Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

จากัวร์ เปิดตัว ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ สุดยอดรถสปอร์ตสมรรถนะเหนือชั้นและสมบูรณ์แบบที่สุดจากจากัวร์ครั้งแรกของเมืองไทยกับมิติใหม่แห่งความแรงสุดขีดของรถสปอร์ตสายพันธุ์แกร่งจากสหราชอาณาจักร



กรุงเทพฯ 26 มิถุนายน 2557 – ซิตี้ ออโต้โมบิล ผู้แทนจัดจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการเพียงรายเดียวในประเทศไทย เปิดตัว ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ สุดยอดนวัตกรรมยานยนต์แห่งความเร็วและสมรรถนะที่สมบูรณ์แบบที่สุดจากจากัวร์ ซึ่งเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากรถสปอร์ตคูเป้รุ่น เอฟ-ไทป์ คอนเวอร์ทิเบิล ที่เคยคว้ารางวัลงานออกแบบรถยนต์โลก(World Car Design of the Year) ประจำปี 2013 โดย จากัวร์ ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ ถูกออกแบบด้วยกระบวนการผลิตทางวิศวกรรมขั้นสูงเพื่อมอบความสมบูรณ์แบบทั้งด้านพลังในการพุ่งทะยาน ความคล่องตัวในการขับขี่ และมนต์เสน่ห์ที่จะสะกดทุกสายตา เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมเครื่องยนต์ระบบซูเปอร์ชาร์จ ตัวถังอะลูมิเนียมน้ำหนักเบารุ่นใหม่ และเทคโนโลยีอันทันสมัยเพื่อมอบประสบการณ์แห่งการขับขี่ระดับโลกที่จะกระตุ้นอะดรีนาลินของผู้ขับขี่ให้สูบฉีดสุดแรงด้วยประสบการณ์แห่งความเร็วที่แท้จริง โดยเฉพาะยานยนต์รุ่นท้อปอย่าง  เอฟ-ไทป์ อาร์ คูเป้ ที่ล้ำหน้าด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 680 นิวตันเมตร และความเร็วสูงสุดกว่า 300 กม./ชม. ผสานโครงสร้างและตัวถังอะลูมิเนียมน้ำหนักเบารุ่นใหม่ของจากัวร์ในเครื่องยนต์ระบบซูเปอร์ชาร์จ V6 ทำให้ เอฟ-ไทป์ อาร์ คูเป้ เร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 4.2 วินาที ปลุกทุกประสาทสัมผัสของผู้ขับขี่ให้โลดแล่นไปอย่างไร้ขีดจำกัดด้วยความแรง แกร่ง และเฉียบคมเหนือใคร

ภาพลักษณ์อันสง่างามของ จากัวร์ เอฟ-ไทป์ คูเป้ เกิดจากการออกแบบต่อยอดจากงานดีไซน์ของรุ่น จากัวร์ ซี-เอ็กซ์ 16 (C-X16) ซึ่งเป็นต้นแบบรถสปอร์ตคูเป้ที่กวาดรางวัลระดับโลกจากงาน 2011 Frankfurt Motor Show ผ่านการใช้เส้นดีไซน์หลัก 3 เส้นในการสร้างสรรค์ โดยเส้นดีไซน์แรกซึ่งถอดแบบมาจากรุ่น เอฟ-ไทป์ คอนเวอร์ทิเบิล ถูกใช้ในการออกแบบช่องลมให้แลดูน่าเกรงขามด้วยรูปทรง เหงือกฉลามที่เปิดอยู่ด้านข้าง ซึ่งเป็นตัวสร้างรูปทรงที่เพรียวสวยของโครงรถ จากนั้นพาดผ่านโค้งล้อหน้าและกรอบประตู ก่อนจะโค้งลงอย่างนุ่มนวลสู่ช่วงท้ายที่แลดูแข็งแกร่งแบบชายหนุ่ม ส่วนเส้นดีไซน์ที่สองซึ่งยังคงนำมาจากรุ่นคอนเวอร์ทิเบิล เริ่มต้นจากขอบหลังของประตูรถ โดยดึงแนวสายตาให้แผ่ออกด้านข้างและเฉียงขึ้นด้านบน เพื่อเน้นส่วนโค้งของกรอบล้อหลังให้แลดูใหญ่และทรงพลังในการขับขี่ ก่อนเคลื่อนต่ำผ่านไฟท้ายลงในแนวดิ่ง และเส้นดีไซน์ที่สามถือเป็นเส้นสำคัญที่สร้างความอัศจรรย์แห่งงานดีไซน์ให้แก่ ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ ใช้ในส่วนของห้องโดยสารด้านหลังและโครงหลังคารถเพื่อเน้นรูปทรงลู่ลม ทำให้ห้องโดยสารเสมือนได้รับการปกป้องจากช่วงท้ายที่ให้ความรู้สึกทรงพลัง
โครงสร้างภายนอกของ จากัวร์ ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ ผลิตจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียวด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดขั้นสูง เป็นโครงสร้างอะลูมิเนียมภายนอกที่ใช้ระบบการขึ้นรูปเย็นที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมรถยนต์เกรดพรีเมี่ยมทั้งยังทำให้ตัวถังของ จากัวร์ ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ มีค่าความแข็งตึงต่อการรับแรงบิสูงถึง 33,000 นิวตันเมตร/ดีกรี ซึ่งเป็นโครงสร้างที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จากัวร์เคยผลิตมา

จากัวร์ ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ ยังติดตั้งเทคโนโลยีและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สุดล้ำเพื่อการควบคุมอย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส อาทิ ระบบทดแทนแรงบิด (Electronic Active Differential) รุ่นพัฒนาใหม่ และระบบวัดเวคเตอร์แรงบิด (Torque Vectoring) ซึ่งตอบสนองการควบคุมอย่างฉับไวเต็มประสิทธิภาพ, ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกเมตริกซ์ (Carbon Ceramic Matrix:CCM) ที่มาพร้อมจานเบรกหน้า 398 มม. และจานเบรกหลัง 380 มม. มอบพลังการเบรกที่เฉียบคมสำหรับพื้นผิวแบบระลอกคลื่น ทั้งยังเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมและแรงต้านการดื้อเบรกได้อย่างดีเยี่ยม โดยช่วยลดน้ำหนักนอกสปริงรวมได้ถึง 21 กก. อีกทั้งระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ตที่มาพร้อมโหมดการขับขี่แบบไดนามิกหรือ Adaptive Dynamics Damping และ Configurable Dynamic Mode ยังเพิ่มความฉับไวในการตอบสนอง ให้ผู้ขับขี่รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับยานยนต์ และสัมผัสถึงประสบการณ์แห่งความเร็วระดับพรีเมี่ยมได้แบบเต็มอารมณ์

จากัวร์ เอฟ-ไทป์ อาร์ คูเป้ นำเสนอสุดยอดยนตกรรมจากตระกูล เอฟ-ไทป์ ด้วยเครื่องยนต์ระบบซูเปอร์ชาร์V8 ขนาด 5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 550 แรงม้า/แรงบิด 680 นิวตันเมตร พร้อมอัตราเร่ง 0-97 กิโลเมตร/ชม. ในเวลาเพียง 4 วินาที และพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงสุดที่ 300 กิโลเมตร/ชม. โดยใช้เวลาเร่งที่ระดับความเร็ว 80-120 กิโลเมตร/ชม.ในเวลาเพียง 2.4 วินาที สำหรับรุ่นจากัวร์ เอฟ-ไทป์ เอส คูเป้ ใช้เครื่องยนต์เบนซินระบบซูเปอร์ชาร์จ V6 ขนาด 3 ลิตร ที่ให้กำลัง 380 แรงม้า/แรงบิด 460 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-97 กิโลเมตร/ชม. ในเวลา 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่ 275 กิโลเมตร/ชม. และมาพร้อมหลังคากระจกพานอรามิกเพื่อเปิดมุมมองเต็มตาแบบ 360 องศา ประสานกับระบบวัดเวคเตอร์แรงบิดด้วยแรงเบรก จึงช่วยเพิ่มการตอบสนองที่ฉับไวและการควบคุมอย่างเต็มประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในตระกูลเอฟ-ไทป์ การตกแต่งห้องโดยสารของ ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อถ่ายทอดถึงเอกลักษณ์ของสายพันธุ์แห่งรถสปอร์ตตัวจริงผ่านการสร้างสรรค์รูปแบบทั้งในเชิงเทคนิค การออกแบบอินเตอร์เฟซให้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้ใช้งาน และการเลือกใช้องค์ประกอบและวัสดุบุรองเกรดพรีเมี่ยมเท่านั้น อาทิ เบาะนั่งของ เอฟ-ไทป์ อาร์ คูเป้ เป็นแบบ Performance seats โดยมีปีกเบาะด้านข้างที่ขยายได้เพื่อให้โอบอุ้มสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง บุด้วยหนังเนื้อดีเกรดพรีเมี่ยมพร้อมประทับตราสัญลักษณ์ “R” อย่างเด่นชัดบนเบาะรองศีรษะ พร้อมมอบความหรูหราด้วยงานบุระดับพรีเมี่ยมทั้งบริเวณแผงควบคุมและกล่องใส่ของ ที่พักแขน แผงครอบมือจับด้านในประตู และคอนโซลกลาง นอกจากนี้ ยังมีออพชั่นการตกแต่งภายในสไตล์ใหม่ที่เลือกได้ทั้งวัสดุหนังหรือผ้าหนังกลับ ส่วนที่นั่งคนขับเน้นสัมผัสแห่งความเร็วแบบรถสปอร์ตด้วยพวงมาลัยแบบวงเล็กและแบนด้านล่าง พร้อมหุ้มหนังสไตล์เครื่องบินเจ็ทและประทับตราสัญลักษณ์ “R” โดยสามารถเลือกติดตั้งออพชั่นพวงมาลัยกลมแบบมาตรฐานได้ฟรี   นอกจากนี้ เอฟ-ไทป์ ทุกรุ่นยังมีออพชั่นการตกแต่งภายในสไตล์ใหม่ที่ใช้หนังและผ้าหนังกลับเต็มรูปแบบ โดยใช้ด้ายเย็บสีซีทรัสให้มีโทนสีตัดกันอย่างสวยงาม

พร้อมกับการเปิดตัว ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ อาร์ คูเป้ ซึ่งสมบูรณ์แบบด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและจิตวิญญาณแห่งความแกร่งตามแบบฉบับจากัวร์ ซิตี้ ออโต้โมบิล ยังได้เปิดตัว แบรนด์เฟรนด์ ชาวไทย 3 ท่าน ซึ่งเป็นตัวแทนของเอกลักษณ์อันโดดเด่นทั้ง 3 ด้านของจากัวร์ ซึ่งได้แก่ งานดีไซน์ที่โดดเด่นโดยมีตัวแทนคือ อาทิตย์ อัสสรัตน์ ผู้กำกับภาพยนตร์ไฟแรง, นวัตกรรมอันล้ำสมัยโดย ชฟเอียน กิตติชัย เชฟแถวหน้าของเมืองไทย และ พิเชษฐ กลั่นชื่นศิลปินโขนร่วมสมัย เป็นตัวแทนแห่งสมรรถนะที่เหนือชั้น โดยแบรนด์แอมบาสเดอร์ทั้งสามถือเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ทุ่มเทในการทำงานและยังเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้อื่นในการก้าวตามความฝันของตนเองได้อย่างน่าชื่นชม โดยเฉพาะการเข้าถึงสุนทรีศาสตร์ระดับสูงซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานชั้นเยี่ยมด้วยจิตวิญญาณที่แท้จริง สิ่งนี้ยังถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์ยานยนต์สปอร์ตของจากัวร์         

ริชาร์ด เฮก ผู้จัดการทั่วไป จากัวร์แลนด์โรเวอร์ กล่าวว่า “จากัวร์แลนด์โรเวอร์ ทุ่มเทเพื่อการขยายธุรกิจและฐานลูกค้าระดับสูงในเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งยังมีแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในตลาดเมืองไทยทุกปี โดยปี 2557 ถือเป็นปีของ ดิ ออล-นิวเอฟ-ไทป์ คูเป้ ซึ่งเป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นสำคัญของจากัวร์ เนื่องจากเป็นการนำเสนอสุดยอดสมรรถนะแห่งความแรงขั้นสุดยอดของรถสปอร์ตจากัวร์และเป็นนวัตกรรมอันล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าที่ต้องการความเป็นเลิศทั้งด้านสไตล์ที่เหนือล้ำ งานประกอบระดับพรีเมี่ยม พร้อมด้วยสมรรถนะและดีไซน์ที่โดดเด่นเหนือใคร โดยเฉพาะเหล่าผู้ขับขี่ตัวจริงที่มีความเชี่ยวชาญระดับสูง หลงใหลในการขับขี่และแสวงหาประสบการณ์แห่งการพุ่งทะยานขั้นสุดยอด ย่อมทราบดีว่า ดิ ออล-นิว เอฟ-ไทป์ คูเป้ คือยานยนต์ที่เหนือชั้นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์อันหรูหรา ประสิทธิภาพการขับขี่ และการควบคุมที่เฉียบคม ที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์ระดับสูงได้อย่างครอบคลุม

“นอกจากนี้ ซิตี้ ออโต้โมบิล ยังได้แต่งตั้งบริษัทตัวแทนผู้ให้บริการรถยนต์จากัวร์อย่างเป็นทางการเพิ่มอีก 3 ราย เพื่อให้ผู้บริโภคในประเทศไทยสามารถเข้าถึงศูนย์จำหน่ายและบริการซ่อมบำรุงระดับเวิลด์คลาสของจากัวร์ได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น”   

ท่านสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยานยนต์และข้อมูลเชิงเทคนิคได้ที่เว็บไซต์ www.jaguarthailand.com 


F-Type Coupe = 7,999,000 บาท
F-Type S Coupe = 8,899,000 บาท
F-Type V8 SC R Coupe = 11,250,000 บาท

เบนท์ลี่ย์ วี 8 เอส (V8 S) ใหม่ล่าสุด เปิดตัวสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย



·         จีที วี8 เอส (GT V8 S) รุ่นคูเป้ (coupe) และรุ่นเปิดประทุน (convertible) เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน IAA แฟรงก์เฟิร์ต
·         มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนท์ลี่ย์ ขนาด 4 ลิตร twin-turbo V8
·         พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 521 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ/นาที
·         GT V8 S Coupe มีอัตราเร่งจาก 0-100กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา4.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 309 กิโลเมตร/ชั่วโมง
·         GT V8 S Convertible มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 308 กิโลเมตร/ชั่วโมง
·         ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอย่างยิ่งโดยหากเติมน้ำมันเต็มถังนั้นทั้ง 2 รุ่นสามารถวิ่งได้ยาวไกลถึง 805 กิโลเมตร
·         การออกแบบเน้นในเรื่องของความเฉียบคมและเต็มไปด้วยสไตล์รูปลักษณ์ที่โดดเด่นตามรูปแบบรถสปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน
·         ตัวถังต่ำลง 10 มิลลิเมตร พร้อมระบบช่วงล่างแบบสปอร์ตและคาลิปเปอร์เบรกสีแดง
·         โลโก้ “V8 S”จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นสปอร์ตอย่างแท้จริง

กรุงเทพฯ. เบนท์ลี่ย์ ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยของยนตรกรรมหรูรุ่นใหม่ล่าสุดจากเบนท์ลี่ย์The New Continental GT V8 S and GT V8 S Convertible เชิญชวนทุกท่านสัมผัสโลกของ ‘S’ กับคำนิยามใหม่แห่งสปอร์ต บนความหรูหราที่สุดของเบนท์ลี่ย์เมื่อวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2557 ณ โชว์รูม PAG ชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ที่ผ่านมา 

เบนท์ลี่ย์เพิ่มสมาชิกใหม่ให้กับครอบครัวคอนติเนนทัล (Continental) นั่นคือรุ่น     จีที วี8 เอส (GT V8 S) ใหม่ล่าสุดที่ทำการเปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ IAA Frankfurt Motor Show โดยจะออกมาในรูปแบบ 2 เวอร์ชั่นนั่นคือรุ่นคูเป้และรุ่นเปิดประทุน รุ่น V8 S ใหม่ล่าสุดนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ Twin-turbo ขนาด 4 ลิตร ให้พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 521 แรงม้า (528 PS / 389 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 680    นิวตันเมตร ระบบช่วงล่างได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ รวมถึงเพิ่มสีภายนอกและภายในห้องโดยสารเพื่อเพิ่มจุดเด่นด้วยเช่นกัน

Dr Wolfgang Schreiber ประธานกรรมการและบริหารของเบนท์ลี่ย์ มอเตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า:
วี8 เอส (V8 S) ใหม่ล่าสุดของเรานี้จะกลายมาเป็นรุ่นที่เข้ามาเสริมและสร้างความตื่นเต้นให้กับครอบครัวคอนติเนนทัล (Continental) พละกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดที่เพิ่มมากขึ้น ช่วงล่างเน้นในเรื่องของความคล่องตัว ทำให้รถที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 เวอร์ชั่นนี้ของเรามีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา และเปี่ยมไปด้วยคุณภาพชั้นเลิศตามแบบฉบับเบนท์ลี่ย์ทุกประการ นี่คือรถที่มีลักษณะโดดเด่นเป็นของตัวเอง มีความคล่องตัวสูง และให้ความแตกต่างอย่างชัดเจน


คอนติเนนทัลใหม่ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และมีความคล่องตัวสูง
รุ่น วี 8 เอส (V8 S) ใหม่ล่าสุดนี้ถูกสร้างขึ้นจากความสำเร็จของรุ่นคอนติเนนทัล จีที V8 (Continental GT V8) มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนท์ลี่ย์ ขนาด 4 ลิตร twin-turbo V8 ให้พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 521 แรงม้า (528 PS / 389 กิโลวัตต์) ที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุดที่ 680 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,700 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังหรือเกียร์ออกมาในรูปแบบระบบเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด เสริมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เน้นการกระจายแรงบิดไปทางด้านหลัง 40:60 เป็นหลัก เพื่อให้มั่นใจว่าการกระจายพละกำลังเครื่องยนต์นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มพละกำลังมากขึ้นและไม่สะดุดอีกด้วย รุ่น จีที วี8 เอส คูเป้ (GT V8 S coupe) มีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.5 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 309 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนสมรรถนะของ จีที วี8 เอส    (GT V8 S) รุ่นเปิดประทุนมีความน่าประทับใจเช่นกันโดยมีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 308 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอย่างยิ่งโดยหากเติมน้ำมันเต็มถังนั้นทั้ง 2 รุ่นสามารถวิ่งได้ไกลถึง 805 กิโลเมตรเลยทีเดียว

การเพิ่มประสิทธิภาพของตัวถังให้กับรุ่นคอนติเนนทัล (Continental) จะทำให้รถมีสมรรถนะการทรงตัวที่ดียิ่งขึ้นและสามารถควบคุมได้ง่ายเหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังสูง ทำให้รถขับเคลื่อนไปได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ หากตั้งค่าตัวถังในรูปแบบสปอร์ต จะพบว่าความสูงของตัวถังจะต่ำลงมาอีก 10 มิลลิเมตร ทางด้านหน้าและหลัง ในขณะที่ค่าความแข็ง-อ่อนคงที่ของสปริงที่จะยุบตัวเป็นสัดส่วนตามน้ำหนักที่กดทับและบาร์ป้องกัน (Anti-roll bar) ทางด้านหลังจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้เบนท์ลี่ย์ยังทำการตั้งค่าโช้คอัฟ, พวงมาลัย, และระบบ ESC ใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์การขับขี่อย่างสุนทรีย์ที่สุด

การออกแบบจะเน้นในเรื่องของความเฉียบคมและเต็มไปด้วยสไตล์รูปลักษณ์ที่โดดเด่นตามรูปแบบรถสปอร์ต แพ็คเกจสำหรับตกแต่งตัวรถส่วนล่างมาพร้อมกับการลดระดับช่วงล่างลงเพื่อให้เหมาะสมตามหลักอากาศพลศาสตร์ อีกทั้งยังมาพร้อมกับครีบด้านข้างและครีบกระจายอากาศด้านหลังที่สง่างามสีดำ Beluga gloss black ส่วนล้อมีขนาด 20 นิ้วที่เพิ่มความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และพิเศษเฉพาะสำหรับรุ่น วี8 เอส (V8 S) เท่านั้น เบรกคาลิปเปอร์สีแดง ส่วนโลโก้ “V8 S” จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นสปอร์ตอย่างแท้จริง ปลายท่อออกมาในรูปแบบสปอร์ตใหม่ล่าสุด


ภายในห้องโดยสารของ วี8 เอส (V8 S) นำเสนอถึงความทันสมัยและหรูหราตามแบบฉบับของเบนท์ลี่ย์ มาพร้อมกับภายในห้องโดยสารแบบทูโทน สีขอบตกแต่งภายในห้องโดยสารสามารถเลือกได้ถึง 17 สีเลยทีเดียว จีที วี8 เอส คูเป้ (GT V8 S Coupe) ยังมีความโดดเด่นด้วยเส้นขอบตัดภายในที่โดดเด่นและตัดกับเส้นลายหลังคาได้อย่างหรูหราสง่างาม ปุ่มสวิทซ์ไปจนถึงก้านเกียร์รวมถึงปุ่มควบคุมเบาะพ่นลมมีความสง่างามและตัดกับลายไม้ Piano Black ได้อย่างลงตัว ไม่เพียงเท่านี้ยังได้รับการเสริมทัพด้วยโลโก้ “V8 S” แสดงความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

ข้อความจากผู้เขียน

เบนท์ลี่ย์ มอเตอร์ มีพนักงานกว่า 4,000 คนที่เมือง Crewe ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานในการปฎิบัติงาน ทั้งในเรื่องของการออกแบบ การวิจัยและพัฒนา วิศวกรและสายการผลิต ที่แห่งนี้รวบรวมไว้ซึ่งช่างฝีมือชั้นเยี่ยม ที่ส่งผ่านทักษะที่โดดเด่นของพวกเขาสู่เจเนอเรชั่นใหม่ เบนท์ลี่ย์ถือได้ว่าเป็นโรงงานผลิตรถหรูที่เต็มไปด้วยวิศวกร ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยด้วยเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้เบนท์ลี่ย์ยังได้รับการขนานนามว่าเป็นโรงงานผลิตรถยนต์หรูที่โดดเด่นมากในประเทศอังกฤษ ที่สำคัญคือการสร้างคุณค่าของรถยนต์จากประเทศอังกฤษให้เพิ่มมากขึ้น เบนท์ลี่ย์ส่งออกสินค้าที่มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านปอนด์ในปี 2012 ที่ผ่านมา บริษัทได้กลายมาเป็นนักพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศอังกฤษ

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์บนท์ลี่ย์ได้ที่      แผนกการตลาดและประชาสัมพันธ์  ทร. 02-522-6655 ต่อ448  บริษัท เอเอเอสออโต้ เซอร์วิส จำกัด  ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

Bus & Truck’14 ภายใต้แนวคิด “More Power No Border” 6 – 8 พ.ย. 57 งานเพื่อชาวรถใหญ่ ค้นหาโอกาสทางธุรกิจ เร่งพลังขานรับ AEC




เตรียม พบกับ Bus & Truck’14 ... งานแสดงรถเพื่อการพาณิชย์สุดยิ่งใหญ่ งานแรกแห่งอาเซียน กลับมาอีกครั้งในปีนี้ ภายใต้แนวคิด ‘More Power No Border’ เปิดรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยพื้นที่ทั้งหมดกว่า 15,000 ตร.ม. ทั้งภายในอาคารและกลางแจ้งของไบเทค กรุงเทพฯ ได้ถูกปรับพื้นที่ให้ชาวรถใหญ่ รถเพื่อการพาณิชย์ และรถที่ใช้ในกิจการพิเศษหลากหลายประเภท ได้เข้าร่วมโชว์สมรรถนะการเร่งพลังขับเคลื่อนธุรกิจด้านการขนส่ง เตรียมความพร้อมสู่การเปิดโลกเสรี AEC อย่างเต็มศักยภาพ

งาน Bus & Truck’14 .. คือเครื่องมือการตลาดสำคัญที่ TTF สร้างสรรค์และจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นงานแรกในอาเซียนที่ให้บรรดาผู้ประกอบการรถใหญ่ทุกประเภทได้ มีพื้นที่โชว์นวัตกรรมด้านยนตรกรรมยานยนต์ขนาดใหญ่ ทั้งรถหัวลาก รถบรรทุก รถโดยสาร ฯลฯ รวมไปถึงผู้ผลิต-จำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง เช่น อะไหล่ เทคโนโลยีงานระบบ หรือเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนธุรกิจขนส่งและบริการโลจิสติกส์ที่เข้าร่วมจัดแสดงในงานนี้ ก็จะได้มีโอกาสพบกับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการตรงในผลิตภัณฑ์และบริการใน อุตสาหกรรมรถเพื่อการพาณิชย์และกิจการพิเศษ ไม่นับรวมถึงความต้องการใหม่จากผู้บริโภคกลุ่มอื่นที่ต่างอยู่ในช่วงของการ ค้นหาโอกาสทางธุรกิจในยุคของการเปิดเสรีการค้าในกลุ่มประเทศ AEC นับเป็นความคุ้มค่าของผู้จัดแสดงทั้งในเชิงการตลาดและการขยายฐานกลุ่มลูกค้า ของธุรกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ผู้ประกอบการธุรกิจรถใหญ่ รถเพื่อการพาณิชย์ และกิจการเกี่ยวเนื่องทุกชนิดที่สนใจจองพื้นที่จัดแสดงของงาน Bus & Truck’14 สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 0 2717 2477 ต่อ 159 Email : supaman@TTFintl.com , info@TTFintl.com


Bus & Truck’14 งานแสดงรถเพื่อการพาณิชย์และกิจการพิเศษ ... จัดโดย TTF

สมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่สุดทน ผนึกกำลัง เดินหน้าร้องขอความเป็นธรรมกับ สมอ. กรณีตรวจสอบมาตรฐานรถนำเข้า แนวทางการทำงานไม่ชัดเจน เลือกปฎิบัติ ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการเดือดร้อนกันถ้วนหน้า




นายอภิชาติ สมรพิทักษ์กุล นายกสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่ เปิดเผยว่า “ในขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์ใหม่ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก สืบเนื่องจากนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ออกระเบียบให้ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระต้องนำรถยนต์ที่นำเข้ามาทำการตรวจสอบมาตรฐานก่อนการจำหน่ายทุกคัน ในขณะที่บริษัทผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Authorizer Dealers) ในประเทศไทยได้รับยกเว้นหรือผ่อนผัน ทั้งๆ ที่รถยนต์ที่ผู้นำเข้าอิสระกับผู้แทนจำหน่ายนั้น สั่งนำเข้ารถยนต์มาจากแหล่งผลิตหรือโรงงานเดียวกันจากต่างประเทศ”

แนวทางการปฏิบัติงานของ สมอ.ดังกล่าวนี้ เป็นการปฎิบัติที่ไม่เป็นธรรมส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ให้กับผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์อิสระ อาทิ ต้นทุนที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคขาดเสรีภาพและโอกาสในการเลือกซื้อ ระยะเวลาที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงตามที่ระบุไว้ในหลักเกณฑ์ กล่าวคือ สมอ. ระบุว่าจะสามารถตรวจสอบมาตรฐานให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่ในทางปฎิบัติจริงแล้วใช้เวลาตรวจสอบอย่างน้อย 90 ถึง 120 วัน ส่งผลให้การส่งมอบรถให้ลูกค้าเกิดความล่าช้าเสียหาย

อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ไม่มีมาตรฐานในการจัดเก็บที่แน่นอน โดยในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน มีการปรับเปลี่ยนหลักการจัดเก็บถึง 3 ครั้ง กล่าวคือ ครั้งแรกประมาณต้นปี 2556 ผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์อิสระ ได้ยื่นขอตรวจสอบรถยนต์นำเข้า สมอ. คิดค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มูลค่าประมาณ 100,000 บาท ต่อมา สมอ. ได้มีการเปลี่ยนแปลงคิดค่าธรรมเนียมโดยแยกตามประเภทของเครื่องยนต์ โดยดีเซลคิดค่าธรรมเนียม 19,000 บาท และ เบนซินคิดค่าธรรมเนียม 49,000 บาท ซึ่งในขณะนั้นใบอนุญาตใบแรกก็ยังไม่ออกเสียด้วยซ้ำ ล่าสุดมีการปรับค่าธรรมเนียมการจัดเก็บเครื่องยนต์ดีเซลอยู่ที่ 46,000 บาท และ เครื่องยนต์เบนซินอยู่ที่ 78,000 บาท ซึ่ง สมอ. ไม่เคยชี้แจงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บเงินจำนวนเงินดังกล่าวเลย


“และด้วยคำสั่งล่าสุด ให้รถยนต์นำเข้าต้องผ่านการตรวจมาตรฐานเพื่อรับใบอนุญาตจาก สมอ. ทุกชิฟเม้นท์ ก่อให้เกิดความตระหนกตกใจ รวมถึงความไม่เชื่อถือในหมู่ผู้บริโภคทั้งที่เป็นลูกค้าเก่า ลูกค้าใหม่ และบริษัทไฟแนนซ์ต่างๆ อีกทั้งคำว่า “ทุกชิฟเม้นท์” นี้ก็ไม่มีความชัดเจนว่าคืออะไร สมาคมฯได้ทำหนังสือถามเพื่อความชัดเจนไปที่ สมอ. ซึ่งยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจนถึงทุกวันนี้

ถ้าเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Authorized Dealers) สมอ.กลับผ่อนผันยกเว้นด้วยการใช้วิธีตรวจสอบจากการเทียบเคียงในรถรุ่นเดียวกันสามารถใช้ใบอนุญาต 1 ใบ ต่อรถจำนวน 5,000 คัน หรือไปตรวจสอบ ณ โรงงานผู้ผลิต แต่สำหรับผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์อิสระแล้ว สมอ.ระบุว่าต้องตรวจทุก ชิฟเม้นท์ ซึ่งสมาคมฯ ถือว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากในขณะนี้
         
ทั้งนี้ สมาคมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจได้เข้าพบเพื่อหารือหาแนวทางแก้ไขกับผู้มีอำนาจรับผิดชอบในสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หลายๆ ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมา โดยล่าสุดสมาคมฯ ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 25 เมษายน 2557 ต่อ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ให้พิจารณาให้ความเป็นธรรมในเรื่องการขอปรับเกณฑ์ในการตรวจสอบเพื่อการอนุญาตสำหรับผู้นำเข้ารถยนต์รายย่อย แต่คำร้องดังกล่าวยังไม่ได้รับการตอบรับจาก สมอ. แต่อย่างใด

“ดังนั้น ในนามสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่จึงได้ร่วมกันชี้แจ้งข้อเท็จจริง เพื่อให้มีการตรวจสอบอำนาจหน้าที่ และการทำงานของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ต้องทำงานด้วยความสุจริต โปร่งใส ยุติธรรม และสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ และนับจากวันนี้สมาคมฯ ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาและสรุปการดำเนินการในขั้นต่อไป” นายอภิชาติ กล่าวทิ้งท้าย

มาสด้าชูเทคโนโลยี สกายแอคทีฟ สุดยอดเทคโนโลยียานยนต์ของโลก




กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 20 มิถุนายน 2557, มาสด้า ประกาศศักดาเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ในงานประชุมสุดยอดด้านวิชาการ Automotive Summit 2014: Green Mobility Changing the World ตามคำเชิญจากนายวิชัย จิราธิยุต (ที่ 4 จากขวา) ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ด้วยการส่ง มร. มิตซูโอะ ฮิโตมิ (ที่4 จากซ้าย) เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น รับผิดชอบศูนย์วิจัยด้านเทคนิค การพัฒนาระบบขับเคลื่อนและระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของมาสด้า มานำเสนอสุดยอดเทคโนโลยี SKYACTIV Technology ที่ใช้ในการพัฒนายานยนต์ที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีเยี่ยมและคุ้มค่า โดยมีผู้บริหารจากมาสด้า เซลส์ ประเทศไทยเข้าร่วมงาน
สกายแอคทีฟ เทคโนโลยี” SKYACTIV Technologyเป็นชื่อเรียกขานของนวัตกรรมเทคโนโลยียนตรกรรมใหม่ล่าสุดซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเราชาวมาสด้า ทั้งหมดนี้ได้ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นจากวิสัยทัศน์ของพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนของมาสด้า หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "ซูม-ซูม แบบยั่งยืน" หรือ “Sustainable Zoom-Zoom” ซึ่งนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่นี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความตั้งใจจริงและความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมาสด้าในความมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ด้านการขับขี่ ไปพร้อมๆ กับความห่วงใยที่มีต่อสิ่งแวดล้อมของมนุษยชาติ รวมถึงระบบความปลอดภัยสูงสุดสำหรับยนตรกรรมที่กำลังจะถูกพัฒนาขึ้นต่อจากนี้

นิปปอนเพนต์ ส่ง “แนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็ม” ระบบสีอัจฉริยะ เขย่าตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์ หวังกระตุ้นตลาดครึ่งปีหลัง

นิปปอนเพนต์เดินเกมรุกตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์ส่งแนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็มระบบพ่นซ่อมสีอัจฉริยะเร็วกว่าปกติถึง 5 เท่า สร้างปรากฎการณ์ระบบพ่นซ่อมสีที่เร็วที่สุดครั้งแรกในไทย ชูจุดขาย “FAST&EASY” หวังกระตุ้นรายได้ให้ผู้ประกอบการ พร้อมตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นสะดวก-เร็ว ตั้งเป้าสิ้นปีโต 10 %
            นายทวีชัย ตังธนาวิรุตม์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็นพี ออโต้ รีฟินิช จำกัด ภายใต้แบรนด์ นิปปอนเพนต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาพรวมตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์ ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งด้านความสวยงาม และการประหยัดพลังงาน ประหยัดเวลาทำงานให้เร็วขึ้น ดังนั้น ในฐานะผู้นำนวัตกรรมสีพ่นรถยนต์ และครองอันดับ 1 ในตลาด จึงได้คิดค้นและพัฒนาระบบพ่นซ่อมสีรถอัจฉริยะ“แนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็ม(NAX Velocity Paint System)เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านบริการและสินค้าที่ครบวงจรมากที่สุดสามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้ในยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกรวดเร็วได้มาตรฐานสากล ด้วยประสิทธิภาพของระบบที่รวดเร็วกว่าปกติถึง 5 เท่าทำให้สามารถรองรับปริมาณรถยนต์ที่เข้ามาใช้บริการต่อวันได้มากขึ้น
            ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ให้ความสนใจในเรื่องความสะดวก รวดเร็ว ลูกค้าเจ้าของรถยนต์ที่เข้ารับบริการซ่อมสีต้องการรับบริการแบบซ่อมด่วน ลูกค้าผู้ใช้สีหรืออู่ซ่อมสีมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบ สนองการทำงานที่สั้นประหยัดเวลาในการพ่นซ่อม รวมถึงต้องการสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็ม ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของนิปปอนเพนต์ที่คิดค้นและพัฒนาสีพ่นซ่อมรถยนต์ความเร็วสูงกว่าปกติถึง 5 เท่า ที่เน้นความสวยงาม สะดวกรวดเร็วได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ภายใต้แนวคิด “FAST&EASY SERVICE” โดยใช้เทคโนโลยีและกระบวนการผลิตรุ่นล่าสุด ผสานจุดเด่นของกลุ่มผลิตภัณฑ์แนกซ์ (Nax)” ของนิปปอนเพนต์ที่ส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกันทำให้เมื่อใช้ระบบดังกล่าวทั้งสีโป๊ว สีรองพื้น สีทับหน้า และเคลียร์ทับหน้า จะช่วยลดเวลาทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานด้วยระบบพ่นซ่อมสีรถแบบทั่วไปซึ่งใช้เวลาเฉลี่ย ประมาณ 8 ชั่วโมง 20 นาทีต่อรถ 1 คัน แต่ระบบพ่นซ่อมสีรถความเร็วสูงของนิปปอนเพนต์ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง40 นาทีเท่านั้น ทำให้สามารถให้บริการลูกค้าได้เพิ่มขึ้น 5 คันต่อวัน ทำให้ศูนย์บริการ ดีลเลอร์ หรืออู่พ่นซ่อมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเรานั้น สามารถดูแลลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการได้มากขึ้น ในขณะที่คุณภาพงานไม่ได้ลดลงไปเลย พร้อมทั้งประหยัดพลังงาน,เวลาและค่าใช้จ่ายอีกด้วย” นายทวีชัย กล่าว

โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่นิปปอนเพนต์คิดค้นขึ้นเพื่อทำให้ระบบแนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็มกลายเป็นระบบพ่นซ่อม สีรถอัจฉริยะเร็วที่สุดในตลาดขณะนี้ คือ แนกซ์ 2800 เอชพี 2K วีโลซิตี้ ไพร์เมอร์” (Nax 2800 HP 2K Velocity Primer) นวัตกรรมสีรองพื้น 2 เค อะคริลิค ยูรีเทน ชนิดแห้งเร็วพิเศษ สามารถขัดเงาได้ภายในเวลาเพียง 15 นาที ซึ่งเร็วกว่าไพร์เมอร์ทั่วไปถึง 2 เท่า จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการทำงาน ทั้งยังใช้งานง่าย ตอบโจทย์การให้บริการพ่นซ่อมด่วน และทำให้นิปปอนเพนต์เป็นบริษัทสีพ่นซ่อมรถยนต์แห่งแรกและแห่งเดียวที่มีผลิตภัณฑ์แห้งเร็วตอบสนองครบทั้งกระบวนการและเร็วที่สุด
นายทวีชัยกล่าวต่อว่า ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2557 บริษัทฯ  ได้จัดสรรงบการตลาดสำหรับระบบพ่นซ่อมสีรถอัจฉริยะเพื่อสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องกว่า 5 ล้านบาทโดยเน้นเจาะกลุ่มศูนย์บริการ และอู่ซ่อมสีมาตรฐานขนาดใหญ่ ด้วยการส่งทีมเทคนิคเข้าไปแนะนำและสาธิตการทำงานของระบบพ่น  ซ่อมด่วน  กับกลุ่มเป้าหมายทั้งเจ้าของศูนย์บริการ และอู่ซ่อมสีมาตรฐาน รวมทั้งจัดทำวิดีโอสาธิตขั้นตอนทำงานเพื่อให้ช่างสีเข้าใจและทำงานได้ง่ายขึ้น ตลอดจนเน้นกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบเข้มข้น ด้วยการผลักดันและกระจายสินค้าไปยังร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ขณะเดียวกันก็ได้รุกเข้าถึงตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอาเซียนซึ่งเริ่มใช้ระบบดังกล่าวนี้ที่สิงคโปร์เป็นประเทศแรก และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นเรื่องเวลาเป็นปัจจัยสำคัญ และจะขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้
สำหรับตลาดรวมสีพ่นซ่อมรถยนต์ในประเทศไทยปี 2557 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 3,750 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเพียง 5-10% จากสภาพการเมืองที่กระทบเศรษฐกิจโดยรวม ปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 28% ซึ่งการตั้งเป้าให้ระบบพ่นซ่อมสีรถอัจฉริยะเป็นหัวหอกในการตลาดทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างบริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี คาดว่าสิ้นปีจะมีการเติบโตประมาณ 10 %
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved