Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

BENZ NK จับมือ 7 พันธมิตร เตรียมเปิด NK Auto Avenue ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ สำหรับคนรักรถ แห่งแรกในเมืองไทย




เบนซ์ เอ็น.เค. ชูแผนกลยุทธ์การทำตลาดในปี 2556 เน้นนโยบาย และให้ความสำคัญในการให้บริการหลังการขายเป็นอันดับ 1 ประเดิมด้วยบิ๊กโปรเจคจับมือ 7 พันธมิตรด้านการบริการรถยนต์ เตรียมเปิด Lifestyle Community สำหรับคนรักรถแห่งแรกในเมืองไทย ภายใต้ชื่อ “NK Auto Avenue” บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ด้านหลังโชว์รูม เบนซ์ เอ็น.เค.ที่กำลังก่อสร้างใหม่ โดยต้องการให้เป็นแหล่งแฮงค์เอาท์ พร้อมสร้างสังคมของคนรักรถรูปแบบใหม่แห่งแรกในเมืองไทย ภายใต้คอนเซปต์ “The Car Lover Destination” โดยใช้งบประมาณในการลงทุนตกแต่ง และก่อสร้างกว่า 50 ล้านบาท คาดพร้อมเปิดให้บริการไตรมาส 2 ของปีนี้
นายพิตินันทน์ กฤษดาธานนท์ กรรมการผู้จัดการ เบนซ์ เอ็น.เค. เปิดเผยถึงกลยุทธ์การทำตลาดในปี 2556 ว่า ทางบริษัทต้องการตอกย้ำนโยบายที่ต้องการสร้างประสบการณ์พิเศษใหม่ๆ ให้กับลูกค้า พร้อมยกระดับและพัฒนามาตรฐานการให้บริการอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้จะเน้นนโยบายไปที่การให้บริการหลังการขายแบบ 360องศา โดยต้องการให้เป็นศูนย์รวมเบนซ์ที่ตอบโจทย์การให้บริการแบบครบวงจร ในทุกๆ มิติอย่างแท้จริง ทั้งซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยน-บริการหลังการขาย พร้อมบริการเสริมครอบคลุมแบบ One Stop Service
            สำหรับโครงการ NK Auto Avenue ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในเมืองไทย ที่ได้มีการรวบรวมการให้บริการเกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ถึง 7 ประเภทในรูปแบบของเซอร์วิสเซ็นเตอร์เต็มรูปแบบมาไว้ในคอมมูนิตี้เดียวกัน โดยเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง 7 พันธมิตรหลักๆ ได้แก่
            MOBILCENTER ศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอันดับ 1 ที่มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำมันหล่อลื่นสำหรับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์โดยเฉพาะ มั่นใจในการให้บริการจากทีมช่างที่ผ่านการฝึกอบรม และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสำหรับรถเบนซ์โดยตรง พร้อมช่อง Fast Track Lane บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในเวลาเพียง 29 นาที โดยสามารถนัดหมายล่วงหน้าด้วยตัวเองผ่านMobile Application Service เอกสิทธ์พิเศษเฉพาะที่ NK Auto Avenue เพื่อการบริการที่สะดวก และรวดเร็วกว่า   
          CTSศูนย์ปกป้องและเคลือบสีอันดับ1 ที่รวบรวมนวัตกรรมที่เป็นที่สุดแห่งการดูแลรักษารถยนต์ ทั้ง Crystal Sealed System ระบบพ่นเคลือบรถด้วยสารซิลิก้า ลิขสิทธิ์แท้จากญี่ปุ่น พร้อมห้องอบผลึกแก้ว (SiO2) ด้วยคลื่นความร้อน Shot Wave Infrared จากเยอรมันนี เพื่อการเซ็ทตัวและตกผลึกของโมเลกุลคริสตรอล ลิขสิทธิ์เดียวที่ CTS และการให้บริการ Crystal Healthy Protectionปกป้องห้องโดยสาร ทำความสะอาดพร้อมฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ด้วยบริการเหนือระดับ รับรองด้วยมาตรฐาน ISO 9001:2008 โดยจะมีการเปิดศูนย์บริการแบบ Full Service Center เต็มรูปแบบสามารถรองรับการให้บริการได้ครบทุกความต้องการ       
                PRODRIVE ตัวแทนจำหน่ายชุดแต่งล้อแม็ก และชุดท่อไอเสียอย่างเป็นทางการในประเทศไทยจากสำนักแต่งชั้นนำระดับโลกถึง 7แบรนด์ ได้แก่ ชุดแต่ง Hamann และชุดท่อไอเสีย Eisenmann จากเยอรมันนีชุดแต่ง Vorsteiner ล้อแม็ก Modulare และ M7 Tuning สำนักจูนเครื่องยนต์ชื่อดังจากอเมริกาล้อแม็ก HyperForged Wheels และชุดท่อไอเสีย ARQRAY จากญี่ปุ่น  อีกทั้งยังสามารถสั่งชุดแต่งชั้นนำอีกกว่า 250 แบรนด์ ตามความต้องการของลูกค้า ผ่านระบบ SALESFORCE System ที่นำมาช่วยในการติดตามออร์เดอร์ และเก็บฐานข้อมูลให้ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
           LAMINA FILMS EXCLUSIVE SHOP ศูนย์ติดตั้งฟิล์มกรองแสงต้นแบบมาตรฐานใหม่ระดับโลกจากอเมริกา ครั้งแรกในเมืองไทยด้วยเครื่องตัดฟิล์มระบบคอมพิวเตอร์ LLumar Precision Cut SystemTM  นวัตกรรมการตัดฟิล์มตามรุ่นรถภายใต้ซอฟท์แวร์ลิขสิทธิ์เฉพาะจาก CPFilms สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ได้ฟิล์มตามขนาดและดีไซน์กระจกของรถแต่ละรุ่นอย่างสวยงามพอดี และรวดเร็วโดยใช้เวลาการติดฟิลม์รอบคันเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น พร้อมฟิล์มรุ่นพิเศษกันยูวีประสิทธิภาพสูงสุดเหมาะสำหรับรถยุโรปชั้นนำอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ และฟิล์ม
ลามิน่ามีครบทุกซีรี่ส์กว่า 43
 รุ่น มีให้เลือกครบทุกความต้องการ  
           MONDIAL ASSISTANCE ผู้นำในการให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ด้วยมาตรฐานการบริการระดับสากลที่เป็นที่ยอมรับใน 30 ประเทศทั่วโลก  ในประเทศไทย บริษัทฯ เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในการให้บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉินมากว่า 12 ปี ด้วยทีมงานมืออาชีพที่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทาง พร้อมเครือข่ายหน่วยช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉินครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้าคนสำคัญ บริษัทฯ ได้จัดหน่วยช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Assist) ไว้ที่ NK Auto Avenue ครั้งแรกกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด “Smart Dispatch System” สำหรับการแจ้งเหตุและสั่งการจากศูนย์ควบคุม ที่สามารถทราบพิกัดและหน่วยบริการที่ใกล้ที่สุดได้แบบ Real time พร้อม Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับลูกค้าของ Benz NK จึงมั่นใจได้ว่าท่านจะได้รับความช่วยเหลืออย่างฉับไว ทันท่วงที และอุ่นใจในทุกเส้นทางทั่วประเทศไทย  
          AUTOZKIN ศูนย์ติดตั้งฟิล์มใสปกป้องสีรถ และกระจกหน้ารถยนต์ นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากอเมริกา ด้วยเทคโนโลยีการปกป้องบอดี้เพ้นท์ของเครื่องบินพาณิชย์ และรถแข่งระดับโลก พัฒนาสู่เนื้อฟิล์มคุณภาพสูง
ที่มีความเหนียวทนทานต่อรอยขูดขีดจากวัสดุทุกชนิด เพื่อการปกป้องรถยนต์ที่คุณรัก พร้อมมาตรฐานการติดตั้งสูงสุดด้วยโปรแกรม
Computer Cutting Design เพื่อการตัดแต่งรูปทรงฟิล์มที่แม่นยำเฉพาะรุ่น มั่นใจไม่เกิด
ริ้วรอยที่ตัวรถยนต์ 
  
          TRUE COFFEE ร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยมที่ครบครันด้วยสุดยอดเครื่องดื่ม อาหารและเบเกอรี่ โดยจะมีการตกแต่งบรรยากาศภายในร้านผสานกันระหว่างความอบอุ่นและเทคโนโลยีสุดล้ำสมัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Interactive Café แห่งแรกในเมืองไทย โดยเพียงแค่ลงทะเบียนในระบบผ่าน mobile application ระบบจะทำการบันทึกข้อมูลไว้ล่วงหน้า โดยในขณะที่ลูกค้าขับรถเข้ามาในพื้นที่NK Auto Avenue กาแฟจะพร้อมเสิร์ฟได้ในทันที ถือเป็นการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาให้บริการ ในร้านกาแฟเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
 “คอนเซ็ปต์ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้สำหรับคนรักรถ จริงๆ แล้วเกิดจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งโดยปกติพฤติกรรมของลูกค้าเวลาจะออกรถใหม่หนึ่งคัน คือต้องการที่จะเข้ารับบริการต่างๆ เหล่านี้อยู่แล้ว ซึ่งกว่าจะเข้ารับบริการต่างๆ ต้องเสียเวลาในการเดินทาง และบางครั้งต้องรอคิวนานในการรับบริการ แต่สำหรับที่ NK Auto Avenue ลูกค้าสามารถมาที่เดียวจบครบทุกความต้องการ รวมถึงไม่ต้องรอคิวเพราะเป็น Shop แบบ stand alone และมีการลงทุนสร้างร้านต่างๆ ในรูปแบบ full service center ทั้งนี้สิ่งที่ต้องการเพิ่มเติมคือเราต้องการสร้างปรากฏการณ์รูปแบบใหม่ในการมาโชว์รูมรถยนต์ โดยไม่จำเป็นต้องมาเพื่อซื้อรถอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำรถเข้ามารับบริการต่างๆ ในที่เดียว หรือแม้แต่มานั่งแฮงเอาท์ที่ร้านกาแฟ พุดคุยตามประสาคนรักรถ ทั้งนี้เราเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการ พร้อมสร้างความมั่นใจ และความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าทุกท่านอย่างแน่นอน นาย พิตินันทน์ กล่าว
 ทั้งนี้สำหรับในส่วนของโชว์รูม Benz NK The Interactive Showroom และศูนย์บริการขนาดใหญ่กว่า 40 ช่องซ่อม ได้ก่อสร้างไปแล้วกว่า 90พร้อมเปิดให้บริการได้เร็วๆนี้ โดยโปรเจคทั้ง 2 ส่วนนี้ ทางบริษัทต้องการยกระดับมาตรฐานการให้บริการแบบครบวงจรอย่างแท้จริง และเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำศูนย์รวมเบนซ์มาตรฐานอันดับ 1 ในใจลูกค้า

ธพ.เดินหน้าต่อ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ปี 4" เพิ่มความเข้มข้นเกณฑ์การประเมินรักษาอัตลักษณ์ และส่งเสริมมาตรฐานระดับสากล



กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อพัฒนา และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย การให้ บริการ และการควบคุมคุณภาพน้ำมันในสถานีบริการน้ำมัน เดินหน้าต่อ พร้อมลุย โครงการ “ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ปีที่ 4”
เปิดรับสมัครสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ วันนี้ – 31 มีนาคม 2556 รับจำนวนจำกัดเพียง 1,500 แห่งตามลำดับการสมัคร ลุ้นรางวัลเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง และรางวัลพิเศษเหรียญทอง 3 ปีต่อเนื่อง
  
พล.ต.ต.ลัทธสัญญา  เพียรสมภาร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า โครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกระทรวงพลังงาน ที่ว่า “มุ่งการบริหารพลังงานอย่างยั่งยืน ให้ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย มีพลังงานใช้อย่างพอเพียง” ประกอบกับ กิจการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นกิจการที่มีความสำคัญของประเทศ และมีความใกล้ชิดกับประชาชน กระทรวงพลังงานจึงต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานของสถานีบริการทั้งด้านคุณภาพน้ำมัน ด้านความปลอดภัย และด้านการให้บริการ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ เหนืออื่นใดคือ ส่งเสริม และผลักดันให้สถานีบริการน้ำมันตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาระดับมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย และการบริการที่ดีอย่างต่อเนื่อง  เนื่องจากสถานีบริการน้ำมัน เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางของพี่น้องประชาชน ที่เป็นได้ทั้งที่ให้บริการเติมน้ำมัน    และจุดแวะพักที่มีมาตรฐาน ทั้งยังเป็นการช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน นำไปสู่การสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ดีแก่ชุมชนโดยรอบสถานีบริการเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนอีกด้วย

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการ ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ปีที่ 4 กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานจะยังคงแบ่งการตรวจประเมินสถานีบริการฯ ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ คณะกรรมการส่วนกลางประเมินสถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการฯในเขตกรุงเทพ และ คณะกรรมการส่วนภูมิภาคตรวจประเมินสถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมในต่างจังหวัด เพื่อกระจายความร่วมมือให้ทั่วถึงในทุกภาคส่วน โดยมีเกณฑ์การตรวจประเมินสถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการ แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย 1.ระบบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น คุณภาพน้ำมัน ,เอกสารการจัดซื้อน้ำมัน ฯลฯ  2. ด้านความปลอดภัย ทั้งในส่วนของการการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง การตรวจสอบระบบการดับเพลิง การตรวจตราบริเวณสถานีบริการ ทั้งในจุดเติมลม จุดเติมน้ำมัน จุดต่อสายไฟฟ้า ฯลฯ 3.ด้านมาตรฐานการบริการ โดยให้ความสำคัญในการประเมินผลการบริการของพนักงาน การให้การบริการที่มีความฉับไว พูดจาสุภาพ ดูแลสถานที่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องน้ำสะอาด มีห้องน้ำสำหรับคนพิการ จุดพักผ่อนของผู้ใช้บริการ ฯลฯ
โดยในโครงการฯ ปีที่ 4 ยังได้เพิ่มเติมเกณฑ์การประเมินที่มีความน่าสนใจ ได้แก่ การส่งเสริมภาพลักษณ์ และท้องถิ่นไทย ,การส่งเสริมให้สถานีบริการน้ำมันมีห้องสุขาแบบนั่งราบสำหรับคนชรา และ การดำเนินการด้านมาตรฐานการจัดการคุณภาพ มาตรฐานสิ่งแวดล้อม อาทิ ISO 9000, ISO 14000 หรือ มาตรฐาน OHSAS 18001 เป็นต้น 
  
สำหรับสถานีบริการน้ำมันที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ http://www.doeb.go.th/ ซึ่งผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการให้ส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ที่ “ตู้ ปณ. 236 ปณฝ.หลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โดยรับจำนวนจำกัดเพียง 1,500 แห่ง เปิดรับสมัครตั้งแต่ วันนี้ – 31 มีนาคม ศกนี้

ฮอนด้าประกาศลงทุนเพิ่มกว่า 20,060 ล้านบาทในไทย สร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดปราจีนบุรีพร้อมขยายกำลังการผลิตที่อยุธยา


      · ประกาศสร้างโรงงานแห่งใหม่ ด้วยเงินลงทุนกว่า 17,150 ล้านบาท ด้วยกำลังการผลิต 120,000 คันต่อปี
· ลงทุนเพิ่มอีก 2,910 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตที่โรงงานอยุธยาให้เป็น 300,000 คันต่อปี ในปี 2557
· ในปี 2558 เมื่อรวมกำลังการผลิตโรงงานทั้ง แห่ง ฮอนด้าจะมีกำลังการผลิตรวมสูงถึง 420,000 คันต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ในประเทศไทยและการส่งออก

กรุงเทพมหานคร – 6 กุมภาพันธ์ 2556 – บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ประกาศแผนการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่มูลค่า 17,150 ล้านบาทในจังหวัดปราจีนบุรี โดยโรงงานแห่งใหม่จะมีกำลังการผลิต 120,000 คันต่อปี เริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2556 นี้ และจะเริ่มเปิดเดินสายการผลิตได้ในปี2558 พร้อมทั้งประกาศขยายกำลังการผลิตในโรงงานผลิตรถยนต์ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพิ่มเป็300,000 คันต่อปีภายในต้นปี 2557 เมื่อรวมกำลังการผลิตจากโรงงานทั้งสองแห่งจะส่งผลให้ฮอนด้ามีกำลังการผลิตรถยนต์โดยรวมที่420,000 คันต่อปี ในปี 2558 

มร. ฮิโรชิ โคบายาชิ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ฮอนด้าต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายสืบเนื่องจากมหาอุทกภัยในปลายปี 2554 ที่ทำให้ต้องหยุดการผลิตที่โรงงานอยุธยา แต่ด้วยความมุ่งมั่นของพนักงานฮอนด้า ประกอบกับแรงสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากทุกภาคส่วนล้วนเป็นกำลังใจให้สามารถกลับมาเดินสายการผลิตได้ในปลายเดือนมีนาคม 2555 และหลังจากนั้นภายในเวลาเพียง 9 เดือน ฮอนด้ามีการรุกตลาดด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 10 รุ่น ตลอดจนความสำเร็จของรถยนต์รุ่นบริโอ้ อเมซ เหล่านี้ล้วนส่งผลให้ฮอนด้าสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พันธสัญญาของฮอนด้าที่มีต่อประเทศไทยไม่เคยสั่นคลอน ทั้งยังทำให้กลับมาได้อย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม

"ฮอนด้าจะผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อตลาดในอาเซียน โอเชียเนีย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก การขยายการลงทุนในประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการแสดงความมุ่งมั่นในการเติบโตเคียงข้างสังคมไทย และยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต รวมทั้งแนวโน้มความต้องการรถยนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากระดับรายได้ของคนไทยที่เพิ่มสูงขึ้น และพร้อมตอบสนองความต้องการรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ประหยัดเชื้อเพลิงในตลาดโลก โดยฮอนด้าจะลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ขึ้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ด้วยงบลงทุนกว่า 17,150 ล้านบาท พร้อมกับการเพิ่มการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าที่จังหวัดอยุธยา" มร.โคบายาชิ กล่าว

ภายใต้แผนการดำเนินธุรกิจระยะกลางในช่วงต่อไป ซึ่งจะสิ้นสุดปีงบประมาณในเดือนมีนาคม 2560 ฮอนด้าตั้งเป้าหมายในการส่งต่อความสุขให้กับลูกค้าทั่วโลกมากถึง 39 ล้านคน ซึ่งประกอบไปด้วยลูกค้าผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 25 ล้านคน ลูกค้าผู้ใช้เครื่องยนต์อเนกประสงค์ 8 ล้านคน และลูกค้าผู้ใช้รถยนต์อีก 6 ล้านคน ด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มอบความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า ด้วยความรวดเร็ว ในราคาที่ย่อมเยา และมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ท้าทายนั้น ฮอนด้าต้องเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในระดับโลก เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ยานยนต์ที่ดีที่สุด ในต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ โดยมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานใน ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปพร้อมๆ กันใน 6 ภูมิภาคโดยแต่ละภูมิภาคจะมีส่วนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการพัฒนา การแนะนำรถยนต์รุ่นเดียวกันในทุกภูมิภาคในเวลาไล่เลี่ยกัน จะช่วยให้กำหนดภาพรวมการผลิตในระดับโลกได้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการจัดหาชิ้นส่วน 2) ประยุกต์การออกแบบให้เข้ากับแต่ละพื้นที่ เพื่อใช้วัตถุดิบ และโครงสร้างการผลิตที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นให้มากที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 3) การปรับปรุงประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถในการผลิต

"สำหรับโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าแห่งใหม่ ที่จังหวัดปราจีนบุรี เบื้องต้นมีมูลค่า 17,150 ล้านบาท ครอบคลุมเนื้อที่กว่า 1,600 ไร่ (ประมาณ 2.56 ล้านตารางเมตร) โดยมีพื้นที่อาคารสำนักงานและอาคารโรงงาน 134 ไร่ (ประมาณ 214,000 ตารางเมตร) โรงงานแห่งใหม่นี้ จะมีกำลังการผลิต 120,000 คันต่อปี มีกำหนดเปิดเดินสายการผลิตในปี 2558 สร้างโอกาสในการจ้างงานประมาณ 2,500 อัตรา รวมพนักงานอัตราจ้างตามฤดูกาล” มร. โคบายาชิ กล่าว

ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่นี้ให้เป็นโรงงานที่มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย  โดยจะนำนวัตกรรมการผลิตอันล้ำสมัยของโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าที่โยริอิ ประเทศญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ ซึ่งจะช่วยลดเวลาในกระบวนการผลิตแต่ละขั้นตอนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตั้งแต่กระบวนการเชื่อมตัวถัง การพ่นสี ไปจนถึงการประกอบรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงทำให้โรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่นี้เป็นโรงงานที่มีความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีระบบการใช้น้ำหมุนเวียน เพื่อลดการใช้น้ำในทุกขั้นตอนการผลิตด้วย

 “โรงงานแห่งใหม่นี้จะผลิตรถยนต์ซับคอมแพคท์ เพื่อรองรับตลาดที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยฮอนด้าจะเดินหน้าเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตควบคู่ไปกับการเพิ่มจำนวนรุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่ขยายตัวในประเทศไทย รวมไปถึงป้อนตลาดต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา กลุ่มประเทศในแถบทะเลแคริบเบียน และนานาประเทศทั่วโลก" มร.โคบายาชิ กล่าว

ในส่วนของโรงงานฮอนด้าในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันได้มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตจาก 240,000 คันเป็น 280,000 คันต่อปี เมื่อสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยใช้เงินลงทุนขยายกำลังการผลิตในระยะแรกประมาณ 880 ล้านบาท เพื่อยกระดับเครื่องมืออุปกรณ์และระบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังเตรียมเพิ่มการลงทุนระยะที่ 2 ในเดือนเมษายนนี้ อีก 2,030 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 คันต่อปีภายในต้นปี 2557

“เมื่อผนวกรวมการขยายกำลังผลิตของโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าที่อยุธยาและโรงงานแห่งใหม่ที่ปราจีนบุรีเข้าด้วยกัน ฮอนด้าจะมีกำลังผลิตรวม 420,000 คันต่อปี ในปี 2558 สำหรับสัดส่วนการจำหน่ายในประเทศและการส่งออกอยู่ที่ 70:30 หรือผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ 300,000 คันและส่งออกอีก 120,000 คัน” มร. โคบายาชิ อธิบาย

ฮอนด้ามองภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยในปี 2556 ว่า จะสามารถคงยอดจำหน่ายได้ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าปีที่แล้วเพียงเล็กน้อย โดยคาดการณ์ยอดจำหน่ายไว้ประมาณ 1.2 ล้านคัน สำหรับฮอนด้าเอง ตั้งเป้ายอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไว้มากกว่า200,000 คัน  

มร. โคบายาชิ กล่าวสรุปว่า ในปี 2555  ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ทั้งยังเป็นตลาดที่สำคัญยิ่งของฮอนด้า บทบาทของฮอนด้าจะไม่หยุดอยู่ที่การเป็นบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าชาวไทยเท่านั้น เรามุ่งมั่นในการสร้างสรรค์องค์กรให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการเป็นองค์กรที่สังคมไทยต้องการให้ดำรงอยู่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาการดำเนินงานและขยายการลงทุนเพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักเพื่อการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก แผนการลงทุนครั้งสำคัญนี้ นับเป็นความท้าทายอีกครั้งที่พนักงานฮอนด้าทุกคนพร้อมที่จะเดินหน้าสู่ความสำเร็จในอนาคตเคียงข้างไปกับการเติบโตของสังคมไทย"

เอเอเอสฯ ผู้นำเข้ารถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัว รถสปอร์ตในตำนานที่ผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยกับ 911 คาร์เรร่า 4 เอส ใหม่ล่าสุด - เบาขึ้น เร็วขึ้น และปราดเปรียวมากขึ้น


บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 เอส (911 Carrera 4S) ซึ่งได้รับการสรรสร้างให้ออกมาเป็น 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) ใหม่ล่าสุดที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและศักยภาพเครื่องยนต์ที่เหนือชั้นและมาพร้อมกับจุดเด่นในเรื่องของความคล่องตัวว่องไว และมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ active all-wheel drive system ที่มาพร้อมกับระบบ PTM (Porsche Traction Management) อีกด้วย ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่เป็นแบบฉบับของปอร์เช่ ซึ่งเน้นที่ทางด้านหลังใน 911 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้จะเป็นเสมือนเครื่องการันตีได้ถึงความคล่องตัวของรถที่เหนือชั้นไม่ว่าจะอยู่บนสภาวะท้องถนนในรูปแบบใดหรือในสภาวะอากาศใดก็ตาม 911 คาร์เรร่า 4 เอส (911 Carrera 4S) ใหม่นี้จะเต็มไปด้วยประสิทธิภาพการขับเคลื่อนที่คล่องตัวและเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม
ซึ่งในวันนี้เอเอเอสฯ พร้อมแล้วที่จะนำท่านสัมผัสกับอีกหนึ่งสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์จากปอร์เช่ ที่สรรสร้างและรวบรวมเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมาสู่ ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 เอส (911 Carrera 4S) คันนี้ได้อย่างใกล้ชิด และเมื่อซื้อรถยนต์ ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) และ 911 คาร์เรร่า 4 เอส (911 Carrera 4S) ใหม่จากทาง เอเอเอสฯ ท่านสามารถเลือกรับข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีนาน 9 ปี และ Service Package นานถึง 4 ปี* (Terms & Condition Apply)

911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ล่าสุดนี้จะเริ่มทำการเปิดตัวสู่ตลาดถึง 4 เวอร์ชั่นด้วยกัน นั่นคือ 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4), 911 คาร์เรร่า 4S (911 Carrera 4S) ทั้งในรูปแบบคูเป้ (Coupe) และคาบริโอเลต (Cabriolet) ซึ่งความเป็นสปอร์ตจะเต็มพิกัดเสมือนเวอร์ชั่นขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบรถให้เน้นเรื่องน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือน (ช่วงล่าง) เครื่องยนต์ และระบบส่งผ่านกำลัง ซึ่งมีเพียงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเท่านั้นที่แตกต่างออกไป เครื่องยนต์จะมีประสิทธิการขับเคลื่อนในระดับสูง ทั้งสี่รุ่นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 16% เลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านี้รุ่น 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) ใหม่นี้จะมีน้ำหนักที่เบากว่าเดิมถึง 65 กิโลกรัมเลยทีเดียว 
คุณสมบัติที่โดดเด่นและแตกต่างของ 911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อคือความกว้างของด้านหลังรถ หากเปรียบเทียบกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ซุ้มล้อทางด้านหลังจะขยายกว้างขึ้นข้างละ 22 มิลลิเมตร ยางหลังจะมีความกว้างกว่าเดิม 10 มิลลิเมตร ไฟท้ายแดงที่เชื่อมยาวจากไฟท้ายข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่แต่ได้มีการพัฒนาออกมาในรูปแบบใหม่อีกด้วย

ประสิทธิภาพการทำงานอย่างอัจฉริยะจากปอร์เช่ (Porsche Intelligent Performance): ประสิทธิภาพการขับขี่ มาพร้อมกับอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำ

ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบส่งผ่านกำลังหรือระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะมาเป็นมาตรฐานให้กับตัวรถ และยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK เป็นอุปกรณ์เสริมได้ รุ่น 911 คาร์เรร่า 4 คูเป้ (911 Carrera 4 Coupe) มีพละกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 350 แรงม้า (257 กิโลวัตต์) และสามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียงแค่ 4.5 วินาทีเท่านั้น (รุ่นคาบริโอเลตทำได้ในเวลา 4.7 วินาที) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต: 282 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งด้วย อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้ว สำหรับรุ่นคูเป้จะอยู่แค่เพียง 8.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 203 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่นคาบริโอเลตอยู่ที่ 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 205 กรัม/กิโลเมตร)

ทั้งรุ่นคูเป้และคาบริโอเลตของ 911 คาร์เรร่า 4 เอส นี้ต่างมีเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรแบบ boxer ติดตั้งทางด้านหลัง และสร้างพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 400 แรงม้า (294 กิโลวัตต์) ทำให้สร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 4.1 วินาทีเท่านั้น (รุ่นคาบริโอเลต: 4.3 วินาที) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต: 296 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK สำหรับรุ่นคูเป้อยู่ที่ 9.1 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 215 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่น คาบริโอเลตอยู่ที่ 9.2 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 217 กรัม/กิโลเมตร)

ใหม่ล่าสุด: ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ all-wheel drive indicator, ระบบ Porsche Active Safe, หลังคาซันรูฟแบบ Sliding Glass Sunroof และแพ็คเกจ Sport Chrono

ใน 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) ใหม่นี้จะมีเมนูใหม่ที่แผงหน้าปัดเพื่อทำการแจ้งเตือนผู้ขับขี่ว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ PTM นั้นกำลังกระจายพละกำลังเครื่องยนต์อย่างไร ไม่เพียงเท่านี้ยังมีระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ให้เลือกติดตั้งได้ในทุกๆ รุ่น เพื่อควบคุมระยะห่างและความเร็วของรถอีกด้วย หากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้วนั้นระบบ ACC จะเพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัย Porsche Active Safe (PAS) เพื่อช่วยป้องกันการชนทางด้านหน้า ไม่เพียงเท่านี้ปอร์เช่ยังนำเสนอกระจกซันรูฟใหม่ล่าสุดให้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้สำหรับ 911 คาร์เรร่า คูเป้ (911 Carrera Coupe) อีกด้วย หาก 911 ติดตั้งระบบเกียร์มาตรฐานและระบบ Sport Chrono Pack มาด้วยนั้นจะสามารถเพิ่มความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น หากอยู่ในโหมดสปอร์ต พลัส แล้วนั้นระบบจะทำการ double-declutches ระหว่างลดระดับเกียร์อีกด้วย

รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่นี้ออกมาทดแทนเจเนอเรชั่นเดิมที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งมียอดขายถึง 24,000 คันตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งการตลาดจากยอดขาย 997 เจเนอเรชั่นที่ 2 ถึง 34% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาของระบบขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ 911 ที่มาพร้อมกับการขับเคลื่อนสี่ล้อ อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct petrol injection) ระบบเกียร์อัตโนมัติ (Porsche Doppelkupplung (PDK)) และระบบควบคุมการทรงตัว Porsche Traction Management (PTM) แบบไฟฟ้า ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2011 ปอร์เช่ส่ง 911 คาร์เรร่า 4 จีทีเอส (911 Carrera 4 GTS) ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรและมีพละกำลังสูงสุดถึง 408 แรงม้า (300 กิโลวัตต์) ออกมาด้วยเช่นกัน


สำหรับประเทศไทย ท่านสามารถค้นหาหรือสอบถามเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) และ ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 เอส (911 Carrera 4S) ได้จาก บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรง พร้อมให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ ได้ที่ แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-103 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.porsche.co.th

ไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 มหกรรมแสดงรถยนต์แห่งประเทศไทย มิติใหม่สู่ตลาดรถยนต์ต่างจังหวัดกับบริษัทรถยนต์และรถจักรยานยนต์รายใหญ่ ประเดิมภาคแรก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ. ขอนแก่น


 6-2-2556  ไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 มหกรรมแสดงรถยนต์แห่งประเทศไทย มิติใหม่ครั้งแรกของไทย งานเดียวที่แสดงและจำหน่ายรถยนต์พร้อมรถจักรยานยนต์ รวบรวมจากค่ายรถยนต์ทั้งเอเชียและยุโรปรวมทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ บุกตลาดทั้ง 5 ภาคใน 7 จังหวัดของไทย ขานรับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในต่างจังหวัด พร้อมพัฒนางานแสดงรถยนต์ประจำภูมิภาคสู่เวทีการจัดงานแสดงและจำหน่ายยานยนต์รูปแบบมาตรฐานระดับสากล จับมือพันธมิตรบริษัทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำของไทย ประเดิมภาคแรก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1, ขอนแก่นฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาจังหวัดขอนแก่น 8-17 กุมภาพันธ์ นี้ 
          
ไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 จัดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นการผนึกกำลังร่วมกันของบริษัทผู้เชี่ยวชาญทางด้านรถยนต์และการจัดงานอีเวนท์ระดับชาติ โดย นายจตุพร ขันมณี และ นายวิลักษณ์ โหลทอง ร่วมกันเป็นประธานการจัดงาน พร้อมด้วยบริษัทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำ อาทิ ซูซูกิ, ฟอร์ด, อีซูซุ, นิสสัน, มาสด้า, โตโยต้า, ยามาฮ่า ฯลฯ รวมทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์
          นายจตุพร ขันมณี ประธานการจัดงานร่วม ไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 เปิดเผยว่า “มหกรรมแสดงรถยนต์แห่งประเทศไทยในชื่อ ไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 นับเป็นการจัดงานแสดงและจัดจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ออกสู่ภูมิภาคเป็นครั้งแรกของไทย ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากบริษัทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น ซูซูกิ, ฟอร์ด, อีซูซุ, นิสสัน, มาสด้า, โตโยต้า, ยามาฮ่า รวมทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ เข้าร่วมงาน
          การจัดงานครั้งนี้จะเป็นการเปิดตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จากกรุงเทพและปริมณฑลให้ได้ขยายวงกว้าง สู่ตลาดต่างจังหวัด ซึ่งในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยมีอัตราการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องจาก ผลของนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก และแต่ละบริษัทรถได้มีการเปิดตัวรถยนต์หลายรุ่นรวมทั้งรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ที่ทั้งประหยัดพลังงาน สะดวกในการใช้งาน และมีราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้
          จากการเติบโตที่ผ่านมาทำให้มองเห็นกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงผู้บริโภคในต่างจังหวัดอีกด้วย เห็นได้จากการจัดงานไทยแลนด์ อีโคคาร์ 2012 ด้วยการสำรวจภายในงานพบว่ามีผู้บริโภคจากต่างจังหวัดให้ความสนใจ และเดินทางเข้ามาเลือกซื้อเลือกชมในงานนั้นเป็นจำนวนมาก
          การจัดงานไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 มหกรรมแสดงรถยนต์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการขานรับการเติบโตดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ตลาดรถยนต์ต่างจังหวัดมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้นยังถือเป็นการอำนวยความสะดวกทำให้ผู้บริโภคในต่างจังหวัดได้เลือกชม-เลือกซื้อง่ายขึ้น โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคแรกของการจัดงาน ตั้งแต่วันที่ 8-17 กุมภาพันธ์ 2556
          คณะผู้จัดงานขอขอบคุณผู้สนับสนุน บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ตรีเพชร อีซูซุ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, ธนาคารกสิกรไทย, บริษัท แมนทัส จำกัด, บริษัท ดันลอป ไทร์ (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท มาร์แชล แอร์โรพาท จำกัด, พีเค ออโต้ซาลอน, บริษัท แวนด้า แพค จำกัด รวมทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และสื่อมวลชนทุกแขนงที่ได้ให้การสนับสนุนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดงานครั้งนี้ เป็นอย่างดี”
          นายวิลักษณ์ โหลทอง ประธานการจัดงานร่วม ไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 เผยว่า “การจัดงานไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 มีรูปแบบการจัดงานที่มีความทันสมัยและได้มาตรฐานสูง เป็นการพัฒนาการจัดงานแสดงรถยนต์และรถจักรยานยนต์ประจำภูมิภาคเข้าสู่รูปแบบสากลครั้งแรกของเมืองไทย โดยได้รับการสนับสนุนพื้นที่การจัดงานเป็นอย่างดีจาก บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ตลอดทั้ง 10 วันที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น แบ่งเป็น 2 ส่วนคือลานโปรโมชั่น ชั้น 1 และ ขอนแก่นฮอลล์ ชั้น 5 ภายในงานจะมีการแสดงรถยนต์, รถจักรยานยนต์, อุปกรณ์ตกแต่งใหม่ล่าสุด พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการขายโปรโมชั่นพิเศษ และยังได้ร่วมกับคาร์คลับของจังหวัดขอนแก่นในการจัดพาเหรดเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมครั้งนี้
          นอกจากนั้นจะได้พบกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินดาราชื่อดัง พอร่ช ศรันย์, รุจ เดอะสตาร์, ตุ้ย เอเอฟ 3, ซานิ เอเอฟ 6 , ซาร่า เอเอฟ 3, เนส เอเอฟ 9 และดาราจากเวทีมิสทีน ไทยแลนด์, ไฮไลท์พิเศษโชว์ล้างรถจากดาราชื่อดัง “นก-อุษณีย์” ร่วมด้วยสาวข้างบ้านสุดเซ็กซี่ FHM GND, การเล่นเกมส์ลุ้นรับของรางวัลและกิจกรรมอีกมากมาย คณะผู้จัดงานเชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเท่านั้น แต่จะกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์ต่างจังหวัดมีความคึกคัก ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ”
          


ไทยแลนด์ มอเตอร์ เฟสติวัล 2013 จัดจะขึ้นอีกครั้งใน ภาคใต้ 19–28 เมษายน เซ็นทรัลพลาซา สุราษฏร์ธานี,ภาคตะวันออก 10-19 พฤษภาคม แปซิฟิค-พาร์ค ศรีราชา ชลบุรี, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9-18 สิงหาคม เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี, ภาคกลาง 7–17 กันยายน เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ, ภาคเหนือ 18–27 ตุลาคม เซ็นทรัลแอร์พอร์ตพลาซา เชียงใหม่ และภาคใต้ 14-23 ธันวาคม เซ็นทรัลพลาซา หาดใหญ่ ผู้สนใจเข้าชมฟรีทุกงาน
          รายละเอียดเพิ่มเติม www.thailandmotorfestival.com โทร. 02-508-8183

บิ๊กบอสโยโกฯ แย้มดีลเลอร์ตื่นตัวแห่สมัคร YOKOHAMA CLUB NETWORK (YCN) “HI SPEED 2009” ทุ่ม 10 ล้านบาทขึ้นชั้นเป็น (YCN) แห่งที่ 2 ฟันธงยอดขายยางโตแน่



 YOKOHAMA CLUB NETWORK หรือ (YCN) ประสบความสำเร็จเกินคาด บิ๊กบอสค่ายยาง YOKOHAMA เผยดีลเลอร์หลายรายแห่ขอสมัครร่วมธุรกิจ เล็งอาจเพิ่มจำนวนจากที่ตั้งเป้าเปิดให้ครบ 11 แห่งภายในปีนี้ หลังจากเห็นศูนย์ต้นแบบที่จังหวัดเชียงใหม่เติบโตทางยอดขายต่อเนื่อง ล่าสุด “HI SPEED 2009” ดีลเลอร์รายใหญ่ย่านถนนศรีนครินท์ ทุ่มงบ 10 ล้านบาท ยกระดับมาตรฐานและการบริการ เพื่อเปิดเป็นศูนย์ (YCN) แห่งที่ 2 พร้อมประกาศความเชื่อมั่นยอดขายโตแน่ ภายในปี 2556 และคาดหวังโต 20% ภายใน 3 ปีนับจากนี้ ฟันธงแบรนด์ดี สินค้าคุณภาพ ลูกค้าเชื่อมั่นบวกกับมาตรฐานการบริการ สามารถต่อยอดธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายได้แน่นอน แม้จะมีคู่แข่งทางธุรกิจรายล้อมในพื้นที่

มร.ยูทากะ ฟูรูกาวา กรรมการผู้จัดการ (Mr.Yutaka Furukawa : Managing Director) บริษัท โยโกฮามา ไทร์ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงศูนย์ “โยโกฮามา คลับเน็ตเวิร์ก (YOKOHAMA CLUB NETWORK)” ศูนย์ต้นแบบแห่งแรกภายใต้การดำเนินธุรกิจของ “มิตรไทร์ แอ๊ดแวน จังหวัดเชียงใหม่” ที่เปิดดำเนินการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “เน็ตเวิร์คที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ที่พร้อมเติบโตไปด้วยกัน” ว่า ประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย ทั้งการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและมียอดจำหน่ายยางสูงขึ้น สะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทแบบ 360 องศา ที่มีทั้งในรูปแบบ Push, Pull, Motor Sport Marketing เพื่อร่วมกันต่อยอดความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของเครือข่าย YOKOHAMA อย่างยั่งยืน เพื่อต่อยอดทางธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นใจกับความเป็นศูนย์ (YCN) พร้อมสนับสนุนการตกแต่งตัวทั้งภายนอกและภายในตัวศูนย์ รูปแบบเฉพาะของ YOKOHAMA รวมถึงมอบเครื่องมือช่างที่ทันสมัยต่างๆ เช่น เครื่องตั้งศูนย์ล้อรถยนต์ เครื่องมือช่างที่จำเป็น ซึ่งมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทต่อ 1 ร้าน ขึ้นอยู่กับยอดการจำหน่ายยางเป็นสำคัญ

“เราไม่ได้กังวลใจกับการบริหารสต็อกยาง หากร้านผู้แทนจำหน่ายต่างๆ ที่จะถูกยกระดับเป็นศูนย์ (YCN) ให้ครบ 11 แห่งภายในปีนี้ มียอดจำหน่ายยาง YOKOHAMA สูงขึ้น เนื่องจากมีสินค้ารองรับไว้อย่างพร้อมสรรพ โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ ได้ผนวกไว้ในเป้ายอดขายรวมทั้งปีของบริษัทตั้งไว้ 370,000 เส้นแล้ว และความสำเร็จในด้านต่างๆ ของศูนย์ (YCN) ที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้มีร้านผู้แทนจำหน่ายยาง YOKOHAMA กว่า 260 แห่งตื่นตัวและแสดงความจำนงขอเข้าร่วมธุรกิจ เพื่อเปิดเป็นศูนย์ (YCN) หลายราย ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มจำนวนศูนย์ (YCN) มากกว่า 11 แห่งที่ตั้งเป้าไว้ โดยกำลังพิจารณาความพร้อมทั้งในส่วนของบริษัทและคุณสมบัติร้านค้าผู้แทนจำหน่าย YOKOHAMA”

อย่างไรก็ตาม YOKOHAMA ยังคงยึดนโยบายการทำตลาดที่ชัดเจนคือ “Make Everything High Quality” เน้นคุณภาพผลิตภัณฑ์และการให้บริการมากกว่าปริมาณการขายและเพิ่มจำนวนผู้แทนจำหน่าย โดยกำหนดคุณสมบัติเฉพาะร้านค้าเครือข่ายที่จะเข้าร่วมธุรกิจกับ YOKOHAMA ในรูปแบบนี้ มาเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี และมียอดการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สม่ำเสมอ รวมทั้งให้ความร่วมมือกับบริษัทเป็นอย่างดีในการขับเคลื่อนธุรกิจไปด้วยกัน ซึ่งร้าน “HI SPEED 2009” (ไฮสปีด 2009) ตั้งอยู่ใกล้สามแยกการไฟฟ้า ริมถนนศรีนครินทร์ จังหวัดสมุทรปราการ นับเป็นศูนย์ (YCN) แห่งที่ 2 ที่เพิ่งเปิดดำเนินธุรกิจเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นยอดจำหน่ายยางและมีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คุณพยงค์ วงศิริทรัพย์ เจ้าของร้าน “HI SPEED 2009” (ไฮสปีด 2009) กล่าวว่า จากที่ทำธุรกิจยางรถยนต์ YOKOHAMA มาร่วม 8 ปี มั่นใจว่า การตัดสินใจยกระดับมาตรฐานภาพลักษณ์และการบริการให้การเป็น “HI SPEED 2009 YOKOHAMA CLUB NETWORK ในครั้งนี้ คาดว่ายอดจำหน่ายยาง YOKOHAMA ของศูนย์จะเติบโตเพิ่มขึ้นภายใน 3 ปีจากนี้ถึง 20% อย่างแน่นอน

การลงทุนในครั้งนี้ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งตัวตึกและเครื่องมืออันทันสมัยต่างๆ มั่นใจว่า ปีนี้ยอดขายจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 500 เส้นต่อเดือน เนื่องจากแบรนด์ YOKOHAMA เป็นผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพ มีสมรรถนะสูง เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลก สามารถดึงดูดลูกค้าให้เลือกใช้ยางสมรรถนะสูงที่ให้ความคุ้มค่ากับเงินทุกบาท ยิ่งผนวกกับมาตรฐานในการบริการที่ครอบคลุมทั้งก่อนและหลังการขายอย่างครบวงจรของเรา จะช่วยให้ขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้เพิ่มขึ้น”

สำหรับ (HI SPEED 2009 YCN) มีพื้นที่ในการให้บริการแบบครบวงจรที่เกี่ยวกับยางรถยนต์ YOKOHAMA ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่ ดูแลรักษายาง ซ่อมบำรุงระบบช่วงล่าง และตั้งศูนย์ถ่วงล้อ โดยมี 6 ช่องซ่อมบริการ พร้อมทีมช่างมืออาชีพที่มีประสบการณ์สูงในการดูแลบำรุงรักษารถยนต์มาอย่างยาวนาน รวมถึงการบริการหลังการขาย ด้วยแนวคิด “ส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ภายใต้ความถูกต้อง ทั้งการใช้งาน การดูแลบำรุงรักษา และบริการหลังการขาย”

“ธุรกิจยางรถยนต์บนถนนศรีนครินทร์มีการแข่งขันรุนแรง สังเกตได้จากตลอดเส้นทางจะมีทั้งศูนย์ประเภทควิกเซอร์วิสแบรนด์เนมและร้านจำหน่ายยางรถยนต์มากมาย เปรียบเหมือน “ปลายิ่งเยอะ ล่อไซย่อมเยอะเป็นธรรมดา” ผมถือว่าคู่แข่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เราพัฒนาตนเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างครบถ้วน”

คุณพยงค์ วงศิริทรัพย์ กล่าวต่อว่า จากการดำเนินธุรกิจยางรถยนต์ YOKOHAMA ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มีความมั่นใจว่า ธุรกิจจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแบรนด์ของ YOKOHAMA เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เป็นยางสมรรถนะสูงที่ผู้ใช้ทั่วโลกให้การยอมรับ สามารถดึงดูดลูกค้าให้เลือกใช้ยางสมรรถนะสูงที่ให้ความคุ้มค่ากับเงินทุกบาท คาดว่าภายใน 3 ปีนี้จะมียอดขายเติบโตได้ถึง 20% อย่างแน่นอน

เผยโฉม 20 สาวมั่น วัยใส ผ่านรอบคัดเลือก รอชิงมงกุฎ“มิสมอเตอร์โชว์ 2013



 บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงาน “ บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34” หลังประชาสัมพันธ์ข่าวการเปิดเวทีการประกวด เพื่อเฟ้นหาสาวสวย มั่นใจ มีปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาด และเป็นคนรุ่นใหม่ ในกิจกรรมการประกวด “มิสมอเตอร์โชว์ 2013” ล่าสุด ผู้จัดฯและคณะกรรมการฯได้ทำการตัดสิน เพื่อเฟ้นหาสาวมั่น ในรอบคัดเลือกกันไปแล้ว ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-7 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ผ่านเข้ารอบทั้งสิ้นจำนวน 20 คน ท่ามกลางบรรดาสื่อมวลชนและแขกผู้ทรงเกียรติที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน กันอย่างล้นหลาม



โดยในการประกวดฯได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรางคุณวุฒิ นำโดย คุณจาตุรนต์ โกมลมิศร์รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และรองประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34 , มร. ราล์ฟ บิสซิงเกอร์ Director Sales and Marketing จาก BMW (Thailand) Company Limited,คุณอัฉรา จิรศาสตร์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท คิวรอน คอเปอร์เรชั่น จำกัด, คุณวิชชา วัชรานันท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท สปอร์ตโซไซตี้ จำกัด,คุณชญาดา งามสมกลิ่นAssistant Director of Sales บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด, คุณกชแก้ว เชวงศักดิ์สงคราม บริหารงานลูกค้าอาวุโสบริษัท บรอดคาซท์ไทย เทเลวิชั่น จำกัด และคุณคุณธนพงศ์ โกมลมิศร์บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และสาวสวยทั้งหมดนี้จะต้องเก็บตัว ประกวดในรอบตัดสินอีกครั้ง ในวันที่ 13 มีนาคม 2556 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์พิเศษของงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2556 นี้ณ ชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี

ซูบารุรุกหนักจัดกิจกรรมโรดโชว์ต่อเนื่อง พร้อมมอบส่วนลดสูงสุด 2 แสนบาท เมื่อสั่งจองรถยนต์ในงาน “Thailand Impressive Car 2013”




นายอภิชัย ธรรมศิรารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ซูบารุอย่างเป็นทางการ เปิดเผยถึง แผนการตลาดในปี 2556 ว่า บริษัทฯ มีแผนรุกตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการขาย การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์  การจัดแคมเปญและโปรโมชั่นพิเศษ  รวมถึงการจัดกิจกรรมโรดโชว์อย่างต่อเนื่อง  เพื่อสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า หลังจากปีที่ผ่านมาบริษัทได้นำโปรดักซ์ไฮไลท์ SUBARU XV 2.0i PREMIUM รถครอสส์โอเวอร์เจเนอเรชันใหม่  มาจำหน่ายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 29  “The 29th Thailand International Motor Expo 2012”  ปรากฎว่าได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก รวมยอดจองกว่า 600 คัน ภายในเวลา เพียงเดือน

ทั้งนี้ เพื่อให้แผนการตลาดของบริษัทเป็นไปอย่างมีมีประสิทธิภาพ จึงเดินหน้าจัดกิจกรรมโรดโชว์อย่างต่อเนื่อง  โดยในเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทฯเตรียมไปร่วมออกบูทที่งาน Thailand Impressive Car 2013 ซึ่งเป็นงานมหกรรมยานยนต์ที่รวบรวมค่ายรถยนต์ชั้นนำ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาสัมผัสถึงนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมทั้งความโฉบเฉี่ยวและศักยภาพของรถยนต์ซูบารุอย่างใกล้ชิด  ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา บางนา ระหว่างวันที่ 1 – 7 กุมภาพันธ์ 2556 ชั้น 1 บูท A1 ,ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา  ปิ่นเกล้า ระหว่างวันที่  5 – 11 กุมภาพันธ์ 2556 ชั้น 1 บูท E2 และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2 ตั้งแต่วันที่ 16 – 22 กุมภาพันธ์ 2556 ชั้น 1 บูท C2     
สำหรับงาน Thailand Impressive Car 2013 ในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำรถยนต์ไปร่วมแสดง 3 รุ่น ประกอบด้วย Subaru  XV 2.0i PREMIUM, Subaru Outback 2.5i และ Subaru Legacy 2.5GT  โดยบริษัทมอบสิทธิพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่สั่งจองรถยนต์ภายในงาน เช่น Subaru Outback 2.5i จะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 200,000 บาท ซึ่งสิทธิพิเศษดังกล่าวมีจำนวนจำกัด  

นอกจากนี้  ในเรื่องของบริการหลังการขาย ซูบารุมีโชว์รูมและศูนย์บริการ จำนวน 14 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็น กรุงเทพและปริมณฑล 7 แห่ง ในต่างจังหวัด  7 แห่ง ขณะที่ปี 2556  จะเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการอีก 6 แห่ง รวมเป็น 20 แห่งครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศ  ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตของบริษัทได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย และบริการหลังการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) ชูนโยบาย “พัฒนาคุณภาพ” ตลอดปี 2556 เร่งสร้างความพึงพอใจภายใต้คอนเซ็ปต์ “Hyundai Everywhere” พร้อมเปิดตัวรถใหม่อย่างต่อเนื่องหลายรุ่น ตั้งเป้ายอดขายเติบโตอย่างน้อยร้อยละ 10 ตอกย้ำความสำเร็จที่ยั่งยืนต่อเนื่องจากปี 2555


คอนเซ็ปต์ใหม่ปี 2556 “Hyundai Everywhere” ยกระดับความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนการขาย และบริการหลังการขาย ที่มี Quality หรือ “คุณภาพ” เป็นหัวใจ
- พร้อมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และไมเนอร์เชนจ์ รองรับความต้องการลูกค้า Premium อย่างต่อเนื่องคาดจำนวนรถยนต์ฮุนไดบนท้องถนนเมืองไทยทะลุ 20,000 คัน ภายในสิ้นปี
ยกระดับความมั่นใจของลูกค้าให้สูงขึ้น ด้วยจำนวนเครือข่ายโชว์รูม และศูนย์บริการเพิ่มมากขึ้นเป็น 26 แห่ง ผุด National Service and Parts Center รองรับยอดขาย ไร้กังวลเรื่องบริการ
มุ่งเน้นกิจกรรมเข้าถึงกลุ่มลูกค้า และกิจกรรมตอบแทนสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รถยนต์ และแบรนด์ฮุนไดเป็นที่รู้จัก และมีส่วนในการสร้างความสุขให้สังคม

กุมภาพันธ์ 2556 – บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ฮุนไดอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย พร้อมก้าวขึ้นสู่ปีที่ อย่างมั่นใจด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์ฮุนไดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของการเน้นคุณภาพในทุกขั้นตอน สรุปผลงานปี 2555 ด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์ที่สูงถึง 5,010 คัน คิดเป็นอัตราเติบโตกว่าร้อยละ 10 โดยมียอดจำหน่ายของ All-New Hyundai Elantra มาช่วยผลักดันยอดขายให้โตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

มร. โยชิอากิ อิชิมูระ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “จากการดำเนินการตามแนวทางการตลาดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) ทำให้รถยนต์ฮุนไดเป็นที่ยอมรับและรู้จักเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทยทุกๆปีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2555 บริษัทฯ ได้เดินตามแผนพัฒนาแบรนด์ด้วยนโยบายการสร้างความประทับใจ AAA หรือ Triple A ประกอบไปด้วยคำว่า – Assurance หรือ รับประกันความมั่นใจ – Accountability  หรือ มุ่งสร้างความน่าเชื่อถือ และ – Aspiration หรือ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีแรงบันดาลใจ ซึ่งเมื่อประกอบกับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดอีก รุ่น ได้แก่ All-New Elantra ที่การันตีคุณภาพ และสมรรถนะด้วยรางวัล 2012 North American Car of the Year และ The New Grand Starex Premium ที่เรียกเสียงฮือฮาและความนิยมจากลูกค้ากลุ่ม Luxury MPV ได้อย่างล้นหลาม ก็ยิ่งทำให้รถยนต์ฮุนไดสามารถเข้าถึงผู้ใช้รถยนต์ได้ในระดับต่างๆอีกมากขึ้น ซึ่งพิสูจน์ได้จากยอดจำหน่ายที่ทะลุ 5,000 คัน ทำให้ตลาดรถยนต์ฮุนไดในประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับรถยนต์ฮุนไดในตลาดโลก”

 “อัตราความพึงพอใจของลูกค้าในปี 2555 ปรับตัวสูงขึ้น ไปพร้อมๆกับยอดจำหน่ายรถยนต์โดยรวม ทำให้ในปัจจุบันมีรถยนต์ฮุนไดในท้องถนนเมืองไทยกว่า 15,000 คัน ซึ่งเป็นอีกปีที่ ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) สร้างการรับรู้และการยอมรับในรถยนต์รุ่นหลักๆ รวมไปถึงรถยนต์ใน segment ใหม่ อย่าง All-New Hyundai Elantra” มร. อิชิมูระกล่าว

นับตั้งแต่บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด นำแบรนด์รถยนต์ฮุนไดกลับเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอีกครั้งปลายปี 2550ยอดจำหน่ายของรถยนต์ฮุนไดพัฒนาขึ้นตามลำดับอย่างมั่นคง ถึงแม้ว่าในวันนี้รถยนต์ฮุนไดจะเน้นการเป็นรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมและมีคุณภาพในการใช้งาน รวมไปถึงสมรรถนะที่มากกว่าในสมัยก่อน แต่ความคุ้มค่าคุ้มราคายังคงเป็น “หัวใจ” ในการช่วยผลักดันให้รถยนต์ฮุนไดรุ่นต่างๆเข้าไปอยู่ในใจของผู้ใช้รถยนต์ระดับไฮเอนด์ในปัจจุบัน

ยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำปีของรถยนต์ฮุนไดในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2555 มีดังนี้

          ปี 2551         มียอดจำหน่ายรวม     880 คัน
          ปี 2552         มียอดจำหน่ายรวม     1,788 คัน
          ปี 2553         มียอดจำหน่ายรวม     3,048 คัน     
          ปี 2554         มียอดจำหน่ายรวม     4,514 คัน
    และปี 2555        มียอดจำหน่ายรวม 5,010 คัน

ซึ่งยอดจำหน่ายรถยนต์ในปี 2555 ที่ส่งมอบไปยังโชว์รูมต่างๆมีรายละเอียดแยกตามรุ่นดังต่อไปนี้  H-1 series มียอดจำหน่ายที่ 3,467คัน Grand Starex อยู่ที่ 820 คัน Tucson อยู่ที่ 381 คัน Sonata Sport อยู่ที่ 121 คัน Elantra อยู่ที่ 205 คัน และ H100 16 คัน ยอดจำหน่ายของรถยนต์รุ่นต่างๆนี้คือ “ภาพสะท้อน” การยอมรับในการทำการตลาดที่เป็น “เอกลักษณ์” ของรถยนต์ฮุนไดในประเทศไทย ซึ่งมีพระเอกเป็นรถยนต์ Luxury MPV อย่างเช่น H-1 Series และ Grand Starex Series

มร. โยชิอากิ ให้รายละเอียดของนโยบายปี 2556 ว่า “ในปีนี้จะเป็นปีที่รถยนต์ฮุนไดยกระดับความพึงพอใจ และความมั่นใจให้ลูกค้าได้อย่างชัดเจน ผ่านนโยบายพัฒนาคุณภาพในหลายๆส่วน เพื่อให้ความนิยมในรถยนต์ฮุนไดแพร่หลายออกไปเพิ่มมากยิ่งขึ้น ตามคอนเซ็ปต์ “Hyundai Everywhere” ที่ในวันนี้ผู้ใช้รถยนต์ในเมืองไทยจะเห็นรถยนต์ฮุนไดรุ่นต่างๆบนท้องถนนมากขึ้น จนแทบจะเรียกได้ว่าในทุกๆที่ที่ไปจะต้องได้พบกับรถยนต์ฮุนได
 “คุณภาพ หรือ Quality คือหัวใจสำคัญในการสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอนการปฏิบัติงาน และจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ยอดจำหน่ายของรถยนต์ฮุนไดในปี 2556 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องให้สมกับเป้าหมาย Hyundai Everywhere ที่กำหนดเอาไว้ โดยการชูคุณภาพเป็นประเด็นหลักในการสร้างแบรนด์ช่วยให้รถยนต์ฮุนไดประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างท่วมท้นทั้งในฝั่งยุโรปและอเมริกา จนเป็นที่ยอมรับไม่แพ้รถยนต์ชั้นนำจากฝั่งตะวันตก และเอเชีย โดยการพัฒนาการคุณภาพคือ Road Map ที่ชัดเจนในการนำแบรนด์ฮุนไดให้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้ใช้รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมที่ต้องการ เอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร ในรถยนต์ที่ตนเลือก รวมไปถึงความคุ้มค่าคุ้มราคา และความประทับใจในการใช้งาน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ยืนอยู่บนแนวคิดการยกระดับคุณภาพให้สูงขึ้น” มร. อิชิมูระกล่าว
บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) นำนโยบายหลักของบริษัทฮุนได มอเตอร์ คอมปานี ที่ว่าด้วยการยกระดับคุณภาพเพื่อเร่งยกระดับความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า รวมทั้งเสริมสร้างความ “ไว้วางใจ” หรือ Assurance ให้มั่นคง และเพิ่มเติมความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ ดังนั้นคุณภาพ หรือ quality จึงเป็นบทบัญญัติในการดำเนินแนวทางการขายและการตลาดเพื่อทำให้รถยนต์ ฮุนไดเป็นที่ประทับใจแก่ลูกค้ามากขึ้นในปี 2013  โดยนโยบายดังกล่าวมีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:

  1. นำเสนอรถยนต์ในขั้นตอนการจำหน่าย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รถยนต์ที่มีคุณภาพสูงสุดไปใช้งานอย่างพึงพอใจ พร้อมข้อมูลจำเป็นต่างๆเกี่ยวกับตัวรถที่จะเพิ่มประโยชน์ในการใช้งานจริง
  2. เลือกสรรรถยนต์ที่มีสมรรถนะ และศักยภาพสูงมาตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถ เพื่อรองรับความหลากหลายของรสนิยมการใช้รถยนต์ เพราะฮุนไดต้องการเติมเต็มตลาดมากกว่าการแข่งขัน
  3. มุ่งยกระดับการบำรุงรักษาและซ่อมแซมรถยนต์ฮุนได ให้เป็นที่ประทับใจมากขึ้น เพราะผู้ใช้รถยนต์ฮุนไดทุกคนคือลูกค้า VIP ของเรา
  4. เน้นสร้างความพึงพอใจให้กับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถยนต์ฮุนไดมากขึ้น ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นการมอบสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้า
  5. มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมผ่านกิจกรรม CSR ที่มีประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “เมาไม่ขับ...คุณทำได้” เพราะวันนี้รถยนต์ฮุนไดคือส่วนหนึ่งของสังคมไทย
“นอกจากนี้ เราจะเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้รับรู้ข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับรถยนต์ฮุนไดมากขึ้น รวมไปถึงโอกาสที่ให้ลูกค้าทั่วไปได้สัมผัสรถยนต์ฮุนไดผ่านกิจกรรมทดสอบรถมากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นภาพของประโยชน์ที่รถยนต์ฮุนไดสามารถมอบให้ในการใช้งานที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ซึ่งวิธีการนี้ได้สร้างความสำเร็จให้รถยนต์ฮุนไดมาทั่วโลก จนในวันนี้ยอดจำหน่ายรวมของกลุ่มฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ปอยู่ที่ 7.1 ล้านคันในปี 2012 ซึ่งเฉพาะรถยนต์  ฮุนไดมียอดจำหน่ายสูงถึง 4.4 ล้านคัน โดยในปี 2013 ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ปตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์ไว้สูงถึง 7.41 ล้านคัน” มร. อิชิมูระกล่าว
 “ในปีนี้เรามีแผนที่จะขยายเครือข่ายศูนย์บริการของรถยนต์ฮุนไดให้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีคุณภาพ จาก 23 แห่ง เป็น 26 แห่งภายในสิ้นปี2013  โดยปัจจุบันมีโชว์รูมฮุนไดทั้งหมด 11 แห่งในกรุงเทพฯ และ 12 แห่งในต่างจังหวัด ซึ่งยังไม่รวมโชว์รูมแห่งใหม่ในจังหวัดภูเก็ตที่เพิ่งเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อรองรับลูกค้าในพื้นที่ไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้ และเพื่อเป็นการรับประกันศักยภาพในการให้บริการ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จึงได้ก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ พร้อมศูนย์ซ่อมบริการและคลังอะไหล่ระดับ National Service and Parts Center ที่มี Facilities พร้อมในการฝึกอบรมด้านทรัพยากรบุคคลหรือ Human Resource Development และเป็นศูนย์กลางในการให้บริการที่มีคุณภาพด้วยช่องให้บริการจำนวนมากถึง 22 ช่อง รวมไปถึงแผนกซ่อมตัวถังที่ทันสมัย และคลังอะไหล่ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว และเมื่อรวมกับพื้นที่โชว์รูมและอาคารต่างๆบนพื้นที่กว่า ไร่ บนถนนวิภาวดีรังสิต ก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันความมุ่งมั่นในการทำการตลาดของรถยนต์ฮุนไดในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้รถยนต์ฮุนไดขึ้นไปอีกระดับ” มร. อิชิมูระย้ำ
 ในปี 2556 ฮุนได มอเตอร์ ไทยแลนด์ จะให้ความสำคัญกับนโยบายเสริมสร้างการรับรู้ของ    แบรนด์ Hyundai ให้กระจายไปสู่ลูกค้าทั้งที่เป็นกลุ่มเป้าหมายและนอกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ รวมถึงเน้นการสื่อสารที่มีคุณภาพเพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์ฮุนไดเกิดความเข้าใจในตัวสินค้าและได้รับความพึงพอใจในสินค้าเพื่อประโยชน์สูงสุด  นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวรถรุ่นใหม่อีกหลายรุ่นเพื่อเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้กับลูกค้า อาทิ Hyundai Veloster & Veloster TURBO, Hyundai Sonata & Sonata Sport Minor Change, Hyundai H-1 Series Minor Change ที่หรูหรากว่าเดิมขึ้นไปอีกระดับ และ Hyundai Grand Starex Series Minor Change ที่พร้อมเชิญชวนให้ลูกค้ารถยนต์พรีเมี่ยมได้ทดลอง  ซึ่งคาดว่าจะสามารถเรียกความสนใจจากบรรดาแฟนๆรถยนต์ฮุนไดได้เป็นอย่างดี  ซึ่งเป้ายอดจำหน่ายของปีนี้จะเติบโตขึ้นอย่างน้อยที่ร้อยละ 10

Hyundai Veloster รถยนต์ที่มาในมาดไฮเอนด์สปอร์ตแฮชแบ็ค (1 + 2 ประตู) ที่ได้รับการออกแบบให้มีความพิเศษ และ Unique อย่างชัดเจน เพื่อสะท้อนรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง โดยยังคงเป็นรถยนต์ที่ขับขี่สนุกและเน้นสมรรถนะไม่ว่าจะเป็นในรุ่นธรรมดา หรือรุ่น GDI Turbo ก็ตาม สำหรับ Hyundai Sonata Sport มีการปรับโฉม Minor Change ให้มีบุคคลิกที่ทันสมัย และมีรสนิยมที่โดดเด่น สมกับความเป็นรถยนต์ D-segment ที่ Unique กว่ารถทุกรุ่นที่อยู่ในตลาดเมืองไทย ด้วยการออกแบบให้เป็นรถสปอร์ต และมีหลังคาแก้วที่ผสมผสานกันได้อย่าง “ลงตัว” สำหรับ Hyundai H-1 Series และ Grand Starex Series ในปีนี้จะมีการปรับโฉมภายนอก และอุปกรณ์ภายในต่างๆให้หรูหรามีระดับเพื่อขยายขอบเขตตลาดไปสู่ลูกค้ากลุ่มที่ใหญ่กว่าเดิม สมศักดิ์ศรีความเป็นPremium MPV ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของฮุนไดอย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งคาดว่ากองทัพรถยนต์ใหม่ในปีนี้จะสามารถผลักดันยอดรถยนต์ฮุนไดบนท้องถนนให้พุ่งเกินระดับ 20,000 คัน ไปได้ตามความคาดหมาย
 “นอกเหนือจากนี้บริษัทฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) ยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อขอบคุณสังคม และขอบคุณผู้สนับสนุนรถยนต์ฮุนไดอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นประชาสัมพันธ์ข้อมูลกิจกรรมสู่กลุ่มลูกค้าผ่านทางเว๊ปไซต์ฮุนได และหน้าเฟชบุ๊คฮุนไดแฟนเพจ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมชมภาพยนตร์ Hyundai Movie Pass และกิจกรรม เมาไม่ขับ...คุณทำได้” ที่เริ่มรณรงค์โครงการมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วและได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนและลูกค้าเป็นอย่างดี โดยฮุนไดจะเป็นกำลังใจให้กับทุกคนในสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายตอบแทนสังคมและพัฒนาคุณภาพชีวิตในแต่ละประเทศที่รถยนต์ฮุนไดเข้าไปทำตลาดในฐานะผู้ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่ง ที่พร้อมมอบความหลากหลายในลักษณะของการเติมเต็มมากกว่าการแข่งขัน และคำนึงถึงความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเป็นหลัก” มร. อิชิมูระกล่าวปิดท้าย
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved