Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

ระบบวินิจฉัยข้อบกพร่องตัวเอง (Self Diagnosis System)

ระบบวินิจฉัยข้อบกพร่องตัวเอง (Self Diagnosis System)
          ระบบที่นับว่าจำเป็นมากของเครื่องยนต์ระบบฉีดเชื้อเพลิงแก๊สโซลีนควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์คือระบบวินิจฉัยข้อบกพร่องตัวเองซึ่งจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการวินิจฉัยข้อบกพร่องของเครื่องยนต์ โดยบริษัทต่างๆ มีวิธีการวิเคราะห์ข้อบกพร่องแตกต่างกัน โดยในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอ่านรหัสความบกพร่อง
          ในปัจจุบันนี้ทุกบริษัทได้ออกแบบ ECUให้มีระบบวินิจฉัยข้อบกพร่องตัวเอง (Self Diagnosis System) โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
        1.  วิธีแสดงผลด้วยเครื่องอ่านรหัส  วิธีนี้มีชื่อเรียกเฉพาะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบริษัทซึ่งจะขอยกตัวอย่างชื่อเฉพาะของเครื่องตรวจสอบข้อบกพร่องตามมาตรฐานของ ISO15031-4 เกี่ยวกับการแสดงผลของกลุ่มประเทศยุโรป (E–OBD) ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เรียกชื่ออุปกรณ์นี้ว่า เครื่องอ่านรหัสข้อบกพร่อง (OBD Scan Tool) (OBD คือ On–Board Diagnosis) แต่รถยนต์ญี่ปุ่นอาจใช้ชื่อเรียกอื่นๆ เช่นโตโยต้าเรียกว่า Hand–Held Tester (เครื่องตรวจสอบมือถือ) นิสสันเรียกว่า Consult  (คอนซัลต์ในที่นี้หมายถึงเครื่องช่วยตรวจสอบมิตซูบิชิเรียกว่า  MUT (Multi Use Tester)  อีซูซุเรียกว่า Tech. 3 
              เครื่องตรวจสอบข้อบกพร่องรุ่นใหม่ในปัจจุบันของเครื่องยนต์มิได้มีหน้าที่เพียงแค่อ่านหรือแปรรหัสข้อบกพร่องเท่านั้น ยังสามารถติดต่อสื่อสารกับ ECU เพื่อทดสอบการทำงานของตัวกระตุ้น (Actuator) บางตัวโดยไม่ต้องรอให้ถึงการทำงานในสภาวะปกติที่ตัวกระตุ้นนั้นต้องทำงาน
          ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเครื่องตรวจสอบข้อบกพร่องด้วยเครื่องอ่านรหัส
        2.  วิธีแสดงผลด้วยการกระพริบของหลอดไฟ หรือการแกว่งของเข็มโวลต์มิเตอร์ ลำดับต่อไปนี้จะได้ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อบกพร่องด้วยวิธีของบริษัทต่างๆ ด้วยวิธีนี้
          ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงการแกว่งของเข็มโวลต์มิเตอร์จากการวัดค่าแรงเคลื่อนที่ขั้ว VF

        ระบบวินิจฉัยข้อบกพร่องตัวเองของ TCCS (โตโยต้า) ด้วยการกระพริบของหลอดไฟ
          รถยนต์ญี่ปุ่น โตโยต้าเป็นบริษัทแรกที่ได้นำระบบวิเคราะห์ข้อขัดข้องใช้กับการวิเคราะห์ปัญหาด้วยหลอดไฟเตือนการตรวจสอบเครื่องยนต์ (Check Engine Warring Lamp) หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่าหลอดไฟตรวจสอบเครื่องยนต์ (Check Engine Lamp) ที่มาตรวัดรวมบนแผงหน้าปัด หลอดไฟนี้จะติดขณะที่เปิดสวิตช์จุดระเบิดในตำแหน่ง ON และจะดับไปเมื่อเครื่องยนต์มีความเร็วรอบเกิน 500 rpm แต่ถ้ามีปัญหาข้อบกพร่องที่สำคัญหลอดไฟนี้จะติดขึ้นใหม่เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีปัญหาเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์
          โหมดการวินิจฉัยข้อบกพร่องของ TCCS มี 2 โหมด (Mode) คือ
          1.  โหมดธรรมดา (Normal Mode)  เป็นโหมดการตรวจสอบที่วินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบในช่วงเวลาที่ไม่สั้นเกินไปเช่นสัญญาณ NE หายไป 1 คลื่นจะตรวจไม่พบ แต่จะตรวจพบเมื่อ NE หายไป 3 – 4 คลื่นขึ้นไป การวินิจฉัยข้อบกพร่องกระทำได้ต่อไปนี้
          1)  เปิดสวิตช์จุดระเบิดในตำแหน่ง ON
          2)  ลัดวงจรขั้ว TE1 (รุ่นแรกๆ เรียกว่าขั้ว T) เข้ากับขั้ว E1 ที่ขั้ววินิจฉัยข้อบกพร่องตามรูปที่ 1
          3)  อ่านรหัสจากการกระพริบของหลอดไฟที่หน้าปัด
          2.  โหมดทดสอบ (Test Mode)  เป็นโหมดสำหรับการตรวจสอบที่ต้องการวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่สั้นมากๆซึ่งมีความไวในการตอบสนองต่อสัญญาณที่ผิดปกติสูงกว่าโหมดธรรมดา สามารถกระทำได้ดังต่อไปนี้
          1)  ลัดวงจรขั้วตรวจสอบ TE2 เข้ากับ E1 (ในขณะที่สวิตช์จุดระเบิดอยู่ตำแหน่ง OFF)
          2)  เปิดสวิตช์จุดระเบิดตำแหน่ง ON (หลอดไฟตรวจสอบเครื่องยนต์จะกระพริบถี่)
          3)  สตาร์ตเครื่องยนต์ (ถ้าไม่มีปัญหาหลอดไฟตรวจสอบเครื่องยนต์จะดับ) แล้วขับรถทดสอบด้วยความเร็ว 10 km/h ขึ้นไป ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ECU ตรวจพบ เช่นสัญญาณ NE หายไป 1 คลื่น หลอดไฟตรวจสอบเครื่องยนต์จะติดขึ้น (ไม่กระพริบ) (ถ้าเป็นโหมดธรรมดาจะตรวจพบเมื่อ NE หายไป 3 – 4 คลื่นขึ้นไป)
           4)  ถ้าพบเห็นว่าหลอดไฟตรวจสอบเครื่องยนต์ติดขึ้นห้ามปิดสวิตช์จุดระเบิดจากนั้นจึงหยุดรถยนต์เข้าเกียร์ว่าง (ก่อนลงจากรถยนต์โปรดระวังและป้องกันรถยนต์ไหลด้วย) แล้วจึงลัดวงจรขั้ว TE1 เข้ากับ E1 หลอดไฟตรวจสอบเครื่องยนต์จะกระพริบเป็นรหัส
          5)  อ่านรหัส

รูปที่ 1 ลัดวงจรขั้ว TE1 (รุ่นแรกๆ เรียกว่าขั้ว T) เข้ากับขั้ว E1

รูปที่ 2 อ่านรหัสจากการกระพริบของหลอดไฟที่หน้าปัด ในรูปแสดงรหัสปกติ

ตารางที่ 1 สรุปรหัสข้อบกพร่อง TCCS ของโตโยต้า (เฉพาะที่จำเป็น)
(ข้อแนะนำในดูการกระพริบของหลอดไฟที่ผู้เขียนได้แสดงเป็นรูปภาพเคลื่อนไหวในตารางด้านล่างนี้ ควรใช้กระดาษปิดรูปภาพที่ยังไม่ต้องการอ่านรหัส)

รูปการกระพริบ
รหัส 2 ตัวเลข
ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น


กระพริบถี่
ปกติ


11


วงจรไฟฟ้ากำลัง (+B)



12


สัญญาณความเร็วรอบ (NE,G) ตัวรับรู้มุมเพลาลูกเบี้ยว (G)


13


สัญญาณความเร็วรอบ (NE,G) ตัวรับรู้มุมเพลาข้อเหวี่ยง (NE)


14


สัญญาณการจุดระเบิด (IGT, IGF)


21


วงจรตัวรับรู้ออกซิเจน (O2, HT) ก่อนเข้า TWC ตัวที่ 1


22


สัญญาณอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น (THW)


24


สัญญาณอุณหภูมิอากาศ (THA)


31

สำหรับ EFI แบบ L คือ มาตรวัดการไหลอากาศ (VS, VG, KS)

สำหรับ EFI แบบ D คือ ตัวรับรู้ความดันในท่อร่วมไอดี (PIM)


34


ความดันตัวอัดบรรจุอากาศเทอร์โบ (PIM)


41


สัญญาณตัวรับรู้ตำแหน่งลิ้นเร่ง (VTA)


42


สัญญาณความเร็วรถยนต์ (SPD, SP1, SP2)


43


สัญญาณสตาร์ต (STA)


51


สัญญาณ (เตือน) สวิตช์ต่าง ๆ (IDL, A/C, NSW)
สัญญาณนี้ไม่บันทึกในความจำ


52


สัญญาณการน็อก (KNK) (ตัวที่1) (KNK1)

รูปตัวอย่างกรณีรหัสข้อบกพร่อง 5 รหัส
เช่นรหัส 12- 24 - 31 - 42 - 51

วิธีการลบรหัสข้อบกพร่องของ TCCS
          เมื่อแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องแล้ว ถ้าต้องการลบรหัสข้อบกพร่องสามารถทำได้โดยการปิดสวิตช์จุดระเบิด (OFF) แล้วถอดฟิวส์ EFI ซึ่งเป็นไฟฟ้าเลี้ยงหน่วยความจำ (ไฟฟ้าเลี้ยงขั้ว BATT) เป็นเวลา 10 วินาที หรือมากกว่าถ้าอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นต่ำ อนึ่งโดยทั่วไปแล้วฟิวส์ไฟฟ้าที่เลี้ยงหน่วยความจำของ TCCS คือฟิวส์ EFI 15 A (บางรุ่น 20 A) แต่เครื่องยนต์เก่าญี่ปุ่นที่ใช้กับรถยนต์โตโยต้าโคโรลล่า (Corolla) ตั้งแต่รุ่น AE92 ย้อนหลังไปจะใช้ฟิวส์ไฟเบรก (Stop 10 A) สำหรับไฟฟ้าเลี้ยงหน่วยความจำขั้ว BATT


แรงบิดและกำลัง

กำลัง (Power), งาน (Work), แรงบิด (Torque), แรง (Force), เวลา (Time)
     กำลัง = งาน / เวลา  หรือ
     กำลัง = แรง x ระยะทาง / เวลา หรือ
     กำลัง = แรงบิด / เวลา
     Power = 2  T N / 60     เมื่อ T คือแรงบิด และ N คือความเร็วรอบ / นาที หรือ rpm
     เครื่องยนต์มีกำลัง 1 hp (horsepower) หรือ 1 แรงม้า มีความหมายคือ คำว่า hp เป็น แรงม้าในหน่วยอังกฤษ (U.K.) หมายถึงเครืื่องยนต์ทำงานในระยะเวลา 1 นาทีได้งาน 33,000 ปอนด์-ฟุต (pounds-foot) เช่นการเปรียบเทียบกับม้าที่สามารถออกแรงดึง 330 ปอนด์ ไปได้ระยะทาง 100 ฟุต ในเวลา 1 นาที หรือออกแรงดึง 33 ปอนด์ ไปได้ระยะทาง 1,000 ฟุต ในเวลา 1 นาที
     กำลังหรือบางครั้งจะเรียกว่ากำลังงาน สามารถเปลี่ยนหน่วยได้ดังต่อไปนี้
     1 hp = 745.7 W (Watt, วัตต์) หรือ = 0.7457 kW โดยทั่วไปจะปัดเศษเป็น 746 W (0.746 kW)
     1 hp = 1.0139 PS (เป็นหน่วยแรงม้าเมตริกหรือ PS DIN)

     สำหรับค่าแรงบิดหรือ Torque สามารถเปลี่ยนหน่วยได้ดังต่อไปนี้
     1 kgf-m = 7.233 lb-ft
     1 kgf-m = 9.81 Nm

หน่วยของแรงบิด (Torque)
หน่วยของกำลัง (Power)


กราฟแรงบิดและกำลังของเครื่องยนต์ (Engine Curve)
     จากแผนภูมิที่ 1 เป็นตัวอย่างค่าแรงบิด และค่ากำลังงานของเครื่องยนต์หรือ Engine Curve ของรถยนต์ Ferrari 308 GTSi ปี ค.ศ. 1984 ใช้เครื่องยนต์รุ่น QV ขนาดความจุกระบอกสูบ 2,926 cc V8 สูบ ระบบหัวฉีดกลไกร่วมกับอิเล็กทรอนิกส์หรือ KE-Jetronic โดยมีแรงบิดสูงสุด 255 Nm ที่ความเร็วรอบ 5,000 rpm ดังแสดงที่หมายเลข 1 และมีกำลังงานสูงสุด 175 kW (235 hp, 238 PS) ที่ความเร็วรอบ 6,800 rpm โดยแสดงที่หมายเลข 2

แผนภูมิที่ 1 แสดงตัวอย่างค่าแรงบิด และค่ากำลังงานของเครื่องยนต์ Ferrari 308 GTSi QV (2,926 cc V8)

รูปที่ 1 ตัวอย่างของรถยนต์ BMW 4 Series Coupe 2013

     ตัวอย่างของรูปที่ 1 เป็นรถยนต์ BMW 4 Series Coupe ปี 2013 สำหรับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์แก๊สโซลีน 6 สูบ ระบบ Double-VANOS และ Valvetronic มีเทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์ รุ่นเครื่องยนต์ BMW 428i ความจุกระบอกสูบ 2,979 cc ตามแผนภูมิที่ 2 แสดงกราฟกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ (Engine Curve) โดยมีค่าแรงบิดคงที่สูงสุด 400 Nm ที่ความเร็วรอบ 1,200 - 5,000 rpm  และมีค่ากำลังงานสูงสุด 225 kW (306 hp) ที่ความเร็วรอบ 5,800 - 6,000 rpm 

แผนภูมิที่ 2 แสดงตัวอย่างค่าแรงบิด และค่ากำลังงานของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน BMW 2,979 cc

     นอกจากนี้แล้วตัวอย่างของรูปที่ 1 เป็นรถยนต์ BMW 4 Series Coupe ปี 2013 สำหรับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบ เทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์ รุ่นเครื่องยนต์ BMW 420d ความจุกระบอกสูบ 1,995 cc ตามแผนภูมิที่ 3 แสดงกราฟกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ (Engine Curve) โดยมีค่าแรงบิดคงที่สูงสุด 380 Nm ที่ความเร็วรอบ 1,750 - 2,750 rpm  และมีค่ากำลังงานสูงสุด 135 kW (184 hp) ที่ความเร็วรอบ 4,000 rpm 

แผนภูมิที่ 3 แสดงตัวอย่างค่าแรงบิด และค่ากำลังงานของเครื่องยนต์ดีเซล BMW 1,995 cc
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลจาก http://magnum-mania.com/Articles/The_Ferrari.html และ http://www.bmw.co.uk/en/index.html

ฮอนด้าเปิดตัวสกู๊ปปี้ไอใหม่ ประกาศความซ่าท้าลมร้อนด้วยคอนเซปต์ อโลฮ่า ซ่านิยม พร้อมส่ง “กิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอร์รี่ - เก่ง เดอะวอยซ์” เสริมกองทัพสาธารณรัฐซ่ากับไทยเทเนียม



 ค่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ผู้นำไลฟ์สไตล์ความสนุกของวัยรุ่นไทยภายใต้แนวคิด “ชีวิตสนุก ถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ ว้าว!” ตอกย้ำความเป็นเทรนด์เซตเตอร์รถเอ.ที.แฟชั่นตัวจริงอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวนิวฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม ดีไซน์สุดเฉี่ยวตามเทรนด์แฟชั่นระดับโลกในช่วงหน้าร้อน ถ่ายทอดความสนุกตามสไตล์สาธารณรัฐซ่าลาพักร้อน ลงบนตัวรถด้วยกราฟฟิกซี.เอ็ม.วาย.เค (CMYK) เสมือนจริงเป็นครั้งแรกของวงการรถจักรยานยนต์ไทย พร้อมดึงสาวเซ็กซี่ “กิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอร์รี่” และหนุ่มฮอต “เก่ง เดอะวอยซ์” มาเสริมกองทัพพรีเซนเตอร์สุดซ่าร่วมกับเจ้าพ่ออเมริกันฮิปฮอปอย่าง “ไทยเทเนียม” อีกด้วย เตรียมเปิดตัวลงสู่ตลาดพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่ 15 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป กับ 3 สไตล์ 10 คู่โทนสี สนนราคาเริ่มต้นที่ 45,800 บาท โดยวางเป้าการจำหน่ายไว้ที่ 300,000 คันต่อปี
มร.จิอากิ คาโต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า “นับตั้งแต่ที่เราได้เปิดตัว ออลนิวสกู๊ปปี้ไอ ซ่านิยม ลงสู่ตลาดเมื่อปี 2012 รถรุ่นดังกล่าวก็ได้สร้างปรากฏการณ์ความนิยมในหมู่วัยรุ่นเป็นอย่างมาก จนสามารถทำยอดจำหน่ายได้สูงถึง 330,304 คัน ถือเป็นสถิติรถเอ.ที.แฟชั่นที่มียอดจำหน่ายต่อปีสูงสุดของเมืองไทย แต่ด้วยความเป็นผู้นำ ฮอนด้าจึงไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ เรามองไปที่การพัฒนาเสมอ โดยเฉพาะในตลาดกลุ่มวัยรุ่นที่มีความเปลี่ยนแปลงตามเทรนด์ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นที่มาของนิวฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม รถเอ.ที.แฟชั่นแบบโมเดิร์นเรโทรโฉมใหม่ ดีไซน์ทันสมัย เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ถือเป็นความสนุกว้าวลำดับแรกที่ฮอนด้าพร้อมนำเสนอให้กับผู้บริโภคตามแนวคิดแบรนด์คอนเซปต์ ชีวิตสนุกถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ ว้าว! ”


นิวฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม รถเอ.ที.โมเดิร์นคลาสสิคโฉมใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับความซ่าตั้งแต่หน้าจรดท้ายด้วยลวดลายที่เปี่ยมไปด้วยความสนุก มีเรื่องราวของเทรนด์แฟชั่นฤดูร้อน ถ่ายทอดลงบนตัวรถด้วยกราฟิกงานพิมพ์ชั้นสูง CMYK ที่ให้ความคมชัดเสมือนภาพถ่ายมากที่สุด ถือเป็นครั้งแรกในวงการรถจักรยานยนต์ไทยที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 ไลฟ์สไตล์ดังต่อไปนี้

ฮอนด้า สกู๊ปปีไอ Active Boy – Monkey Do! 
ซ่าสยบร้อนด้วยกราฟิก “เฮียไมค์” ลิงขาใหญ่ประจำหาด กับบรรยากาศแบบฮาวาย 
มีให้เลือก 3 คู่สีได้แก่ ขาว-น้ำเงิน, ขาว-ดำ, และดำ-แดง





ฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ Vivid Me – Sassy Jeans! 
เฉี่ยวโดนใจยีนส์เลิฟเวอร์ ด้วยเส้นสายของกางเกงยีนส์ปักลายสุดจี๊ด 
มีให้เลือก 4 คู่สีได้แก่ ชมพู-ดำ, ฟ้า-ดำ, ขาว-ชมพู, และชมพู-ฟ้า




ฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ Prestige Guy – Cool Gangsta! 
เน้นความพรีเมียมแบบอเมริกันด้วยกราฟิกเรียบหรู เด่นด้วยโครเมี่ยมรอบคัน 
มีให้เลือก 3 คู่สีได้แก่ ดำ-เทา, ขาว-เทา, และแดง-เทา



นิวฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม ทันสมัยด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์แท้ Exclusive Projector Head Light ผสานด้วยหลอดฮาโลเจน และวงแหวนสีฟ้า “Blue Ring” จึงให้ทั้งความสวยงามและความสว่างคมชัดบนทุกเส้นทาง, Upper Arm Winker Light เท่และปลอดภัยด้วยชุดไฟเลี้ยวแบบบิลท์อินบนตัวถัง พร้อมไฟบอกตำแหน่ง, Senior Tail Light ไฟท้ายแบบบิลท์อินโค้งมนลงตัวกับชุดไฟเลี้ยวโคมใส, New Chronograph Meter เรือนไมล์มัลติมิเตอร์ดีไซน์ใหม่ เน้นทุกรายละเอียดความสนุก รวมทุกฟังก์ชันไว้ด้วยกันอย่างลงตัว, Seat for All เบาะนั่งที่ได้รับการออกแบบให้รองรับผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายได้ทุกไซส์, Helmet-In L Size U-Box กล่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ความจุ 15.4 ลิตร เก็บหมวกกันน็อกแบบเจ็ตได้ทั้งใบ ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสด้วย Seat Opener สวิทช์เปิด-ปิดช่องเก็บของใต้เบาะ

นิวฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 จังหวะขนาด 108cc. ระบบหัวฉีด PGM-FI ให้กำลังบิดทันใจในทุกอัตราเร่ง และมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่สูงถึง 53 กิโลเมตร/ลิตร (จากการวัดตามมาตรฐาน สมอ. MODE ECE R40) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานค่าไอเสียระดับ 6 และรองรับน้ำมัน E20 อุ่นใจด้วยเทคโนโลยีแห่งความปลอดภัยที่ครบครันทั้งระบบ Side Stand Switch ตัดการทำงานของเครื่องยนต์ทันทีเมื่อเอาขาตั้งลง, Brake Lock Lever ช่วยล็อคล้อขณะจอดเช่นเดียวกับเบรกมือในรถยนต์ และ Key Shutter กุญแจนิรภัยสองชั้นให้ความมั่นใจทุกคร้งที่จอดรถ

และเพื่อให้การสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ของนิวฮอนด้าสกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม เป็นไปอย่างชัดเจน ฮอนด้าได้เปิดตัวสาวสวยสุดเซ็กซี่ “กิ๊บซี่-วนิดา เติมธนาภรณ์” ศิลปินดังจากวงเกิร์ลลี่เบอร์รี่ และนักร้องดาวรุ่งพุ่งแรง “เก่ง-ธชย ประทุมวรรณ” จากเวทีเดอะวอยซ์ มาเสริมกองทัพพรีเซนเตอร์ร่วมกับ “ไทยเทเนียม” ศิลปินแนวอเมริกันฮิปฮอปชื่อดังของเมืองไทย เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของความสนุกซ่าให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย

“คาแรกเตอร์ที่ดูไม่หยุดนิ่งและแตกต่างของ เก่ง เดอะวอยซ์ สื่อให้เห็นถึงความซ่าและซุกซนของรุ่น Active Boy - Monkey Do! มากที่สุด ในขณะที่กิ๊บซี่ ก็เป็นไอดอลของความเซ็กซี่ มีเสน่ห์ดึงดูดจึงสามารถถ่ายทอดความเป็นรถที่เปรี้ยว ซ่า ในสไตล์ผู้หญิงของรุ่น Vivid Me - Sassy Jeans! ได้อย่างลงตัวเช่นกัน เมื่อมาร่วมกับพรีเซนเตอร์เดิมอย่างไทยเทเนียมที่เป็นสัญลักษณ์ของความซ่าในแบบฉบับของ Prestige Guy – Cool Gangsta! อยู่แล้ว ความสมบูรณ์แบบก็เกิดขึ้น” มร.จิอากิ กล่าวถึงการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ล่าสุด
พร้อมกันนี้ ฮอนด้ายังได้เอาใจคนรักการแต่งรถด้วยการนำเสนออุปกรณ์ตกแต่งคุณภาพสูงในหลากหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ H2C เพื่อให้เจ้าของรถได้มีโอกาสปรับแต่งนิวสกู๊ปปี้ไอคันเก่งเพื่อความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครอีกด้วย

เอ.พี.ฮอนด้าวางแผนจำหน่ายนิวฮอนด้าสกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม พร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 2556 ด้วยราคาจำหน่ายโดยประมาณเริ่มต้นที่ 45,000 บาท โดยตั้งเป้าการจำหน่ายไว้ที่ 300,000 คันต่อปี และเตรียมออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่เพื่อสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายผ่านทางสถานีโทรทัศน์ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.นี้เป็นต้นไป ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของสินค้าและกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ฮอนด้า www.aphonda.co.th และเฟซบุค www.facebook.com/hondamotorcyclethailand

สแกนเนีย วางนโยบายใช้ไทยเป็นศูนย์กลางบุกตลาดอาเซียน ส่งกลยุทธ์เชิงรุกขยายฐานการตลาดและการบริการ ล่าสุดจัด Scania Top Team Regional 2013 การแข่งขัน สุดยอดช่างฝีมือระดับเอเชียและโอเชียเนีย จาก 10 ประเทศ



ตลาดรถขนส่งไทยเนื้อหอม  ค่ายยุโรปบุกหนักหวังไทยใช้เป็ฐานบุกอาเซียน มองเป็นโอกาสดีของไทยหลังเปิด AEC เพราะเป็นศูนย์กลางของการขนส่งทางบกไปยังประเทศต่างๆ โดย สแกนเนีย ค่ายใหญ่จากสวีเดน ประกาศเดินหน้านโยบายเชิงรุกขยายฐานการตลาดและการบริการ พร้อมสนับสนุนไทยเต็มสูบ เห็นด้วยภาครัฐมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่งเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดโชว์ความพร้อมด้านการพัฒนางานบริการ ดึงสุดยอดทีมช่างฝีมือจาก 10 ชาติ ทั่วเอเชียและโอเชียเนีย ร่วมการแข่งขันรายการใหญ่ Scania Top Team Regional ในประเทศไทย


มร.เจมส์ อาร์มสตรอง ผู้อำนวยการ สแกนเนีย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้    (Mr.James Armstrong, Managing Director of Scania Southeast Asia) กล่าวถึงนโยบายของ สแกนเนีย ที่มีต่อประเทศไทยว่า หลังจากมีการเปิด AEC ประเทศไทย จะเป็นประเทศที่มีบทบาทและมีความสำคัญอย่างมากต่อการติดต่อเชื่อมโยงทางการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อเนื่องไปยังประเทศใหญ่อย่างจีนและอินเดีย โดยเฉพาะในธุรกิจด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ประเทศไทยถือว่ามีข้อได้เปรียบอย่างมากเพราะถือเป็นจุดศูนย์กลางการขนส่งทางบกของภูมิภาคนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางการขนส่งที่จะต่อเชื่อมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โครงการลงทุนขนาดใหญ่ 2 ล้านล้านบาท ของภาครัฐถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมในระยะยาวที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการขยายตัวและกระจายไปยังภูมิภาคได้รวดเร็วและทั่วถึงยิ่งขึ้น โดยนโยบายเชิงรุกของ สแกนเนีย นั้น ได้มีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของภาครัฐโดยเฉพาะด้านการขนส่ง ซึ่งจะยกระดับให้ สแกนเนีย สยาม เป็นหัวหอกสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการเจาะตลาดในภูมิภาคนี้ ทั้งในเรื่องของการขยายฐานการตลาด การเชื่อมโยงธุรกิจกับ สแกนเนีย ในประเทศใกล้เคียง และการให้บริการแก่ลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาค

สำหรับการเตรียมความพร้อมนั้น  สแกนเนีย ได้มีการพัฒนาการรูปแบบด้านการตลาดและการบริการภายใต้แนวคิด Total Solution ประกอบด้วยการสร้างความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรม ความหลากหลายของสินค้า และความคุ้มค่าในประสิทธิ์อันภาพที่ยอดเยี่ยมของผลิตภัณฑ์ การให้บริการทั้งในด้านการให้คำปรึกษา การฝึกอบรมให้แก่ลูกค้า และการซ่อมบำรุง รวมไปถึงการให้บริการด้านการเงิน (Financial) แก่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อรถจาก สแกนเนีย อีกด้วย

นอกจากนั้น สแกนเนีย ยังได้มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาทักษะ การฝึกอบรมแก่พนักงานและทีมช่างให้มีศักยภาพและความพร้อมอยู่เสมอ โดยเน้นที่การทำงานเป็นของทีมเป็นหลัก ทั้งยังมีการจัดการแข่งขัย Scania Top Team ขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี ถือเป็นการแข่งขันฝีมือช่างรายการใหญ่รายการหนึ่งของทวีปยุโรป โดยการแข่งขันรายการนี้จัดมาเป็นปีที่ 24 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 มีวัตถุประสงค์พัฒนาทักษะ แลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างประสบการณ์ในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในการแข่งขันจะประกอบไปด้วยทีมช่างผู้เชียวชาญจากจำนวน 3-5 คน ซึ่งในปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันสูงถึง 8,000 คน จาก 63 ประเทศทั่วโลก โดยการแข่งขันรายการนี้มีเงินรางวัลมูลค่าสูงถึง 100,000 ยูโร หรือประมาณ 3,700,000 บาท ทีมอันดับที่ 1 จะรับเงินรางวัล 50,000 ยูโร หรือประมาณ 1,850,000 บาท ทีมอันดับที่ 2 จะรับเงินรางวัล 30,000 ยูโร หรือประมาณ 1,110,000 บาท และทีมอันดับที่ 3 จะรับเงินรางวัล 20,000 ยูโร หรือประมาณ 740,000 บาท

โดยในการแข่งขันรอบคัดเลือกระดับภูมิภาค Scania Top Team Regional 2013 ปีนี้ทาง สแกนเนีย ได้เลือกประเทศไทยให้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน มีประเทศเข้าร่วมการแข่งขันถึง  10 ประเทศทั่วทั้งเอเชียและโอเชียเนีย ประกอบด้วย ออสเตเลีย จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ สิงค์โปร เกาหลีใต้ ไต้หวัน และประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการคัดเลือกตัวแทนของกลุ่ม เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2556 ณ เมืองเซอเดอร์เตลเย ประเทศสวีเดน

ด้าน นายภูริวัทน์ รักอินทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด (Mr. Phuriwat Rak-Intr, General Manager of Scania Siam Co., Ltd.) กล่าวเพิ่มเติมถึงการสนับสนุนให้ สแกนเนีย สยาม เป็นศูนย์กลางทางด้านการตลาดและการบริการของลูกค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้แสดงศักยภาพอย่างแท้จริง ว่าเรามีความพร้อมในการเป็นผู้นำด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค โดยที่ สแกนเนีย สยาม ได้เตรียมความพร้อมไว้ในหลายช่องทางด้วยกัน ทั้งในเรื่องของการขยายศูนย์บริการไปยังจุดต่างๆ ของประเทศ การขยายงานทางด้านการตลาดและผลิตภัณฑ์ การยกระดับงานบริการ รวมไปถึงบริการเสริมเพิ่มเติม อาทิ การบริการด้านการเงิน การประกันภัย ฯลฯ
นอกจากนี้การที่ สแกนเนีย สวีเดน เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน Scania Top Team Regional 2013 นั้น แสดงให้เห็นว่า สแกนเนีย ให้ความสำคัญกับการเติบโตของภูมิภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งมีความตั้งใจจริงในการขยายการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของ AEC และ เป็นส่วนสนับสนุนให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแข่งแกร่งต่อไป

ผลการแข่งขัน Scania Top Team Regional 2013

อันดับ 1 ได้แก่ ออสเตเลีย
อันดับ 2 ได้แก่ นิวซีแลนด์
อันดับ 3 ได้แก่ เกาหลีใต้
อันดับ 4 ได้แก่ ไต้หวัน

โดยผู้ชนะอันดับ 1 และ อันดับ 2 จะเป็นตัวแทนจากโซน เอเชียและโอเชียเนีย เข้าไปแข่งขัน Scania Top Team รอบชิงชนะเลิศ ที่ เมืองเซอเดอร์เตลเย ประเทศสวีเดน ในเดือน พฤศจิกายน 2556

สัมผัส 5 บิ๊กไบค์สุดหรูคลาสสิก “Victory” เหนือชั้นทุกมิติ “Ride One, You'll Own One” บทสรุปของที่สุดการขับขี่


 บริษัท วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ประเทศไทย)ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย Victory Motorcycles รถบิ๊กไบค์ระดับเวิลด์คลาสจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ที่สุดแห่งการผสมผสานอย่างลงตัว ระหว่างเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและดีไซน์ที่โดดเด่น จัดกิจกรรมลองขับขี่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Victory Test Ride” ณ สนามมอเตอร์สปอร์ตแลนด์ (แดนเนรมิตเก่า) โดยนำรถบิ๊กไบค์ Victory รุ่นยอดนิยมตระกูล Cruisers, Baggers และ Touringจำนวน 5 คัน ประกอบด้วยรุ่น Judge, High Ball, Cross Country Zach Ness, Vision Tour Arlen Ness และ Cross Country Tour Cory Ness มาให้สื่อมวลชนได้ลองขับขี่และสัมผัสอย่างใกล้ชิด

สำหรับรถบิ๊กไบค์ Victory ทุกรุ่นที่นำมาให้ลองขับครั้งนี้ นอกจากมีดีไซน์สวยหรูสุดคลาสสิกแล้ว ยังทรงพลังและเปี่ยมสมรรถนะเมื่อยามขึ้นขับขี่ โดยรุ่น Judge เป็นรถที่ให้ความคล่องตัวสูงในการใช้งานในเมือง ระบบเบรกและอัตราเร่งตอบสนองได้ทันใจ และเป็นรถในสไตล์ Cruiser ที่ให้สมรรถนะการเข้าโค้งได้เหมือนกับรถในสไตล์สปอร์ต และขับขี่ได้อย่างสนุกสนานแม้ขณะโลดแล่นบนทางไกล

ขณะที่รุ่น High Ball เป็นรถสไตล์ Bobberยุคใหม่ เป็นรถที่ให้ผู้ขับขี่รู้สึกได้ถึงท่าการขี่ที่ออกสไตล์วินเทจ แต่ให้สมรรถนะที่ตอบสนองได้ดีในทุกอัตราเร่ง

ส่วนรุ่น Cross Country Zach Ness เป็นรถที่เหมาะสำหรับในเมืองและใช้งานได้ดีในยามเดินทางไกล ระบบช่วงล่างเปี่ยมสมรรถนะและทรงประสิทธิภาพในทุกสภาพถนนของเมืองไทย พร้อมติดตั้งกระเป๋าสัมภาระซ้าย-ขวาขนาดใหญ่ สามารถเก็บสัมภาระสำหรับการเดินทางได้มากขึ้น
สำหรับรถขนาดใหญ่อย่างรุ่น Cross Country Tour เป็นรถที่เหมาะสำหรับการเดินทางไกล แต่ยังคงให้ความรู้สึกในการควบคุมรถที่ดุดัน ถูกออกแบบท่านั่งที่สบายในยามขึ้นขับขี่ ทำให้เป็นรถที่แตกต่างจากรถรุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกันอย่างชัดเจน
รถรุ่นใหญ่อีกรุ่นที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะอย่างรุ่น Vision Tourถือเป็นสุดยอดของรถสำหรับเดินทางไกล ตำแหน่งการขับขี่ถูกออกแบบให้นั่งสบาย เบาะนั่งมีความกระชับรองรับสรีระของผู้ขับขี่ สามารถเข้ากับช่วงสะโพกและหลัง ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ขับได้อย่างสนุกสนานและสะดวกสบายแม้ต้องนั่งอยู่บนรถมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากมีดีไซน์ที่สวยหรูอย่างเหนือระดับแล้ว ยังเพียบพร้อมและอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีของความสะดวกสบายและการขับขี่ แผ่นกันลมหน้าปรับระดับด้วยไฟฟ้า สามารถเปลี่ยนอารมณ์การขับขี่ในยามเข้าเมืองหรือระหว่างการเดินทางไกล สมรรถนะในการขับเข้าโค้งทำได้ทั้งแบบโหนทั้งตัวในเวลาเจอกับโค้งกว้างและต้องใช้ความเร็วสูง หรือโยกเฉพาะรถเมื่อเจอกับโค้งแคบในระดับความเร็วต่ำ

Bridgestone Continues to Promote its Brand for the 3rd Year through “Bridgestone Always with You”


[Bangkok-Siam Discovery Centre] (April 23rd, 2013) – Bridgestone Sales (Thailand) Co., Ltd., led by Mr. Shinichi Sato, Managing Director, hosts a major event at Siam Discovery Plaza to introduce a corporate brand campaign – “Bridgestone Always with You”.  Continuing into its third year, the campaign, launched based on the concept of “innovative lifestyle”, has been communicated through various activities and Concerts from famous bands like “ETC” and “Lipta”. In addition, many kinds of activities will be done throughout the year including the Innovative Lifestyle Contest and Sculpture Performance. 

This corporate brand campaign was first launched in 2011 with the communication concept – “Bridgestone Always with You”. In the second year, Bridgestone aimed to enhance customers’ perception on the superior quality of Bridgestone’s products and services, and how these are meant to support the various lifestyles of consumers, especially the young generations. Moving into the third year after receiving much positive feedback in the past 2 years, Bridgestone is going one step further to express Bridgestone’s passion to support the various lifestyles of every individual with innovation, inspiration and creativity. This year’s TV commercial clearly illustrates this concept along with the song which was originally performed by the famous band – “Titanium”, and which has been rewritten and recomposed by “Pae ” Mai band.  Bridgestone will communicate this brand campaign concept through various media – TV, radio, printed advertisements and outdoor media in various popular places, as well as through social media.  In addition, other activities will also be done to reach out to many lifestyles, including:

  • Always With You Roadshow  Extending the Campaign Launching Event, which was carried out in Bangkok, to other areas such as Khon Kaen” and Chiang Maiso as to allow the audience in these areas to experience the same event as those in Bangkok.   
  • Sculpture Performance  Presenting ideas through a new way of performance illustration at popular places throughout Bangkok, including: ASIATIQUE and MEGA Bangna.
  • Lifestyle Idea Contest  Hosting contest for constructive works and concepts which may be adapted to customers real life.

Further information regarding the activities may be found at www.facebook.com/BridgestoneAlwaysWithYou    
 
All activities and communication about this campaign are aimed at building up Bridgestone’s brand image to ensure its excellent products and services are recognized by more people, and to further expand the “No. 1” popularity to all generations and genders, including the younger generation.  Reinforcing its brand image to be innovative, always looking to the future, modern and one which supports many different lifestyles, is determined to help enhance the relationship between consumers and Bridgestone in the long term.   

“วิคตอรี่” นำเข้ารถบิ๊กไบค์สุดหรู-คลาสสิกค่าตัวเฉียด 2 ล้านบาท ตั้งเป้าขาย 60 คัน พร้อมเร่งขยายเครือข่ายทั่วทุกภูมิภาคของไทย


วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิลส์ ปลุกตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ นำเข้า Victory Motorcycles จากอเมริการวดเดียว 11 รุ่น สนนราคาค่าตัว 1.015-1.995 ล้านบาท ชูจุดเด่นที่สุดแห่งการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและดีไซน์สวยหรูสุดคลาสิกระดับเวิลด์คลาส ตั้งเป้าขาย 60 คัน พร้อมเดินหน้าขยายเครือข่ายทั้งโชว์รูมและศูนย์บริการครบทั้ง ภูมิภาคทั่วไทย หวังตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครอบคลุม หลังมีนักธุรกิจหลายรายสนใจขอสมัครเป็นดีลเลอร์


นายณัฐบูร และนายณัฐพล ไตรณัฐี กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย “Victory Motorcycles” รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์จากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการเติบโตของตลาดรถบิ๊กไบค์ของเมืองไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีความชื่นชอบและรักในการขับขี่รถบิ๊กไบค์เป็นการส่วนตัว ทำให้มองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจ จึงนำเข้า “Victory” รถบิ๊กไบค์จากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาจำหน่ายและเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่นักขับขี่คนรุ่นใหม่ ที่ปัจจุบันหันมานิยมใช้รถบิ๊กไบค์เพื่อการท่องเที่ยวและตอบโจทย์ความเป็นไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้อย่างตรงจุด

“จากการติดตามบททดสอบรถ “Victory” ตามนิตยสารต่างประเทศมาระยะเวลาหนึ่ง จึงเกิดความสนใจและได้เดินทางไปทดลองขี่ด้วยตนเองที่สหรัฐอเมริกา โดยใช้เวลาขับขี่และคลุกคลีอยู่กับรถนาน 5 วัน จนมั่นใจในสมรรถนะตัวรถ จึงได้ตัดสินใจนำรถแบรนด์นี้เข้ามาแนะนำให้นักขับขี่ชาวไทยได้รู้จักและเปิดโอกาสให้ได้เป็นเจ้าของรถที่น่าสนใจอีกแบรนด์หนึ่งของโลก โดยบริษัทเริ่มนำเข้า “Victory” มาจำหน่ายเมื่อต้นปี 2013 ที่ผ่านมา แบ่งเป็น 4 ตระกูล คือ Cruisers, Baggers, Touring และ Ness Signature จำนวน 11 รุ่นจากทั้งหมด 14 รุ่นที่มีขายอยู่ในต่างประเทศ แต่ละรุ่นจะมีการแบ่งย่อยในเรื่องของการตกแต่งและสีของตัวรถ ส่วนรุ่นที่ไม่ได้นำเข้ามาจำหน่ายคือ Boardwalk ราคา 1,315,000 บาท Jackpot ราคา 1,385,000 บาท และ Cross Roads Classic ราคา 1,365,000 บาท หากลูกค้าต้องการรุ่นที่สนใจสามารถสั่งรุ่นที่ต้องการได้ โดยสามารถรอรับรถภายในระยะเวลา 3 เดือน”
สำหรับ “Victory” ตระกูล Cruisers ประกอบด้วย
- Vegas 8-Ball ราคา 1,015,000 บาท
- High Ball ราคา 1,135,000 บาท
- Hammer 8-Ball ราคา 1,145,000 บาท
- Judge ราคา 1,195,000 บาท
- Boardwalk ราคา 1,315,000 บาท
- Jackpot ราคา 1,385,000 บาท
ตระกูล Baggers ประกอบด้วย
- Cross Roads Classic ราคา 1,365,000 บาท
- Hard Ball ราคา 1,375,000 บาท
- Cross Country ราคา 1,425,000 บาท
ตระกูล Touring ประกอบด้วย
- Cross Country Tour ราคา 1,550,000 บาท
- Vision Tour ราคา 1,645,000 บาท
ตระกูล Ness Signature ประกอบด้วย


- Cross Country Zach Ness ราคา 1,895,000 บาท



- Cross Country Tour Cory Ness ราคา 1,995,000 บาท



- Vision Tour Arlen Ness ราคา 1,955,000 บาท
โดย “Victory” เป็นรถที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลกอย่างกว้างขวางว่า เป็นรถบิ๊กไบค์ที่มีสมรรถนะโดดเด่น ตามสโลแกนของรถคือ “Ride One, You'll Own One” ซึ่งนักขับขี่ที่ได้ลองขับ “Victory” ต่างเอ่ยปากบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า เป็นรถในแบบ Cruiser ที่ขับขี่ได้เยี่ยมยอด
“รุ่นที่คาดว่าจะทำยอดขายได้ดีคือ Judge ซึ่งเป็นตัวแทนของรถตระกูล Cruisers เป็นรถไซซ์เล็กถูกออกแบบมาตามคอนเซ็ปต์ของ American Muscle Car ท่าการขี่เหมาะกับสรีระของคนไทย แต่ยังคงความบึกบึนของตัวรถในสไตล์อเมริกัน อีกรุ่นคือ Vision Tour จะเป็นตัวแทนของรถในตระกูล Touring เหมาะสำหรับใช้เดินทางท่องเที่ยวในระยะทางไกล จากท่าการขี่ที่ถูกออกแบบมาให้ขับขี่สบายเป็นระยะเวลานาน พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกและช่องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ ทำให้ Vision Tour เป็นรถที่โดดเด่นที่สุดในตลาดรถทัวริ่งในปัจจุบัน โดยตั้งเป้าขายปีแรกประมาณ 60 คัน แบ่งเป็น Cruisers ประมาณ 30 คัน และตัวใหญ่อย่างตระกูล Baggers และ Touring อีกประมาณ 30 คัน”
นายณัฐพล ไตรณัฐี กล่าวถึงการแข่งขันในตลาดของรถระดับเดียวกันว่า “Victory” เป็นรถที่มีความชัดเจนในด้านสมรรถนะและท่าการขับขี่ ซึ่งรถบิ๊กไบค์ในประเภทเดียวกันที่เป็นคู่แข่งโดยตรงนั้นมีน้อยมาก อย่างไรก็ตามแนวโน้มของรถขนาดใหญ่ในตลาดเมืองไทยทีปรับราคาสูงขึ้นจากโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ โดยรถที่มีขนาดความจุปริมาตรกระบอกสูบ 1,000 ซี.ซี. จัดเก็บ 20% จัดเก็บภาษีมากกว่าเดิม 7-17% โดยคาดว่าภาพรวมตลาดรถบิ๊กไบค์เมืองไทยขนาดความจุ 1,000 ซี.ซี.ขึ้นไป ในปีนี้จะมียอดจำหน่ายประมาณ 1,000 คัน
นายณัฐบูร ไตรณัฐี กล่าวถึงความพร้อมของโชว์รูมและบริการหลังขายของ “Victory” ว่า ถือเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้า โดยโชว์รูมและศูนย์บริการ วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ประเทศไทย) ตั้งอยู่ปากซอยพัฒนาการ 63 พร้อมให้บริการตามมาตรฐานแบบครบวงจร ทั้งส่วนของโชว์รูม, ศูนย์บริการ, อุปกรณ์ตกแต่ง, ชิ้นส่วนอะไหล่และยังใช้เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่านักขับขี่อีกด้วย ขณะที่ทีมช่างทุกคนได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตรมาตรฐานจาก “Victory USA” ทำให้มั่นใจในการดูแลและซ่อมบำรุงรถของลูกค้าอย่างสูงสุด

“ปัจจุบันมีนักธุรกิจให้ความสนใจและขอสมัครเป็นดีลเลอร์กับ วิคตอรี่ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ประเทศไทย) โดยบริษัทได้วางแผนการขยายศูนย์บริการและโชว์รูมให้ครอบคลุมในหัวเมืองใหญ่ทั้ง 4 ภาคของประเทศภายในระยะเวลา 2 ปี พร้อมทั้งจัดให้มีการอบรมทีมช่างของแต่ละภูมิภาค เพื่อสร้างความมั่นใจต่อกลุ่มลูกค้าที่ซื้อ “Victory” และนำไปใช้งานในจังหวัดต่างๆ หรือในระหว่างการเดินทาง”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : คุณสุภาพร วรรณพิรุฬ โทร.086-397-7099

Benz NK ส่ง Official Safety Car ร่วมงาน “Super Cars Hot Laps 2013”


 ผ่านพ้นไปแล้วกับการรวมตัวกันของ 3 สุดยอดชมรม Super Car Club ในเมืองไทย Cavallino Ferrari Club, Lamborghini Club และ Porsche Club Thailand เข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ “Garage Life Super Car Hot Laps 2013” ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถซูเปอร์คาร์ได้เรียนรู้เทคนิคการขับขี่ที่ถูกต้องและปลอดภัย โดยผู้ฝึกสอนมืออาชีพจาก Singha Racing School ณ สนามโบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์


สำหรับในงานนี้ทาง BENZ NK ได้นำรถ CLS Shooting Brake ซึ่งถือเป็นรถอนุกรมใหม่ล่าสุดในตระกูล CLS-Class โดยถือเป็น Official Safety Car ขับโดย คุณ กรัณ ศุภพงษ์ สุดยอดนักแข่งรถยนต์ทางเรียบดีกรีแชมป์ประเทศไทย เป็นผู้ขับนำเส้นทางพร้อมสอนไลน์ที่ถูกต้องและปลอดภัยในสนามโบนันซ่าแทรค ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมทดสอบสมรรถนะรถยนต์ระดับ Super Car ในรูปแบบ Track Experience เป็นครั้งแรก 
โดยมีรถ Supercar เข้าร่วมงานจากทั้ง 3 ชมรมร่วม 100 คัน อาทิ FERRARI 458 ITALIA, LAMBORGHINI LP700-4 AVENTADOR และ PORSCHE CARRERA GT เป็นต้น 
โดยวัตถุประสงค์ของการจัดงานเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถซูเปอร์คาร์ในเมืองไทยได้มีโอกาสทดสอบสมรรถนะของรถได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นการเรียนรู้เทคนิคการขับขี่ที่ถูกต้องและ Tips ต่างๆ จาก Instructor มืออาชีพในสนามแข่งจริง และถือเป็นการร่วมพบปะสังสรรค์ของบรรดาผู้ใช้รถในคลับต่างๆ รวมทั้งเป็นการสร้างเสริมสัมพันธภาพอันดีระหว่างผู้ใช้รถยนต์ซูเปอร์คาร์ที่มีอยู่ในเมืองไทยอีกด้วย

เอ.พี.ฮอนด้าชูคอนเซปต์ “ว้าว” เสริมแบรนด์แคมเปญปี 3 ชีวิตสนุก ถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ ว้าว! เตรียมสนับสนุน 3 ทีมฟุตบอลดังระดับโลกยกพลเยือนไทย ทั้งผี-หงส์-บาร์ซ่า


ค่ายฮอนด้า ผู้นำไลฟ์สไตล์ความสนุกแห่งวงการรถจักรยานยนต์ไทยเปิดตัวแบรนด์คอนเซปต์ “ว้าว” เสริมแกร่งแผนการสร้างแบรนด์แคมเปญ ปีที่ 3 “ชีวิตสนุก ถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ ว้าว!” จัดหนักด้วยกิจกรรมทางการตลาดตลอดปี ทั้งไลฟ์สไตล์ความสนุกกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า กิจกรรมความสนุกด้านกีฬา โดยการสนับสนุนทีมฟุตบอลระดับชั้นนำของโลกอย่างแมนฯยูฯ, ลิเวอร์พูล และบาร์เซโลน่าในการมาเยือนประเทศไทยเพื่อให้คนไทยได้สัมผัสกับประสบการณ์ความสนุกกับนักเตะระดับโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมจับมือค่ายเพลงดังและคลื่นวิทยุขวัญใจวัยรุ่นส่งมอบความมันส์ทางดนตรี โดยมีสามแบรนด์แอมบาสซาเดอร์สุดแนวอย่าง น้าเน้ก, โอปอล์ และ 25Hours มาร่วมสร้างสีสันและจุดแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นไทยก้าวหลุดจากความจำเจของชีวิตแล้วออกมาค้นหาความ “ว้าว” กับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า

มร.จิอากิ คาโต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า “จากแผนระยะกลาง 3 ปี ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2011 ในการสร้างแบรนด์รถจักรยานยนต์ฮอนด้าให้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งอย่างแท้จริงทั้งด้านผลิตภัณฑ์และไลฟ์สไตล์ความสนุก เราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการสร้างการรับรู้ของกลุ่มวัยรุ่นผ่านแบรนด์แมสเสจที่ว่า “ชีวิตสนุก ถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ” และในปี 2013 ซึ่งเป็นปีที่ 3 ของแผนงานดังกล่าว เราพร้อมแล้วที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการส่งมอบกิจกรรมที่มีดีกรีของความสนุกมากกว่าทุกๆปีให้กับคนไทย ควบคู่ไปกับการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆที่โดดเด่นทั้งดีไซน์และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยมุ่งเน้นไปที่การนำเสนอสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน จนใครๆก็ต้องร้องว้าว! กลายเป็นที่มาของแบรนด์แคมเปญปีที่ 3 “ชีวิตสนุก ถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ ว้าว!”
“จากเป้าหมายดังกล่าว เราได้เตรียมแผนงานในการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างเข้มข้น เริ่มจากสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งโดยเฉพาะการร่วมเป็นผู้สนับสนุนทีมฟุตบอลระดับสุดยอดของโลกอย่างแมนฯยูฯ ลิเวอร์พูล และบาร์เซโลน่าในการมาเยือนประเทศไทย โดยในเร็วๆนี้ เราจะมีกิจกรรมให้คนไทยทุกภูมิภาคทั่วประเทศได้มีโอกาสมาเปิดประสบการณ์ใหม่กับนักเตะระดับโลกอย่างแน่นอน ในส่วนของมิวสิคมาร์เก็ตติ้ง ฮอนด้าได้ร่วมมือกับค่ายเพลงชื่อดังอย่างบีลีฟเรคคอร์ด, คลื่นแฟตเรดิโอ และแชนแนลวีไทยแลนด์ ในการนำเสนอความสนุกผ่านเสียงดนตรีสู่วัยรุ่นตลอดปีนี้อีกด้วย เริ่มต้นด้วยคอนเสิร์ตใหญ่แห่งปีHonda presents 25Hours Color in Live ที่ได้มีการแถลงข่าวไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งคอนเสิร์ตดังกล่าวจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนพฤษภาคมนี้”
นอกจากนี้ ฮอนด้ายังได้ดึงน้าเน้ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์, โอปอล์-ปาณิสรา และศิลปินจากวง 25Hours สามแบรนด์แอมบาสซาเดอร์จากแบรนด์แคมเปญ “ชีวิตสนุก ถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ ว้าว!” มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นไทยก้าวออกจากความซ้ำซากจำเจของชีวิตประจำวัน สู่โลกภายนอกที่ยังมีอะไรสนุกๆ ให้ลองค้นหาอีกมาก

มร.จิอากิ ได้กล่าวเสริมถึงเป็นประเด็นนี้ว่า “สองปีที่ผ่านมา แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ทั้งสามของเราได้ออกไปพบกับความสนุกนอกกรอบกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้ารุ่นต่างๆมาแล้วมากมายด้วยตัวเขาเอง ในปีนี้พวกเขาจะกลับมาแบ่งปันประสบการณ์ พร้อมทั้งเชิญชวนให้วัยรุ่นไทยได้ออกไปพบกับความ “ว้าว” ด้วยกัน”

ทั้งนี้ ฮอนด้าได้เตรียมเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของแบรนด์แคมเปญดังกล่าวทางสถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2556 เป็นต้นไป คอยพบกับกิจกรรมความสนุกและอัพเดทข่าวสารความเคลื่อนไหวของแบรนด์รถจักรยานยนต์ฮอนด้าตลอดทั้งปีได้ที่เว็บไซต์ www.aphonda.co.th และเฟซบุค www.facebook.com/hondamotorcyclethailand
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved