Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

ศึกแห่งความเร็ว Porsche Carrera Cup Asia การดวลสุดเข้มข้นกลางเมืองสิงคโปร์ Martin Ragginger จากทีม Porsche Holding คว้าชัยชนะได้ในท้ายที่สุด


ศึกแห่งความเร็ว Porsche Carrera Cup Asia การดวลสุดเข้มข้นกลางเมืองสิงคโปร์
Martin Ragginger จากทีม Porsche Holding คว้าชัยชนะได้ในท้ายที่สุด

สิงคโปร์. สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ Porsche Carrera Cup Asia จัดการแข่งขันบนสนามที่เกิดขึ้นจากการปิดถนนสาธารณะใจกลางเมืองของประเทศสิงคโปร์ และยังเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน Formula 1 Singpore Airline Singapore Grand Prix  ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ทีม Porsche Holding โดย Martin Ragginger นักแข่งประจำทีม คือผู้ที่สามารถนำพารถแข่งวิ่งผ่านเส้นชัยคว้าธงตราหมากรุกไปครองเป็นอันดับแรกได้อย่างงดงามนับ เป็นการปิดฉากสุดสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสุดตื่นเต้นของสนามที่ 9 ด้วยความสมบูรณ์แบบ

การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ Porsche Carrera Cup Asia ได้รับการรับรองให้เป็นรายการแข่งขันกีฬาความเร็วหรือ มอเตอร์สปอร์ตในระดับแนวหน้ารายการหนึ่งของทวีปเอเซีย สำหรับฤดูกาล 2016 ที่กำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขันนั้นล้วน
แล้วแต่เต็มไปด้วยทีมแข่งรถยนต์หัวกะทิของโลกมากมายที่ต่างทุ่มเทอุทิศทุกแรงกายแรงใจเพื่อเข้าร่วมการประลองความเร็วสุดยิ่งใหญ่ รวมทั้งเป็นโอกาสอันดีสำหรับการเปิดตัวนักแข่งอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่มีทักษะและความสามารถ เป็นเวทีที่พวกเขา
เหล่านั้นจะได้แสดงฝีมือเพื่อการก้าวขึ้นเป็นนักแข่งรถ GT ระดับโลกต่อไป  ในปัจจุบันนี้การแข่งขันรถยนต์รายการ Porsche Carrera Cup Asia คือช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับการเฟ้นหาและคัดเลือกนักแข่งที่ยอดเยี่ยมในภูมิภาค เปิดประสบการณ์แห่ง
กีฬาความเร็วที่แสนตื่นเต้นท้าทายมายังผู้ชมนับล้านทั้งในทวีปเอเซียและทั่วโลก Porsche Carrera Cup Asia ได้สร้าง
ความประทับใจให้แก่แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตและสื่อมวลชนสายกีฬามาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2003

ชัยชนะของ Ragginger นักแข่งชาวออสเตรียนั้นไม่ใชสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับโอกาสที่ดีในการออก
สตาร์ทด้วยตำแหน่งผู้นำหรือ P1 แต่ Nico Menzel นักขับชาวเยอรมันจาก PICC Team Starchase ที่ออกตัวในตำแหน่ง P2 นั้น สร้างความกดดันให้แก่ Ragginger ทันทีตั้งแต่โค้งแรก ในขณะที่ Maxime Jousse ของทีม KLM Racing เองก็ ตามติดผู้นำทั้ง 2 อยู่ไม่ห่าง ด้วยฝีไม้ลายมือที่สูสีกับ Menzel ในแง่ของการขับขี่อย่างสมดุลย์ด้วยการรุกและรับอย่างดุเดือด
ของผู้ตามทั้งคู่นั้น ทำให้ตลอดระยะเวลาการแข่งขันแทบจะกลายเป็นเกมวัดใจของนักแข่งในแถวหน้า Menzel และ Jousse ต่างรอคอยให้ผู้นำอย่าง Ragginger แสดงความผิดพลาดออกมา แม้จะเป็นการเสียจังหวะสไลด์เพียงน้อยนิดก็อาจเป็นการ
เปิดช่องว่างให้คู่แข่งแซงขึ้นไปนำได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามโอกาสนั้นกลับไม่มาถึง จากการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไร้ข้อผิดพลาด
ของนักแข่งแถวหน้าทั้ง 3 ส่งผลให้ Ragginger จบการแข่งขันไปด้วยอันดับ 1  Menzel ตามมาเป็นอันดับที่ 2 และ Jousse ปิดท้ายด้วยอันดับที่ 3 ตามลำดับ

“ผมออกตัวจากจุดสตาร์ทได้ดีทีเดียว แต่ Nico เองก็ตามติดไม่ห่างตั้งแต่รอบแรกของการแข่งขัน ดังนั้นผมจึงต้องระมัดระวัง อย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้เขาแซงขึ้นไปได้ มันไม่มีโอกาสแก้ตัวให้กับความผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย ผมต้องควบคุมรถแข่ง
ของตัวเองจนถึงขีดจำกัดสูงสุดอยู่ตลอดเวลาและพยายามที่จะไม่ก่อให้เกิดความผิดพลาดใดๆ เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมาก
สำหรับนักแข่งทุกคน แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครที่หลุดจากตำแหน่งของตัวเองไปเลย” Martin Ragginger ให้ความเห็นใน
ระหว่างงานแถลงข่าวหลังการแข่งขันจบลง  

ทางด้านสถานการณ์ของกลุ่มนักแข่งที่ตามหลังผู้นำในรายการทั้ง 3 นั้น เริ่มต้นด้วย Mitchell Gilbert นักแข่งจากทีม Absolute Racing ซึ่งทิ้งช่วงไม่ห่างมากนักด้วยความชำนาญในการขับขี่เข้าโค้งแคบๆ หลายต่อหลายโค้งด้วยกัน ซึ่งสนามที่
สิงคโปร์แห่งนี้ดูจะเป็นการแข่งขันที่ปราศจากความกดดันใดๆ สำหรับเขา ทำให้สามารถจบการแข่งขันไปด้วยอันดับที่ 4  ส่วนนักแข่งผู้มีคะแนนสะสมเป็นผู้นำในกลุ่มกลางตารางอย่าง Zhang Da Sheng จาก Fun88 Team Sunfonda และ Andrew Tang จากทีม Porsche China Junior ไม่สามารถฉีกหนีเพื่อตำแหน่งที่ดีกว่าได้ ผลจากการขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด
ระหว่าง Tang และ Zhang Da Sheng นับตั้งแต่ออกสตาร์ท

Zhang Da Sheng พยายามขับเพื่อรักษาตำแหน่งของตนเองเอาไว้ ในขณะที่ Tang เองก็หาโอกาสที่จะแซงขึ้นนำอยู่ตลอด
เวลาเช่นเดียวกัน สุดท้าย Zhang ที่ต้องยอมแพ้ให้กับความมุมานะของนักแข่งหนุ่มชาวสิงคโปร์ซึ่งสามารถแซงผ่านไปได้ใน ช่วงกลางของการแข่งขัน และนั่นทำให้ Andrew Tang เข้าเส้นชัยไปด้วยอันดับที่ 5 ส่วน Zhang Da Sheng ตามมาด้วย อันดับที่ 6 ในส่วนของคลาส B  Vutthikorn Inthraphuvasak นักแข่งชาวไทยของทีม est Cola Thailand สามารถเก็บชัยชนะ
ได้อย่างต่อเนื่องอีกหนึ่งสนาม ด้วยการออกสตาร์ทในตำแหน่ง P1 ทำให้  Vutthikorn ตกเป็นเป้าของนักแข่งรายอื่นอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้คู่ต่อสู้ของเขาไม่ว่าจะเป็น  Yuey Tan จากทีม Jebsen และ Francis Tjia จากทีม OpenRoad racing ต่างพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขึ้นไปแทนที่ตำแหน่งของเขาให้ได้ ในขณะเดียวกับที่ Yuan Bo ของทีม Absolute Racing ผู้ซึ่งทำเวลาในรอบจัดอันดับได้ดีที่สุดแต่กลับต้องออกสตาร์ทในลำดับท้ายๆ เนื่องจากโดนปรับโทษต่อเนื่องมาจากสนามที่ 8 ในออสเตรเลีย ต้องทุ่มเททุกสิ่งในสนามนี้เพื่อรักษาตำแหน่งของตนเองในตารางคะแนนเอาไว้ให้ได้มากที่สุด Bo ขับขี่ได้อย่างดุเดือดขึ้นนำหน้า  Tan, Tjia รวมทั้ง Bao Jinlong ของทีม Zheng Tong Auto จนกระทั่งตามมาหายใจรดต้นคอ
นักขับชาวไทยในที่สุด  ในส่วนของ Inthraphuvasak นั้นได้แซงขึ้นนำ Cui Yue ของทีม Jebsen ซึ่งนั่นทำให้เขามีช่องว่างพอ
ที่จะลดแรงกดดันจาก Bo ลงไปได้ชั่วคราว ความตึงเครียดเกิดขึ้นจนถึงรอบสุดท้ายของการแข่งขัน เมื่อเป็นทาง Bo ที่สามารถแซงขึ้นหน้า Inthraphuvasak ไปได้ แต่ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบเบรกจึงทำให้เขาชนเข้ากับแผงกั้นข้างทางใน
ช่วงที่กำลังจะเข้าสู่อุโมงของโค้งที่ 16ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกันชนด้านหน้าขวาและล้อรถของ Bo เปิดโอกาสให้ Inthraphuvasak กลับขึ้นไปคว้าตำแหน่งชนะเลิศของคลาส B ได้เป็นผลสำเร็จ  สำหรับ Bo นั้นยังคงสามารถประคองรถเข้าเส้นชัย
ตามมาในอันดับที่ 2  จากนั้นจึงเป็น Yuey Tan และ Francis Tjia ในอันดับที่ 3 และ 4 ตามลำดับ อย่างไรก็ตามเนื่องจาก Bo ถูกทำโทษด้วยการปรับเวลาเพิ่มอีก 3 วินาที จึงทำให้ผลการแข่งขันอย่างเป็นทางการเปลี่ยนแปลงไป โดย Tan ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 แทนที่ Bo ซึ่งตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 3

“ระยะห่างระหว่างผมและ Bo นั้นลดลงอย่างมาก เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของการแข่งขัน จนกระทั่งเขาสามารถขึ้นแซงผมไปได้ใน รอบสุดท้าย แต่ผมยังคงพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ Bo ประสบปัญหากับระบบเบรกในโค้งที่ 16 นั่นทำให้เขาชนเข้ากับขอบทาง แต่ก็นับเป็นโชคดีของเราทั้งคู่ที่สามารถพารถแข่งเข้าเส้นชัยไปจนได้” Vutthikorn Inthrphvasak กล่าวในช่วงของงานแถลงข่าวหลังการแข่งขัน

เหลืออีกเพียง 2 สนามเท่านั้นที่เหลืออยู่สำหรับการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการนี้  ซึ่งนับได้ว่าเป็นฤดูกาลที่นักแข่ง ทุกคนมีคะแนนสะสมที่สูสีใกล้เคียงกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนใน Porsche Carrera Cup Asia ทุกครั้งที่ผ่านมา สนามต่อไปจัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซียซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 30 กันยายน รับประกันได้ว่าจะต้องเป็นการแข่งขันที่เต็มไปด้วย
ความสนุกสนานตื่นเต้นและน่าจดจำที่สุดสนามหนึ่งของฤดูกาล 2016 นี้อย่างแน่นอน เนื่องจากสนามนี้เปรียบเสมือนการ
เตรียมพร้อมที่สำคัญในการปิดฤดูกาลแข่งขันอย่างยิ่งใหญ่ที่สนามสุดท้ายในเซี่ยงไฮ้นั่นเองการต่อสู้ขับเคี่ยวกันจนถึงที่สุด ของนักแข่งจะเกิดขึ้นเพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีใน Porsche Carrera Cup Asia อีกครั้ง  

Niche Cars Group Hosts Niche Society Member Gala Dinner



Niche Cars Group Hosts Niche Society Member Gala Dinner

​In photo: Niche Cars Group recently held its first Niche Society gala dinner in Thailand together with its partners at Bangkok’s Niche Car showroom. From left: Pruet Boobphakam, Managing Director, Thailand Privilege Card Company Limited; Chaiwat Jongpatanagitruang, Theater House Co., Ltd.;Vittawat Chinabarramee, Niche Cars Group’s Managing Director; Kittipat Chaiyakul, Marketing Director for Remy Cointreau; Alexey Tyutin, Partner, Caviar House; Maxime Fabre, Regional Sales Associate APAC, Textron Aviation.

Bangkok – Niche Cars Group, an authorized dealership in Thailand for supercars, recently held its first Niche Society gala dinner in Thailand at Bangkok’s Niche Car showroom with 250 VIP guests attending from Thailand and AEC countries.

The first red-carpet Niche Society event was sponsored by M-Jet, Caviar House, Thailand Elite, BB&B, Zonic Vision and Laemgate Hub. Proceedings got underway with a magnificent fashion show by Elite Model, followed by the unveiling of the new Pagani Huayra sports car valued at over 200 million Baht. The supercar was driven to the event space by Vittawat Chinabarramee, Niche Cars Group Managing Director along with Business Development Manager (Asia Pacific) at Pagani Automobili, Summer Wang.

Guests were entertained with a second fashion show by Arporn Ngam Dance Theatre, before Niche Society presentations from Vittawat and the event sponsors. An appetizing dinner was served too, whilst an auction raised funds to donate to Poh-Chang Academy of Arts at Rajamangala University of Technology Rattanakosin. The event finale was a special performance by Thai operatic-pop group Fivera.

Niche Society represents the Niche Cars Group as a leading provider of luxury products and services for those who enjoy being part of an exclusive lifestyle. The event, which was the first of its kind, is to be held annually. The completion of the second phase of the Niche Cars showroom development in the last quarter of 2016 will ensure next year’s event is more spectacular. The showroom is set to become the largest in Southeast Asia at 15,000 square meters, utilizing the latest, cutting-edge technology and guaranteeing to impress visitors to the supercar showroom too.

Following the Niche Society gala dinner event, Niche Cars Group is launching its ‘Limited Society’ exclusive lifestyle app and website offering special benefits and services as well as limited edition products to those who value the finer things in life.

To find out more about Niche Cars Group, please call +662 321 1111. Showroom Motorway 1 is open every day from 8.30 – 17.30 hrs.

อีซูซุต่อยอดความสำเร็จ “อีซูซุบลูเพาเวอร์” ส่ง “ใหม่สุด! อีซูซุดีแมคซ์ V-Cross Max 4x4” ลุยตลาดออฟโรด


อีซูซุต่อยอดความสำเร็จอีซูซุบลูเพาเวอร์” ส่ง ใหม่สุดอีซูซุดีแมคซ์ V-Cross Max 4x4” ลุยตลาดออฟโรด

อีซูซุเดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ของรถปิกอัพ พร้อมส่งต่อความสำเร็จ อีซูซุบลูเพาเวอร์” เปิดตัว ใหม่สุดอีซูซุดีแมคซ์ V-Cross Max 4x4” สปอร์ตออฟโรด ที่สุดแห่งปรากฏการณ์รถ 4x4 พลิกโฉมหน้าดีไซน์ใหม่ทั้งภายนอกและภายใน เข้มขึ้นทุกองศา เท่ขึ้นทุกมุมมอง ทรงพลังรอบคัน กับสมรรถนะลุยเหนือชั้น ซึ่งมาพร้อมกับจุดเปลี่ยนใหม่ของดีไซน์ และความสะดวกสบายด้วยฟังก์ชั่น เทคโนโลยีการใช้งาน และความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นใน อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ตอบรับความนิยมของผู้ใช้รถเมืองไทยที่ทำให้ยอดขายอีซูซุพุ่งสวนกระแสเศรษฐกิจ
มร.โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า นับตั้งแต่การเปิดตัว อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” นวัตกรรมเปลี่ยนโลก เมื่อปลายปี พ.ศ.2558 ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้กับวงการรถยนต์เมืองไทย ซึ่งได้รับการขนานนามว่า ปรากฏการณ์ อีซูซุ  บลูเพาเวอร์” จากกระแสตอบรับที่เกินความคาดหมายจากผู้ใช้รถ และได้พลิกประวัติศาสตร์วงการปิกอัพเมืองไทย ด้วยการสร้างยอดขายสวนกระแสเศรษฐกิจซบเซาและตลาดรถยนต์หดตัว ทำให้อีซูซุมียอดขายสูงสุดในตลาดรถปิกอัพ โดยนวัตกรรมเครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ได้รับเสียงชื่นชม และผลตอบรับที่ดีจากทั้งลูกค้าและสื่อมวลชน ดังนั้นเพื่อตอบรับกับความนิยมของผู้ใช้รถในเมืองไทย อีซูซุ ดีแมคซ์ บลูเพาเวอร์ จึงพร้อมที่จะพัฒนาไปอีกขั้น ก้าวสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกครั้งในฐานะผู้กำหนดมาตรฐาน รถปิกอัพแห่งอนาคต” ด้วยการพัฒนาสุดยอดสปอร์ต ออฟโรดแนวคิดใหม่ ใหม่สุดอีซูซุ  ดีแมคซ์ V-Cross Max4x4 รถออฟโรดตัวจริงที่สมบูรณ์แบบด้วยขุมพลังบลูเพาเวอร์  และรูปลักษณ์ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งภายนอกและภายใน สปอร์ตเหนือชั้น เท่ ดุดันมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมความสะดวกสบายหรูหราของห้องโดยสารใหม่ ผสานสุดยอดสมรรถนะของรถออฟโรดที่พร้อมลุย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ชอบชีวิตอิสระ ไร้ขีดจำกัด เพื่อเป็นรถธงของอีซูซุดีแมคซ์ และให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ชื่นชอบการ  ผจญภัย นอกจากนี้ รถปิกอัพ อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ และ อีซูซุดีแมคซ์ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ยังได้รับการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้วยจุดเปลี่ยนใหม่ของดีไซน์ที่หรูหรา ทันสมัยไปอีกขั้น พร้อมความสะดวกสบายด้วยฟังก์ชั่น เทคโนโลยีการใช้งาน และความปลอดภัยที่มากขึ้น  ตอกย้ำความเป็นรถที่คุ้มค่าเงินสูงสุดตามแบบฉบับของอีซูซุ
ใหม่สุดอีซูซุดีแมคซ์ V-Cross Max4x4 นวัตกรรมเปลี่ยนโลก สปอร์ตออฟโรดที่จะเปลี่ยนทุกนิยามของการลุย 
MAX EXTERIOR  ดีไซน์ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเท่ เข้ม บึกบึนเหนือชั้น  ดุดันขั้นสุด  ทรงพลังรอบคันแบบฉบับออฟโรด  โทนเทาดำเต็มทุกมิติ  ทั้งโลโก้ V-Cross ด้านข้างประตู กระจกมองข้าง กรอบไฟตัดหมอก ราวเหล็กหลังคา บันไดข้าง กันชนท้าย และ Blackout เสาข้างประตู  
·       ใหม่! ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมSILVER RING เท่สะดุดตายิ่งกว่าเดิม 
·       ใหม่! Engine Hood Garnish คิ้วขอบฝากระโปรงหน้า และกระจังหน้าโทนเทาดำ
·       ใหม่! FRONT BUMPER GUARDทูโทน ผลิตจากวัสดุชั้นดี ลุย 4x4 ได้อย่างมั่นใจ
·       ใหม่! ล้ออัลลอยดีไซน์พิเศษ!ขนาด 18 นิ้ว 6 ก้าน เต็มอารมณ์ออฟโรด
·       ใหม่! Robust Extender พร้อมBed Liner เสริมความบึกบึนเติมเต็มมิติตัวรถ
·       ใหม่! Fender Lip พร้อม Side Molding เช่นเดียวกับรถ SUV ระดับหรู


MAX INNOVATIVE INTERIOR   ดีไซน์ภายในใหม่ความสะดวกสบายที่เหนือชั้น ระดับเดียวกับ SUV ระดับหรู ความสมบูรณ์แบบในทุกมิติแห่งห้องโดยสาร กว้างขวาง สะดวกสบาย หรูหรายิ่งขึ้น  พร้อมเพิ่มฟังก์ชั่นล้ำสมัย
·       ใหม่! เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สไตล์ทูโทน น้ำตาล-เทา เดินด้ายสีส้มรอบตัวเบาะ พร้อมโลโก้   V-Cross หนึ่งเดียวที่ให้ความหรูหรา ผสานอารมณ์สปอร์ต โอบกระชับ ไม่ว่าจะต้องเผชิญเส้นทางสมบุกสมบันแค่ไหน นั่งสบายทุกการขับขี่ พร้อมระบบปรับไฟฟ้า 6ทิศทางด้านคนขับ เบาะหลังมีที่วางแขนในตัว และแยกปรับพับได้แบบ 60:40 พร้อมจุดยึดที่นั่งสำหรับเด็ก 
·       ใหม่! พวงมาลัยแบบ Dual Sport Pattern เดินด้ายสีส้ม พร้อมสวิตช์Multifunction
·       ใหม่! ดีไซน์ขอบข้างประตู สีBronze Metallic ต่อเนื่องกับมือจับประตูด้านในสีโครม ให้ความรู้สึกเหนือระดับทุกครั้งที่ขับขี่
·       ใหม่! ชุดตกแต่งคอนโซลกลาง สีPiano Black ความหรูหราที่มาพร้อมความทันสมั  เติมเต็มอารมณ์สุนทรีย์ให้คุณยิ่งขึ้น
·       ใหม่! ที่พักแขนแบบ Soft Pad ที่คอนโซลกลางและข้างประตู  นุ่มสบาย ให้ความรู้สึกเดียวกับรถยนต์นั่งระดับหรู
·       ใหม่! ช่อง USB ชาร์จไฟ ขนาด 5 โวลต์ 1 แอมป์ 2 จุดที่ด้านหน้าและด้านหลังคอนโซลกลาง
·       ใหม่! ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control สะดวกสบายยิ่งกว่า ด้วยระบบช่วยขับขี่บนเส้นทางไกล ช่วยความคุมความเร็วให้คงที่อัตโนมัติ
·       ใหม่ล่าสุด! ชุดความบันเทิงจากKENWOOD พร้อม Built-in Navigator   หน้าจอใหม่ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว ทันสมัย ใช้งานสะดวกขึ้น พร้อมระบบสัมผัส ตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และใหม่! Air Mirroring รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับสมาร์ทโฟน (เฉพาะรุ่นที่รองรับ) ผ่าน Wifi Dongle  สามารถเล่นได้ทั้งCD/DVD/MP3/WMA/AAC  จุดเชื่อมต่อUSB รองรับทั้งเครื่องเล่น MP3, Flash Driveและสมาร์ทโฟน (เฉพาะรุ่นที่รองรับ)  กล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอด Built-inพร้อมเส้นกะระยะ Lane Guide ระบบBluetooth เชื่อมต่อระบบโทรศัพท์   พร้อมฟังก์ชั่น  ฟังเพลงผ่านบลูทูธ นอกจากนี้ยังเติมเต็มสุนทรียภาพแห่งความบันเทิงเต็มอิ่มยิ่งขึ้น ด้วยมิติเสียงกระหึ่มสมจริงรอบทิศทางด้วยISUZU SURROUND SOUND SYSTEM  สูงสุดถึง 8 ลำโพง และ Roof Speakerลำโพงพิเศษบนเพดาน
MAX POWER  ลุยสะใจด้วยขีดสุดสมรรถนะขุมพลัง และระบบส่งกำลังออกแบบใหม่ลงตัวสูงสุดเครื่องยนต์อีซูซุ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์  ขนาด 3,000 ซีซี 177 แรงม้า  ให้กำลังแรงม้าและแรงบิดสูงแบบต่อเนื่อง (High Flat-torque) 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที  มีให้เลือกทั้งแบบ
·       เกียร์ออโตเมติก 6 สปีด ถ่ายทอดจังหวะการเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล ราบรื่น พร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต Rev Tronicสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้แบบเกียร์ธรรมดา แม่นยำ และตอบสนองได้รวดเร็ว 
·       เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ถ่ายทอดพลังสูงสุด ให้อัตราทดเกียร์ต่อเนื่อง ส่งพลังได้เต็มประสิทธิภาพ ทนทานเหนือชั้นสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย
·       พร้อมระบบส่งกำลังแบบ GENIUS SPORT SHIFT ในรุ่นเกียร์ธรรมดา ไฟบอกตำแหน่งเกียร์ และแจ้งเตือนให้เปลี่ยนเกียร์ในรอบและความเร็วที่เหมาะสม เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันสูงสุด  
MAX PERFORMANCE    เรียกพลังออฟโรดเพื่อลุยฝ่าทุกอุปสรรค ทนทาน มั่นใจ ปรับได้ตามใจสั่ง ตามแบบฉบับออฟโรดพันธุ์แท้ด้วย 
·       Terrain Command ผู้นำ...ระบบปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้า  สวิตช์ปรับระบบการขับเคลื่อนระหว่าง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า เจ้าแรกแห่งวงการปิกอัพเมืองไทย  ให้ความแม่นยำสูง ปรับเปลี่ยนง่าย สะดวก รวดเร็ว สามารถปรับระบบขับเคลื่อนได้ตามความต้องการทั้ง 4 ล้อ และ 2 ล้อ เลือกใช้งานได้ถึง 3 รูปแบบ คือ 2H, 4H และ 4ตามสภาพถนน 
·       I-GRIP PLATFOAM  (Isuzu Gravity Responsive Intelligent Platform)  ขีดสุดสมรรถนะ...ช่วงล่างระดับโลก ออกแบบพิเศษให้ระยะฐานล้อและช่วงล้อกว้าง ที่ผู้ใช้ทั่วโลกต่างมั่นใจ ไม่ว่าจะบนถนนหรือบนเส้นทางออฟโรด ด้วยประสิทธภาพการเกาะถนนและทรงตัวดีเยี่ยม  นุ่มและหนึบบนถนนที่ใช้ความเร็ว  พร้อมความนุ่มนวลบนเส้นทางวิบากสุดโหด
MAX SAFETY & DURABILITY   อีกขั้นของนวัตกรรมความปลอดภัย ตอบรับทุกการผจญภัย ด้วยระบบความปลอดภัยป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ เพิ่มเติมด้วย ใหม่! HDC (Hill Descent Control) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน และระบบความปลอดภัยปกป้องขณะเกิดอุบัติเหตุ พร้อมที่สุดแห่งมาตรฐานความทนทานที่ให้ความแข็งแกร่งกว่า บำรุงรักษาง่าย...คุ้มค่าสุด ตามแบบฉบับอีซูซุ

สำหรับ อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ล่าสุด  ได้มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์หรูหรา ออกแบบภายในใหม่!ต่อยอดความสะดวกสบายและทันสมัยขึ้นไปอีกขั้น ด้วยฟังก์ชั่น เทคโนโลยีการใช้งาน และความปลอดภัยที่มากขึ้น  ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะรุ่นแตกต่างกันไป อาทิ
·       ใหม่! ไฟหน้าโปรเจอร์เตอร์ พร้อมSilver Ring เท่สะดุดตายิ่งกว่าเดิม พร้อมไฟซูเปอร์เดย์ไลท์ แบบ Built-in ให้ความสว่างชัดเจนในเวลากลางวัน ใช้เป็นไฟหรี่เวลากลางคืน
·       ใหม่! เร้าใจสุดด้วยพวงมาลัยMultifunction ควบคุมเครื่องเสียงและสั่งการจากบนพวงมาลัย
·       ใหม่ชุดตกแต่งคอนโซลกลาง และดีไซน์ขอบข้างประตูสี Piano Black พร้อมมือจับด้านในสีโครม
·       ใหม่! สปอร์ตหรูด้วยที่พักแขนแบบSoft Pad ที่คอนโซลกลางและข้างประตู นุ่มสบาย ให้ความรู้สึกเดียวกับรถยนต์นั่งระดับหรู
·       ใหม่! ช่อง USB ชาร์จไฟ ขนาด 5 โวลต์ 1 แอมป์ 1 จุดที่ด้านหน้า และ 2 จุด ที่ด้านหน้า และด้านหลังคอนโซลกลาง
·       ใหม่! ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติCruise Control สะดวกสบายยิ่งกว่า ด้วยระบบช่วยขับขี่บนเส้นทางไกล ช่วยควบคุมความเร็วให้คงที่อัตโนมัติ  มีให้ครบทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์
·        ใหม่ล่าสุด ชุดความบันเทิงจากKENWOOD พร้อม Built-in Navigator   พร้อมหน้าจอใหม่ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว ระบบสัมผัสตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็วใหม่! Air Mirroring รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับสมาร์ทโฟน (เฉพาะรุ่นที่รองรับ) ผ่าน Wifi Dongle และ ใหม่! ระบบนำทางพร้อมแผนที่แบบ Built-in Navigator ให้ทุกการเดินทางง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
·       ใหม่! HDC (Hill Descent Control) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ อีซูซุยังคงยืนหยัดตอกย้ำความเหนือชั้นแห่งนวัตกรรมเปลี่ยนโลก  ด้วยจุดขายที่แข็งแกร่ง 3 ด้านของ อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์”  ซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้รถทั่วประเทศ  ด้วยที่สุดความแรง สูงสุดถึง 150 แรงม้า ตอบรับการใช้งานที่ต้องการพลังสูง  ที่สุดความทนทาน จากบททดสอบสมรรถนะความทนทานอันเหนือชั้น วิ่งผ่าน 3 ประเทศ ไทย-ลาว-จีน รวม 5,755 กิโลเมตร วิ่งต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ดับเครื่องยนต์ ความทนทานที่ใครก็เลียนแบบอีซูซุไม่ได้ และที่สุดความประหยัดน้ำมัน ประหยัดกว่าเดิมถึง 19จากบทพิสูจน์สุดยอดรถประหยัดน้ำมันตัวจริงของอีซูซุ ด้วยกิจกรรมพิเศษ น้ำมันถังเดียว” ที่จัดขึ้นต่อเนื่อง และทำสถิติประหยัดที่ยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดในงาน ครั้งแรกอีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ น้ำมันถังเดียว...เที่ยวไกลสุด คุนหมิง-กวางโจว 1,405 กม.” ทุกคันใช้น้ำมันไม่ถึงหนึ่งถัง!”      มร. มาเอคาวะกล่าวทิ้งท้าย
ขอเชิญร่วมสัมผัสและทดลองขับ ใหม่สุดอีซูซุดีแมคซ์ V-Cross Max 4x4”   และอีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์”  ที่โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ ในวันที่ 6 ตุลาคม ศกนี้เป็นต้นไป  สำหรับราคา ใหม่สุดอีซูซุดีแมคซ์ V-Cross Max 4x4”  เกียร์ธรรมดาอยู่ที่ 1,042,000 บาท และเกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,087,000 บาท   ส่วน อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ราคาปรับขึ้นไม่มากนัก

“Thailand International TRUCK SHOW 2017” งานมหกรรมแสดงรถบรรทุกเพื่อการขนส่ง ขานรับการรวมประชาคมอาเซียน


“Thailand International TRUCK SHOW 2017 งานมหกรรมแสดงรถบรรทุกเพื่อการขนส่ง ขานรับการรวมประชาคมอาเซียน
จากความสำเร็จของงาน “Thailand International TRUCK SHOW 2015 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ บริษัท นิชิโอะ เร้นท์ ออล จำกัด และ บริษัท พาราบ๊อกซ์ จำกัด ผู้จัดงาน เดินหน้าเต็มที่กับ Thailand International TRUCK SHOW 2017 (TTS 2017) งานแสดงสินค้าด้านโลจิสติกส์รถบรรทุก  และการขนส่งทางรถบรรทุกของภูมิภาคอาเซียน โดยยึดประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งอาเซียน
TTS 2017 หรือ “งานมหกรรมรถบรรทุกนานาชาติ ประเทศไทย 2560 ”  ครั้งที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 มิถุนายน 2560 ณ อาคาร – 2 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อิมแพ็ค เมืองทองธานี  ด้วยแนวคิด “Move Forward with ASEAN Truck Logistics” “ก้าวสู่ยุคใหม่ของการขนส่งทางรถบรรทุกของภูมิภาคอาเซียน กระดับโลจิสติกส์ของภูมิภาคให้ดียิ่งขึ้น
เพื่อให้เป็นศูนย์กลางแห่งโลจิสติกส์แห่งอาเซี่ยนอย่างแท้จริง ทางคณะผู้จัดงานยังจัดให้มีกิจกรรม “สัปดาห์โลจิสติกส์ 2560” เกิดขึ้นภายในงาน โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในด้านโลจิสติกส์ และการขนส่งทั้งจากในประเทศไทย, ญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ ซึ่งจะเป็นแหล่งองค์ความรู้ในเชิงทฤษฎีควบคู่ปฏิบัติในด้านโลจิสติกส์ อาทิ การจัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการในหัวข้อที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน ประเด็นที่น่าจับตามองอย่างทิศทางโลจิสติกส์ ตลอดจนการให้ความรู้ความเข้าใจด้านโลจิสติกส์ มาตรฐานความปลอดภัยของการขับขี่รถบรรทุกเป็นต้น
ทั้งนี้บริษัท นิชิโอะ เร้นท์ ออล จำกัด ในฐานะคณะกรรมการจัดงาน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นผู้มีความชำนาญในด้านการจัดการ การวางแผนและติดตั้งงานแสดงสินค้าต่างๆ ด้านบริษัท พาราบ๊อกซ์ จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ มากมาย ส่งผลให้งานในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนการจัดงานต่างหน่วยงานต่างๆ มากมาย อาทิ สำนักงานส่งเสริมการประชุมและจัดนิทรรศการ (TCEB), สหพันธ์การขนส่งทางรถบรรทุกแห่งอาเซียน (ATF), กรมการขนส่งทางบก, สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน, สถาบันยานยนต์, JETRO Bangkok รวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ด้วย ความร่วมมือจากทางประเทศญี่ปุ่น อาทิ สถานฑูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย, JETRO, Japan Trucking Association, Japan Packaging Institute, Japan Material Handling Society และ Japan Pallet Associationเป็นต้น
สำหรับงาน TTS 2017 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 มิถุนายน 2560 นับว่าเป็นงานแสดงสินค้าด้านการขนส่งรถบรรทุก ที่ครอบคลุมไปถึงด้านการขนย้ายสินค้า การบรรจุภัณฑ์และการจัดการต่างๆ ด้านโลจิสติกส์ ก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านธุรกิต่อทั้งผู้เข้าร่วมจัดแสดงงานและผู้เข้าชมงาน โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจร่วมแสดงสินค้ามากกว่า 100 บริษัท และมีผู้ชมงานตตลอดทั้ง 3 วันประมาณ 10,000 คน ซึ่งทุกองค์ประกอบจะมีส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางรถบรรทุกให้ดีขึ้น

มาสด้าผุดโชว์รูมต้นแบบตามคอนเซ็ปต์ใหม่ สะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้ลูกค้าได้สัมผัส


มาสด้าผุดโชว์รูมต้นแบบตามคอนเซ็ปต์ใหม่ สะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้ลูกค้าได้สัมผัส

กรุงเทพ – ประเทศไทย, 14 กันยายน 2559 – มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมาสด้า เอ็ม.เค. กรุ๊ป ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการมาสด้าแห่งใหม่ บนถนนพระราม 2 “มาสด้า เอ็ม.เค.” ภายใต้ Mazda Corporate Identity (MCI) คอนเซ็ปต์โชว์รูมใหม่ล่าสุดมีสไตล์ที่โดดเด่นทันสมัย บรรยกาศที่อบอุ่น พร้อมให้บริการครบทุกฟังก์ชั่น นับเป็นโชว์รูมแห่งแรกที่ถูกออกแบบและตกแต่งภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุดของมาสด้า ประกาศปรับภาพลักษณ์ทุกโชว์รูมทั่วประเทศทั้ง 147 แห่ง ให้เสร็จทันภายในปี 2561 เพื่อยกระดับแบรนด์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าเมื่อได้สัมผัสความเป็นมาสด้า ถ่ายทอดคุณค่าของแบรนด์และประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนาน พร้อมสร้างสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับลูกค้าให้กลายเป็นแบรนด์รถยนต์หนึ่งเดียวที่ลูกค้าเลือก

นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นโยบายหลักสำคัญนอกเหนือจากการผลิตรถยนต์ที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า คือ การขยายเครือข่ายโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่โดยรอบในย่านชานเมืองที่ลูกค้ามีกำลังซื้อสูง และกำลังเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ที่เจริญเติบโต มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น การเปิดโชว์รูมมาสด้า เอ็ม.เค พระราม 2 ในวันนี้ คือสิ่งที่มาสด้ามุ่งมั่น เพื่อก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้าเลือก ความพร้อมของโชว์รูมและศูนย์บริการที่มีคุณภาพ รวมทั้งการบริหารงานอย่างมืออาชีพของผู้จำหน่ายมาสด้า เป็นตัวจักรสำคัญที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีในทุกๆ ด้าน ที่ลูกค้าสามารถรับรู้และสัมผัสได้ รวมถึงเพื่อรองรับการเติบโตจากกระแสความนิยมรถมาสด้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด คือ การดูแลเอาใจใส่ลูกค้า หรือ “Customer Care” เราจะมุ่งเน้นเรื่องการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าตลอดระยะเวลาการครอบครองรถยนต์มาสด้าอย่างดีที่สุด เพื่อสร้างความผูกพันกันในระยะยาว ความพึงพอใจของลูกค้า คือ สิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด

สำหรับมาสด้านั้นในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นบริษัทรถยนต์ที่มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการสร้างแบรนด์เป็นอย่างยิ่ง จึงส่งผลไปถึงยอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้มาสด้ายังมีแผนงานที่ชัดเจนในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้จำหน่ายและลูกค้า โดยเน้นสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและเสริมสร้างคุณค่าของแบรนด์ให้ยั่งยืน โดยมีหัวใจหลักสำคัญคือ

ด้านผลิตภัณฑ์: พัฒนาเทคโนโลยีสกายแอคทีฟและแนวทางการออกแบบรถยนต์อย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมใส่ใจเป็นพิเศษกับความต้องการอันหลากหลายของลูกค้า เพื่อความสอดคล้องกับเทรนด์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

ด้านการพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายทั้งการขายและการบริการ: เดินหน้าขยายเครือข่ายทั้งโชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ ภายใต้รูปลักษณ์และคอนเซ็ปต์ใหม่ของมาสด้า หรือ Mazda Corporate Identity ซึ่งเป็นรูปแบบโชว์รูมที่มาสด้าได้มีการปรับปรุงภาพลักษณ์รูปแบบใหม่หมด เพื่อยกระดับแบรนด์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเมื่อได้สัมผัสความเป็นมาสด้า โดยเริ่มจากโชว์รูมมาสด้าใหม่ที่พระราม 2 เป็นแห่งแรกซึ่งภายในสิ้นปีนี้มาสด้าจะปรับปรุงทั้งหมด 15 แห่ง โดยแบ่งเป็นในกรุงเทพ 3 แห่ง และในต่างจังหวัดอีก 12 แห่ง และทั้งหมด 147 แห่ง จะถูกปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายในอีก 3 หรือ หรือภายในปี 2561

ด้านการผลิต: สนับสนุนการเติบโตของยอดขายด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตตามฐานการผลิตต่างๆ และใช้ศักยภาพของฐานการผลิตแต่ละแห่งอย่างเต็มที่

สำหรับภาพลักษณ์โชว์รูมใหม่ของมาสด้านั้นสะท้อนถึงความเป็นพรีเมียมแบรนด์และยังให้ความรู้สึกถึงการขับเคลื่อนอันทรงพลังเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความสนุกสนานในการขับขี่ อันเป็น DNA ของแบรนด์มาสด้า การออกแบบโชว์รูมใหม่ของมาสด้านั้นอยู่บนแนวคิดที่จะสร้างบรรยากาศเหล่านี้ให้ลูกค้าได้สัมผัส คือ

บรรยากาศที่ลุ่มลึก: ตัวอาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์นั้นต้องแสดงออกถึง “ความลุ่มลึกและคุณภาพ”

แรงดึงดูดทางอารมณ์: ดึงดูดผู้คนเข้าสู่โชว์รูม รถมาสด้าและแบรนด์มาสด้า

ทำให้รถดูสวยงามน่าหลงใหล: จัดแสดงให้ทั้งภายในและภายนอกอาคารนั้นขับเน้นความสวยงามของตัวรถ

บรรยากาศที่อบอุ่น: การผสมผสานของวัสดุและสีสันที่ใช้ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบาย

สำหรับมาสด้า เอ็ม.เค. พระราม2 บริหารงานโดย นายพงษ์ศักดิ์ ชาญไพบูลย์รัตน์ กรรมการผู้จัดการกลุ่ม เอ็ม.เค. กรุ๊ป มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 141/1 ถนนพระราม 2 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ 10150 นอกจากจะเป็นโชว์รูมที่ตกแต่งตามคอนเซ็ปต์ใหม่ของมาสด้าแล้ว ก็ยังมีบริการครบวงจร ทั้งการขาย ศูนย์บริการ ศูนย์ซ่อมตัวถังและสี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้ามาสด้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ

ในขณะที่มาสด้ายังคงมุ่งมั่นเพื่อการบริการที่ดีที่สุดให้ลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจ และมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้าจะเลือกใช้ตราบนานเท่านาน

เชฟโรเลต คามาโร ฉลองครบ 50 ปี 5 ทศวรรษกับ 6 เจนเนอเรชั่นของรถสปอร์ตอเมริกันระดับตำนาน


เชฟโรเลต คามาโร ฉลองครบ 50 ปี
5 ทศวรรษกับ 6 เจนเนอเรชั่นของรถสปอร์ตอเมริกันระดับตำนาน 

ดีทรอยท์ – เชฟโรเลต คามาโร เริ่มทำตลาดตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1966 (พ.ศ. 2509) และได้เสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าที่ต่างเฝ้ารอรถสปอร์ตครั้งแรกของเชฟโรเลต คามาโรประสบความสำเร็จตั้งแต่ปีแรกของการทำตลาดด้วยยอดขายเกือบ 221,000 คัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอเมริกันอันเลื่องชื่อ

ตลอด 50 ปีนับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรก คามาโรออกทำตลาดรวมทั้งหมด 6 เจนเนอเรชั่น แต่ละรุ่นมีความโดดเด่นและแตกต่างกันออกไปด้วยการออกแบบที่สร้างความตื่นตาตื่นใจตามยุคสมัยและเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการขับขี่ที่เร้าใจ ซึ่งทำให้คามาโรรุ่นแรกได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนับตั้งแต่เปิดตัววันแรก

เจนเนอเรชั่นที่ 1 ปี 1967-69
คามาโร เจนเนอเรชั่นแรก ถือกำเนิดขึ้นในยุครุ่งเรืองของรถมัสเซิลคาร์และยุคของรถแข่งแดร็กเรซซิ่ง รวมถึงรถแข่งโรดเรซซิ่ง เป็นที่มาของรุ่นแรกเริ่มแซด/28 (Z/28) ในปี 1967 คามาโร เจนเนอเรชั่นที่ 1 ยังทำหน้าที่เป็นรถเพซคาร์ของการแข่งขันอินดี้ 500 ถึงสองครั้ง ครั้งแรกในปี 1967 และครั้งที่สองในปี 1969 โดยรถรุ่นปี 1969 ที่มีตัวถังสีส้ม Hugger Orange และการตกแต่งด้วยสีส้มในห้องโดยสารถือเป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่มีชื่อเสียงโด่งดังและติดตราตรึงใจมากที่สุดในยุคนั้น

เจนเนอเรชันที่ 2 ปี 1970-81
คามาโร เจนเนอเรชั่นที่ 2 เป็นรุ่นที่ทำตลาดยาวนานที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุด ถึงแม้อุตสาหกรรมยานยนต์จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ความนิยมในรถสมรรถนะสูงอย่างแซด28 (Z28) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ คามาโร รุ่นที่ 2 มาพร้อมโครงสร้างใหม่ล่าสุดที่ลดศูนย์ถ่วงลงและขยายฐานล้อให้กว้างขึ้นเล็กน้อย ทำให้คามาโรรุ่นนี้มีสมรรถนะการขับขี่ที่เป็นเลิศ โดยยังมาพร้อมกับสไตล์การออกแบบที่น่าทึ่งซึ่งได้อิทธิพลมาจากแถบยุโรป คามาโรทำยอดขายต่อปีสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 282,571 คันในปี 1979 รวมถึงยอดขายแซด28 (Z28) เกือบ 85,000 คัน

เจนเนอเรชั่นที่ 3 ปี 1982-92
คามาโร เจนเนอเรชั่นที่ 3 ได้รับการเปิดตัวพร้อมโครงสร้างใหม่หมด ช่วงล่างด้านหน้าแบบสตรัทที่ทันสมัย พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน และเทคโนโลยีใหม่อีกมากมาย แชสซีส์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ยกระดับรถที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงศักยภาพการควบคุมที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว กลายเป็นเครื่องจักรสังหารบนสนามแข่ง โดยเฉพาะรุ่นที่มาพร้อมแพ็คเกจ 1แอลอี (1LE) ที่เปิดตัวในปี 1988 สไตล์ตัวถังที่ดุดันยกระดับสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมของตัวรถ และนับเป็นคามาโรรุ่นแรกที่มาพร้อมตัวถังแฮทช์แบ็ก นอกจากนี้ แซด28 (Z28) รุ่นปี 1982 ยังเป็นรถอเมริกันโปรดักชั่นคาร์คันแรกที่มาพร้อมกราวด์เอฟเฟคต์เพิ่มความลู่ลม และได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีจากมอเตอร์เทรนด์ (Motor Trend Car of the Year)

เจนเนอเรชั่นที่ 4 ปี 1993-2002
สมรรถนะถูกยกระดับอย่างต่อเนื่องสำหรับคามาโร เจนเนอเรชั่นที่ 4 เครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น และการปรับปรุงแชสซีส์ใหม่ที่พัฒนาบนพื้นฐานของเจนเนอเรชั่นที่ 3 การออกแบบตัวถังมีวิวัฒนาการให้มีสัดส่วนที่โดดเด่นยิ่งขึ้น รวมถึงกระจกบังลมที่ลาดเอียงซึ่งทำให้ตัวรถมีความปราดเปรียวอย่างแท้จริง ด้านหน้าของคามาโรรุ่นที่ 4 นี้ได้รับการปรับโฉมใหม่ในปี 1998 พร้อมกับการแนะนำรุ่นแอลเอส1 วี-8 (LS1 V-8) ทำให้รุ่นแซด28 (Z28) และเอสเอส (SS) รำลึกถึงยุครุ่งเรืองของรถมัสเซิลคาร์

เจนเนอเรชั่นที่ 5 ปี 2010-2015
ระยะเวลา 7 ปีที่ขาดหายไประหว่างเจนเนอเรชั่นที่ 4 และการเปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 5 (ซึ่งเผยโฉมปี 2009 ในฐานะรุ่นปี 2010) อาจดูไม่ยาวนาน แต่ก็เหมือนชั่วนิรันดร์สำหรับโลกยานยนต์ เชฟโรเลตตัดสินใจว่าคามาโรรุ่นใหม่จะต้องสืบสานตำนานความสำเร็จอันยาวนานซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง คามาโร รุ่นที่ 5 มียอดจำหน่ายมากกว่า 500,000 คัน และแซงหน้ารถสปอร์ตคู่แข่งเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน พร้อมกับต่อยอดเป็นรถรุ่นใหม่ที่เน้นการขับขี่ในสนามแข่งอย่าง 1แอลอี (1LE) แซด/28 (Z/28) และแซดแอล1 (ZL1)

เจนเนอเรชั่นที่ 6 ปี 2016 เป็นต้นมา
คามาโร รุ่นที่ 6 คือคามาโรที่มีความเหนือชั้นที่สุด ทั้งในด้านสมรรถนะ เทคโนโลยี และความประณีตหรูหราซึ่งอัดแน่นอยู่ในโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาลงและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทำให้ได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีจากมอเตอร์เทรนด์ในปี 2016 สำหรับปี 2017 มีการเปิดตัวรุ่น 1แอลอี (1LE) ใหม่สำหรับสนามแข่ง และแซดแอล1 (ZL1) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยขุมพลังวี 8 ความจุ 6.2 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ รีดพละกำลังถึง 640 แรงม้า และส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดรุ่นใหม่

คามาโร เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี
เชฟโรเลตเฉลิมฉลอง 50 ปีของคามาโรในช่วงซัมเมอร์นี้ด้วยกิจกรรมมากมาย และการเข้าร่วมงานแสดงรถคลาสสิก วู๊ดเวิร์ด ดรีม ครูสในวันที่ 20 สิงหาคม รวมถึงการเยี่ยมชมศูนย์การผลิตคามาโรที่แลนซิง แกรนด์ ริเวอร์ ซึ่งเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม

สำหรับรายละเอียดของกิจกรรมเข้าชมที่ www.camarofifty.com ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน ทั้งภาพในอดีต การออกแบบดีไซน์ และเรื่องราวความเป็นมา เข้าชมที่ www.camarofiftymedia.com

รู้หรือไม่: เชฟโรเลตใช้ชื่อ Z/28 ด้วยการใช้เครื่องหมายทับในคามาโรรุ่นแรก และเปลี่ยนจากเครื่องหมายทับเป็นเครื่องหมายขีด Z-28 ระหว่างการทำตลาดคามาโรรุ่นที่ 2 เชฟโรเลตเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Z28 ในการจัดจำหน่ายคามาโร รุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 ก่อนกลับมาใช้เครื่องหมายทับอีกครั้งสำหรับคามาโร Z/28 รุ่นปี 2014

อีซูซุสร้างสถิติใหม่ด้วย “นวัตกรรมประหยัดน้ำมันเปลี่ยนโลก” กับ “ครั้งแรก! อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ น้ำมันถังเดียว...เที่ยวไกลสุด คุนหมิง – กวางโจว 1,405 กม.”


อีซูซุสร้างสถิติใหม่ด้วย “นวัตกรรมประหยัดน้ำมันเปลี่ยนโลก” กับ “ครั้งแรก! อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ น้ำมันถังเดียว...เที่ยวไกลสุด คุนหมิง – กวางโจว 1,405 กม.”

อีซูซุจับมือผู้ใช้รถอีซูซุตัวจริงจัดทริปประวัติศาสตร์ สร้างสถิติใหม่ของการประหยัดน้ำมันด้วย “นวัตกรรมเปลี่ยนโลก” ให้เป็นที่ประจักษ์ในภารกิจสุดท้าทาย “ครั้งแรก! อีซูซุ ดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ น้ำมันถังเดียว... เที่ยวไกลสุด คุนหมิง-กวางโจว 1,405 กม.” ทุบสถิติการเดินทางระยะไกลด้วย “น้ำมันถังเดียว” ครั้งก่อน โดยครั้งนี้เพิ่มความ ท้าทายขึ้นไปไกลกว่าเดิมอีก 87 กิโลเมตร ตอกย้ำความประหยัดน้ำมันเหนือชั้นกว่ารุ่นเครื่องยนต์ 2,500 ซีซีถึง 19% ในสภาพการจราจรจริง ท่ามกลางสักขีพยานมากมาย โดยอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงดีที่สุดอยู่ที่ 24.38 กม./ลิตร เติมเต็มความเชื่อมั่นในความประหยัดน้ำมันของ “อีซูซุ ดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” และวิธีขับรถประหยัดน้ำมันในชีวิตประจำวันนั้นทำได้ไม่ยาก

“ครั้งแรก! อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ น้ำมันถังเดียว... เที่ยวไกลสุด คุนหมิง-กวางโจว 1,405 กม.” เป็นคาราวานท่องเที่ยวทางรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์ของอีซูซุ ด้วยการพิสูจน์ความประหยัดน้ำมันในแบบฉบับเหนือชั้นของอีซูซุ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2-4 กันยายนที่ผ่านมา นับเป็นเส้นทางที่ไกลที่สุดในประวัติศาสตร์การจัดคาราวาน “น้ำมันถังเดียว” ของอีซูซุ ด้วยความเชื่อมั่นในสมรรถนะและความประหยัดน้ำมันอย่างเหนือชั้นของ “นวัตกรรมเปลี่ยนโลก” ใน “อีซูซุ ดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ “อีซูซุอินไซท์” (Isuzu Insight) หนึ่งเดียวแห่งวงการรถปิกอัพที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถอีซูซุสามารถพัฒนาการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และขับได้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น เดินทางทั้งสิ้น 3 วัน โดยใช้รถปิกอัพ “อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” จำนวน 5 คัน รถทุกคันล้วนเป็นรถมาตรฐานโรงงาน ครบทุกรุ่น ครบทุกระบบขับเคลื่อน และผู้ใช้รถอีซูซุตัวจริงจากการแข่งขันขับประหยัดน้ำมันในกิจกรรม “อีซูซุไดร์ฟวิ่งคลับ” (Isuzu Driving Club) ครั้งล่าสุด จำนวน 10 ท่าน ขับตามสภาพการจราจรจริงของประเทศจีนที่ไม่คุ้นเคย บนเส้นทางที่ยาวไกลเต็มไปด้วยอุปสรรคหลากหลาย ทั้งเส้นทางขึ้น-ลงภูเขาสูง ทางโค้ง การซ่อมถนน รถบรรทุกขนาดเล็ก-ใหญ่ที่หนาแน่น สภาพการจราจรที่แออัดในเขตเมือง และฝนที่ตกหนักในบางช่วง อย่างไรก็ตามรถทุกคันถูกกำหนดให้เปิดแอร์ตลอดเส้นทาง โดยใช้ความเร็วเฉลี่ย 80-90 กม./ชม. แบบเดียวกับการขับในชีวิตประจำวัน และเป็นความเร็วที่ประเทศจีนกำหนด โดยมีกล้องตรวจจับความเร็วตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีการแวะพักเข้าห้องน้ำ และรับประทานอาหารในแต่ละวัน ที่สำคัญใช้น้ำมันเพียง 1 ถังเท่านั้น นับเป็นสร้างประวัติศาสตร์การประหยัดน้ำมันบนเส้นทางที่ยาวไกลกว่าทุกครั้ง โดยมีสักขีพยาน ทั้งคณาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ และสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์คาราวานในครั้งนี้ตลอดเส้นทาง รวมทั้งสิ้น 3 วัน โดยแบ่งระยะทางดังนี้

2 กันยายน 2559 : คุนหมิง (KUNMING) – ป่ายเซ่อ (BAISE) ระยะทาง 578 กม.

3 กันยายน 2559 : ป่ายเซ่อ (BAISE) – หลัวติ้ง (LUODING) ระยะทาง 599 กม.

4 กันยายน 2559 : หลัวติ้ง (LUODING) – กวางโจว (GUANGZHOU) ระยะทาง 228 กม.

เพื่อยืนยันการใช้น้ำมันเพียง 1 ถัง ตลอดการเดินทาง ฝาถังน้ำมันของรถทุกคันจะถูกปิดด้วยสติกเกอร์พิเศษที่มีลายเซ็นจากสักขีพยานกำกับตั้งแต่วันแรกที่ออกเดินทาง และจะไม่ได้รับการเปิดออกจนกว่าจะถึงที่หมาย อีกทั้งเมื่อจบการเดินทางในแต่ละวัน คณะกรรมการสักขีพยานได้เข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยของสติกเกอร์บนจุดต่างๆ ของรถ ก่อนที่จะใช้ สติกเกอร์พิเศษปิดประตู กระจก และเก็บกุญแจรถพร้อมปิดสติกเกอร์ไว้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในรถได้อีก จนในที่สุดภารกิจการเดินทางที่ยาวไกลก็ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาสักขีพยาน และผู้คนที่อยู่ ณ HAIXINSHIA ASIAN GAME PARK ซึ่งอยู่ใกล้กับ CANTON TOWER หรือหอคอยเมืองกวางโจว เมื่อรถ “ อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ทั้ง 5 คันที่ขับฝ่าสายฝนที่ตกพรำในช่วงเช้าได้มาถึงจุดหมายปลายทางเป็นผลสำเร็จ โดยรถทุกคันไม่มีสัญญาณไฟเตือนน้ำมันใกล้หมดปรากฏเลยสักคันเดียว!

จากนั้นได้มีการดึงข้อมูล “อีซูซุอินไซท์” (Isuzu Insight) จากรถทั้ง 5 คันเพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่เป็นรายคันและสรุปออกมาเป็นผลคะแนนจากการวิเคราะห์ 5 ด้าน ได้แก่ ความเร็วและอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง การใช้ช่วงรอบเดินเบา การใช้รอบเครื่องยนต์ การใช้เบรก และการเหยียบคันเร่ง ที่ส่งผลให้เกิดสถิติการประหยัดน้ำมันอันน่ามหัศจรรย์เฉลี่ยสูงถึง 22.40 กม./ลิตร ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่าที่อีซูซุเคยจัดกิจกรรมคาราวานท่องเที่ยวด้วย “น้ำมันถังเดียว” โดยมีคันที่ได้คะแนนเต็ม 100 มากถึง 3 คัน ส่วนอีก 2 คันได้คะแนน 98 และ 97 ตามลำดับ จบภารกิจอีซูซุได้นำผู้ขับพร้อมครอบครัวตะลุยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเมืองกวางโจว อย่างสนุกสนาน

มร.โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด
 เผยความรู้สึกต่อความสำเร็จครั้งนี้ว่า “ผมขอขอบคุณนักขับทุกท่านที่มีส่วนช่วยสร้างสถิติประหยัดน้ำมันใหม่อันโดดเด่นให้แก่วงการรถยนต์เมืองไทย ด้วยความสำเร็จในการเดินทางจากเมือง คุนหมิง สู่เมืองกวางโจว ระยะทาง 1,405 กิโลเมตร โดยใช้น้ำมันไม่ถึงหนึ่งถัง นับเป็นคาราวานประหยัดน้ำมันระยะทางไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ที่อีซูซุเคยจัดมา และยังเป็นครั้งแรกที่รถร่วมขบวนทุกคันเป็นรถปิกอัพ “อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ซึ่งเป็นที่ยอมรับในความประหยัดน้ำมันและสมรรถนะเครื่องยนต์อันยอดเยี่ยม กิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความมั่นใจ ใน “นวัตกรรมเปลี่ยนโลก” เพราะ “อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม 2500 ซีซี ที่มีชื่อเสียง ทั้งแรงม้า และแรงบิดสูงกว่ารุ่นเดิมมากๆ จึงอยากจะให้สมรรถนะเรื่องความประหยัดน้ำมันของรถปิกอัพ “อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ทุกรุ่น พร้อมทั้ง “อีซูซุอินไซท์” (Isuzu Insight) เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมันและปลอดภัย เอกลักษณ์ของรถปิกอัพอีซูซุ เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่สาธารณชน โดยเฉพาะเรื่องความประหยัดน้ำมันที่มากกว่าถึง 19 % เพราะว่าเมื่อ 2 ปีก่อน อีซูซุเคยจัดคาราวานประหยัดน้ำมันระยะทาง 1,318 กม. สำเร็จมาแล้ว ดังนั้นด้วยสมรรถนะ “อีซูซุดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” ที่เหนือชั้นกว่ารุ่น 2500 ซีซี ในทุกด้าน ผมจึงคิดว่าระยะทาง 1,405 กม. นั้นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด อีกทั้งรถทุกคันไม่มีคันไหนเลยที่ไฟเตือนน้ำมันใกล้หมดปรากฏให้เห็น เป็นสิ่งที่อีซูซุภาคภูมิใจมาก นอกจากนี้ความสำเร็จของคาราวานประหยัดน้ำมันครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้คนไทยตระหนักถึงการขับรถแบบประหยัดน้ำมันและพัฒนาการขับขี่ให้มีประสทธิภาพ เพื่อช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าของโลกให้เหลือใช้ต่อกันไปได้นานๆ”

ฮอนด้าเปิดตัว New Zoomer-X จัดจ้านโดนใจด้วยคู่สีแบบคอนทรา สต์ ต่อ-ธนภพ รับบทพรีเซนเตอร์ใหม่ ถ่ายทอดคาแรกเตอร์เท่นอกกรอบ


ฮอนด้าเปิดตัว New Zoomer-X จัดจ้านโดนใจด้วยคู่สีแบบคอนทรา สต์
ต่อ
-ธนภพ รับบทพรีเซนเตอร์ใหม่ ถ่ายทอดคาแรกเตอร์เท่นอกกรอบ

เอ.พี. ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้ าในประเทศไทย เสริมแกร่งความเป็นผู้นำเทรนด์วั ยรุ่นนอกกรอบด้วยการเปิดตัว New Zoomer-X รถเอ.ที.แบบเรียลเนคเกด สีสันใหม่แบบคอนทราสต์ที่โดดเด่ นไม่เหมือนใครภายใต้คอนเซปต์ ได้เวลาปล่อยของ” พร้อมดึง ต่อ-ธนภพ นักแสดงวัยรุ่นสุดฮอตของเมืองไท ยมาร่วมถ่ายทอดความเท่แบบนอกกรอ บ วางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

            นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.  ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้ าในประเทศไทยเปิดเผยว่า“Zoomer-X เป็นรถที่สร้างเทรนด์ใหม่ให้กับ วงการตั้งแต่เปิดตัวสู่ตลาดครั้ งแรกเมื่อปี 2012 และกลายเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบความแตกต่างโดยทันที เพราะรถรุ่นนี้ตอบโจทย์ทั้งดีไซ น์และฟังก์ชันการใช้งาน อีกทั้งยังเป็นรุ่นแรกและรุ่นเดี ยวถึงปัจจุบันที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นด้วยพื้นที่ฟรีสเปซที่ สามารถใช้งานหรือตกแต่งได้ หลากหลายรูปแบบ จนมาถึงปี 2015 ฮอนด้าได้ปรับโฉม Zoomer-X ให้มีความโปร่งและดุดันมากขึ้นจ นได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ใน วงกว้างอย่างรวดเร็ว

            แม้ Zoomer-X จะได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ฮอนด้าก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำ เสนอความแปลกใหม่ให้กับผู้ใช้ อยู่เสมอ ล่าสุดในปี 2016 นี้ เราได้เพิ่มความสนุกให้กับ New Zoomer-X ด้วยการออกแบบรถให้มีสีสันที่แต กต่างออกไปจากเดิม เพิ่มความร้อนแรงด้วยคู่สีที่ตั ดกันอย่างมีมิติบนตัวรถและล้อรถ ทำให้ New Zoomer-X โดดเด่นตั้งแต่แรกเห็น พร้อมกันนี้ เรายังได้ดึงต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร นักแสดงวัยรุ่นระดับแนวหน้าของเ มืองไทยมาร่วมถ่ายทอดคาแรกเตอร์ นอกกรอบและสีสันที่ไม่มีวั นหมดของคนรุ่นใหม่ในฐานะพรี เซนเตอร์ของ New Zoomer-X อีกด้วย

            New Zoomer-X ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคันภายใ ต้คอนเซปต์ ได้เวลาปล่อยของ” โดดเด่นด้วยการแมตช์สีแบบต่างขั้วไว้ในคันเดียวทั้งเฟรมและล้อแม็ กที่มาพร้อมกับยางหน้ากว้างแบบจุ๊ บเลส เพิ่มความเท่ด้วยกราฟิกแบบใบมีด ที่ลงตัวกับโครงสร้างแบบทัฟเฟรม เน้นความโปร่งเป็นพิเศษในสไตล์เ รียลเนคเกดด้วยพื้นที่ X-CITE FREE SPACE ขนาดใหญ่ ด้านหน้ารถติดตั้งโช้กหัวกลับรอ งรับแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า แผงหน้าปัดสุดล้ำแบบดิจิตอลแสดง การทำงานชัดเจน

New Zoomer-X ล้ำหน้าด้วย Honda Smart Technology ที่รวมที่สุดของเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ที่สมบู รณ์แบบเข้าไว้ด้วยกัน ประกอบด้วยเครื่องยนต์ประสิทธิภ าพสูง eSP(Enhanced Smart Power) ขนาด110ซีซี ระบบหัวฉีดPGM-FI ที่มีระบบการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ สมรรถนะสูง แรงเสียดทานต่ำ ทำงานร่วมกับระบบหยุดเครื่องยนต์ อัตโนมัติ Idling Stop System จึงมีอัตราประหยัดน้ำมันที่สูงถึ ง 62.3 กิโลเมตร/ลิตร (วัดตามมาตรฐาน สมอ. ECE R40 Mode)และติดตั้งระบบกระจายแรงเบรกหน้ า-หลัง Combi Brake System เพื่อความมั่นใจ ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้ วยค่าไอเสียที่สะอาดผ่านมาตรฐาน ระดับ 6และรองรับน้ำมัน E20
            เอ.พี. ฮอนด้าพร้อมวางจำหน่าย New Zoomer-X พร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ สิงหาคม 2559 ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ โดยมีให้เลือกถึง คู่สี สไตล์ได้แก่สีมิดไนท์ซัน(น้ำเงิ น-ดำ)สีเอเนอร์เจติกเรด(แดง-ดำ)สีไวลด์กรีน (เขียว-ดำ)สีส้มอินดัสเตรียลออเรนจ์(ขาว-ดำ)สีอินสไปเรชันไวโอเลต(ม่วง-ดำ)สีทัฟแบล็ค(ดำด้าน-ส้ม) ด้วยราคาแนะนำที่ 55,700 บาท
            พร้อมกันนี้ ทางฮอนด้ายังได้เอาใจคนชอบรถแต่ งด้วย New Zoomer-X Street Hero Limited Edition ออกแบบพิเศษด้วยสีไตรคัลเลอร์ติ ดตั้งชุดแต่งH2C ทั้งคันแบบฟูลออพชัน ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คันเท่านั้น ราคาแนะนำ65,600 บาท
อัพเดทข่าวสารของรถจักรยานยนต์ฮ อนด้าได้ทางเว็บไซต์ 

มาสด้าวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องยนต์ที่โรงงาน MPMT พร้อมเพิ่มการผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์รองรับความต้องการลูกค้า


มาสด้าวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องยนต์ที่โรงงาน MPMT
พร้อมเพิ่มการผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์รองรับความต้องการลูกค้า


ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น – มาสด้า มอเตอร์ คอปอร์เรชั่น ได้ประกาศในวันนี้ว่าจะมีการเพิ่มปริมาณกำลังการผลิตเครื่องยนต์ต่อปีของโรงงานประกอบเครื่องยนต์ที่โรงงาน มาสด้า พาวเวอร์เทรน เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด หรือ MPMT ที่ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 122,000 เครื่อง ภายในครึ่งปีแรกของปี 2561 นอกจากนี้ยังได้ประกาศแผนลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ใหม่โดยเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตเทียบเท่ากับกำลังการผลิตของโรงงานประกอบเครื่องยนต์ในปัจจุบัน

สำหรับกำลังการผลิตต่อปีของโรงงานประกอบเครื่องยนต์ที่ MPMT ซึ่งเริ่มสายการผลิตอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 30,000 หน่วยต่อปี โดยโรงงานแห่งนี้ประกอบเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล ขนาด 1.5 ลิตร และเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 1.3 ลิตร เพื่อป้อนให้กับโรงงาน ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) หรือ เอเอที สำหรับทำการผลิตในรถยนต์มาสด้า2

มาสด้าได้ทุ่มทุนกว่า 22.1 พันล้านเยน (หรือประมาณ 7,200 ล้านบาท) ในการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานประกอบเครื่องยนต์เป็น 122,000 เครื่องต่อปี โดยทางมาสด้าจะก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับการขึ้นรูปผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ด้วย เพื่อขยายสายการผลิตให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น อันประกอบด้วย โครงสร้างตัวถัง เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง โดยจะเพิ่มสายการผลิตเครื่องยนต์เบนซินสกายแอคทีฟ ขนาด 2.0 ลิตร เพื่อทำการส่งออกเครื่องยนต์ดังกล่าวไปยังฐานการผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียน อันได้แก่ มาเลเซีย และเวียดนาม


ภาพโรงงาน MPMT เมื่อเสร็จสมบูรณ์ ประกอบด้วยโรงงานผลิตระบบส่งกำลัง (ซ้ายบน) และโรงงานประกอบเครื่องยนต์ (ขวาล่าง)

นาย มาซาโตชิ มารุยามา Managing Executive Officer ผู้รับผิดชอบส่วนงานการผลิตระดับโลก (Global Production) ของมาสด้า มอเตอร์ คอปอร์เรชั่น กล่าวว่า “ การขยายกำลังการผลิตในประเทศไทยนั้นนับเป็นนโยบายหลักของเราในความพยายามที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สายการผลิตทั่วโลก ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องยนต์และการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ใหม่ตามแผนงานที่กำหนด พร้อมคุณภาพที่ได้รับประกันนี้ มาสด้ามีความตั้งใจที่จะพัฒนาต่อยอดโรงงาน MPMT ให้กลายเป็นฐานการผลิตแห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่นสำหรับการส่งออกเครื่องยนต์ ซึ่งจะช่วยยกระดับเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตระดับโลกของมาสด้า และส่งเสริมความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย”

มาสด้ายังคงมุ่งมั่นในการเติมเต็มชีวิตชีวาผู้คนผ่านทางจุดต่างๆ ในชีวิตของพวกเขา รวมถึงกาผลิตรถยนต์คุณภาพสูง และกลายเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่สร้างความผูกพันอย่างเหนียวแน่นในใจของลูกค้าได้

สำหรับความเคลื่อนไหวในประเทศไทยทางคณะผู้บริหารระดับสูงของมาสด้า ประกอบไปด้วย นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และ นายมิตซึโนบุ มูไคดะ ประธานบริหาร มาสด้า พาวเวอร์เทรนด์ เมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ได้เดินทางเข้าพบกับ นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เพื่อแสดงความมั่นใจในการขยายการลงทุนในประเทศไทยครั้งนี้ รวมถึงให้ข้อมูลพร้อมรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนและผลิตภัณฑ์หลักที่จะทำการผลิตขึ้นที่โรงงงานแห่งใหม่ ซึ่งจะทำให้โรงงานแห่งใหม่นี้กลายเป็นฐานการผลิตเครื่องยนต์คลีนดีเซลขนาดเล็กของมาสด้าหลังจากที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้อนุมัติโครงการลงทุนของมาสด้าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

*บริเวณสีเทาอ่อนในภาพ คือ โรงงานผลิตเครื่องยนต์ใหม่

องค์กรอิสระ รณรงค์ให้คนไทยใส่หมวกกันน็อกเป็นนิสัย เปิดตัว “โครงการสังคมหัวแข็ง” ปฏิวัติความคิดใหม่ คนไทยใส่หมวก


องค์กรอิสระ รณรงค์ให้คนไทยใส่หมวกกันน็อกเป็นนิสัยเปิดตัว “โครงการสังคมหัวแข็ง” ปฏิวัติความคิดใหม่ คนไทยใส่หมวก

เอ.พี. ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดตัวโครงการรณรงค์ให้คนไทยใส่หมวกกันน็อกภายใต้ชื่อโครงการ “สังคมหัวแข็ง” ด้วยคอนเซปต์ ปฏิว้ติความคิดใหม่ คนไทยใส่หมวก วางเป้าหมายให้เกิดการปฏิบัติจริง ด้วยความต่อเนื่องและจริงจังผ่านการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อสร้างจิตสำนึกให้คนไทยหันมาใส่หมวกกันน็อกจนเป็นนิสัยเมื่อใช้รถจักรยานยนต์เพื่อปกป้องตนเองจากอุบัติเหตุ

นายอารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด
เปิดเผยว่า “ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่คนไทยกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการปกป้องตนเองจากความเสี่ยงดังกล่าว ดั่งเช่นข้อมูลล่าสุดในปีที่ผ่านมาจากไทยโรดส์จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในเมืองไทยที่ใส่หมวกกันน็อกเพียงแค่ 43% เท่านั้น โดยคนไทยมักจะมีข้ออ้างที่จะไม่ใส่หมวกกันน็อกมากมายจนกลายเป็นความเคยชินตลอดมา”

“ในฐานะผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทย เอ.พี. ฮอนด้า มีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนเมืองไทยสู่เส้นทางของความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้โครงการฮอนด้าเมืองไทยขับขี่ปลอดภัย โดยหนึ่งในการดำเนินงานหลักคือการรณรงค์ให้เกิดการปฎิบัติจริง ในปีนี้เราจึงได้สร้างสรรค์โครงการใหม่ที่มีชื่อว่าสังคมหัวแข็ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลูกจิตสำนึกและเปลี่ยนพฤติกรรมให้คนไทยใส่หมวกกันน็อกจนเป็นนิสัย ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งมุ่งประสานความร่วมมือกับภาคีต่างๆสร้างความเป็นต้นแบบจากแต่ละเครือข่าย ต่อยอดขยายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมต่อสังคมไทยในวงกว้างต่อไป”

“โครงการนี้จะเน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในชีวิตประจำวัน โดยมีเพลงสังคมหัวแข็งซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากจังหวะที่จริงจังของเพลงปลุกใจ มาใส่ความสนุกสนานร่วมสมัยในสไตล์ฮิพฮอพ โดยในเนื้อเพลงจะกล่าวถึง 3 กฏเหล็กของการใส่หมวกกันน็อกที่จะนำมาซึ่งความปลอดภัย ได้แก่ขี่ซ้อนเราใส่ ใกล้ไกลเราใส่ ใครไม่ใส่เราไม่ยอม บอกเล่าผ่านสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็น มิวสิควีดีโอ ออนไลน์คลิป ภาพยนตร์โฆษณา สื่อกลางแจ้ง และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยมีจอห์น วิญญู, แป้งโกะ จินตนัดดา และกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ซึ่งต่างก็เป็นที่รู้จักของคนรุ่นใหม่มาร่วมรณรงค์ในฐานะผู้นำสังคมหัวแข็งในการสร้างจิตสำนึกและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้รถจักรยานยนต์”

“ในขณะเดียวกัน เอ.พี. ฮอนด้า ก็จะเป็นต้นแบบที่ทำให้เกิดการปฏิบัติจริง โดยในช่วงแรกของโครงการ เราจะร่วมกับกลุ่มบริษัทฮอนด้าในประเทศไทยรวม 12 บริษัท และร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้ากว่า 1,200 สาขาทั่วประเทศ สร้างสรรค์สังคมหัวแข็งต้นแบบ โดยมีพนักงานรวมกว่า 35,000 คน มาเป็นตัวอย่างที่ดีของคนไทยที่ใส่หมวกกันน็อกทุกครั้งเมื่อใช้รถจักรยานยนต์ ก่อนที่จะขยายแนวคิดนี้ไปยังสถานศึกษา สถานที่ราชการ และชุมชนต่างๆทุกจังหวัด ก่อเกิดเป็นสถานศึกษาและชุมชนหัวแข็งต้นแบบ แล้วยกระดับไปสู่การรณรงค์ในระดับประเทศ โดยมีการกำหนดมาตรฐานในการดำเนินงานของแต่ละแห่งอย่างเป็นรูปธรรม”

“และในอนาคตอันใกล้นี้ ทางเอ.พี.ฮอนด้า จะร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจหรือ MOU กับหน่วยงานต่างๆต่อไป โดยจะมีการร่วมตกลงถึงรายละเอียดในการประสานความร่วมมือ การกำหนดกฏเกณฑ์ต่างๆ และวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้”

สำหรับโครงการ “สังคมหัวแข็ง” ภายใต้คอนเซปต์ ปฏิวัติความคิดใหม่ คนไทยใส่หมวก ถือเป็นการประสานความร่วมมือครั้งใหญ่ระหว่าง บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด กับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรอิสระ เพื่อสร้างจิตสำนึกให้คนไทยหันมาใส่หมวกกันน็อกจนเป็นนิสัยเมื่อใช้รถจักรยานยนต์ เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนสังคมไทยให้ดีขึ้น ด้วยการใส่หมวกกันน็อกให้เป็นนิสัย แล้วติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ที่ www.aphonda.co.th
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved