Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

ทีมเยาวชนไทยนำรถเข้าสู่การตรวจสอบทางเทคนิคในการแข่งขันเชลล์ อีโค-มาราธอน เอเชีย 2014 ณ กรุงมะนิลา เป็น 2 ทีมแรกที่ผ่านการตรวจสอบจากกว่า 100 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน


การตรวจสอบทางเทคนิคเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อคัดเลือกรถที่มีความพร้อมในการเข้าแข่งขัน โดยทีมเยาวชนไทยเป็น 2 ทีมแรกที่ผ่านการตรวจสอบจากกว่า 100 ทีมเยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขัน

เรามีข้อกำหนดที่เข้มงวด ซึ่งรถทุกคันจะต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยและเทคนิค โจ เรดฟิลด์ ผู้ทำการทดสอบรถยนต์ประเภทแบตเตอรี่ไฟฟ้า กล่าว รถยนต์ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบขั้นตอนทางเทคนิคตามข้อกำหนดที่ระบุไว้จะไม่ได้ลงแข่งในสนาม
           
ทีม ATE.1 จากโรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ ช่างกล ขส.ทบ. ทีม How Much Ethanol จาก วิทยาลัยเทคโนโลยีช่างฝีมือปัจจวิทยา เป็น 2 ทีมแรกที่ผ่านการตรวจสอบเมื่อบ่ายวานนี้ วันนี้พวกเขาจะฝึกซ้อมขับรถประหยัดพลังงานที่พวกเขาออกแบบและประดิษฐ์เพื่อการแข่งขันในสนาม ณ กรุงมะนิลาอันเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ขออวยพรให้ทั้ง 2 ทีมคว้าชัยชนะให้ได้ในครั้งนี้!

คำบรรยายใต้ภาพ: รถยนต์ COBRA หมายเลข 41 ที่จะเข้าแข่งขันในประเภทน้ำมันเบนซินจากทีม ATE.1 จากโรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ ช่างกล ขส.ทบ. จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย กำลังเข้ารับการตรวจสอบทางเทคนิคในวันแรกของการแข่งขันเชลล์ อีโค-มาราธอน เอเชีย ณ กรุงมะนิลา



เกี่ยวกับการแข่งขันเชลล์ อีโค-มาราธอน
การแข่งขันเชลล์ อีโค-มาราธอนเริ่มขึ้นในปี 2482 ที่ห้องปฏิบัติการด้านการวิจัยในสหรัฐอเมริกาโดยเป็นการแข่งขันเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างนักวิทยาศาสตร์เพื่อดูว่าใครเป็นผู้ที่ขับเคลื่อนยานยนต์ของตนได้ไกลสุดด้วยน้ำมันหนึ่งแกลลอน ผู้ชนะการแข่งขันในครั้งนั้นสามารถขับเคลื่อนไปได้เพียง 50 ไมล์ต่อแกลลอน (21 กิโลเมตร/ลิตร) และนับจากจุดเริ่มต้นวันนั้นการแข่งขันก็ได้วิวัฒนาการไปมาก โดยในปี2528 ที่ประเทศฝรั่งเศสการแข่งขันเชลล์ อีโค-มาราธอนที่เรารู้จักกันในวันนี้ได้ถือกำเนิดขึ้น ในเดือนเมษายนปี2550 การแข่งขันเชลล์ อีโค-มาราธอน อเมริกา ได้เริ่มขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและในปี2553 การแข่งขันเชลล์ อีโค-มาราธอน เอเชียได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศมาเลเซีย มาเลเซียเป็นเจ้าภาพการแข่งขันเชลล์ อีโค-มาราธอนจนถึงปี 2556 ในปี 2557 การแข่งขันกำลังจะมีขึ้นที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งฟิลิปปินส์จะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันจนถึงปี2559  

โครงการ"ลมหายใจไร้มลทิน"ก้าวสู่ปีที่ 8 มุ่งมั่น ปลูกฝังเด็กไทย ให้มีหัวใจซื่อสัตย์


MOTOR EXPO สานต่อโครงการลมหายใจไร้มลทิน ก้าวสู่ปีที่ 8 วางแผนสร้างเครือข่ายเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีใจซื่อสัตย์ รักชาติ ร่วมต้านทุจริตคอร์รัปชั่น พร้อมมอบทุนการศึกษาเป็นกำลังใจแก่เยาวชนคนเก่งที่ชนะการประกวดประเภทต่างๆ ประจำปี 2556

ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ หรือ MOTOR EXPO และรองประธานกรรมการโครงการ “ลมหายใจไร้มลทิน” เปิดเผยว่า เราได้จัดตั้งโครงการลมหายใจไร้มลทินมาตั้งแต่ปี 2550 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะทำงานทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะถ่ายทอดความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริต” สู่หัวใจของเยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต เพราะเราตระหนักว่าสังคมไทยทุกวันนี้เกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวาง ซึ่งหนทางที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คือ การพัฒนาคนที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อช่วยกันดูแลบ้านเมืองต่อไป

คณะทำงานโครงการได้รับความร่วมมืออย่างดีจากสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพ และพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ (สท.) ที่คอยให้คำแนะนำปรึกษา ยิ่งกว่านั้นยังมีเครือข่ายเยาวชนจากสมาชิกสภาเด็ก และเยาวชนแห่งประเทศไทย โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ตลอดจนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)มาทำงานร่วมกัน เพราะทุกหน่วยงานต่างมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาเยาวชนให้เจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ซื่อสัตย์สุจริต

ชไมพร ปภัสร์พงษ์ ผู้อำนวยการโครงการลมหายใจไร้มลทิน กล่าวต่อว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา เราจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนในช่วงปิดภาคเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนมาละลายพฤติกรรม โดยซึมซับความรู้จากอาจารย์ และวิทยากรพิเศษในเชิงปฎิบัติ ตามด้วยกิจกรรมเคลื่อนที่สู่โรงเรียน (โรดโชว์) ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งทุกกิจกรรมจะมีเยาวชนรุ่นพี่ที่เคยร่วมโครงการมาถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ ซึ่งเรามองว่ารุ่นพี่สอนน้องจะเป็นสื่อกลางที่ดีต่อการสร้างเครือข่ายเยาวชนที่มีปณิธานเดียวกันที่เข็มแข็งในอนาคต

 
สำหรับกิจกรรมโครงการการประกวดเพื่อมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่มีความรู้ความสามารถประจำปี 2556 มีการจัดการประกวด 4 ประเภท ได้แก่
1)      ประกวดเรียงความ ในหัวข้อ “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณสมบัติของเด็ก และเยาวชนรุ่นใหม่” ผู้ชนะเลิศ
ระดับประถมศึกษา ได้แก่ เด็กหญิงศศิกานต์ จันทูล โรงเรียนวัดกำแพง จ.กรุงเทพฯ
ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ได้แก่ นางสาวมนัสวี  ขจิตเจริญชัย โรงเรียนนารีวุฒิ จ.ราชบุรี
ระดับอาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวส.)และอุดมศึกษา ได้แก่ นายเจตน์  ตันติวณิชชานนท์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี
2)      ประกวดร้องเพลง แบ่งเป็น 2 บทเพลง
ประกอบดนตรีตามเพลง ลมหายใจไร้มลทิน รางวัลชนะเลิศ
ระดับประถมศึกษา (ประเภทเดี่ยว) ได้แก่ เด็กหญิงณัฐชาพรรณ พลอยสิงห์โต โรงเรียนกสิณธรเซนต์ปีเตอร์ จ.นนทบุรี
ระดับประถมศึกษา (ประเภทหมู่) ได้แก่ ทีมโรงเรียนวัดอัมพวา
ประกอบดนตรีตามเพลง ด้วยลมหายใจที่ไร้มลทิน รางวัลชนะเลิศ
ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) (ประเภทเดี่ยว)  ได้แก่ เด็กหญิงนฤทัย เรืองไพศาล โรงเรียนสารสาสน์พิทยาจ.กรุงเทพฯ
ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.)  (ประเภทหมู่) ได้แก่ ทีมโรงเรียนมัธยมปุรณาวาส
ระดับอาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวส.) และอุดมศึกษา (ประเภทเดี่ยว) ได้แก่ นางสาวเพชรรัตน์ ด่านดวงดี จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

3)      ประกวดวาดภาพศิลปะสะท้อนค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์สุจริต
ในหัวข้อ “คิดดี ทำดี” รางวัลชนะเลิศ
ระดับปฐมวัย ได้แก่ เด็กชายบุณยภู รุ่งโรจน์ โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา จ.นครศรีธรรมราช
ในหัวข้อ ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณสมบัติของเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่รางวัลชนะเลิศ
ระดับประถมศึกษา ได้แก่ เด็กชายกิตติธัช ศรีสุข โรงเรียนอนุบาลนวพร  จ.สุราษฎร์ธานี
ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ได้แก่ เด็กหญิงนวลจุฑา   ยุ่นประยงค์ โรงเรียนสมคิดจิตต์วิทยา จ.ชลบุรี
 
4)    กิจกรรมรณรงค์เสริมสร้างค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์สุจริต รางวัลชนะเลิศ ได้แก่            โรงเรียนคชเผือกอนุสรณ์ จ.กรุงเทพฯ โดยปีที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากจากเยาวชนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด สมัครและส่งผลงานเข้าร่วมประกวดรวมเกือบ 2,000  ชิ้นงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลงานปีที่แล้วเป็นเท่าตัว  สะท้อนให้เห็นว่าการขยายผลโครงการสู่ต่างจังหวัดในช่วงปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย  

            “ปี 2557 เรายังคงรูปแบบกิจกรรมเดิมไว้ทั้งหมดแต่จะเพิ่มหลักสูตรเนื้อหาที่เข้มข้นขึ้น เพื่อติดตาม และประเมินผลโรงเรียนที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมของเราอย่างต่อเนื่อง เพราะโครงการฯ มองว่าเด็กๆ ทุกคนควรได้รับโอกาสเท่าเทียมกัน”  ชไมพร กล่าวและได้เสริมว่า

อยากให้โรงเรียนทั่วประเทศสนับสนุนให้เยาวชนได้ เข้าร่วมโครงการลมหายใจไร้มลทิน รวมถึงส่งผลงานเข้าประกวด ซึ่งกำลังจะเปิดรับสมัครเร็วๆ นี้ โดยสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวและรายละเอียด ได้ที่ www.lomhaijai.orgนอกจากนี้ยังเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับเยาวชนโดยตรงผ่านโซเชียลมีเดียที่ http://www.facebook.com/lomhaijaimotorexpo หรือ โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2641-8444 ต่อ 215

MOTOR EXPO 2014 ต้อนรับ AEC ด้วยแนวคิด “ก้าวเคียงกัน ยานยนต์อาเซียน”


         “MOTOR EXPO” เดินหน้าแถลงแนวคิดปี 2014 มุ่งต้อนรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC สร้างเวทีผนวกความสามัคคี 10 ประเทศสมาชิก มุ่งสู่อนาคตที่สดใสร่วมกัน ภายใต้แนวคิด ก้าวเคียงกัน ยานยนต์อาเซียน (MOVING FORWARD TOGETHER…ASEAN AUTOS)”

                       ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31" หรือ The 31st Thailand International Motor Expo 2014 เปิดเผยว่า งานปีนี้ผู้จัดต้องการให้เป็นเวทีต้อนรับปี 2558 ที่กำลังจะมาถึงซึ่งจะเกิดเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ นั่นคือการเปิด “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ AEC (ASEAN ECONOMIC COMMUNITY) อันนำมาซึ่งความร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับการส่งเสริมให้อยู่ภายใต้ฐานการผลิตและตลาดเดียวกัน

            เมื่อเปรียบเทียบกันในภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย นับว่ามีศักยภาพสูงสุด สามารถผลิตรถยนต์ได้ถึงปีละกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งครึ่งหนึ่งส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลกในประเภท รถเพื่อการพาณิชย์ขนาด 1 ตัน หรือพิคอัพ และรถประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์

            ส่วนอินโดนีเซีย ผลิตรถยนต์มากเป็นอันดับสอง และมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัฐส่งเสริมการผลิตรถยนต์ราคาประหยัดรักษาสิ่งแวดล้อม ตามด้วย มาเลเซีย มีขนาดอุตสาหกรรมยานยนต์ใหญ่เป็นอันดับสาม โดยร้อยละ 90 เป็นการผลิตรถยนต์นั่ง รวมถึงรถยนต์แห่งชาติที่ทั่วโลกรู้จักดี

            ด้านฟิลิปปินส์ แม้จะผลิตรถยนต์ปีละไม่ถึง 1 แสนคัน แต่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของอาเซียน ขณะที่เวียดนาม ได้รับความสนใจลงทุนจากผู้ผลิตจีนหลายรายเพื่อใช้เป็นฐานประกอบรถยนต์พาณิชย์ประเภทต่าง ๆ ภายใต้การสนับสนุนจากภาครัฐ
            
            ผมเชื่อว่าศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ในทุกประเทศดังกล่าว จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว หลังการเปิด AEC ด้วยปัจจัยหลายประการ อาทิ การเคลื่อนย้ายเงินทุนได้อย่างเสรี การปรับลดและยกเลิกภาษีนำเข้าระหว่างกัน การเชื่อมโยง “ห่วงโซ่อุปทาน” หรือเครือข่ายสินค้าและบริการ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนแรงงานมีฝีมือ ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ผู้ประกอบการเกิดความคล่องตัวในการจัดหาวัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องจักร และบุคลากร
         
           ยิ่งกว่านั้น จำนวนประชากรรวมในภูมิภาคที่สูงถึงกว่า 600 ล้านคน บวกกับการคาดหมายว่า ภายในปี 2561 ตลาดยานยนต์อาเซียนจะมียอดจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 4.7 ล้านคันต่อปี ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก          จะดึงดูดให้ผู้ผลิตรายใหญ่ตัดสินใจเพิ่มการลงทุนในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อต้นทุนด้านการผลิตและการจัดการของผู้ประกอบการลดลง ราคาจำหน่ายยานยนต์จะอยู่ในระดับที่คุ้มค่ากว่าเดิม เมื่อการถ่ายทอดโนว์ฮาวเป็นไปอย่างไร้ข้อจำกัดมาตรฐานและเทคโนโลยีการผลิตจะสูงขึ้น และเมื่อปลอดกำแพงภาษีในตลาดจะมียานยนต์ประเภทต่างๆ ให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ

สำหรับตลาดรถยนต์ของไทยในปี 2557 นี้ คาดว่าการเติบโตจะลดลงราว 10 % โดยพิจารณาจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง หากยืดเยื้อจะส่งผลให้ความต้องการผู้บริโภคชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ผมยังมองในเชิงบวกว่าเมื่อเข้า สู่ไตรมาสที่ 3 และ ไตรมาสที่ 4 ตลาดจะค่อยๆ ปรับตัวสู่ภาวะปกติ และความต้องการผู้บริโภคจะทะยานขึ้นอีกครั้งในช่วงเวลาจัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 พอดี ขวัญชัย กล่าวทิ้งท้าย

ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ ชูกลยุทธ์ “One Stop Service” ขึ้นผู้นำตลาด ผ้าเบรกพรีเมี่ยม อันดับ 1 เมืองไทย


ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ ผู้นำผ้าเบรกพรีเมี่ยมเมืองไทย เผยนโยบายและแผนทางธุรกิจในปี 2557หลังปีที่ผ่านมาตลาดผ้าเบรกซบเซาลง จากโครงการรถคันแรกของรัฐบาล แต่เบ็นดิกซ์ยังคงรักษายอดขาย เป็นอันดับ 1 ของตลาดผ้าเบรกพรีเมี่ยมเมืองไทย และเตรียมพร้อมรองรับความต้องการของตลาดผ้าเบรกที่เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ทางการตลาดแบบ 360 องศา เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์
นายประพัฒน์  อัศวาดิศยางกูร ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดประจำภูมิภาค บริษัท เอฟ เอ็ม พี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน และแผนการดำเนินงาน ปี 2557 รวมถึงวิเคราะห์ภาพรวมการแข่งขันของตลาดผ้าเบรกในปีนี้ ว่า “ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ในประเทศไทยนั้นทำตลาดในส่วนตลาดทดแทนเป็นหลัก ซึ่งในปีที่ผ่านมาจากโครงการรถคันแรกของรัฐบาล ทำให้มีรถยนต์ใหม่ในท้องตลาดเพิ่มมากขึ้น จึงส่งผลทำให้ยอดขายของผ้าเบรกไม่เป็นไปตามเป้าเท่าไรนัก เนื่องจากรถยนต์ที่ใช้งานเป็นรถใหม่ จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนอะไหล่ทดแทน โดยต้องรอจนกว่าจะถึงรอบการตรวจเช็คอีกครั้ง แต่สำหรับในปี 2556 ที่ผ่านมา เบ็นดิกซ์ก็ยังคงรักษายอดขาย ได้เป็นอันดับ 1 ของตลาดผ้าเบรกพรีเมี่ยม จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่จากเบ็นดิกซ์ อย่าง Bendix Blue Titanium Stripe (เบ็นดิกซ์ บลู ไทเทเนี่ยม สไทรพส์) ซึ่งเป็นผ้าเบรกที่มีการผสมผสานเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากเบ็นดิกซ์ และจานเบรก ที่มีการเปิดตัวในช่วงกลางปีและปลายปี 56 ที่ผ่านมา จึงทำให้ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ยังคงรักษายอดขายได้อย่างเป็นที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับช่วงปี 2555
โดยในปี 2557 นี้ บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าลุยเต็มที่ โดยได้เพิ่มไลน์สินค้าของเบ็นดิกซ์ ให้ครบทุกเซ็กเม้นท์สำหรับการดูแลรักษาระบบเบรกของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถบรรทุก โดยมีการวางแผนการตลาดเตรียมความพร้อมสำหรับผ้าเบรกทดแทน จากโครงการรถคันแรก ซึ่งถึงรอบที่จะต้องมีการตรวจเช็ค และมีการเปลี่ยนอะไหล่ทดแทน โดยมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่เลือกเข้ารับบริการจากศูนย์บริการ และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเบ็นดิกซ์เองก็จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์คุณภาพที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจและเลือกใช้ ดังนั้นจึงทำให้ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ไม่เคยหยุดคิดค้นและพัฒนา เพื่อความปลอดภัยและเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของผู้ใช้งาน ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของผลิตภัณฑ์ดูแลและรักษาระบบเบรก และผ้าเบรกพรีเมี่ยมของเมืองไทยต่อไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในปีนี้ทางบริษัทฯ ยังเตรียมแผนกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดแบบ 360 องศา ทั้งการสนับสนุนมอเตอร์สปอร์ต รวมถึงการสนับสนุนสโมสรฟุตบอลในไทยลีก และการสร้างแบรนด์ผ่านสื่อต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการขยายจำนวนร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และฝึกอบรมเทคนิคการรักษาระบบเบรกแก่ช่างที่เป็นศูนย์บริการตัวแทนของผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าที่เข้ารับบริการ และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกระดับ รวมถึงการจัดโปรโมชั่นร่วมกับทางร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและผู้บริโภค ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคต่อไป
สำหรับในภาวะสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลงตามลำดับ คาดว่าในปีนี้ตลาดผ้าเบรกเมืองไทย คงมีสภาวการณ์ไม่ต่างจากปีที่ผ่านมามากนัก แต่เบ็นดิกซ์ เป็นแบรนด์คุณภาพระดับมาตรฐานที่ได้รับความไว้วางใจ และความน่าเชื่อถือจากกลุ่มลูกค้ามาโดยตลอด ซึ่งเบ็นดิกซ์เองก็ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่รองรับความต้องการของผู้ที่ใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถบรรทุกโดยตรง ทั้ง ผ้าเบรก น้ำมันเบรก สเปรย์ทำความสะอาดระบบเบรก จาระบี รวมไปถึงจานเบรก ที่เพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และด้วยสินค้าที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วนั้น ด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์เบ็นดิกซ์มาโดยตลอด ตนจึงเชื่อมั่นว่า ผลิตภัณฑ์ของเบ็นดิกซ์ก็จะยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทำให้ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ ยังคงเป็นผ้าเบรก พรีเมี่ยม อันดับ 1 ของประเทศไทย ต่อไปอย่างต่อเนื่องอีกแน่นอน” นายประพัฒน์ กล่าวปิดท้าย


City Automobiles appoints Jaguar Land Rover technical expert Gary Kemp as Chief Technical Consultant


Bangkok, 27 January, 2014 – City Automobiles, Jaguar Land Rover’s authorised distributor and service  provider in Thailand, is pleased to announce the appointment of Mr. Gary Kemp as Chief Technical Consultant. In his new role, he is responsible for overseeing all aspects of City Automobiles’ delivery of exceptional accredited Jaguar Land Rover technical services in Thailand.

Mr. Kemp has brought vast technical skills and longstanding experience with Jaguar Land Rover vehicles to City Automobiles, ensuring its servicing, repair and diagnostics capabilities are offered to customers at the highest levels of quality possible. He joined City Automobiles from RMA Group, where he was employed as a highly skilled field engineer specializing in Jaguar and Land Rover vehicles throughout the Guava group in South-east Asia and Sub-Sahara Africa. His joining City Automobiles gives Jaguar Land Rover’s authorized distributor the opportunity to offer technical services which put it ahead of all rival luxury vehicle sales agents in Thailand.

Danai Chandrangam, General Manager, City Automobiles Co. Ltd., said, “On behalf of Jaguar Land Rover, I am pleased to welcome Gary Kemp to the City Automobiles team, and we are very proud to have an excellent service technician with vast global experience heading our servicing and repair operations here at City Automobiles. His contribution to our efforts to deliver utterly exceptional service to Jaguar Land Rover customers will be immediate and substantial, and we look forward to improving our service even further under his careful technical stewardship.”
Mr. Kemp has completed an incredible range of Jaguar Excellence technical courses, along with all Land Rover Excellence technical courses, numerous JLR technical classroom courses, and Level 4 Jaguar Land Rover Master Tech relevant courses including Aftersales. His level of technical expertise with both brands is unsurpassed anywhere in the world.

Gary Kemp, Chief Technical Consultant, City Automobiles Co. Ltd.,said, “I am totally committed to raising the bar of City Automobiles’ servicing and repair offering in Bangkok to a level superior to Jaguar Land Rover’s luxury rivals anywhere in the city. We are aiming to be No.1in terms of the quality and assurance we offer to our luxury car and luxury SUV customers. My appointment will bring a higher level of technical expertise to City Automobiles, which in turn will enrich the ability of all of our technical staff. I look forward to improving the reputation of the Jaguar Land Rover brand even further in Thailand following recent demand for new JLR vehicles in all parts of the country.”
Land Rover’s customers in Bangkok are supported by City Automobiles’ cutting edge service centre on Wireless Road, Lumphini, and service centre on Rama III. Both service centres provide comprehensive service and repair for all Land Rover and Jaguar customers in Thailand. The new showroom on Rama IV will be launched in Q3 2014.
Further product and technical information is available at www.landroverthailand.com.Tel: 02 651 4545
###
About City Automobiles Co., Ltd
City Automobiles Co., Ltd. is Jaguar Land Rover's only authorised distributor in Thailand, responsible for import and after-sales service for the highly regarded Jaguar and Land Rover brands. The company has also made a large investment into the country, providing sophisticated maintenance equipment, tools and the technology necessary to ensure that genuine Jaguar and Land Rover service standards are met. Service centres are staffed by highly skilled mechanics, technicians and sales professionals trained by Jaguar and Land Rover. Its showroom and cutting edge service centres on Wireless Road, Lumphini, and Rama III have recently been refurbished, and a new showroom on Rama IV will be launched in Q3 2014. Both service centres provide comprehensive service and repair for all Jaguar and Land Rover customers in Thailand.

เอ.พี.ฮอนด้า เปิดแผนระยะกลาง 3 ปีฉบับใหม่ มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน ตั้งเป้ากวาดยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ 1.4 ล้านคัน จากตลาดรวม 1.85 ล้านคันในปี 2014 เปิดตลาดไตรมาสแรกอย่างร้อนแรงด้วย All New PCX150 และ New MSX125


เอ.พี.ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย สร้างความยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีผู้นำ ประกาศความสำเร็จในปี 2013 ด้วยยอดจำหน่ายที่สูงถึง 1,493,000 คัน จากตลาดรวม 2,004,000 คัน เริ่มต้นศักราชใหม่ด้วยการเปิดตัวแผนระยะกลาง 3 ปี ระหว่างปี 2014-2016 มุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และกิจกรรมต่างๆเพื่อความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้ายอดจำหน่ายปี 2014 ที่ 1,400,000 คัน จากตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,850,000 คัน ก่อนเดินเกมรุกตั้งแต่ไตรมาสแรกด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ All New PCX150 รถเอ.ที.ดีไซน์ใหม่สุดหรูหราด้วยไฟ LED รอบคัน อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีระดับโลกทั้งขุมพลัง eSP (Enhanced Smart Power) เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด PGM-FI ขนาด 150cc. ที่ให้ทั้งสมรรถนะและความประหยัด, ระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติ Idling Stop System, กลไกล็อกเบาะขณะเปิดอัตโนมัติ Seat Stopper เพื่อความสะดวกและปลอดภัย และ New MSX125 มินิสตรีทไบค์คลัทช์มือโฉมใหม่ดุดันยิ่งกว่าเดิมด้วยตัวถังสีน้ำเงินและล้อแม็กสีทอง ก่อนทยอยส่งโมเดลใหม่ๆลงตลาดตลอดทั้ง 3 ปี รวม 12 รุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
            
มร.จิอากิ คาโต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2013 ที่ผ่านมา ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เริ่มจากภาคการส่งออกที่ซบเซาในช่วงต้นปีสืบเนื่องมาจากภาวะแข็งตัวของค่าเงินบาท ก่อนจะประสบกับปัญหาความไม่สงบทางการเมืองและความไม่แน่นอนของราคาสินค้าเกษตรในช่วงปลายปี ส่งผลให้จีดีพีของไทยเติบโตเพียง 2.8% ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.5% และส่งผลให้ยอดจดทะเบียนตลาดรถจักรยานยนต์ไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2,004,000 คัน หรือปรับตัวลดลง 6% เมื่อเทียบกับปี 2012 อย่างไรก็ตาม จากการที่รถรุ่นใหม่ๆของฮอนด้าอย่าง Zoomer-X และ MSX125 ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทย ได้ทำให้ฮอนด้ามียอดจำหน่ายในปี 2013 อยู่ที่ประมาณ 1,493,000 คัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 1% ส่งผลให้ฮอนด้ามีส่วนแบ่งในตลาดที่ 74.5% ครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไทยเป็นปีที่ 25 ติดต่อกัน
            
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2014 เอ.พี.ฮอนด้าได้เริ่มต้นแผนระยะกลาง 3 ปี ฉบับใหม่ (2014-2016) เพื่อปรับตัวองค์กรให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยแผนระยะกลางฉบับใหม่นี้มีเป้าหมายอยู่ที่การก้าวสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน ด้วยมาตรการสำคัญ 3 ประการประกอบไปด้วย
             
มาตรการแรก การเป็นผู้นำด้านความรับผิดชอบต่อสังคม โดยในด้านความปลอดภัยเอ.พี.ฮอนด้าได้ร่วมมือกับภาครัฐและสถาบันอาชีวศึกษาจัดทำโครงการ “One Dealer One School หนึ่งร้านสร้างสรรค์ หนึ่งสถาบันสร้างสังคมเช่นเดียวกับโครงการ “Zero Accident อุบัติเหตุเป็นศูนย์ เริ่มที่ตัวคุณ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลต่างๆ ซึงในแผนระยะกลางฉบับใหม่นี้ เอ.พี.ฮอนด้าจะเสริมความเข้มข้นในการทำกิจกรรมขับขี่ปลอดภัยเพื่อผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนภายใต้สโลแกน “Safety for Everyone” โดยร่วมกับเครือข่ายร้านผู้จำหน่ายฯ จัดตั้งศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยอีก 6 แห่งทั่วประเทศ พร้อมผลักดันการให้ความรู้ด้านกฏจราจร และปลูกฝังวิธีการขับขี่ปลอดภัยให้แก่นักเรียนตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนด้านสิ่งแวดล้อมเอ.พี.ฮอนด้าได้ผลักดันให้ร้านผู้จำหน่ายฯพัฒนาสู่การเป็นร้าน กรีนดีลเลอร์หรือศูนย์บริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั่วทั้งประเทศ โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนจากเดิมที่มีอยู่ 540 แห่งในปัจจุบันเป็น 1,200 แห่งภายใน 3 ปี ในขณะเดียวกัน ยังได้เตรียมนำเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระดับสูง อาทิ ระบบคอมบายเบรก และระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติ มาติดตั้งในรถเอ.ที.ขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆ เพราะเป็นกลุ่มที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย
             
มาตรการที่สอง การสร้างคุณค่าอันเป็นเลิศในธุรกิจรถจักรยานยนต์ ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าในระดับสูง พัฒนาเพื่อผู้ใช้ชาวไทยในทุกๆกลุ่ม ซึ่งในช่วง 3 ปีนับจากนี้ไป เอ.พี.ฮอนด้า จะเปิดตัวและวางจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้ารุ่นใหม่ถึง 12 รุ่น พร้อมต่อยอดการสร้างวัฒนธรรมการขับขี่บิ๊กไบค์ให้กับผู้บริโภคชาวไทยอย่างมั่นคง ด้วยการวางจำหน่ายรถบิ๊กไบค์รุ่นใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการขยายเครือข่ายร้านผู้จำหน่ายฮอนด้าบิ๊กวิง
            
มาตรการที่สาม การขยายคุณค่าแบรนด์สูงสุด โดยการประชาสัมพันธ์องค์กรให้มากขึ้นผ่านกิจกรรมต่างๆทั้งในด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อมุ่งสู่การเป็นที่ยอมรับจากสังคมทั้งจากผู้ที่ขี่และไม่ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ควบคู่ไปกับการต่อยอดแบรนด์แคมเปญซึ่งมีกลุ่มวัยรุ่นเป็นเป้าหมายหลัก
            มร.จิอากิ คาโต ได้กล่าวว่า ในแผนระยะกลางฉบับใหม่ที่จะนำมาใช้ระหว่างปี 2014-2016 นี้ เอ.พี.ฮอนด้าพร้อมสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับของสังคมไทย ผ่านการทำกิจกรรมและการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของเรานั่นคือการก้าวสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนอย่างแท้จริง
            
 ในส่วนของตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในปี 2014 เมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยังขาดแรงกระตุ้นในเชิงบวก เราคาดการณ์ว่าตลาดรวมตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ 1,850,000 คัน โดยเอ.พี.ฮอนด้าตั้งเป้าการจำหน่ายไว้ที่ 1,400,000 คัน โดยฮอนด้าเตรียมกระตุ้นดีมานด์ให้กับตลาดตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่าง All New Honda PCX150 ซึ่งเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ของรถเอ.ที.ระดับพรีเมียมรุ่นนี้หลังจากที่เคยเปิดตัวสู่ตลาดเป็นครั้งแรกในปี 2009 และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดีจนมียอดจำหน่ายสะสมกว่า 130,000 คัน โดยในปี 2014 นี้ All New PCX150 มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่หมดทั้งคัน ล้ำสมัยด้วยไฟแบบ LED และเทคโนโลยีต่างๆ ถือเป็นมิติใหม่ของวงการรถจักรยานยนต์ไทยอย่างแท้จริง พร้อมกันนี้ เรายังได้เปิดตัว New MSX125 รถมินิไบค์ดีไซน์ใหม่ดูเท่ยิ่งกว่าเดิม ในขณะเดียวกันเรายังได้เพิ่มสีเหลืองให้กับรุ่น Zoomer-X เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคกลุ่มวัยรุ่นอีกด้วย
            
ทั้งนี้ All New Honda PCX150 ถือเป็นรถเอ.ที.ระดับพรีเมียมที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ภายใต้คอนเซปต์ “THE ONE AND ONLY เสน่ห์ความเท่หนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเทียบเคียงดีไซน์หรูหรา โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ Dual LED Head Light พร้อมไฟเลี้ยวและไฟท้ายแบบ LED ทั้งหมด, แผงหน้าปัดหรูสไตล์ Cockpit, เบาะนั่งดีไซน์ใหม่แบบ Sit-In นั่งสบายทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนด้วยพื้นที่เหยียดขาที่มากขึ้น, กลไกล็อกเบาะขณะเปิดอัตโนมัติ Seat Stopper เพื่อความสะดวกและปลอดภัย, เก็บของสะดวกสบายเหมือนรถยนต์ด้วย Console Box พร้อมอุปกรณ์ชาร์จไฟสำหรับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
             
ในด้านการขับเคลื่อน All New PCX150 ใช้ขุมพลัง eSP (Enhanced Smart Power) เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด PGM-FI ขนาด 150cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติ Idling Stop System อันเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อประหยัดน้ำมัน และรักษาสิ่งแวดล้อม, ปลอดภัยด้วยระบบคอมบายเบรกแบบไฮดรอลิกพร้อมคาลิปเปอร์ 3 ลูกสูบ,อุ่นใจทุกครั้งที่จอดรถด้วยระบบสัญญาณกันขโมยกุญแจนิรภัยพร้อมรีโมทคอนโทรล Anti-Theft Alarm with Respond Remote Key เฉกเช่นเดียวกับรถยนต์ All New PCX150 มีให้เลือก 4 สีได้แก่ขาวด้าน, เทาด้าน แดงเงา, และดำเงา
             
สำหรับ New MSX125 รถมินิไบค์ขับขี่แบบคลัทช์มือที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ก็ได้รับการปรับโฉมให้มีความดุดันมากขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “Clutching Adrenaline ปล่อยมันส์ ออกมาซะด้วยล้อแม็กสีทองสไตล์รถแต่งขนาด 12 นิ้ว พร้อมยางหน้ากว้าง ทะยานดั่งใจด้วยเครื่องยนต์ PGM-FI ขนาด 125cc. มีให้เลือก 4 สีได้แก่น้ำเงิน(สีใหม่ล่าสุด), ขาว, แดง, และดำ
            
 เอ.พี.ฮอนด้าจะวางจำหน่าย New MSX125 ผ่านศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2557 เป็นต้นไป ด้วยราคาแนะนำที่ 67,800 บาท ตามด้วย All New Honda PCX150 ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.aphonda.co.th และติดตามกิจกรรมต่างๆของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าได้ที่เฟซบุ๊ค www.facebook.com/hondamotorcyclethailand.com

All New toyota yaris 2013 2014 โตโยต้า ยาริส

มาอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับAll New toyota yaris 2013 2014  โตโยต้า ยาริส

 

มาดูภายนอก  toyota yaris  โตโยต้า ยาริส กันนะครับ

เรื่องของการออกแบบภายนอกนั้นสามารถจะออกแบบได้โดดเด่นมากสะดุดทุกสายตาที่มองมา โดดเด่นทุกการโลดแล่นบนถนน ไฟหน้าแบบรีแฟลกเตอร์ที่โฉบเฉี่ยวเร้าใจ  กันชนหน้าแบบ Sport เร้าใจ

 



 

มาดูภายใน  toyota yaris  โตโยต้า ยาริส กันนะครับ

สำหรับภายในของ  toyota yaris นั้น หลายๆ คนกลังคิดว่าจะแคบ แต่ที่จริงแล้วก็กว้างพอสมควรเลยก็ว่าได้ สามารถจะตอบรับทุกการใช้งานได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมายทั้งเครื่องเล่น DVD AUX และยังสามารถจะเชื่อต่อกับอุปกรณ์ไร้สายได้อีกด้วย






 

เอ.พี.ฮอนด้า เปิดตัวแคมเปญ Zero Accident ปี 5 รับเทศกาลปีใหม่ชูคอนเซปต์ “ดื่มไม่ขี่” ให้บริการตรวจรถฟรี 10 รายการ พร้อมเปิดจุดพักรถพิเศษสำหรับผู้เดินทางไกล



เอ.พี.ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ร่วมรณรงค์สร้างจิตสำนึกการขับขี่อย่าง ปลอดภัยรับเทศกาลปีใหม่ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “Zero Accident อุบัติเหตุเป็นศุนย์ เริ่มที่ตัวคุณ” ปืที่ 5 หลังจากที่ได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2553 และประสบความสำเร็จด้วยเสียงตอบรับที่ดีทั้งจากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนล่าสุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ เอ.พี.ฮอนด้า ได้เน้นไปที่การลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนพร้อมสร้างการรับรู้และเตือนสติกลุ่มเป้าหมายคนวัยทำงานและวัยรุ่นทั่วไปให้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นด้วยภาพยนตร์โฆษณาชุด “ดื่มไม่ขี่” ออกอากาศทางฟรีทีวีและเคเบิลทีวีพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป อีกทั้งยังผนึกกำลังร่วมกับเครือข่ายศูนย์จำหน่ายและบริการฮอนด้าวิงเซ็นเตอร์ทั่วประเทศจัดโครงการFree Service บริการตรวจเช็ครถจักรยานยนต์ฮอนด้าฟรีถึง 10 รายการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเพียง 30 บาท และมอบส่วนลดพิเศษอีกถึง 30 % สำหรับยางและแบตเตอรี่ระหว่างวันที่ 19-21 ธันวาคม 2556 ตามด้วยการเปิดจุดพักรถพิเศษให้บริการฟรีเครื่องดื่มและสปานวดเท้า สำหรับผู้ที่เดินทางไกลด้วยรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบนเส้นทางหลวงขึ้นสู่ภาคเหนือตั้งแต่ 27 ธันวาคม – 2 มกราคม 2557 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.aphonda.co.th

นายอารักษ์ พรประภา กรรมการบริหารส่วนงานส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด และผู้อำนวยการศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า “จากแนวคิดการรณรงค์ให้มีการขับขี่อย่างปลอดภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ทาง เอ.พี.ฮอนด้าได้ริเริ่มโครงการ Zero Accident อุบัติเหตุเป็นศูนย์เริ่มที่ตัวคุณ มาตั้งแต่ปี 2553 ด้วยคำพูดบอกเล่าผ่านศิลปินที่เป็นพรีเซนเตอร์ของฮอนด้าในช่วงแรก และมีการสานต่อมาโดยตลอด จนมาถึงการร่วมมือกับนักเตะชื่อดังจากทีมแมนฯยูฯและลิเวอร์พูลในช่วงต้นปี 2556 เพื่อตอกย้ำถึงแมสเสจต่างๆของ Zero Accident ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากจุดประสงค์ในการสร้างจิตสำนึกของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนให้รู้จักลดอุบัติเหตุด้วยการเริ่มที่ตัวเอง จนได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานต่างๆของทั้งภาครัฐและเอกชนตลอด 4 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุดของกรมการขนส่งทางบกทำให้เราได้ทราบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในลำดับต้น
ๆยังคงมาจากการดื่มสุราแล้วขับขี่ ดังนั้น ในการเข้าสู่ปี 2557 ซึ่งจะเป็นปีที่ 5 ของโครงการ Zero accident นี้ เราจึงให้ความสำคัญไปที่การรณรงค์ไม่ให้มีการดื่มแล้วขี่ กลายเป็นเป็นที่มาของการสร้างภาพยนตร์โฆษณาชุดดื่มไม่ขี่ ทั้งนี้ก็เพื่อเตือนสติให้ผู้บริโภคได้ฉุกคิดถึงครอบครัวและคนที่รักทุกครั้งก่อนออกสตาร์ทรถ ว่าถ้าหากเลือกที่จะดื่ม ก็ไม่ควรที่จะขับขี่ หรือหากทราบว่าจะต้องขับขี่ก็ไม่ควรดื่มตั้งแต่แรก เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเราเชื่อว่าภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้จะช่วยปลูกจิตสำนึกให้ผู้ขับขี่ตระหนักในการดื่มไม่ขี่มากขึ้น เพื่อให้เทศกาลปีใหม่นี้เป็นเทศกาลของความสุขสำหรับคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง”

สำหรับภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของโครงการ Zero Accident อุบัติเหตุเป็นศูนย์เริ่มที่ตัวคุณ ชุดดื่มไม่ขี่มีแนวทางการสื่อสารอยู่ที่การสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ชม ในเสี้ยวขณะที่ทุกคนกำลังจะไปมีความสุขในโอกาสต่างๆโดยลืมที่จะนึกถึงครอบครัวและคนรักที่รออยู่ โดยนำเสนอเป็น 3 เวอร์ชัน จากเรื่องราวของคุณพ่อในวัยทำงานกับครอบครัว และบันฑิตหนุ่มจบใหม่กับคุณแม่ เวอร์ชันละ 30 วินาที และเวอร์ชันเต็มความยาว 60 วินาที ทั้งนี้ เอ.พี.ฮอนด้า จะเริ่มออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆทั่วประเทศ

นอกจากการรณรงค์ให้มีการขับขี่อย่างปลอดภัยผ่านโฆษณาชุดใหม่แล้ว เอ.พี.ฮอนด้า ยังได้ร่วมกับเครือข่ายศูนย์จำหน่ายและบริการฮอนด้าวิงเซ็นเตอร์ทั่วประเทศจัดโครงการ Free Service ในช่วงปีใหม่
มอบบริการตรวจเช็คสภาพสำหรบผู้ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้าฟรีถึง 10 รายการ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในราคาพิเศษเพียง 30 บาทเท่านั้น และยังมอบส่วนลดพิเศษอีก 30% สำหรับยางอะไหล่และแบตเตอรี่ ระหว่างวันที่ 19 ถึง 21 ธันวาคม 2556 ตามด้วยการเปิดจุดพักรถพิเศษให้บริการฟรีเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นรวมถึงของว่าง พร้อมบริการสปานวดเท้า

สำหรับผู้ที่เดินทางไกลด้วยรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบนเส้นทางหลวงขึ้นสู่ภาคเหนือสายชัยนาทสรรพยาตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2556 ถึง 2 มกราคม 2557 ผู้สนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.aphonda.co.th

นิสสัน เปิดตัว “นิสสัน จู๊ค” รถสปอร์ตครอสโอเวอร์ โดดเด่น มีเอกลักษณ์


  • -ผู้นำรถยนต์ประเภทคอมแพค สปอร์ตครอสโอเวอร์ ครั้งแรกในเมืองไทย
  • -สัมผัสประสบการณ์สมรรถนะการขับขี่ กับระบบ I-Con และ I-Connect
  • -เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ขวัญใจวัยมันส์ “พีช พชร จิราธิวัฒน์”

กรุงเทพฯ – 26 พฤศจิกายน 2556 – บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่ตื่นเต้นเร้าใจ ประกาศเปิดตัวรถยนต์สปอร์ตครอสโอเวอร์คันแรกในไทย “นิสสัน จู๊ค” ฉีกกฏรถยนต์ประเภทแฮทช์แบคอย่างสิ้นเชิง

ด้วยยอดขายมากกว่า 680,000 คันทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2553 จู๊ค ถ่ายทอดความแตกต่างอย่างมีสไตล์ บังคับควบคุมได้อย่างคล่องแคล่ว ขับสนุก และเทคโนโลยีที่ใช้ได้ง่าย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของรถประเภทครอสโอเวอร์ ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก

“ด้วยจำนวนของรถยนต์ประเภทสปอร์ตครอสโอเวอร์ที่เพิ่มมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เราได้เล็งเห็นโอกาสที่จะแนะนำรถยนต์รุ่นนี้ในประเทศไทย” นายทาคายูกิ คิมูระ ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและเสริมว่า “เนื่องจาก นิสสัน จู๊ค มีสมรรถนะการขับขี่และการควบคุมที่ดีในทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือนอกเมือง ผมมั่นใจจู๊คจะกลายเป็นรถที่มีสัญลักษณ์ที่โดดเด่นบนท้องถนนเมืองไทย”

ภายใต้แนวคิด “Born to excite” จู๊ค มีดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว ดุดันและกลมกลืน มีเอกลักษณ์ สะดุดทุกสายตาด้วยไฟหน้าและไฟท้ายรูปทรงบูมเมอแรง ผสานสไตล์รถคูเป้ ให้อารมณ์สปอร์ต ด้วยเส้นด้านข้างแบบ high waistline และโฉบเฉี่ยวด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ช่วยเสริมสมรรถนะการทรงตัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน

นอกจากนี้ องค์กรที่มีชื่อเสียงด้านการสำรวจและวิจัยตลาด เจ ดี พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิค ได้ประกาศว่า นิสสัน จู๊ค ได้รับคะแนนสูงสุดด้านความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ของรูปลักษณ์ภายนอกของกลุ่มรถยนต์ประเภทคอมแพค และอยู่ในระดับที่ดีมากของในประเภทการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของรถยนต์
นอกเหนือจากดีไซน์โฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ จู๊ค ยังมาพร้อมกับ ระบบควบคุมการทำงานอัจฉริยะ I-Con (Integrated-Control System) ที่มีโหมดควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร (Climate Mode) และโหมดควบคุมรูปแบบการขับขี่ (Drive Mode) ที่เลือกปรับได้ 3 รูปแบบ ทั้งโหมดการขับขี่แบบปกติ (Normal Mode) โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Mode) เน้นขับสนุกเต็มสปีด เร่งแซง ได้รวดเร็วทันใจ และโหมดการขับขี่แบบประหยัด (Eco Mode) เน้นการขับขี่ที่ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด

นิสสัน จู๊ค ยังจัดเต็มเทคโนโลยีสุดล้ำเติมอารมณ์การขับขี่ให้สนุกมากขึ้น ด้วยระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและความบันเทิง I-Connect บนหน้าจอสัมผัสแบบพกพาขนาด 7 นิ้ว ซึ่งถอดออกจากแผงหน้าจอหลักได้เพื่อการใช้งานที่สะดวกมากขึ้น เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ด้วยสัญญาณ WIFI ผ่านอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS หรือแอนดรอยด์  สามารถชมและแชร์ไฟล์ภาพ เพลง วิดีโอได้อย่างไร้ขีดจำกัดบนหน้าจอเมื่อใช้ Micro SD Card/USB หรือเชื่อมต่อระบบปฏิบัติการ iOS หรือแอนดรอยด์ผ่านระบบ DLNA พร้อมฟังเพลงหรือโทรออก-รับสายเรียกเข้าได้อย่างปลอดภัยขณะขับรถเมื่อเชื่อมต่อด้วยบลูทูธ สะดวกสบายทุกการใช้งานด้วยระบบสั่งการเมนูหลักด้วยเสียง Voice Recognition พร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย

และเพื่อสะท้อนความเป็น จู๊ค ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นิสสัน เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ขวัญใจวัยมันส์ “พีช พชร จิราธิวัฒน์” พร้อมกับกลยุทธ์ Entertainment Marketing โดยกำหนดทิศทางสื่อสารการตลาดภายใต้แนวคิด “Born to excite” ครอบคลุมสื่อมัลติมีเดียเอ็นเตอร์เทนเมนต์ทุกรูปแบบ อาทิ บทเพลงจากศิลปินสุดฮอต “Getsunova” มิวสิควิดีโอ หนังสั้นโดยผู้กำกับฝีมือเยี่ยมที่มีผลงานกระแทกใจวัยรุ่น “ปวีณ ภูริจิตปัญญา” สติ๊กเกอร์ LINE และภาพยนตร์โฆษณา

นิสสัน จู๊ค ขับเคลื่อนปราดเปรียวด้วยเครื่องยนต์สุดล้ำ HR16 ขนาด 1.6 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบหัวฉีดคู่ (Dual Injector System) ผสานกับระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC และระบบเกียร์แปรผันอัจฉริยะ XTRONIC CVT สมรรถนะเครื่องยนต์ให้แรงบิดสูงสุดที่ 154 นิวตัน-เมตร (15.7 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบต่อนาที กำลังสูงสุด 116 แรงม้า (พีเอส) ที่ 5,600 รอบต่อนาที  เผาไหม้เชื้อเพลิงหมดจด ประหยัดน้ำมันได้ดีเยี่ยม มั่นใจในสมรรถนะการเกาะถนนด้วยระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และระบบกันสะเทือนหลังแบบทอร์ชั่นบีมพร้อมเหล็กกันโคลง มีจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น 1.6E และรุ่น1.6V มีให้เลือก 6 สี คือ สีแดงเบิร์นนิ่งเรด สีน้ำเงินแปซิฟิคบลู  สีดำแบล็คโซลิด  สีขาวไวท์โซลิด  สีเทาทไวไลท์เกรย์  และสีเงินบริลเลียนท์ซิลเวอร์

“เอกลักษณ์ที่โดดเด่น ล้ำสมัย ตอบสนองเพื่อให้ประสบการณ์ขับขี่ที่สนุก เร้าใจ จู๊ค คือสิ่งที่แบรนด์ นิสสัน ยืนหยัด ซึ่งก็คือ นวัตกรรมที่สร้างความเร้าใจให้กับทุกคน  การเปิดตัว จู๊ค อยู่ในแผนงานที่เราต้องการมอบรถยนต์ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้า เราเชื่อมั่นว่า จู๊ค จะเปิดกลุ่มรถยนต์สายพันธุ์ใหม่ที่จะดึงดูดใจลูกค้าชาวไทยอย่างแน่นอน”นายคิมูระ กล่าว

“MOTOR EXPO 2013” ยอดจองรถ 41,083 คัน ยอดผู้ชมกว่า1.36 ล้านคน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30” ปิดฉากยิ่งใหญ่


ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางการเมือง แต่ผู้ชมกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง ระดับ B+ ถึง A ยังจองรถใหม่คับคั่ง ส่งผลให้รถยนต์นั่งขนาดกลางและรถประเภทเอสยูวี ขายดี ดันราคารถเฉลี่ยในงานทะลุหลักล้าน สร้างเม็ดเงินสะพัดในงานกว่า46,000ล้านบาท

 ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30” “ถึงแม้ว่าช่วงเวลาจัดงานจะมีการชุมนุมทางการเมืองยืดเยื้อแต่ถือว่ายังคงได้รับกระแสตอบรับที่ดี จำนวนผู้เข้าชมงานสูงถึง 1,367,357 คน ลดลง 14.5% จากยอดประเมินเดิม 1.6 ล้านคน โดยมียอดจองรถตลอดทั้ง 12 วัน รวม 41,083 คัน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนภายในงานได้กว่า 46,000ล้านบาท (รวมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ รถมือสอง ค่ายรถยนต์ที่มียอดจองสูงสุดในงาน 5 อันดับแรก

อันดับ 1 โตโยตา มียอดจองทั้งสิ้น 9,075 คัน 
อันดับ 2 ฮอนดา 6,099 คัน 
อันดับ 3 นิสสัน 4,007 คัน
อันดับ 4 อีซูซุ 3,753 คัน และ 
อันดับ 5 มิตซูบิชิ 3,689 คัน

 ส่วนรถเก๋งหรู นำโดยเมร์เซเดส-เบนซ์ มียอดจอง 1,227 คัน ตามด้วยบีเอมดับเบิลยู 763 คัน 

 “ผู้จัดได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ร่วมรายการซื้อรถ ชิงรถ ปีนี้ พบว่า รถเก๋ง มียอดจองคิดเป็นสัดส่วน 51.4% ของยอดจองทั้งหมดในงานรถเอสยูวี 26.8% รถกระบะ 14.6% และรถประเภทอื่น 7.2%” ที่น่าสนใจคือราคาเฉลี่ยรถในงานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,046,457 บาท จากปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 800,000 บาท 

เนื่องจากความต้องการซื้อรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (อีโคคาร์) ลดลงจากเมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งมีนโยบายคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาล

โดยปีนี้ผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจกับรถยนต์นั่งขนาดกลางและรถเอสยูด้านรถจักรยานยนต์ระดับพรีเมียม มียอดจองรวม 2,104 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.6% โดยฮอนดาขายได้ 1,001 คัน คาวาซากิ 254 คัน และเบเนลี 222 คัน ตามลำดับ



donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved