Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

เอเอเอสฯ เปิดตัวสุดยอดยนตรกรรมหรูจากอังกฤษ เบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัล จีที (BENTLEY CONTINENTAL GT) ใหม่ล่าสุดมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8


บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวสุดยอดยนตรกรรมหรูจากอังกฤษ ที่สุดของความสมบูรณ์ใหม่ เบนท์ลี่ย์ 

คอนติเนนทอล จีที วี8 (Continental GT V8) ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ณ บริเวณ Hall of Mirrors ชั้น M สยามพารากอน

 เปิดตัวคอนติเนนทัล จีที (Continental GT) และจีทีซี (GTC) รุ่นเครื่องยนต์ V8 อย่างเป็นทางการที่งาน North American International Auto Show ดีทร้อยต์ (มกราคม 2012)

 อัตราส่วนของพละกำลังต่ออัตราส่วนของการปล่อยมลพิษนั้นเหนือชั้น เครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตรแบบ twin-turbo V8 คงไว้ซึ่งความทรงพลังตามรูปแบบคลาสสิคของเบนท์ลี่ย์ทุกประการ 

 ระบบขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังเพิ่มประสิทธิภาพของอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงอีกด้วยเช่นกัน 

 เทคโนโลยีชั้นนำต่างๆ ได้ถูกรวบรวมไว้ในรถคันนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรงอย่างระบบ direct injection, ระบบจัดการลูกสูบแบบแปรผันอย่าง Variable Displacement และระบบส่งกำลังใหม่ล่าสุดแบบ 8 จังหวะ พร้อมด้วยการขับเคลื่อนสี่ล้อ 

 คอนติเนนทัล (Continental) แบบเครื่องยนต์ V8 คันนี้ออกมาเคียงข้างรุ่น 6.0 ลิตร เครื่องยนต์ W12 GT และ GTC




เบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัล (Continental) เครื่องยนต์ V8 ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ North American International Auto Show ในเมืองดีทรอยต์ วันที่ 9 มกราคม 2012 ที่ผ่านมา



ทั้งคอนติเนนทัล จีที (Continental GT) คูเป้ และ จีทีซี (GTC) เปิดประทุนมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตร twin turbocharged V8 และมีความสมดุลระหว่างพละกำลังเครื่องยนต์ต่อมลพิษที่เหนือชั้นในคลาสรถสปอร์ตชั้นหรูระดับพรีเมี่ยมอีกด้วย 



เครื่องยนต์ V8 จากเบนท์ลี่ย์ใหม่ล่าสุดนี้มีพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 500 แรงม้า (507PS/373 กิโลวัตต์) ที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 660 นิวตันเมตร (487 lb ft) ที่ระหว่างรอบเครื่องยนต์ 1,700 ถึง 5,000 รอบ/นาที ถือได้ว่าเป็นรถที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและมีพละกำลังที่เหนือชั้นตามแบบฉบับของเบนท์ลี่ย์ทุกประการ เสริมด้วยระบบส่งกำลังหรือระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่ทำการปรับเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วขึ้น ทำให้รถคันนี้มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียงแค่ 5 วินาทีกว่าๆ เท่านั้น อีกทั้งยังมีความเร็วสูงสุดที่ 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอีกด้วย 

ในขณะเดียวกัน คอนติเนนทัล (Continental) เครื่องยนต์ V8 คันนี้มีอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยม และยังมีการปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำลงอีกด้วย หากเปรียบเทียบกับรถคันอื่นๆ ในคลาสเดียวกัน เมื่อเติมน้ำมันเต็มถังรถเบนท์ลี่ย์เครื่องยนต์ V8 คันนี้จะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 800 กิโลเมตรเลยทีเดียว สำหรับข้อมูลและอัตราต่างๆ จะถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการต่อไป



ด้วยเครื่องยนต์ในรูปแบบ V8 ใหม่ล่าสุดนี้เองที่ทำให้คอนติเนนทัล (Continental) คันนี้สร้างระบบขับเคลื่อนใหม่และมีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังลดการปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 40% เลยทีเดียว 

ระบบที่ซับซ้อนแต่โดดเด่นของเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้คือ ระบบการจัดการลูกสูบแปรผัน (Variable displacement) ที่จะเปลี่ยนการทำงานจากเครื่องยนต์ 8 สูบ ไปเป็นการทำงานแบบ 4 สูบขณะที่มีการขับขี่แบบไม่ต้องการความเร็วหรือใช้กำลังของเครื่องยนต์น้อยเพื่อการประหยัดน้ำมันและลดการปล่อยไอเสีย ความสามารถนี้ได้มาจากการจัดการของระบบการจัดการเครื่องยนต์ที่มีความสลับซับซ้อนและพิถีพิถันในทุกๆ รายละเอียด นอกจากนั้นการเปลี่ยนการทำงานระหว่าง 2 โหมดจะเป็นไปอย่างนุ่มนวลโดยที่ผู้ขับและผู้โดยสารจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงข้ามโหมดการทำงานนี้ได้เลย

เครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงแบบเครื่องยนต์ V8 รุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรงหรือ Direct Injection แบบแรงดันสูง (high pressure) อีกทั้งยังมีแบริ่งที่มีแรงเสียดทานต่ำ ระบบการจัดการอุณหภูมิ (Thermal Management) และระบบนำพลังงานมาใช้ใหม่ (Energy recuperation) ยิ่งกว่านั้นรถคันนี้ยังมีการติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่เป็นนวัตกรรมชั้นเยี่ยมเข้าไปเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เสียงของเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มออกมาจะแสดงให้รู้ได้ทันทีว่านี่คือเบนท์ลี่ย์ เครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V8 ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครอีกด้วย 



เครื่องยนต์แบบ V8 ใหม่ล่าสุดได้รับการติดตั้งในรถยนต์ 2 รุ่นคือ คอนติเนนทัล จีที (Continental GT) และคอนติเนนทัล จีทีซี (Continental GTC) เพื่อเน้นให้เห็นถึงพละกำลังเครื่องยนต์และรูปทรงที่แข็งแกร่ง รถทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมกับกระจังหน้าแบบตาข่ายสีดำวาวที่มีกรอบและแถบกลางแนวตั้งสีโครเมี่ยม อีกทั้งยังมีโลโก้เบนท์ลี่ย์แบบตัวอักษร “B” สีแดงประทับอยู่เพื่อเพิ่มความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยเช่นกัน 

ทางด้านหลังมีความโดดเด่นด้วยท่อไอเสียที่มีปลายท่อแบบ ‘figure eight’ เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้กับด้านท้ายและส่วนล่างของรถอีกด้วย อีกทั้งยังมีโลโก้ ‘B’ สีแดงประทับอยู่บนฝากระโปรงเพื่อเน้นให้เห็นถึงความเป็นสปอร์ตที่ร่วมสมัยและเป็นเอกลักษณ์ให้กับเครื่องยนต์ V8s ใหม่ล่าสุดคันนี้ 

ทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมกับล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้วติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หรือสามารถเลือกติดตั้งล้อขนาด 21 นิ้ว 6 ก้านแบบ Diamond Black (สำหรับรุ่น Continental V8) หรือ Diamond Silver ได้ 

ภายในห้องโดยสารมีความโดดเด่นด้วยวัสดุต่างๆ ระดับพรีเมี่ยมตามแบบฉบับของเบนท์ลี่ย์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ลายไม้ที่ร่วมสมัยที่สุดอย่างเนื้อไม้ Dark Fiddleback Eucalyptus หรือสามารถเลือกติดตั้งเบาะหนังแท้แบบ 2 สีหรือ 2 โทนสีที่ตัดกันได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังมีคอนโซลกลางที่โดดเด่นตามรูปแบบสปอร์ตอีกด้วย 

ลูกค้ายังสามารถเลือกคอนติเนนทัล (Continental) แบบเครื่องยนต์ 6 ลิตร 12 สูบที่ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ Flagship จากเบนท์ลี่ย์ได้ และเครื่องยนต์ชนิดนี้จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ twin-turbocharged W12 ที่ให้พละกำลังสูงสุดถึง 631 แรงม้าเลยทีเดียว

ทั้ง 2 รุ่นต่างมีเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่มาพร้อมกับเฟืองท้ายของ Torsen และมีอัตราการกระจายแรงบิดหน้า-หลังที่ 40:60 ส่งผลให้รถมีความคล่องตัวสูงแบบรถสปอร์ตและเกาะถนนในทุกๆ สภาวะการขับขี่อีกด้วย 



เบนท์ลี่ย์ได้รับความสำเร็จอย่างถล่มทลายด้วยยอดขายที่พุ่งกระฉูดตั้งแต่เปิดตัวรุ่นจีทีไปในปี 2003 ด้วยเครื่องยนต์แบบ W12 ที่โกยยอดขายไปได้ทั่วโลกกว่า 50,000 คัน และด้วยยอดขายที่ร้อนแรงนี้เองที่ทำให้เบนท์ลี่ย์ได้กลายเป็นค่ายรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในการผลิตเครื่องยนต์แบบ 12 สูบอีกด้วย และเป็นที่แน่นอนว่าเครื่องยนต์แบบ W12 นี้ก็กลายเป็นจุดเด่นของวิศวกรรมยานยนต์ของเบนท์ลี่ย์ด้วยเช่นกัน 

Wolfgang Dürheimer ประธานกรรมการ กล่าวเกี่ยวกับการเปิดตัวคอนติเนนทัลเครื่องยนต์ V8 นี้ไว้ว่า:
“เราได้เพิ่มเสน่ห์ให้กับคอนติเนนทัล (Continental) รุ่นล่าสุดด้วยการผลิตเครื่องยนต์แบบ V8 4.0 ลิตรรุ่นใหม่นี้ให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้สามารถให้ได้ทั้งสมรรถนะและความสุนทรีย์ในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยมตามที่คุณต้องการและคาดหวังไว้กับรถเครื่องยนต์ V8 ทุกประการ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกเติมเต็มมากขึ้นด้วยนวัตกรรมระบบขับเคลื่อนที่ช่วยประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”



คอนติเนนทัล (Continental) ในรูปแบบเครื่องยนต์ V8 

รูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ตที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

 กระจังหน้าแบบตาข่ายสีดำวาวมาพร้อมกับกรอบและแถบกลางแนวตั้งที่โดดเด่น
 กันชนด้านล่างแบบ 3 ส่วนมาพร้อมกับช่องดักอากาศสีดำและลายสีสันที่ตัดกันเพิ่มความโดดเด่น 
 ท่อไอเสียที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครด้วยปลายท่อคู่แบบ ‘figure eight’
 โลโก้ ‘B’ จาก Bentley สีแดงได้รับการประดับอยู่บนตะแกรงทางด้านหน้าและฝากระโปรงทางด้านหลัง รวมถึงดุมล้ออีกด้วย 
 สีภายนอกมีให้เลือกถึง 7 สี 
สปอร์ต และห้องโดยสารภายในที่ร่วมสมัย
 ลายไม้คุณภาพสูงใหม่ล่าสุด Dark Fiddleback Eucalyptus ออกมาเฉพาะสำหรับรุ่น V8 นี้เท่านั้น
 ผ้าบุหลังคาแบบ Eliade ที่ละเมียดละไม
 คอนโซลกลางที่กระทัดรัดมากขึ้น 
 สี hide colours แบบมาตรฐานมีให้เลือกถึง 4 สี
 หนังภายในแบบทูโทนหรือ 2 สีที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร 
 สีหลังคามีให้เลือกถึง 3 สี (สำหรับรุ่นคอนติเนนทัล จีทีซี)






เครื่องยนต์ที่คล่องตัวและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ ขนาด 4 ลิตร V8 

 อัตราส่วนของพละกำลังเครื่องยนต์ต่อการปล่อยมลพิษที่ลงตัวและแสดงให้เห็นถึงเครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพที่เหนือชั้น

 ระบบการจัดการลูกสูบแปรผันหรือ Variable displacement (เทคโนโลยีชั้นนำที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรุ่นมูซาน) และการลดเครื่องยนต์ลง 4 สูบ 

 เครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นนำเพื่อประสิทธิภาพและศักยภาพของเครื่องยนต์ที่เหนือชั้น 

 ระบบส่งกำลังหรือระบบเกียร์ 8 จังหวะใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับอัตราการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วขึ้นอีกถึง 6% 

 ตัว Turbochargers ติดตั้งอยู่ภายในเครื่องยนต์ ‘V’ เพื่อประสิทธิภาพและการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่รวดเร็วมากขึ้น 

 สามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 ไมล์ (800 กิโลเมตร) เมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง

 เครื่องยนต์แบบ V8 

 ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และมีการกระจายแรงบิดที่ 40:60 เน้นทางด้านหลัง 



ท่านสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รถยนต์เบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัล V8 (Continental V8) ใหม่ล่าสุดนี้ได้ในรูปแบบวีดีโอที่ www.youtube.com/bentleymotors 

สำหรับประเทศไทย ท่านสามารถค้นหาหรือสอบถามเกี่ยวกับรถยนต์เบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัล จีที V8 ได้จาก บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ พร้อมให้บริการรถเบนท์ลี่ย์ของท่าน และซื้อรถยนต์เบนท์ลี่ย์จากทางเอเอเอสฯ เท่านั้นที่สามารถได้สิทธิ์การรับประกันจากโรงงานเบนท์ลี่ย์ประเทศอังกฤษ 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยรถยนต์ เบนท์ลี่ย์ที่ซื้อจากทางเอเอเอสฯ เท่านั้น ที่จะสามารถเข้ารับบริการจากศูนย์บริการของทางเอเอเอสฯ ได้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์เบนท์ลี่ย์ ได้ที่ โทร. 02-522-6703 หรือ 

02-610-9911 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.bentleymotors.com

ข้อมูลเกี่ยวกับเบนท์ลี่ย์ มอเตอร์ (Bentley Motors)

เบนท์ลี่ย์ มอเตอร์ คือบริษัทผลิตรถยนต์ในประเทศอังกฤษที่เปิดทำการมานานและเป็นอันดับสามที่มีอัตราการลงทุนเพื่อการพัฒนา บริษัทมีพนักงานกว่า 4,000 คนที่เมือง Crewe ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของบริษัท มีทั้งแผนกออกแบบ แผนกวิจัยและพัฒนา วิศวกร และโรงงานผลิต เกือบทุกชิ้นส่วนของรถทำจากงานฝีมือของช่างที่มีความเชี่ยวชาญมาหลายยุคหลายสมัย และรถทุกคันยังได้รับการพัฒนาขึ้นจากวิศวกรยานยนต์ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและแตกต่างจากโรงงานผลิตรถยนต์หรูค่ายอื่นๆ อีกทั้งรถยนต์จากเบนท์ลี่ย์คือรถยนต์จากอังกฤษที่มีคุณค่าสูง และมีการส่งออกที่มีมูลค่ากว่า 500 ล้านปอนด์ ในแต่ละปีเพื่อสร้างฐานตลาดให้มากขึ้นเหมือนในสหรัฐอเมริกา เช่น เจาะตลาดในประเทศจีน และประเทศทางอเมริกาใต้เพิ่มขึ้น 


ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์เบนท์ลี่ย์ ได้ที่
แผนกการตลาดและประชาสัมพันธ์ โทร. 02 522 6655 ต่อ 448
บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด 
ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย 

โตโยต้า...All New Camryใหม่ให้คนไทยยลโฉมแล้ว

 
โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดตัว คัมรี่ ใหม่ให้คนไทยยลโฉมแล้ว เครื่องยนต์เริ่มต้ม 2.0 พร้อมเครื่องใหม่ 2.5 ลิตร พลัง 181 แรงม้า ทำยอดขายในญี่ปุ่นมาแล้ว 1.3 หมื่นคัน มีให้เลือกทั้งแบบเบนซินธรรมดา ที่พร้อมส่งมอบรถช่วงปลายเดือนมีนาคม ส่วน เครื่องยนต์ไฮบริดจ์เปิดใหม่ 3 รุ่น ตัวท็อปติดเนวิเกเตอร์ รอรับรถได้ต้นเดือนเมษายน ติดระบบทันสมัยครบถ้วน เปิดราคาเริ่มต้นที่ 1.299ล้านบาทส่วนตัวท็อป อยู่ที่ 1.869 ล้านบาท
มร. เคียวอิจิ ทานาดกรรมการผู้จัดการใหญ่, นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย จำกัดโดยพร้อมด้วยมร. มิชิฮิโกะ ซาโต้ หัวหน้าวิศวกร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอรืปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น, ร่วมกันแถลงข่าวการเปิดตัวรถยนต์ โตโยต้า คัมรี่ โฉมใหม่เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ณ ห้องพาราก้อนฮอลล์ สยามพาราก้อน  
โตโยต้าคัมรี่รุ่นที่เปิดใหม่เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 ที่จำหน่ายในเมืองไทยและนับเป็นรุ่นที่ 7 ของโลก ก่อนหน้าที่จะเปิดตัวในไทยได้รับการแนะนำตัวมาแล้วตั้งแต่ปลายปีที่ประเทศญี่ปุ่นและมียอดจำหน่ายถึง 13,000 คัน ถือเป็น 40% ของส่วนแบ่งรถยนต์นั่งขนาดกลางในญี่ปุ่นทีเดียว 
 
มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กล่าวว่า “จากความสำเร็จของรถยนต์คัมรี ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น คัมรีไฮบริด ซึ่งได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย สามารถพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อคุรภาพ และสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถคัมรี จากโตโยต้าได้เป็นอย่างดี ในประเทศญี่ปุ่นรถรุ่นนี้ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน คัมรีใหม่ได้รับการสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดให้เป็นรถซีดานระดับหรูขนาดกลางที่มีรูปลักษณ์ดีไซด์หรูหรา มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรที่เป็นเครื่องยนต์ใหม่ สำหรับรุ่น 2.5 นั้นสามารถที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ขณะที่เครื่องยนต์ 2.5 ไอบริด จะส่งมอบให้แก่ผู้จองได้ในช่วงต้นเดือนเมษายน นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยโดยคาดว่าตัวเลขการส่งออกจะอยู่ที่ 5,500 คัน 
ด้าน มร. มิชิฮิโกะ ซาโต้ หัวหน้าวิศวกรจากญี่ปุ่นกล่าวถึงเรื่องเทคนิคของคัมรีใหม่ว่า เครื่องยนต์ 2.5 ใหม่นี้ จะให้พลังมากขึ้น10% แต่มีอัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำกว่าเดิมถึง 24% มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขึ้นและให้ความสำคัญกับระบบเก็บเสียงที่ดียิ่งขึ้น 
 
รูปโฉมของ คัมรีใหม่ที่เปลี่ยนไปมีตั้งแต่ ไฟหน้าเป็นแบบโปรเจคเตอร์ แบบ HID ไฟท้ายและตัดหมอกหลังเป็นวงจร led กระจังหน้าเป็นเส้นแนวนอน 7 เส้นปุ่มเล็กๆที่ปลายทั้งสองด้าน



เพื่อลดความกระด้างเพิ่มความรู้สึกหรูหราเมื่อมองจากตรงหน้า 



ขณะที่ด้านข้างมีการเพิ่ม ครีบเล็กๆบริเวณ ฐานติดตั้งกระจกมองข้างเพื่อบังคับทิศทางลมวิ่งผ่านตัวรถให้ลดเสียงลง 



คัมรีใหม่เปิดตัวเริ่มต้นที่รุ่น 2.0 G เครื่องยนต์หรัส 1AZ-FE DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-I ความจุกระบอกสูบ 1,998 ซีซี แรงม้าสูงสุด 109 กิโลวัตต์ (148แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 190 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ อัตโนมัติ 4 สปีด ซูเปอร์ซีเควนเชียส ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 และสามารถใช้น้ำมัน E20 ได้ ล้อเป็นอัลลอยด์ขอบ 16 นิ้ว 



ขณะที่รุ่น 2.5 เป็นเครื่องยนต์ใหม่ รหัส 2AR –FE DOHC 16 วาล์ว DUAL vvt-i 2494ซีซี แรงม้าสูงสุด 133 กิโลวัตต์ หรือ 181 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 231 นิวตันเมตรที่ 4,100 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด แบบ ซีเควนเชีส ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E 20 และผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 แล้ว ล้อเป็นอัลลอยด์ขอบ 17 นิ้ว โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,499,000 บาท 



กลุ่มรถไฮบริด มี 3 รุ่น เครื่องยนต์เป็นแบบ 2.5 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงดัน 650 โวลต์ กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุดที่ 270 นิวตันเมตรที่ 1,500 รอบต่อนาที ส่วนแบตเตอรี่ไฮบริด เป็น นิเกิล เมทัล ไฮดราย์ พัฒนาให้มีน้ำหนักเบา แรงดันไฟฟ้า 245 โวลต์ โมดูล 34 โมดูล 204 เซลล์ พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ กันสะเทือนแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโครง



ส่วนกันสะเทือนหลังเป็นดูอัลลิงสตรัท พวงมาลัย ไฟฟ้า มีโหมดการขับขี่สองโหมดคือ โหมดที่เลือกให้ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวและโหมดอัจฉริยะที่จะคอมพิวเตอร์จะสั่งการเองเพื่อพลังงานไฟฟ้าลดลงไปถึงระดับที่เครื่องยนต์ควรทำงาน 



นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยการขับขี่ให้ปลอดภัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายครบด้วนโดยเปิดราคาของรุ่นไอบริดอยู่ที่ 1.649 ล้านบาท เป็นรุ่นCD ส่วนรุ่น ไฮบริด DVD อยู่ที่ 1.699 ล้านบาทและ รุ่น ไฮบริด DVD +NAVIGATOR ราคาอยู่ที่ 1.869 ล้านบาท 


ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) เปิดตัวรถรุ่นใหม่ “All-New Hyundai Elantra” สปอร์ต 4 ประตูคูเป้


13 มีนาคม 2555 – บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ ฮุนไดอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ตอกย้ำแนวทางการตลาดสร้างทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างต่อเนื่อง ตามแนวคิด BOLD และ New Thinking. New Possibilities ด้วยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “All-New Hyundai Elantra” สุดยอดรถแห่งสมรรถนะสไตล์ 4 ประตู คูเป้ใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าที่ชอบความแตกต่าง ด้วยความเป็นสปอร์ตพรีเมี่ยม เหนือระดับด้วยสมรรถนะที่เร้าใจ กับความแรงที่ 150 แรงม้าด้วยเครื่องยนต์เพียง 1.8 ลิตร ที่พร้อมให้อัตราเร่งที่ฉับไว และการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม โดยในรุ่นสูงสุดเพียบพร้อมไปด้วย Option และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย บนความมั่นใจในทุกเส้นทางการขับขี่ ที่ฮุนไดพัฒนาขึ้นโดยอิงตลาดยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก
มร. โยชิอากิ อิชิมูระ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “All-New Hyundai Elantra” คือรถยนต์ที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในฐานะรถยนต์รุ่นแรกที่จะเปิดตัวในระดับราคาที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงได้ไม่ยาก ซึ่งหลังจากที่ใช้เวลาศึกษาและทดสอบมานานจึงมั่นใจว่า All-New Hyundai Elantra จะสามารถเป็นตัวแทนของการแสดงออกถึงรสนิยมบนความเหมือนที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่เค้นสมรรถนะและความประหยัดได้อย่างสมดุลย์ การออกแบบที่มีรสนิยมที่ใครๆก็ปฏิเสธไม่ได้ และความลงตัวที่ทำให้รถยนต์เป็นได้ทั้งรถใช้งานประจำวันที่มีคุณภาพ และรถยนต์ที่ขับขี่เพื่อความสนุกในทุกรอบความเร็ว โดยมีรางวัลอันทรงเกียรติมากมายเป็นเครื่องรับประกันสมรรถนะ รวมถึงรางวัล “รถยนต์ยอดเยี่ยม 2012 North American Car of the Year” ซึ่งเป็นที่สุดของที่สุดของการยกนิ้วให้เป็นที่หนึ่งจากทวีปอเมริกาเหนือ”





“All-New Hyundai Elantra มาพร้อมคอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุดภายใต้ชื่อ ‘Put your senses on FIRE’ หรือ ‘ปลุกทุกสัมผัสของคุณให้ลุกเป็นไฟ’ โดย All-New Hyundai Elantra (เอ-ลัน-ตรา) จะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่แสวงหาความเร้าใจในการขับขี่ที่รถในคลาสเดียวกันนี้หาไม่ได้ รวมทั้งกล้าที่จะแตกต่าง กล้าที่จะแสดงออกในรสนิยมที่ไม่ธรรมดา ฉีกรูปแบบเดิมๆ ของการใช้รถยนต์ให้ชัดเจนจนมาสู่ความเป็นพรีเมี่ยมที่เพียบพร้อมและลงตัว ซึ่งมีให้เลือกถึง 3 รุ่น 3 คอนเซ็ปต์” มร. อิชิมูระกล่าว





“All-New Hyundai Elantra เป็นรถยนต์ระดับ C Segment ที่มีความโดดเด่นในทุกๆด้าน ทั้งรูปลักษณ์ดีไซน์ที่สวยงามและสมรรถนะที่ร้อนแรง ด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่ล้ำสมัย กับบทบัญญัติใหม่ที่ผสมผสานคุณค่าแห่งรสนิยมและสมรรถนะเข้าไว้ด้วยกัน เน้นความคุ้มค่ากับคุณภาพรถยนต์นำเข้าจากประเทศเกาหลีในแบบ Premium Quality ด้วยการมอบสิทธิพิเศษภายใต้ชื่อ Modern Premium satisfaction ดังต่อไปนี้

- การรับประคุณภาพ 4 ปี หรือ 120,000 กม. ซึ่งเหนือกว่ามาตรฐานในปัจจุบันที่ครอบคลุมเพียง 3 ปี หรือ 100,000 กม. ในรถยนต์ระดับเดียวกัน

- ฟรีบำรุงรักษา 4 ปี หรือ 80,000 กม. ซึ่งอุ่นใจในการใช้งานที่ ชัดเจน และให้ประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และน้ำมันเกียร์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

- ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 4 ปี อุ่นใจในความช่วยเหลือเมื่อสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น





ซึ่งเรามั่นใจว่าโปรแกรมนี้จะสามารถสร้างความมั่นใจและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในด้านความมั่นใจในบริการหลังการขายได้เป็นอย่างมาก นับว่าเป็นการยกระดับให้กับสิ่งที่คนไทยต้องได้รับให้สูงกว่ามาตรฐานในปัจจุบัน นอกจากนี้เรายังมุ่งเน้นในการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาเพิ่มเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเราต้องการให้ลูกค้าได้ใช้รถยนต์ที่มีความคุ้มค่าคุ้มราคาและได้รับความพึงพอใจในระดับสูงสุด” มร. อิชิมูระกล่าวเสริม

“All-New Hyundai Elantra” เป็นรถยนต์พรีเมี่ยมที่มีความทันสมัยและชัดเจนมากขึ้น โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและพริ้วไหวอย่างลงตัว สามารถสืบทอดเจตนารมย์ของรถยนต์รุ่นพี่อย่าง Sonata Sport ได้เป็นอย่างดี ภายใต้แนวคิด Fluidic Sculpture Design เครื่องยนต์ทรงพลัง ขนาด 1,800 ซีซี ที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 178 นิวตันเมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมโหมดสปอร์ต หรือเกียร์แมนนวล 6 สปีด ให้ความแม่นยำในการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพสูงสามารถเร่งแซงได้ดั่งใจ ช่วงล่างปรับปรุงใหม่ เพิ่มความเป็นสปอร์ตทรงตัวได้ดีแม้ใช้ความเร็วสูงแต่คงไว้ซึ่งความนุ่มนวล และมั่นคงในสไตล์ยุโรป




ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูปราดเปรียว แต่มิติตัวรถและภายในห้องโดยสารของ All-New Hyundai Elantra มีพื้นที่ใช้สอยและปริมาตรห้องเก็บสัมภาระที่ใหญ่สะดวกสบาย และกว้างขวางกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์นั่งในเซ็กเม้นท์เดียวกัน กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่สะท้อนบุคลิกรถยนต์แห่งอนาคต มีความหรูหราอย่างลงตัว กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ถูกออกแบบมาให้เน้นความโฉบเฉี่ยวลู่ลมแบบสปอร์ตอย่างแท้จริง ภายในตกแต่งสไตล์สปอร์ต แผงคอนโซลด้านหน้าแบบ Y-Shape ทันสมัยและให้อารมณ์ความเป็นรถสปอร์ตมากยิ่งขึ้น พร้อมหน้าปัดเรืองแสงดีไซน์ใหม่ จอข้อมูลบอกข้อมูลระยะทาง อัตราสิ้นเปลือง และคำนวณเชื้อเพลิง พวงมาลัยสปอร์ต 4 ก้านแบบมัลติฟังค์ชั่น ควบคุมง่ายแค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส พร้อมช่อง AUX/ USB เชื่อมต่ออุปกรณ์เพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น


All-New Hyundai Elantra ได้รับการันตีด้วยรางวัลเกียรติยศจากสถาบันต่างๆทั่วโลกกว่า 30 รางวัล เป็นเครื่องยืนยันความยอดเยี่ยม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการคว้ารางวัล “รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2012 ประจำทวีปอเมริกาเหนือ” หรือ “2012 North American Car of the year” ซึ่งในแต่ละปีจะมีรถใหม่เพียง 1 คันเท่านั้น ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะจาก 36 รางวัลทั่วโลก รางวัลอันทรงเกียรตินี้ทำให้ All-New Hyundai Elantra ยังคงได้รับการกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านคุณภาพ สมรรถนะ การออกแบบ ความปลอดภัย และความพอใจของผู้ใช้งานจริง




All-New Hyundai Elantra ออกทำตลาดด้วยกันถึง 3 รุ่น คือ รุ่น 1.8E (เกียร์แมนนวล 6 สปีด) รุ่น 1.8S (มาตรฐานเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด) และรุ่น 1.8G (รุ่นสูงสุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด) ในราคาแนะนำช่วงเปิดตัว และในงาน Bangkok International Motor Show เพียง 899,000 บาท (จำนวนจำกัดสำหรับ 200 คันแรก) 1,088,000 บาท และ 1,198,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

- เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ขนาด 1,800 ซีซี 150 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 178 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที

- เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมโหมดสปอร์ต ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพ

- รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 5.3 เมตร ช่วยให้การขับขี่หรือการเลี้ยวเข้าพื้นที่แคบๆได้อย่างคล่องตัว

- ระบบช่วยขึ้นทางลาดชัน HAC ช่วยป้องกันรถไหลเมื่อหยุดรถบนทางลาด (รุ่น G)

- เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลัง (รุ่น G)

- กุญแจรีโมทแบบ Smart Entry (รุ่น G)

- ปุ่ม Start Button ทันสมัย (รุ่น G)

- เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ

- ห้องสัมภาระขนาดใหญ่สามารถเก็บถุงกอล์ฟได้ 3 ใบด้วยความจุถึง 420 ลิตร

- ล้ออัลลอยสปอร์ต 17 นิ้ว (รุ่น S และ รุ่น G)





- ระบบรักษาเสถียรภาพ ESP และ VSM เสริมการควบคุมพวงมาลัยให้ปลอดภัยมากขึ้น (รุ่น G)

- สัญญาณ ECO แสดงผลการขับขี่ที่ประหยัดที่แม่นยำกว่าเดิม เพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่รักษาสมดุลย์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้ดีขึ้น ตามแนวคิดใหม่เมื่อต้องการขับขี่อย่างประหยัด

เตรียมพบกับ All-New Hyundai Elantra สปอร์ตพรีเมี่ยมหรูยกระดับ สไตล์ 4 ประตูคูเป้ ในราคาเริ่มต้นที่ 899,000 บาท (จำนวนจำกัด 200 คันแรก) ได้ที่โชว์รูมฮุนได และดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.hyundai-motor.co.th

The All-New Lexus GS: The mark of Supremacy The Grand Touring Sedan of Lexus สปอร์ตซีดานสุดหรู เหนือระดับ สะกดทุกสายตา


นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายศิตชัย จีระธัญญาสกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ มร.มาซาชิ ยามาเนะ ผู้ช่วยหัวหน้าวิศวกร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ร่วมแถลงข่าวแนะนำสุดยอดสปอร์ตซีดานสุดหรู The All-New Lexus GS อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2554 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัลบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำสุดยอดสปอร์ตซีดานสุดหรู ระดับชั้นนำของโลก สัมผัสความหรูหรา ล้ำสมัย สปอร์ต เร้าใจ กับโฉมใหม่ล่าสุดของ The All-New Lexus GS “The Mark of Supremacy” จากแนวคิดในการพัฒนา GS เจนเนอเรชั่นที่ 4 ให้เป็น “The Grand Touring Sedan of Lexus” สปอร์ตซีดานคันหรูที่ได้รับการพัฒนาให้มีความพิเศษยิ่งขึ้นในทุกๆด้าน พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย และสมรรถนะอันเหนือชั้น ดีไซน์ล้ำสมัยสะท้อนปรัชญาการออกแบบ “L-finesse” ใหม่ ของเลกซัส ที่มาพร้อมกับ Lexus Emotional Value มอบประสบการณ์การขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้ความรื่นรมย์ และความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง

“สำหรับเลกซัส GS ใหม่ นี้ เริ่มต้นด้วยรุ่น GS250 เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ที่มีขนาดเล็กลงจากรุ่นเดิม แต่ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ และเทคโนโลยีที่เหนือชั้นตามมาตรฐานของเลกซัส รวมถึงราคาเริ่มต้นที่ต่ำลงกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้ เลกซัส GS ใหม่ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารถหรูระดับกลางได้มากขึ้น และด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นต่างๆของ เลกซัส GS ใหม่ ประกอบกับระดับราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น เชื่อว่า The All-New Lexus GS จะเป็นสุดยอดยนตรกรรม ที่มอบความประทับใจอย่างเหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าชาวไทย และมีส่วนช่วยในการกระตุ้นยอดขายของเลกซัสในปีนี้ได้อย่างแน่นอน” นายวิเชียร กล่าวในที่สุดทดลองขับ พร้อมเลือกเป็นเจ้าของความหรูหรา สปอร์ต โฉบเฉี่ยว..

The All- New Lexus GS ได้แล้ววันนี้
GS350 รุ่น F-SPORT พร้อม มูนรูฟ 6,690,000 บาท
GS250 รุ่น Premium 5,090,000 บาท
GS250 รุ่น F-SPORT พร้อม มูนรูฟ 4,990,000 บาท
GS250 รุ่น Luxury 4,590,000 บาท
*จะแนะนำเข้าสู่ตลาดในเดือนเมษายน 2555*
GS450h รุ่น Premium พร้อม มูนรูฟ 7,790,000 บาท *
สามารถเลือกเป็นเจ้าของยนตรกรรมสปอร์ตซีดานหรู ได้ 11 สี

White Pearl Crystal Shine / Mercury Grey Mica / Black / Black Opal Mica / Starlight Black Grass Flake / Sleek Ecru Metallic / Fire Agate Mica Metallic / Lapis Lazuli Mica พร้อม 3 สีใหม่ Sonic Silver / Crimson Red Glass Flake / Meteor Blue Mica Metallic

พร้อมรับข้อเสนอโปรแกรมพิเศษทางด้านการเงิน ด้วย Financial Package ต่างๆ อาทิเช่น Balloon Payment, Operating-lease หรือ โปรแกรมผ่อนชำระด้วยดอกเบี้ยอัตราพิเศษ จากเลกซัส

สัมผัสกับประสบการณ์อันน่าประทับใจ
สำหรับผู้ครอบครอง “The All- New Lexus GS”
จากผู้แทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการทั้ง 3 แห่ง

บริษัท เลกซัส กรุงเทพ จำกัด
58 ถ.ริมคลองแสนแสบ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์ 0-2716-8999
บริษัท เลกซัส สุขุมวิท จำกัด1/1 ถ.สุขุมวิท 18 คลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์ 02-260-8123
บริษัท เลกซัส ออโต้ ซิตี้ จำกัด14/459 ม.4 ถ.รามอินทรา กม.2 อนุสาวรีย์ บางเขน กรุงเทพฯ 10220
โทรศัพท์ 0-2521-1111






นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา เลกซัส ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น ด้วยยอดจำหน่ายที่สูงขึ้นถึง 622 คัน เติบโตขึ้นถึง 185% เมื่อเทียบกับปริมาณการจำหน่ายในปี 2553 จากตัวเลขการเติบโตดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการที่เลกซัส ได้รับการยอมรับในวงกว้างขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการได้รับการตอบรับที่ดีของเลกซัส CT200h ที่เปิดตัวในปีที่แล้วประกอบกับการยอมรับในคุณภาพอันยอดเยี่ยมของรถยนต์ตระกูลเลกซัส ด้วยมาตรฐานการบริการ ที่เหนือกว่า ทั้งทางด้านการขาย และการบริการหลังการขาย รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์อันดี กับลูกค้า ทั้งหมดช่วยส่งเสริมให้ได้รับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”

“เลกซัสกรุ๊ปได้เล็งเห็นถึงความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้น จึงได้ตั้งเป้าหมายการขายในปีนี้ที่ 750 คัน โดยเติบโตขึ้น 20% และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขายดังกล่าว ในปีนี้ เราจึงมีแผนที่จะแนะนำยนตรกรรมใหม่ พร้อมกับกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการแนะนำ GS250 และ GS350 ในวันนี้ ตลอดจนยนตรกรรมไฮบริดระดับหรู GS450h ซึ่งจะทำการแนะนำเข้าสู่ตลาดในช่วงเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ซึ่งสำหรับ GS450h นั้น นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มียนตรกรรมไฮบริดในรถระดับนี้” นายวิเชียร กล่าวเพิ่มเติม




The All-New GS “The Mark of Supremacy” ของเลกซัสได้รับการพัฒนา ภายใต้แนวคิดพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่

Smart Medium Size Packaging…มิติภายนอก ที่ให้ความรู้สึกกระทัดรัด หรูหรา ปราดเปรียว ในขณะที่พื้นที่ภายในกว้างขวาง สะดวกสบาย

New Brand Identity through the new L-finesse …สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่แห่งการดีไซน์ เอกลักษณ์เฉพาะ บ่งบอกความเป็นเลกซัส

Emotionally Intriguing Driving Experience…มอบประสบการณ์ใหม่แห่งการขับขี่ ภายใต้นิยาม “Joy & Leading Edge” ด้วยนวัตกรรมเหนือชั้น

**Leading Edge of HV Technology…สุดยอดสมรรถนะแห่งความประหยัด ขับเคลื่อนต่อเนื่อง ลื่นไหล แสดงถึงความล้ำหน้า แห่งผู้นำเทคโนโลยีไฮบริด**
**ในรุ่น GS450h ซึ่งจะแนะนำเข้าสู่ตลาดในเดือนเมษายน 2555**


“สำหรับ GS250 และ GS350 นี้ นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของเลกซัสตระกูล GS โดยเป็นรถยนต์สปอร์ตซีดานที่มีความล้ำหน้าทางยนตรกรรม สะท้อนความเป็นเจเนอเรชั่นใหม่ของปรัชญาการออกแบบ L-finesse Design Philosophy ที่โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวตามหลักอากาศพลศาสตร์ ที่ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำสุด(0.26) โดดเด่นด้วยดีไซน์ กระจังหน้าใหม่แบบ “Spindle Grille” ซึ่งถือเป็นการสะท้อนเอกลักษณ์ใหม่ของแบรนด์เลกซัส (New Face of Lexus) พร้อมแนวคิดในการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกที่พอเหมาะ แต่เน้นดีไซน์ภายในที่ให้ความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอยสูงสุด (Minimized Exterior yet Maximized Interior) นอกจากนี้ลูกค้าเลกซัสจะได้สัมผัสกับสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือระดับ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมอันเหนือชั้นใหม่ล่าสุดจากเลกซัส (Lexus’ First) รวมไปถึงเทคโนโลยีระดับโลกที่จะนำเสนอในเลกซัส GS ใหม่ เป็นครั้งแรก (World’s First) ตลอดจนเทคโนโลยีแห่งความปลอดภัยระดับโลก ที่ให้ทั้งความสะดวกสบาย และการขับขี่ที่มั่นใจ อันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจแห่งการเป็นเจ้าของ”

เปิดตัวครั้งแรกในอาเซียนกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ M-Class โฉมใหม่


• The new M-Class สุดยอดยนตรกรรมออฟโรดสไตล์สปอร์ตที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
• พร้อมพบกับการเปิดตัวยนตรกรรมอเนกประสงค์สำหรับครอบครัว The new Viano


บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV ใหม่ครั้งแรกในอาเซียน The new M-Class รุ่น ML 250 CDI BlueEFFICIENCY 4MATIC ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 ของตระกูล M-Class ที่สื่อถึงความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ของการขับขี่ ทั้งการใช้งานทั่วไปและแบบออฟโรด เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่ใช้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด BlueEFFICIENCY ซึ่งประหยัดน้ำมันและให้ประสิทธิภาพดีกว่าเดิม พร้อมด้วย The new Viano รถเอนกประสงค์สำหรับครอบครัว แบบ 7 ที่นั่ง หรูหรา ครบครัน ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก

ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ The new M-Class ใหม่นี้มีรูปลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นสปอร์ต สะท้อนถึงตัวตนที่บ่งบอกประสิทธิภาพความแข็งแกร่ง ความทะมัดทะแมง คล่องแคล่ว ปราดเปรียว แต่แฝงไว้ซึ่งความปลอดภัย มีดีไซน์และสไตล์เป็นของตนเอง โดยเป็นการรวมกันระหว่างรถซาลูนสำหรับการขับขี่ทั่วไป เข้ากับการขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบออฟโรดได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบทั้งการขับขี่บนท้องถนนทั่วไปและสไตล์ออฟโรด ทำให้เพลิดเพลินในการขับขี่ พร้อมกันนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้เปิดตัวยนตรกรรมสำหรับครอบครัวแบบ 7 ที่นั่ง The new Viano ที่มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ทั้งภายในและภายนอก เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก แต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา โดยเราได้เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้ร่วมสัมผัสยนตรกรรมหรูระดับโลกเป็นครั้งแรกได้ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายนนี้ ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี”


The new M-Class : สุดยอดยนตรกรรมออฟโรดสไตล์สปอร์ตที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ

The new M-Class เป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ที่เหมาะกับการใช้งานที่หลากหลายและลงตัว มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล แถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ รหัสตัวถัง W166 ความจุกระบอกสูบ 2,143 ซีซี ขุมพลัง 150 กิโลวัตต์/ 204 แรงม้าที่ 4,200 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุดที่ 500 นิวตันเมตรที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 9 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม. ถ่ายทอดผ่านกำลังเกียร์อัตโนมัติเดินหน้าแบบ 7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบออฟโรด

นอกจากนี้ ยนตรกรรม SUV ระดับพรีเมี่ยมแบบออฟโรด 5 ที่นั่ง The new M-Class ยังได้รับการดีไซน์รูปลักษณ์ใหม่ที่ดูโดดเด่นทั้งภายนอก ตั้งแต่ชุดกระจังหน้าโครเมียมถูกออกแบบให้มีช่องดักลมขนาดใหญ่และยาวมากขึ้น รวมทั้งกันชนหน้าถูกออกแบบให้มีช่องระบายความร้อน พร้อมด้วยไฟ daytime แบบ LED ดีไซน์ใหม่ สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน ในขณะที่รูปทรงด้านข้างถูกออกแบบให้โค้งมนสื่อถึงสไตล์สปอร์ตที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ตั้งแต่เส้นโค้งของเสา C-pillar ซึ่งให้ความแตกต่างจากรถยนต์ SUV ทั่วไป ส่วนด้านหลังเพิ่มความหรูหราจากเดิมโดยออกแบบให้โค้งต่ำลาดเอียงไปกับหลังคาสปอยเลอร์ที่แฝงไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมทั้งกันชนหลังที่ใหญ่และดูแข็งแกร่งมากขึ้นซึ่งมาพร้อมกับไฟท้ายดีไซน์ใหม่แบบ LED ที่ใช้เทคโนโลยีไฟเบอร์ออพติก นอกจากนั้นยังมีหลังคาแบบ Panoramic sunroof ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะรุ่น เพื่อเพิ่มความปลอดโปร่ง ดูดีมีสไตล์ และทันสมัยมากขึ้น


ส่วนภายในยังคงความหรูหราสง่างามเฉกเช่นรถซาลูนในแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขึ้นกว่ารุ่นก่อน โดยพื้นที่ด้านหน้ากว้างขึ้นอีก 34 มม. ส่วนด้านหลังกว้างขึ้นอีก 25 มม. ซึ่งได้รับการออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ ไฟเรืองแสงรายล้อมรอบลายไม้ รวมทั้งแผงหน้าปัดใหม่ดูโฉบเฉี่ยว ทันสมัย สะท้อนสายพันธุ์สปอร์ตด้วยวัสดุตกแต่งชั้นดี แผงคอนโซลกลางถูกออกแบบให้ดูโดดเด่น ง่ายต่อการใช้งาน บวกกับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 4 ก้านหุ้มด้วยหนัง Nappa และระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-wheel gearshift paddles) อีกทั้งเบาะนั่งที่ให้ความรู้สึกนุ่มสบาย นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Online ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะรุ่น เพื่อสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจขณะขับขี่

เมอร์เซเดส-เบนซ์ The new M-Class โฉมใหม่นี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยต่างๆ ตลอดจนอุปกรณ์แบบครบครันที่ได้มาตรฐาน โดยผสานแนวคิดในเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ (active safety) และเชิงปกป้องเมื่อเกิดเหตุ (passive safety) เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุดไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® ซึ่งมีเพียงแบรนด์เดียวในโลกโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP (Electronic Stability Program) ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถรักษาทิศทางและการทรงตัวของรถได้อย่างปลอดภัยในสถานการณ์คับขัน ระบบควบคุมการยึดเกาะถนนทั้ง 4 ล้อ 4ETS ระบบตั้งความเร็วขณะลงเขา DSR ระบบช่วยเบรก BAS (Brake Assist) ที่จะทำงานร่วมกับระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS (Anti-lock braking system) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบเตือนแรงดันลมยาง รวมทั้งระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) และระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (Intelligent Light System - ILS) ที่สามารถปรับระดับการส่องสว่างโดยอัตโนมัติตามสภาพเส้นทาง


The new Viano : นิยามใหม่ของความสะดวกสบายของยนตรกรรมสำหรับครอบครัว

เมอร์เซเดส-เบนซ์ The new Viano เป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวแบบ 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ทั้งภายในและภายนอก ตอบรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตอันทันสมัย โดยมุ่งเน้นที่ความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ช่วยเติมเต็มความสุขให้กับวันทำงานและวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานและพื้นที่ใช้สอยที่สอดคล้องกับทุกความต้องการได้อย่างลงตัว ภายในห้องโดยสารปลอดโปร่ง ทำให้รู้สึกได้ถึงความนุ่มสบายและผ่อนคลายไม่ว่าจะเป็นการเดินทางใกล้หรือไกล สามารถปรับเปลี่ยนการจัดวางได้หลากหลายรูปแบบ เหนือระดับด้วยนวัตกรรมล้ำหน้า อาทิ ไฟหน้าแบบไบซีนอน (bi-xenon) ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (corner light) ไฟ daytime แบบ LED สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน ซันรูฟแบบกระจกควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ประตูบานเลื่อนทั้งซ้าย-ขวา เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกรถมากยิ่งขึ้นโดดเด่นด้วยระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบ ถุงลม พร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิระดับอัตโนมัติที่ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล ด้วยสมรรถนะการยึดเกาะถนนอย่างมั่นคง มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล แถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ความจุกระบอกสูบ 2,143 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตรที่ 1,600 - 2,400 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 12.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 181 กม./ชม. ผสานการทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 5 จังหวะ พร้อมแมนนวลโหมด ซึ่งทำงานได้แม่นยำและนุ่มนวลในทุกจังหวะการเปลี่ยนเกียร์

โตโยต้ามหานคร ฉลองครบรอบ 33 ปี เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง


บริษัท โตโยต้ามหานคร จำกัด ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ในปี 2522 โดยมี คุณบุญเลิศ บุญวิสุทธิ์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ผู้ซึ่งริเริ่มบุกเบิกธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล อย่างเป็นทางการ จากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โดยมุ่งเน้นในด้านการบริการลูกค้ามาโดยตลอดระยะเวลา 33 ปี จึงทำให้โตโยต้า มหานครเข้าไปอยู่ในหัวใจของลูกค้ามาตลอด และได้รับการต้อนรับจากลูกค้าทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เสมอมา เริ่มต้นจากพนักงานเพียง 12 คน จนถึงขณะนี้มีพนักงานภายใต้ร่มเงาของบริษัท โตโยต้ามหานคร มากกว่า 1,000 คน ซึ่ง โตโยต้ามหานคร มีปรัชญาในการดำเนินงาน ภายใต้เจตนารมณ์ที่ว่า " ต้องซื่อสัตย์และจริงใจ ต่อลูกค้าทุกท่าน ดุจญาติมิตร " โดยมีทายาทในตระกูล “ บุญวิสุทธิ์ ” อีก 2 ท่าน คือคุณบดินทร์ บุญวิสุทธิ์ ดำรงตำแหน่ง รองประธานกรรมการบริหาร และคุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ดำรงตำแหน่ง กรรมการบริหาร ทำหน้าที่ดูแลและบริหารงาน ภายใน บริษัท โตโยต้ามหานคร จากสายเลือดที่เข้มข้นไปด้วยคำว่า " ลูกค้าสำคัญเสมอ " ส่งผลให้มีการถ่ายทอดเจตนารมณ์ สู่พนักงานจากรุ่น สู่รุ่น จนกลายเป็นหัวใจในการปฏิบัติงานของพนักงานทุกคน ในโตโยต้ามหานคร ไม่เพียงแค่นั้น โตโยต้ามหานครยังเน้นให้พนักงานมีจิตสำนึกในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าผู้มีอุปการะคุณเสมอมา

ปัจจุบัน "โตโยต้ามหานคร" มีสาขาให้การบริการที่ครอบคลุมทั่วกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ทั้งสิ้น 13 สาขา คือ สาขาลาดพร้าว สาขาศรีอยุธยา สาขาบางนา สาขาปิ่นเกล้า สาขาหลักสี่ สาขาราษฎร์บูรณะ สาขาพระราม 9 สาขาประชาชื่น สาขาถนนวงแหวนรอบนอก สาขาดอนเมือง สาขาวังหิน สาขาเทพารักษ์ และสาขาน้องใหม่ล่าสุด สาขาสายไหม โชว์รูมโชว์รถยนต์ ได้รับการดีไซน์ที่ทันสมัย สวยงาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ โตโยต้ามหานคร พร้อมด้วยพนักงานคอยต้อนรับและทีมงานฝ่ายขายที่คอยดูแลอย่างมืออาชีพ เป็นกันเอง เน้นความรวดเร็ว ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาภายในโตโยต้ามหานครนั้นสามารถมั่นใจได้ว่า ทีมงานคุณภาพจะให้การบริการและดูแลอย่างอบอุ่น และประทับใจ ทั้ง 13 สาขา ใกล้บ้านคุณ ครอบคลุมทุกพื้นที่ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คุณจึงมั่นใจได้ในความพร้อมของการบริการ ดุจญาติมิตร พร้อมให้คำปรึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่ทุกครั้ง เพราะ " เราตระหนักถึงเวลาที่มีค่าของคุณเป็นสิ่งสำคัญเสมอ " และสำหรับท่านที่ต้องการความพิเศษไม่ซ้ำใคร ทางบริษัท โตโยต้ามหานคร ยังมีบริการตกแต่งรถยนต์ตาม Concept ที่เป็นเอกลักษณ์แบบ Sport, Racing, Fashion, หรือ Luxury โดยมีทีมพนักงานพร้อมให้คำปรึกษาด้านการติดตั้ง ล้อแม็กซ์ ชุดแต่งสเกิร์ต และสปอยเลอร์รอบคัน ปลายท่อไอเสีย เบาะหนังแท้ ฟิล์มกรองแสง ชุดอุปกรณ์แต่งเสียง และอื่นๆ อีกมากมาย ให้คุณเลือกสรร โดยไม่รบกวนเงื่อนไขการรับประกันจากโตโยต้า

ไม่เฉพาะแค่การบริการลูกค้าด้านการขายและด้านการบริการหลังการจำหน่ายเท่านั้น โตโยต้ามหานคร ยังเน้นในเรื่องการดูแลลูกค้าแบบครบวงจร ด้วยการเปิด ศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสี (Body & Paint Workshop) ให้บริการครอบคลุม 4 สาขา 4 มุมเมือง ทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ สาขา บางนา สาขาถนนวงแหวนรอบนอก สาขา ดอนเมือง และสาขา สายไหม ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานการซ่อมสีจากบริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งมีพนักงานคุณภาพพร้อมให้บริการคุณอย่างมืออาชีพ ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้ เช่น เครื่องดึงตัวถังทันสมัย เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาตัวถังรถและโครงสร้างอย่างทะนุถนอม กลับสู่รูปทรงเดิม ได้มากที่สุด พร้อมห้องอบพ่นสีพิเศษที่ทันสมัยขนาดใหญ่ คุณภาพเยี่ยม ฝีมือปราณีต ด้วยช่างที่มีประสบการณ์ขั้นสูง มีระบบขัดสีแบบแห้งและเครื่องเชื่อมตัวถังแบบเดียวกันกับโรงงานผลิตรถยนต์ ที่ให้บริการรวดเร็ว ทันใจ ไม่ต้องรอนาน

ศูนย์บริการมาตรฐาน คุณภาพสูง ด้วยระบบการบริหารงานตามหลัก ISO 9001:2008 และ ISO 14001 ที่ท่านสามารถวางใจได้ในการเข้ารับบริการ พร้อมด้วยรางวัลจากการตรวจประเมินคุณภาพการบริการ TEDAS (Toyota Excellent Dealer After sales Service) โดย บริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นสิ่งที่คุณจะได้รับและประทับใจทุกครั้งเมื่อมีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสกับมิติใหม่แห่งการบริการที่โตโยต้ามหานคร พร้อมด้วยทีมงานช่างที่มากประสบการณ์ หัวหน้าช่างมืออาชีพ ซึ่งจะคอยดูแลรถยนต์คันโปรดของท่านอย่างใส่ใจ และ รวดเร็ว ด้วยเครื่องมืออันทันสมัย หลากหลายชนิด ตรวจวัดความถูกต้องด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งมีแผนกที่ดูแลรถยนต์ของท่านเฉพาะด้าน เช่น แผนกเครื่องยนต์ แผนกไฟฟ้า แผนกช่วงล่าง และแผนกระบบส่งกำลัง นอกจากนั้นยังมีช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญ เฉพาะทางในการวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหารถยนต์ ได้อย่างตรงจุด แม่นยำ ตลอดจนพื้นที่ HI-TECH AREA ช่องซ่อมบริการด่วน บริการล้างแอร์แบบไม่ต้องถอดตู้แอร์ โดยช่างผู้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ให้บริการรวดเร็ว ทันใจเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง และ บริการ Car Spa แบบครบวงจร เพื่อรถคันโปรดของท่านให้คงความเงางาม และใหม่อยู่เสมอ และบริการใหม่ล่าสุด ด้วยระบบทดสอบประสิทธิภาพเบรกและช่วงล่าง (Brake Tester) เข้ามาบริการลูกค้าภายในศูนย์บริการทั้ง 13 สาขา พร้อมบริการพิเศษ ระบบนัดหมายล่วงหน้าในการนำรถเข้าเช็คระยะ ที่เบอร์เดียว คือ 02-69-44-777


ในปี 2555 นี้ บริษัท โตโยต้ามหานคร ยังได้มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในการบริการลูกค้า และในปีนี้ เป็นปี ที่พิเศษสุดในโอกาสที่ โตโยต้ามหานคร ครบรอบ 33 ปี จึงได้มีการเปิดตัว บริการรูปแบบใหม่ ที่ ใส่ใจลูกค้าอีกระดับคือ โตโยต้ามหานคร โรดไซด์ แอสซิสแทนซ์ บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้อบอุ่นใจในการขับขี่รถยนต์อย่างไร้กังวล ครอบคลุมทุกเส้นทางทั่วประเทศไทย สะดวก รวดเร็ว เพียงโทรเข้ามายัง ศูนย์บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน “ โตโยต้ามหานคร โรดไซด์ แอสซิสแทนซ์ ” ที่ หมายเลข 0-269-44-777 กด 7 เจ้าหน้าที่ TM Call Center โรด์ไซด์ แอสซิสแทนซ์ ของโตโยต้ามหานคร พร้อมให้บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยการบริการของระบบเทคโนโลยีอันทันสมัย และแผนที่ระบบดิจิตอลครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ที่สามารถชี้สถานที่เกิดเหตุรถเสียได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยทีมช่างเทคนิค ที่มีความชำนาญ พร้อมช่วยตอบข้อสงสัยที่เกิดขึ้น และช่วยแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน กรณีที่ปัญหานั้น สามารถแก้ไขได้ ณ จุดเกิดเหตุ อาทิ แบตเตอร์รี่อ่อน, น้ำมันหมดระหว่างทาง ,ยางแบน หรือกรณีที่ลืมกุญใจไว้ในรถยนต์ ทาง “ โตโยต้ามหานคร โรดไซด์ แอสซิสแทนซ์ ” จะทำการส่งช่างเทคนิคไปให้ความช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ ภายใน 20 นาที และหากปัญหาดังกล่าวนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ ณ จุดเกิดเหตุ ทาง “ โตโยต้ามหานคร โรดไซด์ แอสซิสแทนซ์ ” จะส่งรถยกไปให้บริการ นำรถยนต์เข้าศูนย์บริการ โตโยต้ามหานคร ที่ใกล้ที่สุด เพื่อดำเนินการแก้ไขต่อไป

“ดูคาติ 1199 พานิกาเล่ ลอนช์ ปาร์ตี้” เปิดตัวสุดยอดสปอร์ตไบค์ที่สุดแห่งพ.ศ.นี้


สาวกซูเปอร์ไบค์ทั้งหลายเตรียมตื่นตาตื่นใจไปกับวงการสองล้อขนาดรถใหญ่ที่คึกคักสุดขีดรับปีมังกรทอง เพราะ ล่าสุด อภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ดูคาติ (Ducati) ได้ฤกษ์จัดงาน ดูคาติ 1199 พานิกาเล่ ลอนช์ ปาร์ตี้ (Ducati 1199 Panigale Launch Party) เพื่อเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ ดูคาติ 1199 พานิกาเล่ (Ducati 1199 Panigale) อย่างเป็นทางการในไทย โดย 1199      พานิกาเล่ถือเป็นสปอร์ตไบค์สุดเท่ที่งามสง่าตั้งแต่ด้านหน้าจรดบั้นท้าย โฉบเฉี่ยวเร้าใจในการการขับขี่ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่การออกแบบจนถึงเครื่องยนต์ 2 สูบ Superqaurdro ขับขี่ด้วยกำลังสงสุด 195 แรงม้า ผ่านการควบคุมคำสั่งหน้าจอสีด้านหน้าคนขับ โดยงานนี้จะจัดขึ้นในบรรยากาศที่เป็นกันเองและใกล้ชิดในสไตล์ปาร์ตี้ เพื่อให้เหล่าลูกค้าและเซเลบริตี้คนดังของดูคาติที่ชื่นชอบและหลงใหลสปอร์ตไบค์ ได้ดื่มด่ำและยลโฉมของ 1199 พานิกาเล่ พร้อมตื่นตาตื่นใจกับไฮไลท์การเปิดตัวสุดยอดบิ๊กไบค์ล่าสุดแห่งพ.ศ.นี้จากดูคาติ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติจำนวนมาก อาทิ บรมกช    ลีนุตพงษ์, กฤษณ์ จันทโนทก, เฉลิมพล เทียนมณี, วิทยา ตันเจริญ, จิต เชี่ยวสกุล, คงภัทร ตันติจิรสกุล, ชุมพล    ศิริประยูรศักดิ์ เป็นต้น ณ โชว์รูมดูคาติ ทองหล่อ ซ.สุขุมวิท 55
อภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ดูคาติ กล่าวว่า ผมมองว่าแบรนด์ที่จะประสความสำเร็จต้องมีรากฐานที่ดี ทั้งจากบริษัทแม่และตัวผู้บริหารเอง ซึ่งดูคาติ        ไทยแลนด์ก็มีหน้าที่ในการนำสิ่งดีๆ มานำเสนอในตลาดให้ดีที่สุด อย่างงานในครั้งนี้ก็เช่นกัน เราจัดขึ้นเพื่อเปิดตัวพร้อมแนะนำดูคาติ 1199 พานิกาเล่อย่างเป็นทางการในไทย เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์ได้สัมผัสและใกล้ชิดกับรถสปอต์ไบค์รุ่นใหม่ล่าสุดที่นำเข้ามา พร้อมทั้งชื่นชมความพิเศษและการพัฒนาเทคโนโลยีอันล้ำสมัยตั้งแต่รากฐานของรถเพิ่มเติมฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ๆ เข้าไปทำให้ 1199 พานิกาเล่ คือ ทั้งหมดและที่สุดของ ดูคาติในด้านของประสิทธิภาพในสไตล์ของอิตาเลียนไบค์ ขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามเฉกเช่นเดียวกับงานปฏิมากรรม สมกับที่ถูกกล่าวว่าเป็นยนตรกรรมสองล้อที่ถือกำเนิดในนครแห่งงานศิลป์นั่นเอง"

และนอกเหนือจากการนำเสนอสินค้าที่ดีให้แก่ลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง ดูคาติยังเน้นย้ำและให้ความสำคัญในเรื่องของการขับขี่ปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำเสริมให้กับลูกค้ามาโดยตลอด ภายใต้กิจกรรม Ducati Riding Experience ที่จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การขับขี่กับรถดูคาติ ให้ลูกค้าได้เรียนรู้วิธีการขี่ที่ถูกต้องและปลอดภัย และรู้จักคาแรกเตอร์ของรถดูคาติอีกด้วย”

สำหรับ Panigale เป็นภาษาอิตาลี ที่อ่านออกเสียงเป็นไทยว่า "พา-นิ-กา-เล่" และถูกนำมาต่อท้ายรหัสเครื่องยนต์ 1199 เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์กับพื้นที่ทางประวัติศาสตร์สำคัญกับโรงงานดูคาติที่ Borgo Panigale เมืองโบโลญญา (Bologna) ซึ่งเป็นบริเวณการผลิตยานยนต์ที่สำคัญ ชาวอิตาลีเรียกบริเวณนี้ว่า Motor Valley เช่นเดียวกับ Silicon Valley ที่ผลิตอุปกรณ์ไอทีอันโด่งดังในอเมริกา เป็นการตอกย้ำถึงความภาคภูมิใจของความเป็นเมดอินอิตาลีและทำให้ชื่อบ้านเกิดของซูเปอร์ไบค์ตัวใหม่ถูกจารึกไปตลอดกาล และวันนี้ 1199 พานิกาเล่ คือ ซูเปอร์ไบค์สายพันธุ์ใหม่ที่สุดจากโรงงานดูคาติ ที่ก้าวพ้นขีดจำกัดการออกแบบและวิศวกรรมของรถจักรยานยนต์ เป็นขีดสุดของประสิทธิภาพสำหรับรถสปอร์ตไบค์ของทุกวันนี้ และเป็นตัวกำหนดทิศทางสำหรับรถสปอร์ตในอนาคต ด้วยประสบการณ์เข้มข้นสุดขัวจากการพัฒนารถแข่งโดยทีมดูคาติ คอร์สทำให้ 1199 พานิกาเล่มีสมรรถนะสูงเช่นเดียวกับรถแข่งในเวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แต่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถสัมผัสได้
ดูคาติ 1199 พานิกาเล่ มี 3 เวอร์ชั่น คือ 1199 พานิกาเล่ ABS, 1199 พานิกาเล่ S, และ 1199 พานิกาเล่ S Tricolor โดย 1199 พานิกาเล่ ABS โดยจะใช้ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอลูมิเนียมน้ำหนักเบาพิเศษจาก Marzocchi ส่วนระบบช่วงล่างด้านหลัง SACHS เป็นผู้รับผิดชอบรวมไปถึงตัวกันสะบัดด้วย ระบบอิเล็กทรอนิส์จะมี DTC, DQS, EBC และ RbW พร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ราคา 1,298,000 บาท  ส่วน 1199 พานิกาเล่ S จะวางจำหน่ายในรูปแบบที่เลือกได้ว่าจะติดตั้ง ระบบ ABS มาจากโรงงานหรือไม่ โดยจะใช้ระบบช่วงล่างทั้งหมดจะรับผิดชอบโดย Ohlins รวมไปถึงตัวกันสะบัดด้วย พิเศษกว่าด้วยล้อ Forged Aluminium จาก Marchesini  นอกจากนี้ รุ่น S จะได้รับบังโคลนหน้าคาร์บอนไฟเบอร์ และชุด Aero Kit ที่จะติดตั้งบริเวณแฟริ่งด้านหน้าเพื่อทำให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศของตัวรถดีขึ้ ระบบอิเล็กทรอนิกส์จะมี DES , DTC, DQS, EBC และ RbW พร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ราคา 1,698,000 บาท และสุดท้ายเป็นตัวท็อป 1199 พานิกาเล่S Tricolor ที่จะมาในโทนสีสัญลักษณ์ของประเทศอิตาลี ตัวรถจะคาดสีแดง, ขาว และเขียว อุปกรณ์บนตัวรถจะเหมือนกับตัว S แต่จะได้ชุดคิท DDA+พร้อมระบบ GPSLap Timer และชุดปลายท่อไอเสียไททาเนียม จาก Ducati Performance อีกด้วย ราคา 1,898,000 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อตัวแทนจำหน่ายดูคาติ กรุงเทพฯ สุขุมวิท 55 โทร. 02-381-8811, พระราม 3 โทร. 02-682-8082, จ.ภูเก็ต โทร.076-524-633, จ.อุดรธานี โทร. 042-323-872-3, พัทยา โทร.038-415-956 หรือคลิก http://www.ducatithailand.com/

เอ็น.เค.ทุ่ม 200 ล้าน สร้างโชว์รูม และศูนย์บริการใหม่พุ่งเป้าศูนย์รวมเบนซ์ครบวงจรใหญ่ที่สุดในเมืองไทย



      เอ็น.เค. แถลงข่าวประกาศนโยบายเชิงรุก  เตรียมยกระดับให้เป็นศูนย์รวมเบนซ์ที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในประเทศไทย เผยลงทุน 200 ล้านบาท สร้างโชว์รูมและศูนย์บริการเบนซ์ ภายใต้
คอนเซปต์ The Interactive Showroom แห่งแรกในไทย เตรียมลุยจัดกิจกรรมการตลาดเชิงรุกเข้าหากลุ่มเป้าหมายตลอดปี มั่นใจดันยอดขายเบนซ์ ปี 2555 เกิน 700 คัน


      นายพิตินันทน์ กฤษดาธานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.เค. ออโต้ อิมพอร์ต จำกัด ผู้นำเข้า และจำหน่ายรถเบนซ์ใหม่ และรถเบนซ์มือสองคัดพิเศษเกรดเอ เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ และทิศทางการดำเนินงานว่า นับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป บริษัทได้วางแผนการที่จะรีแบรนดิ้งองค์กรใหม่เต็มรูปแบบเพื่อยกระดับและพัฒนาทิศทางขององค์กรให้พร้อมก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ภายใต้แผน Revolution to the New Era  โดยจุดเริ่มต้นในการรีแบรนดิ้งที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเรื่องสำคัญที่สุด คือการลงทุนสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการใหม่หมดภายใต้คอนเซปต์ The Interactive Showroom บนพื้นที่รวมกว่า 5 ไร่ ซึ่งถือเป็น
โชว์รูมรถเบนซ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
      “ในคอนเซปต์ The Interactive Showroom นี้จะมีการนำเทคโนโลยี Search Engine Directory Program มาใช้เป็นครั้งแรกในวงการโชว์รูมรถยนต์ โดยจะมีการนำเสนอและแนะนำรถยนต์รุ่นต่างๆ
ในโชว์รูม ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุดในรูปแบบ 3D Mapping ซึ่งจะช่วยยกระดับการให้บริการได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ รวมทั้งได้มีการดีไซน์รูปแบบการจัดแสดงรถแบบใหม่ เรียกว่า
Car Catwalk Display โดยทั้งหมดนี้บริษัทต้องการฉีกรูปแบบ พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกชมรถยนต์ให้กับลูกค้า”
      ทั้งนี้ในส่วนศูนย์ซ่อมบริการบนพื้นที่กว่า 1 ไร่ นั้น  นายพิตินันทน์ กล่าวว่า ได้เริ่มก่อสร้างไปแล้วประมาณ 40 % โดยจะเน้นให้บริการพร้อมการรับประกันคุณภาพรถยนต์ที่บริษัทได้จำหน่ายออกไป เพื่อเพิ่มความมั่นใจสูงสุดให้กับลูกค้า โดยคาดว่าทั้งในส่วนโชว์รูมและศูนย์บริการจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2555     นอกจากนี้ยังจะมีการปรับรูปแบบเว็ปไซต์ใหม่ ให้มีความทันสมัย รวดเร็ว เพื่อรองรับจำนวนการเข้าชมของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเพิ่มการให้บริการใหม่ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับในส่วนของศูนย์บริการ และ
โชว์รูมแบบ Interactive เพื่อต่อยอดและเพิ่มศักยภาพแบบครบวงจร 
      “เรายังมีแผนที่จะจัดกิจกรรม และอีเว้นท์ต่างๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อรุกเข้าหากลุ่มลูกค้าและเป้าหมายมากขึ้น แทนที่จะรอให้ลูกค้ามาหาฝ่ายเดียว อาทิ การออกบูธมินิมอเตอร์โชว์ที่งาน Bangkok Used Car & Imported Car Show รวมถึงที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และตามคอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ รวมถึงมีแผนที่จะนำเข้ารถรุ่นใหม่ๆ เข้ามาจำหน่าย ขณะที่แคมเปญส่งเสริมการขาย และสิทธิพิเศษต่างๆ จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง”
      สำหรับกลยุทธ์ที่ทำให้ลูกค้าไว้วางใจและเชื่อมั่น เอ็น.เค. และเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็
นายพิตินันทน์ เปิดเผยว่า นโยบายการทำตลาดที่ชัดเจน โดยเน้นการขายไปที่ยี่ห้อเดียวคือ เบนซ์ รวมถึงจำนวนรถที่มีให้เลือกเยอะจริง สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกรุ่น ทุกคลาส ครบทุกความต้องการกว่า 150 คัน โดยเฉพาะในปีนี้บริษัทได้มีนโยบายใหม่ที่ชัดเจน คือจะเน้นการสั่งรถเบนซ์ใหม่เข้ามาแบบ Big Lot โดยจะสั่งเข้ามารุ่นละ 20-30 คัน พร้อมกันในหลายๆ รุ่น เพื่อได้ราคาต้นทุนที่ถูกลง และสามารถทำราคาขายที่ต่ำกว่าท้องตลาดโดยทั่วไปนั่นเอง
        “บริษัทยังคงชูจุดขายนี้ ควบคู่ไปกับการเป็นผู้นำในการสร้างบรรทัดฐาน และพัฒนานวัตกรรมการบริการใหม่ๆ ซึ่งมั่นใจว่า การรีแบรนดิ้งองค์กรสู่ยุคใหม่ ทั้งในส่วนของโชว์รูม และศูนย์ซ่อมบริการมาตรฐาน   พร้อมด้วยกิจกรรมทางการตลาดเชิงรุก และการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าจำหน่ายที่ตั้งไว้ และเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว ดังความมุ่งมั่นที่ต้องการพัฒนาให้ เอ็น.เค.เป็นศูนย์รวมเบนซ์มาตรฐานที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในประเทศไทย ที่เมื่อใดลูกค้านึกถึงเบนซ์
ก็อยากจะให้นึกถึง เอ็น.เค. เป็นที่แรกในใจ ดังสโลแกน เอ็น.เค. ที่นี่มีแต่...เบนซ์”
      สำหรับเป้าหมายในปี 2555 กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.เค. ออโต้ อิมพอร์ต จำกัด กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้ขยายไลน์ธุรกิจสู่การนำเข้า และจำหน่ายรถเบนซ์ใหม่ ตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งจากเดิมเน้นแต่รถเบนซ์มือสองเป็นหลัก ส่งผลทำให้ตัวเลขการขายรวมของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของ
รถใหม่นั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน อันเป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลยูโรที่อ่อนตัวลง และมีการเปิดตัวเบนซ์รุ่นใหม่ๆเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเดิมที่ชอบและรักในแบรนด์เบนซ์ รวมถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ นั้นเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงตั้งเป้ายอดจำหน่ายรวมในปี 2555 อยู่ที่ 700 คัน หรือเพิ่มขึ้น 8% เป็นรถเบนซ์ใหม่ 420 คัน หรือสัดส่วนร้อยละ 60 ของยอดขายรวมทั้งปี ขณะที่คาดว่ายอดจำหน่ายเบนซ์มือสองจะอยู่ที่ประมาณ 280 คัน ทั้งนี้บริษัทยังคงมีนโยบายที่จะนำเข้ารถเบนซ์รุ่นใหม่ๆ ทุกรุ่น ทุกคลาส เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
      นายพิตินันทน์ ยังได้เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดวิกฤติมหาอุทกภัย
ครั้งใหญ่ในประเทศว่า บริษัทได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย เพราะโชว์รูมตั้งอยู่บนถนนกาญจนาภิเษก โดยต้องหยุดการขายไปประมาณหนึ่งเดือน อย่างไรก็ตามในช่วง 10 เดือนแรก ทางบริษัทได้จัดกิจกรรมโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมออกบูธตามสถานที่ต่างๆ ทำให้ยอดจำหน่ายรถเบนซ์ของบริษัทยังคงปรับตัวขึ้นจากปี 2553 ประมาณ 5 % คือมียอดจำหน่ายรวมอยู่ที่ 654 คัน คิดเป็นสัดส่วนรถเบนซ์ใหม่ 60 % รถเบนซ์มือสอง 40 % โดยรถรุ่นที่ได้รับความนิยมและมียอดจำหน่ายสูงสุดคือ เบนซ์รุ่นซี-คลาส และรุ่นอี-คลาส รองลงมา
      เอ็น.เค. ก่อตั้งในปี 2540 โดยนายก่อเกียรติ กฤษดาธานนท์ ผู้ซึ่งคร่ำหวอดในวงการรถเบนซ์มากว่า 44 ปี ที่ผ่านมาบริษัทยึดมั่นให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง และมีการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ปัจจุบัน เอ็นเ.ค. ได้แบ่งเซกเมนต์ธุรกิจชัดเจนออกเป็น 2 ส่วน คือภายใต้แบรนด์ N.K. AUTO IMPORT จะเป็นศูนย์รวมเบนซ์ใหม่นำเข้าป้ายแดง และ N.K. USED CAR คือศูนย์รวมเบนซ์มือสองคัดพิเศษเกรด เอ 
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved