxury focus
- Hand assembled in the state of the art McLaren facility in Surrey, England
- Each car takes 188 man hours to build by a team of 370 highly trained assembly and quality technicians
- The Sports Series represents the most attainable McLaren models to-date, and also offers the highest level of personalisation. Bespoke ‘By McLaren’ specifications offer a mix of sports or luxury finishes within the cabin in conjunction with a broad colour palette available externally. In addition to this, the widest variety of optional equipment ever offered by McLaren allows owners to individually tailor seating, interior finishes, upholstery and audio systems.
EXTERIOR
For the first time on a McLaren road car, the models in the Sports Series primarily feature aluminium body panels rather than composites or carbon fibre. This change reflects the higher production volumes, with aluminium offering superior quality of finish – especially in surfacing – for larger production numbers. A typical downside is that it gives less design freedom, for complex shapes, than moulded composite or carbon fibre panels.
Utilising a new ‘Superform’ method – in which hot aluminium is blown into complex shapes over a mould – has allowed McLaren to produce intricate parts, most notably the large rear deck, which also reduces weight. Aluminium is used for the front and rear fenders, bonnet, rear deck, lower sections of the dihedral doors and roof. The upper section of the doors including, ‘tendons’ and front splitter, are made from composite.
A range of optional visual carbon fibre upgrades, echoing the lightweight chassis, are available for the 570S Coupé. The front Aero Blades, Side Skirts, door insert, Side Intake and rear diffuser can all be specified in carbon fibre.
NEW COLOUR PALETTE
The Sports Series launches with a broad selection of paint colour choices available. Developed in conjunction with technical Partner, AkzoNobel, the 570S Coupé launches with a total of 17 colours: three Standard, six Special and eight Elite. Among these are four newly formulated colours – Ventura Orange, Vermillion Red, Bourbon and Blade Silver.
The full colour range is as follows –
Standard | Special | Elite |
Blue | Blade Silver | Vermillion Red |
White | Mantis Green | Ventura Orange |
Silver | McLaren Orange | Bourbon |
Storm Grey | Volcano Orange | |
Silica White | Pearl White | |
Onyx Black | Volcano Yellow | |
Ice Silver | ||
Fire Black |
INTERIOR
The interior design of the 570S Coupé carries the exterior design approach through with key features including floating elements to add to the sense of depth, while organic shapes and curves bring delicate tension without aggression for a welcoming and ergonomic layout. The space has been created to ensure superb outward visibility and enhanced interior space for occupants both in terms of seating position and stowage space.
The feeling of luxury and airiness is heightened by the use of a ‘floating’ centre console, to add a sense of depth to the cabin. Shapes and lines seamlessly integrate from exterior to interior, and vice versa. The facia and door trim incorporate floating elements which remove mass – both visually and practically – as well as adding layered depth and integrated components such as the audio speakers and the touchscreen IRIS system.
Interior components and switchgear are ergonomically designed and finished to the highest standard further enhancing the feel of quality and craftsmanship throughout the cabin. Rotary switches, buttons and steering wheel mounted stalks are all tactile to touch, while a seven-inch touchscreen is intuitive and the most advanced infotainment system to feature in a McLaren model to-date. The ‘floating’ screen is not connected to the lower transmission tunnel – as is the case with models in the Super Series and Ultimate Series – giving enhanced access to the stowage space and cupholders below the dashboard. It is also mounted in portrait view, rather than the more conventional landscape, bringing the occupants closer to the centreline of the car to further optimise response and agility. Air conditioning is controlled via the screen reducing the amount of switchgear and controls in the cabin environment. The touchscreen also controls the standard DAB digital radio (or Sirius satellite radio in North America), as well as satellite navigation, Bluetooth telephony and media streaming, voice activation and the audio media player. The IRIS system also includes the electronic owner’s manual.
The interior of the Sports Series can be upholstered in a wider range of leathers and Alcantara® options than previously available. Extended Leather is standard on the 570S Coupé, available in four themes – Carbon Black, Saddle Tan, Scoria Grey and Midnight Blue. In addition the 570S Coupé is available with four further interior levels: Nappa Sport Leather, Nappa Design Leather, Nappa Sport Alcantara® and one of 10 unique ‘By McLaren’ colour and trim combinations.
‘BY McLAREN’ INTERIOR CUSTOMISATION
First shown on the 675LT at the 2015 Geneva Motor Show, the ‘By McLaren’ designer interiors demonstrate the full breadth of interior customisation possibilities. They introduce unique colours and materials which are not offered through the other optional specifications, with up to three co-ordinated colours per design.
The Sports Series offers the widest selection of ‘By McLaren’ designs to date, with 10 in total. Of these, five have a focus on contemporary luxury, while the other five have a more sports focus and can be specified with optional Racing Seats. All designs have been selected by the in-house design team at McLaren Automotive to accentuate the interior design while also taking into account exterior colour choice to provide the ultimate cohesive vehicle specification.
SEATING
New seats in the Sports Series offer increased levels of support and comfort. As standard, the seats are six-way adjustable for the driver, including electric height adjustment, four-way for the passenger, and are fully upholstered in leather. Four further upholstery options are available, giving increased levels of customisation and comfort with Nappa Sport, Nappa Design, Nappa Alcantara® and ‘By McLaren’ specifications.
Fully electric eight-way adjustable seats with heating and memory function can be specified as an option. A comfort entry / exit feature is also available to provide the maximum amount of room to enter or exit the car, by moving the seat to its lowest and most rearward position and retracting the electric steering column.
Carbon fibre shelled racing seats, as featured in the McLaren P1™ are also available. These fixed back manually adjustable bucket seats offer significant support with a provision for harnesses to be fitted. These lightweight seats provide a substantial 15kg weight saving.
AUDIO
As with all McLaren audio systems, extensive in-cabin tuning has taken place for the audio systems available for the 570S Coupé. The standard four-speaker, which boasts an excellent quality-to-weight ratio, is the lightest audio system ever fitted to a McLaren. Two dual-voice coil 165mm bass woofers capture mid-low frequencies while two high performance tweeters provide clarity to any range of audio genre’s. The system is powered by a 240W Class AB amplifier.
Two audio upgrades are available for the Sports Series, with eight- and 12-speaker systems offering additional power and speaker channels to produce a more immersive aural experience.
In addition to the standard system, the eight-speaker McLaren Audio Plus system adds two 100mm mid / bass drive units, and two 25mm tweeters in the rear of the cabin. The amplifier is also upgraded to a 320W Class AB rating.
The addition of the 100mm units adds to the clarity and depth of the sound, while the extra tweeters balance the sound to ensure the occupants have a greater sense of immersion in the audio.
The range-topping 12-speaker system, developed in conjunction with British audio specialists Bowers & Wilkins, delivers the cutting edge of audio technology into the Sports Series.
Of particular note, Bowers & Wilkins has derived the high-frequency driver design in the 570S Coupé from the flagship model, Nautilus. Each of the system’s five tweeters features a spiral diffuser, made famous by the Nautilus. This soaks up reflected sound waves from the rear of the drive unit, and helps produce a sound that’s superbly detailed, unadulterated and free from colouration.
Furthermore, one of the tweeters is strikingly integrated into the centre of the dashboard. This ‘tweeter-on-top’ design is a key feature of Bowers & Wilkins high-end loudspeaker ranges, and results in remarkably open sound imaging and stereo performance.
This audio critical placement is mirrored in all the other drive units; to ensure a coherent, immersive audio experience all are placed in the optimal position, to ensure sound reflections are minimised and acoustic performance optimised.
Materials have also been carefully selected: the Kevlar(r) midrange speaker cones guarantee constant dispersion across the frequency range, while the lightweight subwoofers are extremely stiff for perfect pistonic behaviour, ensuring completely undistorted bass.
The system comprises five 25mm aluminium Nautilus tweeters, five 100mm Kevlar® mid-range drive units and two 200mm carbon fibre & Rohacell bass subwoofers, All speakers are driven by a fully digital 14-channel 1280W Class D amplifier.
The result is a system that is perfectly configured for the specific environment of the 570S Coupé.
HAND ASSEMBLY
All models in the Sports Series will be hand assembled in the state-of-the-art McLaren Production Centre (MPC) in Woking, England. The new models will be integrated into the existing production line along with the Super Series models, underlining the flexibility of the setup within MPC. This will also ensure the highest levels of quality, matching the exacting standards befitting any model wearing the McLaren badge.
Each model will take a total of 188 man hours to build, with a skilled team of 370 production and quality technicians working across key areas including Body Assembly, Paint, General Assembly, End of Line and Quality Control.
STAGE 1: BODY ASSEMBLY
Every Sports Series vehicle passes though 10 Body Assembly fixtures, assembling the main body structure of the vehicle. The fully aluminium body is built around the lightweight carbon fibre MonoCell II chassis.
The body is assembled primarily using a two-part structural adhesive system alongside self piercing rivets, and body assembly fixtures are used to provide a high level of accuracy and repeatability throughout the process. A ceramic heater system is used to aid adhesive cure time.
STAGE 2: PAINTING
All McLaren models are hand painted to ensure the best colour match and quality, and the Sports Series is no exception. A bespoke paint fixture system is used on for the Sports Series which allows all body panels to be painted in a single process within the state-of-the-art paintshop within the McLaren Production Centre (MPC). This facility runs on an automated conveyor system – the only area in MPC with this facility.
STAGE 3: TRIM ASSEMBLY
The Sports Series production line follows the same production process as the Super Series models through 34 trim and final assembly stages.
Each vehicle moves from a bare MonoCell II to a rolling chassis during the first half on the line wit processes including subframe and power unit docking, through to Interior trim fit. The carbon ceramic brakes and suspension system is fully assembled, and each vehicle is also passed through fluid fill and initial vehicle run up validation processes.
During the second half of the assembly the outer body takes shape as the vehicle is progressed to completion. Processes include door fitment, front end assembly (including wings, bonnet and headlamps) and rear end completion (including side panels, rear deck and rear lamps). Each stage of assembly is completed to pre-defined quality fit and finish targets.
Finally, bumpers and the vehicle underfloor are assembled, before the car is removed from its assembly staple and lowered onto its wheels.
STAGE 4: FINAL ASSEMBLY
Each and every car passes through a rigorous process to ensure the vehicle is delivered to the highest standard befitting the McLaren badge. The key quality checkpoints are designed to ensure a ‘no fault forward’ approach throughout the production stages, and are carried out at the following production milestones:
- Body Assembly main line completion quality inspection
- CMM (Coordinate Measurement Machine) dimensional validation
- Paint completion quality inspection
- Powertrain installation and full engine bay inspection
- Assembly completion quality inspection
- Monsoon Test and Rolling Road
- A full road shakedown process testing the full capability of the vehicle alongside the exacting drive and comfort standards
- McLaren Production Audit prior to dispatch
EVERYDAY USABILITY
‘All McLaren models are genuine usable daily drivers, but the Sports Series takes it to a new level. Enhanced usability is something the engineering team has focused on, particularly in the areas of refinement, comfort, stowage space and visibility. Other factors have also been key with a focus on maintenance and whole life costs – all of which make the 570S Coupé a true contender in the sports car market’
Jolyon Nash – Executive Director, Global Sales & Marketing
- Longer and wider cabin boosts all round space for the most accommodating driver environment
- Visibility is further enhanced as the A pillars are moved further outwards and the B pillars are narrower
- Class-leading luggage space with optimised cabin stowage
- Unique calibration and set up offers a more usable sportscar, suited to daily driving, offering the lowest running costs of any McLaren to date
- The 570S Coupé is the most usable McLaren model to-date, with enhanced levels of refinement and comfort, the most welcoming and accommodating interior space, and largest amount of storage space. The total cost of ownership, including servicing schedules and maintenance, is a key part of the overall class-leading Sports Series offering.
CABIN
The design and layout of the 570S Coupé interior has a clear focus on space and ergonomics, offering maximised outward visibility and interior space. Overall, the Sports Series is 11mm longer than the Super Series, and the cabin is both longer and wider, boosting all round spaciousness and increasing shoulder room.
In true McLaren style, the newly designed dihedral doors have been developed to offer a greater operating range. A revised action, which follows a more upwards and forwards arc, allows easier access to the cabin with a larger aperture opening. A revised design to the carbon fibre MonoCell II chassis sees a lower sill – 80mm lower than the Super Series models – ensuring ingress to and egress from the cabin are now even easier.
VISIBILITY
Key design features of the Sports Series, as with all McLaren models, are the low windscreen cowl and the shape of the front wings. With a front screen taller than it is wide, forward visibility is optimised, while the peak of the front wheelarch is directly over the centrepoint of the front wheel allowing the driver to place the car with ultimate precision.
Spaciousness in the cabin and visibility is further enhanced as the A pillars are moved further outwards and the B pillars are narrower.
STOWAGE
The practical nature of the 570S Coupé lends itself to more regular use, as is common practice with models in the sports car segment. A class-leading level of storage space is offered by the front luggage bay, while stowage of everyday items within the cabin has been an important consideration. As a result, the design of the cabin includes concealed pockets within each of the doors, a central storage area beneath the arm rest and a glovebox (in non Federal markets).
The front luggage bay has a capacity of 144 litres, while smaller items can be stored in the various storage areas and pockets throughout the interior.
CONTROL INTERFACE & INFOTAINMENT
The control interface for the air conditioning, telephony, navigation and audio systems are managed through the centrally-mounted touchscreen, while vehicle setup settings can be viewed on TFT LCD screen instrument cluster. Information and settings are controlled via steering column-mounted stalks.
The LCD instrument cluster is made up of three zones - the central seven-inch screen includes the vital statics of the vehicle (vehicle speed, engine speed and gear selection), while the two outer three-inch screens provide information including navigation instructions, compass, track data display information (if selected) and other vehicle statistics. The Sports Series instrument cluster also incorporates turn-by-turn navigation instruction for the first time.
Dependant on which vehicle mode selected – ‘Normal’, ‘Sport’ or ‘Track’ – the instrument cluster prioritises information accordingly. In ‘Sport’ mode, gear selection information is prioritised over vehicle speed in the centre of the rev counter, with numbers becoming larger and the dial easier to read with more intense colours. When ‘Track’ is selected, the instrument cluster changes to provide the driver with a race car-inspired rev counter presenting just the vital information required. The left screen displays lap times (if track data display is selected), while the right hand screen monitors tyre pressures.
The seven-inch IRIS touchscreen is flush with the facia and, as first seen on the McLaren P1™, the air conditioning controls are all incorporated, reducing the amount of switchgear and controls in the cabin environment, and also reducing weight. The touchscreen also controls the standard DAB digital radio (or Sirius satellite radio in North America), as well as satellite navigation, Bluetooth telephony and media streaming, voice activation and the audio media player. The IRIS system also includes the electronic owner manual.
As with all models in the McLaren range, the touchscreen is mounted in portrait mode not landscape. This reduces width, enabling driver and passenger to sit closer together, bringing them closer to the centreline of the car to further optimise response and agility.
Dual-zone climate control and air conditioning is installed as standard, with the system allowing fully automatic and independent settings for passenger and driver. A two-stage Automatic function – ‘Auto’ and ‘Auto Lo’ – allows a desired temperature to be obtained, with the latter setting limiting speed of the fans to minimise fan noise within the cabin.
Despite the extensive specification list, weight-saving is still a key focus on the interior and the McLaren Audio four-speaker system ensures the optimal sound quality at the lowest possible weight. A McLaren Audio Plus 8-Speaker Upgrade System and bespoke 12-Speaker Premium Audio System, developed with British audio specialists Bowers & Wilkins, with 1280W surround sound upgrade are also available for the ultimate audio experience.
McLAREN TRACK TELEMETRY
The IRIS-based Track Telemetry app records lap or sector times along with accompanying vehicle information. In addition this can be optioned with three track cameras.
The track data display allows the driver to map any circuit or timed section though GPS. Sectors are then automatically defined and split times displayed to the driver along with the accompanying red and green sectors on the map. A best lap can then be used as a reference as can a different driver profile allowing two drivers to compete against each other in the same car. Graphs are provided so two laps can be compared showing, for example, vehicle speed at the exit of a corner. Using the onboard memory, track sessions can be stored and saved for a repeat session. Video footage can also be downloaded to USB via a dedicated USB socket for offline viewing.
WHOLE LIFE COSTS
With the launch of the Sports Series, McLaren has launched its most attainable model to-date with a starting price of 19,800,000 THB for the 540C Coupé and THB 21,800,000 for the 570S Coupé. As important as the initial purchase price is the overall cost of ownership and servicing, and the Sports Series delivers on this front as well, with the lowest running costs of any McLaren to date. The highly efficient powertrain, with low weight 3.8-litre twin turbo V8 engine returns 26.6 mpg (10.7 l/100km) on the EU combined cycle, with emissions of just 249 g/km. As with all McLaren models, these figures ensure the Sports Series range is exempt from gas guzzler tax in North America. The unique calibration and set up offers a more usable sportscar, suited to daily driving, with more of a focus on road driving, and an extended fuel range of around 10 percent over the 650S models.
As with all McLaren models, the Sports Series has an annual service schedule to ensure it is continually updated with the latest software developments and improvements. These scheduled services require the lowest level labour and parts than in any previous McLaren model, ensuring that costs have been reduced to less than half the cost of the original 12C when it launched in 2011. Engine oil replacement intervals are every two years / 15,000km, whichever comes first – whichever comes first
With aluminium used extensively throughout for the body panels, this is easier to repair than the composite seen on previous McLaen models. As a result, repair work is easier and lower cost in the event of any accident.
หมวดหมู่ยานยนต์
- 014 Chevrolet Silverado HD (1)
- 10 เคล็ดลับขับปลอดภัยเมื่อน้ำท่วม (1)
- 2014 Volvo S80 (1)
- 2015 Lincoln MKC crossover (1)
- 2015 Volvo S60 T6 (1)
- 2015 Volvo V40 (1)
- 2016 Chevrolet (1)
- 2016Chevrolet Colorado (1)
- 2016 Toyota Fortuner (1)
- 2018 Mazda CX-5 (1)
- 2018 Toyota Rush (2)
- 2 Stroke Engine (1)
- 5 ประตู (6)
- กระบวนการผลิต (19)
- กระบอกสูบ (1)
- กราฟกำลัง (1)
- กราฟแรงบิด (1)
- ก้านสูบ (1)
- การขับรถอย่างปลอดภัย (1)
- การใช้ไฟอย่างถูกต้อง เมื่อฝนตกหนัก (1)
- การดูแลรักษารถด้วยตนเอง (2)
- การเติมลม (1)
- การเติมลม กับ ล้อแม็กซ์ (1)
- การถ่วงล้อ (1)
- การบำรุงรักษา (4)
- การบำรุงรักษาและตรวจเช็คประจำวันรถยนต์คู่ใจ ควรทำอย่างไร (1)
- การปลี่ยนขนาด ยางรถยนต์ (1)
- การเปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกลของเครื่องยนต์ (1)
- การเผาไหม้ (11)
- การเผ่าไหม้ (1)
- การวิเคราะห์ปัญหาเครื่องยนต์ (1)
- การหยุดรถ และการจอดรถ (1)
- การออกแบบ (10)
- แก๊สโซลีน (3)
- ข้อควรปฏิบัติทั่วไป ในการใช้รถยนต์ (1)
- ข้อควรปฏิบัติ เมื่อการขับขี่ในพื้นที่ลักษณะต่างๆ (1)
- ขับเคลื่อน (13)
- ขับอย่างไรเพื่อยืดอายุยาง (1)
- ข่าวยานยนต์ (4)
- ควรจะทำอย่างไรเมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถอยู่ (1)
- คว้านเสื้อสูบ (2)
- ความรู้ (3)
- คอมมอนเรล (1)
- คอยล์จุดระเบิด (8)
- คำศัพท์น่ารู้ (1)
- เครื่องมือ (1)
- เครื่องยนต์ (64)
- เครื่องยนต์ 2 จังหวะ (1)
- เครื่องยนต์ 4 จังหวะ (1)
- เครื่องยนต์คอมมอนเรล (1)
- เครื่องยนต์ดีเซล (3)
- เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร (1)
- เครื่องยนต์ดีเซลตระกูล GD รุ่นใหม่ (1)
- เครื่องยนต์เบนซิน (1)
- เครื่องยนต์แบบโรตารี่ (1)
- เครื่องยนต์ร้อนแล้วดับ สตาร์ทติดยาก เกิดจากสาเหตุใด และแก้ไขอย่างไร (1)
- เครื่องยนต์เล็ก (2)
- เครื่องยนต์สตาร์ทติดยากตอนอากาศชื้นเกิดจากอะไร ? (1)
- เครื่องยนต์สันดาปภายใน (3)
- เครื่องยนต์หัวฉีด (1)
- เครื่องยนต์ EFI (2)
- เครื่องยนต์V8 (1)
- เคล็ดลับ (2)
- จอดรถให้ปลอดภัย (1)
- จักรยานยนต์ (1)
- จังหวะการฉีดเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ EFI (1)
- ชิ้นส่วนยานยนต์ (1)
- ชื่อชิ้นส่วนเครื่องยนต์ภาษาไทย และอังกฤษพร้อมรูป คลิปวีดีโอ (1)
- เชฟโรเลต (1)
- เชฟโรเลต โคโลราโด 2015 (1)
- โช๊คอัพ (5)
- ซ่อม (21)
- ซ่อมเครื่องยนต์ (7)
- ซ่อมบำรุง (6)
- ซุปเปอร์คาร์ (3)
- ซูซุูกิ (2)
- ซูซูกิ ไฮบริด (1)
- โซลินอย (1)
- ดัดแปลง (3)
- ไดชาร์จ (2)
- ไดร์สตาร์ท (10)
- ไดสตาร์ท (12)
- ตรวจสอบเครื่องยนต์ (1)
- ตลับลูกปืน (2)
- ตัวอักษรบนยาง บอกอะไร? (1)
- ตีปลอก (1)
- โตโยต้า (21)
- โตโยต้า 2015 (1)
- ถุงลมนิรภัย (1)
- ที่นั่งเด็ก (5)
- เทคนิคการขับรถป้องกันเชิงอุบัติเหตุ (1)
- เทคนิคการใช้รถและการดูแลรถอย่างง่ายๆ (1)
- เทคโนโลยียานยนต์ (53)
- เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ (8)
- เทอร์โบ (1)
- เทอร์โบแปรผัน (7)
- น้ำมันเชื้อเพลิง (14)
- น้ำมันดีเซล (6)
- น้ำมันเบนซิน (4)
- นิตยสาร (3)
- นิสสัน (11)
- บำรุงรักษาเครื่องยนต์ (1)
- บีเอ็มดับเบิ้ลยู (1)
- เบรค (22)
- เบาะรถยนต์ (5)
- เบาะสำหรับเด็ก (5)
- แบตเตอรี่ (3)
- แบรนด์รถยนต์ (1)
- แบริ่ง (1)
- ไบโอดีเซล (2)
- ประกอบเครื่องยนต์ (5)
- ประกอบรถยนต์ (13)
- ประดับยนต์ (5)
- ประเภทรถยนต์ (1)
- ปอร์เช่ (2)
- ปัญหารถยนต์ (1)
- ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ 2015 (1)
- ปิกอัพ (4)
- ปี2017 (3)
- เปลี่ยนอะไหล่ (3)
- ผลิตรถยนต์ (16)
- แผนภาพจังหวะการเปิดของลิ้น (Valve Timing Diagram) เครื่องยนต์ 4 สูบ และ 6 สูบ (1)
- แผนภาพต้นกำลังงานของรถยนต์ (1)
- ฝาสูบ (4)
- พจนานุกรมศัพท์ยานยนต์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒ (1)
- พูเล่ (1)
- เพลาข้อเหวี่ยง (1)
- เพลาท้าย (2)
- ฟอร์ด (1)
- ฟิล์มกรองแสง ติดดี หรือ ไม่ติดดี มีประโยชน์อย่างไร วันนี้ทีคำตอบ (1)
- เฟอรารี่ (3)
- เฟืองท้าย (14)
- ไฟฉุกเฉิน ไม่จำเป็นและไร้สาระ (1)
- ไฟฟ้ารถยนต์ (24)
- ภาพโครงสร้างเครื่องยนต์ EFI (1)
- ภาพรวมรถยนต์ (9)
- มาสด้า (3)
- มิตซูบิชิ (6)
- มินิ (2)
- โมเดลรถยนต์ (3)
- ยนตกรรม (1)
- ยานยนต์ อุตสาหกรรม (26)
- ยาริส (15)
- รถกระบะ (9)
- รถกระบะ Revo (1)
- รถเก๋ง (51)
- รถแข่ง (2)
- รถจิ๊บ (1)
- รถเบนซ์ (19)
- รถยก (27)
- รถยก อุตสาหกรรม (26)
- รถยก อุตสาหกรรมม (1)
- รถยนต์ (3)
- รถยนต์ไฟฟ้า (4)
- รถรุ่นเก่า (1)
- รถศูนย์ (16)
- รถสปอร์ต (10)
- รถหรู (1)
- รถใหม่ (41)
- ระบบขับอัตโนมัติ (1)
- ระบบความร้อน (2)
- ระบบจุดระเบิด (10)
- ระบบฉีดเชื้อเพลิงแก๊สโซลีน (Gasoline Fuel Injection System) (1)
- ระบบช่วงล่าง (27)
- ระบบเบรค (22)
- ระบบไฟฟ้า (14)
- ระบบรองรับ (5)
- ระบบระบายความร้อน (6)
- ระบบลม (3)
- ระบบส่งกำลัง (1)
- ระบบหล่อเย็น (2)
- ระบบหัวฉีด (1)
- ระบบห้ามล้อ (14)
- ระบบ Hybrid (1)
- ราคารถยนต์ (5)
- รางร่วม (1)
- รีเลย์ (6)
- รีวิว (15)
- รีวิวรถยนต์ (11)
- รู้ไว้ก่อน : การเปลี่ยนขนาดยาง (1)
- เรื่อง น้ำมันเครื่อง (1)
- โรงงานผลิตรถยนต์ (13)
- ล้อตุนกำลัง (1)
- ลักษณะดอก ยางรถยนต์ (1)
- ลากรถอย่างไรเมื่อรถเสีย (1)
- ลำดับการจุดระเบิด (1)
- ลูกปืนกลม (1)
- ลูกสูบ (3)
- วงจรไฟฟ้า (7)
- วงจรไฟฟ้าเครื่องยนต์หัวฉีด ECCS Nissan RB20E (1)
- วงจรไฟฟ้าเครื่องยนต์หัวฉีด ECI-multi Mitsubishi 4G61 (1)
- วงจรไฟฟ้าเครื่องยนต์หัวฉีด EFI เครื่องยนต์ Toyota 4A-GE (1)
- วงจรไฟฟ้าเครื่องยนต์หัวฉีด Honda B16A VTEC DOHC รุ่นแรก (1)
- วิชาช่างยนต์ (10)
- วี8 (1)
- สเปกรถยนต์ (5)
- สร้างเครื่องยนต์ (1)
- สร้างโมเดลรถยนต์ (1)
- สายพานเครื่องยนต์ (2)
- สีรถ (8)
- เสื้อสูบ (5)
- หนังสือรถยนต์ (7)
- หม้อน้ำ (2)
- หลักการทำงาน (2)
- หลักการทำงานของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน 4 จังหวะ (1)
- หลักการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซล 4 จังหวะ (1)
- หัวเทียน (24)
- ห้ามล้อ (14)
- แหวนลูกสูบ (1)
- องค์ประกอบการสันดาปของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน (1)
- ออกแบบรถยนต์ (22)
- อะไหล่เครื่องยนต์ (3)
- อะไหล่ยนต์ (1)
- อัตราค่าปรับ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 (1)
- อัตราส่วนผสมอากาศต่อเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน (1)
- อาการหัวเทียน (12)
- อินเตอร์คูลเลอร์ (6)
- อีโก้คาร์ (5)
- อุตสาหกรรม รถยก (27)
- อุปกรณ์เสริม (6)
- แอร์เริ่มไม่เย็น และส่งกลิ่นอับเวลาเปิดแอร์ใหม่ ควรทำอย่างไร ? (1)
- ไอดี (3)
- ไอเสีย (6)
- ฮอนด้า (6)
- ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด (2)
- Accessories (5)
- All New toyota yaris 2013 2014 (1)
- Alternator (1)
- alternators (1)
- Ativ (7)
- Audi (2)
- Audi A4 (1)
- Automatic drive (1)
- Ball Bearing (1)
- bearing (1)
- biodiesel (2)
- BMW (4)
- Brake (23)
- Brake system (23)
- BT-50 (1)
- Car Family (1)
- Cars (61)
- CAT (Catalytic Converter) เครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา (1)
- Check Engine (1)
- Chevrolet (1)
- CHEVROLET COLORADO (2)
- Colorado (1)
- commonrail (1)
- Common Rail (1)
- Common Rail Engine (1)
- Concept Car (1)
- Connecting rod (1)
- Crankshaft (1)
- Cylinder head (1)
- Diesel Engine (3)
- Diesel fuel (6)
- differential (12)
- DIY (8)
- DURAMAX ENGINE (1)
- DURAMAX VIN CHART (1)
- ECCS (1)
- EFI (1)
- EGR (Exhaust Gas Recirculation) หรือการหมุนเวียนไอเสีย (1)
- Electric car (4)
- Electric cars (4)
- Electronic Fuel Injection Engine (1)
- Engine (37)
- Engine Block (1)
- Engine Curve (1)
- Ferrari (3)
- Flywheel (1)
- Ford (4)
- Ford Ranger (2)
- Fuel (14)
- gasoline (3)
- Gasoline engine (1)
- General Motors (2)
- GMC Canyon (1)
- Honda (11)
- Honda Accord (1)
- HONDA ACCORD HYBRID ใหม่ (1)
- Honda CR-V 2015 (1)
- Honda HR-V (1)
- Honda HRV 2015 (1)
- Honda Jazz (1)
- Honda Vezel (1)
- Hydrogen cars (1)
- i-DTEC (1)
- Ignition Coil (8)
- Ignition System (1)
- i-MMD (1)
- Intercooler (6)
- internal combustion engine (3)
- Jeeb (1)
- lamborghini (4)
- Lamborghini Revuelto (2)
- Mazda (4)
- Mercedes Benz (21)
- Mini (2)
- MINI Cooper (2)
- Mitsubishi (9)
- Mustang (1)
- Navara (2)
- NGV (1)
- Nissan (11)
- nissan np300 navara (1)
- NP300 (1)
- NP300 NAVARA Single Cab (1)
- pickup (6)
- pickup truck. (5)
- Piston (3)
- Piston Ring (1)
- Porsche (2)
- Port Timing Diagram ของเครื่องยนต์ 2 จังหวะ (1)
- Ranger (1)
- Rear axle (1)
- Relay (6)
- Revuelto (1)
- Rotary Engine (1)
- S60 (1)
- S90 (1)
- SEAT (1)
- Self Diagnosis System (1)
- Shock Absorbers (5)
- SKODA (1)
- SKYACTIV-D เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล (1)
- solenoid (4)
- Spark Plugs (20)
- Starter (6)
- Supper Car (4)
- Suspension System (3)
- Suzuki (2)
- TCCS (1)
- Tesla Model X (1)
- TOYOTA (29)
- Toyota และ Lexus (1)
- Toyota Hilux Revo (1)
- Triton (1)
- V60 (1)
- Ⅴ8 (1)
- Variable Nozzle Turbo (2)
- VGT (5)
- Volkswagen (1)
- Volvo (4)
- Volvo purchased the Polestar brand (1)
- Volvo S90 (1)
- Wankel Engine (1)
- XC90 (1)
- Yaris (15)