Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

เบนท์ลี่ย์ วี 8 เอส (V8 S) ใหม่ล่าสุด เปิดตัวสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย



·         จีที วี8 เอส (GT V8 S) รุ่นคูเป้ (coupe) และรุ่นเปิดประทุน (convertible) เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน IAA แฟรงก์เฟิร์ต
·         มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนท์ลี่ย์ ขนาด 4 ลิตร twin-turbo V8
·         พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 521 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ/นาที
·         GT V8 S Coupe มีอัตราเร่งจาก 0-100กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา4.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 309 กิโลเมตร/ชั่วโมง
·         GT V8 S Convertible มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 308 กิโลเมตร/ชั่วโมง
·         ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอย่างยิ่งโดยหากเติมน้ำมันเต็มถังนั้นทั้ง 2 รุ่นสามารถวิ่งได้ยาวไกลถึง 805 กิโลเมตร
·         การออกแบบเน้นในเรื่องของความเฉียบคมและเต็มไปด้วยสไตล์รูปลักษณ์ที่โดดเด่นตามรูปแบบรถสปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน
·         ตัวถังต่ำลง 10 มิลลิเมตร พร้อมระบบช่วงล่างแบบสปอร์ตและคาลิปเปอร์เบรกสีแดง
·         โลโก้ “V8 S”จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นสปอร์ตอย่างแท้จริง

กรุงเทพฯ. เบนท์ลี่ย์ ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยของยนตรกรรมหรูรุ่นใหม่ล่าสุดจากเบนท์ลี่ย์The New Continental GT V8 S and GT V8 S Convertible เชิญชวนทุกท่านสัมผัสโลกของ ‘S’ กับคำนิยามใหม่แห่งสปอร์ต บนความหรูหราที่สุดของเบนท์ลี่ย์เมื่อวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2557 ณ โชว์รูม PAG ชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ที่ผ่านมา 

เบนท์ลี่ย์เพิ่มสมาชิกใหม่ให้กับครอบครัวคอนติเนนทัล (Continental) นั่นคือรุ่น     จีที วี8 เอส (GT V8 S) ใหม่ล่าสุดที่ทำการเปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ IAA Frankfurt Motor Show โดยจะออกมาในรูปแบบ 2 เวอร์ชั่นนั่นคือรุ่นคูเป้และรุ่นเปิดประทุน รุ่น V8 S ใหม่ล่าสุดนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ Twin-turbo ขนาด 4 ลิตร ให้พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 521 แรงม้า (528 PS / 389 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 680    นิวตันเมตร ระบบช่วงล่างได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ รวมถึงเพิ่มสีภายนอกและภายในห้องโดยสารเพื่อเพิ่มจุดเด่นด้วยเช่นกัน

Dr Wolfgang Schreiber ประธานกรรมการและบริหารของเบนท์ลี่ย์ มอเตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า:
วี8 เอส (V8 S) ใหม่ล่าสุดของเรานี้จะกลายมาเป็นรุ่นที่เข้ามาเสริมและสร้างความตื่นเต้นให้กับครอบครัวคอนติเนนทัล (Continental) พละกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดที่เพิ่มมากขึ้น ช่วงล่างเน้นในเรื่องของความคล่องตัว ทำให้รถที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 เวอร์ชั่นนี้ของเรามีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา และเปี่ยมไปด้วยคุณภาพชั้นเลิศตามแบบฉบับเบนท์ลี่ย์ทุกประการ นี่คือรถที่มีลักษณะโดดเด่นเป็นของตัวเอง มีความคล่องตัวสูง และให้ความแตกต่างอย่างชัดเจน


คอนติเนนทัลใหม่ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และมีความคล่องตัวสูง
รุ่น วี 8 เอส (V8 S) ใหม่ล่าสุดนี้ถูกสร้างขึ้นจากความสำเร็จของรุ่นคอนติเนนทัล จีที V8 (Continental GT V8) มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนท์ลี่ย์ ขนาด 4 ลิตร twin-turbo V8 ให้พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 521 แรงม้า (528 PS / 389 กิโลวัตต์) ที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุดที่ 680 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,700 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังหรือเกียร์ออกมาในรูปแบบระบบเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด เสริมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เน้นการกระจายแรงบิดไปทางด้านหลัง 40:60 เป็นหลัก เพื่อให้มั่นใจว่าการกระจายพละกำลังเครื่องยนต์นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มพละกำลังมากขึ้นและไม่สะดุดอีกด้วย รุ่น จีที วี8 เอส คูเป้ (GT V8 S coupe) มีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.5 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 309 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนสมรรถนะของ จีที วี8 เอส    (GT V8 S) รุ่นเปิดประทุนมีความน่าประทับใจเช่นกันโดยมีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 308 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอย่างยิ่งโดยหากเติมน้ำมันเต็มถังนั้นทั้ง 2 รุ่นสามารถวิ่งได้ไกลถึง 805 กิโลเมตรเลยทีเดียว

การเพิ่มประสิทธิภาพของตัวถังให้กับรุ่นคอนติเนนทัล (Continental) จะทำให้รถมีสมรรถนะการทรงตัวที่ดียิ่งขึ้นและสามารถควบคุมได้ง่ายเหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังสูง ทำให้รถขับเคลื่อนไปได้อย่างสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ หากตั้งค่าตัวถังในรูปแบบสปอร์ต จะพบว่าความสูงของตัวถังจะต่ำลงมาอีก 10 มิลลิเมตร ทางด้านหน้าและหลัง ในขณะที่ค่าความแข็ง-อ่อนคงที่ของสปริงที่จะยุบตัวเป็นสัดส่วนตามน้ำหนักที่กดทับและบาร์ป้องกัน (Anti-roll bar) ทางด้านหลังจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้เบนท์ลี่ย์ยังทำการตั้งค่าโช้คอัฟ, พวงมาลัย, และระบบ ESC ใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์การขับขี่อย่างสุนทรีย์ที่สุด

การออกแบบจะเน้นในเรื่องของความเฉียบคมและเต็มไปด้วยสไตล์รูปลักษณ์ที่โดดเด่นตามรูปแบบรถสปอร์ต แพ็คเกจสำหรับตกแต่งตัวรถส่วนล่างมาพร้อมกับการลดระดับช่วงล่างลงเพื่อให้เหมาะสมตามหลักอากาศพลศาสตร์ อีกทั้งยังมาพร้อมกับครีบด้านข้างและครีบกระจายอากาศด้านหลังที่สง่างามสีดำ Beluga gloss black ส่วนล้อมีขนาด 20 นิ้วที่เพิ่มความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และพิเศษเฉพาะสำหรับรุ่น วี8 เอส (V8 S) เท่านั้น เบรกคาลิปเปอร์สีแดง ส่วนโลโก้ “V8 S” จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นสปอร์ตอย่างแท้จริง ปลายท่อออกมาในรูปแบบสปอร์ตใหม่ล่าสุด


ภายในห้องโดยสารของ วี8 เอส (V8 S) นำเสนอถึงความทันสมัยและหรูหราตามแบบฉบับของเบนท์ลี่ย์ มาพร้อมกับภายในห้องโดยสารแบบทูโทน สีขอบตกแต่งภายในห้องโดยสารสามารถเลือกได้ถึง 17 สีเลยทีเดียว จีที วี8 เอส คูเป้ (GT V8 S Coupe) ยังมีความโดดเด่นด้วยเส้นขอบตัดภายในที่โดดเด่นและตัดกับเส้นลายหลังคาได้อย่างหรูหราสง่างาม ปุ่มสวิทซ์ไปจนถึงก้านเกียร์รวมถึงปุ่มควบคุมเบาะพ่นลมมีความสง่างามและตัดกับลายไม้ Piano Black ได้อย่างลงตัว ไม่เพียงเท่านี้ยังได้รับการเสริมทัพด้วยโลโก้ “V8 S” แสดงความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

ข้อความจากผู้เขียน

เบนท์ลี่ย์ มอเตอร์ มีพนักงานกว่า 4,000 คนที่เมือง Crewe ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานในการปฎิบัติงาน ทั้งในเรื่องของการออกแบบ การวิจัยและพัฒนา วิศวกรและสายการผลิต ที่แห่งนี้รวบรวมไว้ซึ่งช่างฝีมือชั้นเยี่ยม ที่ส่งผ่านทักษะที่โดดเด่นของพวกเขาสู่เจเนอเรชั่นใหม่ เบนท์ลี่ย์ถือได้ว่าเป็นโรงงานผลิตรถหรูที่เต็มไปด้วยวิศวกร ผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยด้วยเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้เบนท์ลี่ย์ยังได้รับการขนานนามว่าเป็นโรงงานผลิตรถยนต์หรูที่โดดเด่นมากในประเทศอังกฤษ ที่สำคัญคือการสร้างคุณค่าของรถยนต์จากประเทศอังกฤษให้เพิ่มมากขึ้น เบนท์ลี่ย์ส่งออกสินค้าที่มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านปอนด์ในปี 2012 ที่ผ่านมา บริษัทได้กลายมาเป็นนักพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับตลาดรถยนต์ในประเทศอังกฤษ

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์บนท์ลี่ย์ได้ที่      แผนกการตลาดและประชาสัมพันธ์  ทร. 02-522-6655 ต่อ448  บริษัท เอเอเอสออโต้ เซอร์วิส จำกัด  ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลี่ย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

Bus & Truck’14 ภายใต้แนวคิด “More Power No Border” 6 – 8 พ.ย. 57 งานเพื่อชาวรถใหญ่ ค้นหาโอกาสทางธุรกิจ เร่งพลังขานรับ AEC




เตรียม พบกับ Bus & Truck’14 ... งานแสดงรถเพื่อการพาณิชย์สุดยิ่งใหญ่ งานแรกแห่งอาเซียน กลับมาอีกครั้งในปีนี้ ภายใต้แนวคิด ‘More Power No Border’ เปิดรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยพื้นที่ทั้งหมดกว่า 15,000 ตร.ม. ทั้งภายในอาคารและกลางแจ้งของไบเทค กรุงเทพฯ ได้ถูกปรับพื้นที่ให้ชาวรถใหญ่ รถเพื่อการพาณิชย์ และรถที่ใช้ในกิจการพิเศษหลากหลายประเภท ได้เข้าร่วมโชว์สมรรถนะการเร่งพลังขับเคลื่อนธุรกิจด้านการขนส่ง เตรียมความพร้อมสู่การเปิดโลกเสรี AEC อย่างเต็มศักยภาพ

งาน Bus & Truck’14 .. คือเครื่องมือการตลาดสำคัญที่ TTF สร้างสรรค์และจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นงานแรกในอาเซียนที่ให้บรรดาผู้ประกอบการรถใหญ่ทุกประเภทได้ มีพื้นที่โชว์นวัตกรรมด้านยนตรกรรมยานยนต์ขนาดใหญ่ ทั้งรถหัวลาก รถบรรทุก รถโดยสาร ฯลฯ รวมไปถึงผู้ผลิต-จำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง เช่น อะไหล่ เทคโนโลยีงานระบบ หรือเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนธุรกิจขนส่งและบริการโลจิสติกส์ที่เข้าร่วมจัดแสดงในงานนี้ ก็จะได้มีโอกาสพบกับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการตรงในผลิตภัณฑ์และบริการใน อุตสาหกรรมรถเพื่อการพาณิชย์และกิจการพิเศษ ไม่นับรวมถึงความต้องการใหม่จากผู้บริโภคกลุ่มอื่นที่ต่างอยู่ในช่วงของการ ค้นหาโอกาสทางธุรกิจในยุคของการเปิดเสรีการค้าในกลุ่มประเทศ AEC นับเป็นความคุ้มค่าของผู้จัดแสดงทั้งในเชิงการตลาดและการขยายฐานกลุ่มลูกค้า ของธุรกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ผู้ประกอบการธุรกิจรถใหญ่ รถเพื่อการพาณิชย์ และกิจการเกี่ยวเนื่องทุกชนิดที่สนใจจองพื้นที่จัดแสดงของงาน Bus & Truck’14 สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 0 2717 2477 ต่อ 159 Email : supaman@TTFintl.com , info@TTFintl.com


Bus & Truck’14 งานแสดงรถเพื่อการพาณิชย์และกิจการพิเศษ ... จัดโดย TTF

สมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่สุดทน ผนึกกำลัง เดินหน้าร้องขอความเป็นธรรมกับ สมอ. กรณีตรวจสอบมาตรฐานรถนำเข้า แนวทางการทำงานไม่ชัดเจน เลือกปฎิบัติ ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการเดือดร้อนกันถ้วนหน้า




นายอภิชาติ สมรพิทักษ์กุล นายกสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่ เปิดเผยว่า “ในขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์ใหม่ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก สืบเนื่องจากนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ออกระเบียบให้ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระต้องนำรถยนต์ที่นำเข้ามาทำการตรวจสอบมาตรฐานก่อนการจำหน่ายทุกคัน ในขณะที่บริษัทผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Authorizer Dealers) ในประเทศไทยได้รับยกเว้นหรือผ่อนผัน ทั้งๆ ที่รถยนต์ที่ผู้นำเข้าอิสระกับผู้แทนจำหน่ายนั้น สั่งนำเข้ารถยนต์มาจากแหล่งผลิตหรือโรงงานเดียวกันจากต่างประเทศ”

แนวทางการปฏิบัติงานของ สมอ.ดังกล่าวนี้ เป็นการปฎิบัติที่ไม่เป็นธรรมส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ให้กับผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์อิสระ อาทิ ต้นทุนที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคขาดเสรีภาพและโอกาสในการเลือกซื้อ ระยะเวลาที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงตามที่ระบุไว้ในหลักเกณฑ์ กล่าวคือ สมอ. ระบุว่าจะสามารถตรวจสอบมาตรฐานให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่ในทางปฎิบัติจริงแล้วใช้เวลาตรวจสอบอย่างน้อย 90 ถึง 120 วัน ส่งผลให้การส่งมอบรถให้ลูกค้าเกิดความล่าช้าเสียหาย

อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ไม่มีมาตรฐานในการจัดเก็บที่แน่นอน โดยในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน มีการปรับเปลี่ยนหลักการจัดเก็บถึง 3 ครั้ง กล่าวคือ ครั้งแรกประมาณต้นปี 2556 ผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์อิสระ ได้ยื่นขอตรวจสอบรถยนต์นำเข้า สมอ. คิดค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มูลค่าประมาณ 100,000 บาท ต่อมา สมอ. ได้มีการเปลี่ยนแปลงคิดค่าธรรมเนียมโดยแยกตามประเภทของเครื่องยนต์ โดยดีเซลคิดค่าธรรมเนียม 19,000 บาท และ เบนซินคิดค่าธรรมเนียม 49,000 บาท ซึ่งในขณะนั้นใบอนุญาตใบแรกก็ยังไม่ออกเสียด้วยซ้ำ ล่าสุดมีการปรับค่าธรรมเนียมการจัดเก็บเครื่องยนต์ดีเซลอยู่ที่ 46,000 บาท และ เครื่องยนต์เบนซินอยู่ที่ 78,000 บาท ซึ่ง สมอ. ไม่เคยชี้แจงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บเงินจำนวนเงินดังกล่าวเลย


“และด้วยคำสั่งล่าสุด ให้รถยนต์นำเข้าต้องผ่านการตรวจมาตรฐานเพื่อรับใบอนุญาตจาก สมอ. ทุกชิฟเม้นท์ ก่อให้เกิดความตระหนกตกใจ รวมถึงความไม่เชื่อถือในหมู่ผู้บริโภคทั้งที่เป็นลูกค้าเก่า ลูกค้าใหม่ และบริษัทไฟแนนซ์ต่างๆ อีกทั้งคำว่า “ทุกชิฟเม้นท์” นี้ก็ไม่มีความชัดเจนว่าคืออะไร สมาคมฯได้ทำหนังสือถามเพื่อความชัดเจนไปที่ สมอ. ซึ่งยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจนถึงทุกวันนี้

ถ้าเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Authorized Dealers) สมอ.กลับผ่อนผันยกเว้นด้วยการใช้วิธีตรวจสอบจากการเทียบเคียงในรถรุ่นเดียวกันสามารถใช้ใบอนุญาต 1 ใบ ต่อรถจำนวน 5,000 คัน หรือไปตรวจสอบ ณ โรงงานผู้ผลิต แต่สำหรับผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์อิสระแล้ว สมอ.ระบุว่าต้องตรวจทุก ชิฟเม้นท์ ซึ่งสมาคมฯ ถือว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากในขณะนี้
         
ทั้งนี้ สมาคมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจได้เข้าพบเพื่อหารือหาแนวทางแก้ไขกับผู้มีอำนาจรับผิดชอบในสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หลายๆ ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมา โดยล่าสุดสมาคมฯ ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 25 เมษายน 2557 ต่อ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ให้พิจารณาให้ความเป็นธรรมในเรื่องการขอปรับเกณฑ์ในการตรวจสอบเพื่อการอนุญาตสำหรับผู้นำเข้ารถยนต์รายย่อย แต่คำร้องดังกล่าวยังไม่ได้รับการตอบรับจาก สมอ. แต่อย่างใด

“ดังนั้น ในนามสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่จึงได้ร่วมกันชี้แจ้งข้อเท็จจริง เพื่อให้มีการตรวจสอบอำนาจหน้าที่ และการทำงานของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่ต้องทำงานด้วยความสุจริต โปร่งใส ยุติธรรม และสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ และนับจากวันนี้สมาคมฯ ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาและสรุปการดำเนินการในขั้นต่อไป” นายอภิชาติ กล่าวทิ้งท้าย

มาสด้าชูเทคโนโลยี สกายแอคทีฟ สุดยอดเทคโนโลยียานยนต์ของโลก




กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 20 มิถุนายน 2557, มาสด้า ประกาศศักดาเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ในงานประชุมสุดยอดด้านวิชาการ Automotive Summit 2014: Green Mobility Changing the World ตามคำเชิญจากนายวิชัย จิราธิยุต (ที่ 4 จากขวา) ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ด้วยการส่ง มร. มิตซูโอะ ฮิโตมิ (ที่4 จากซ้าย) เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น รับผิดชอบศูนย์วิจัยด้านเทคนิค การพัฒนาระบบขับเคลื่อนและระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของมาสด้า มานำเสนอสุดยอดเทคโนโลยี SKYACTIV Technology ที่ใช้ในการพัฒนายานยนต์ที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีเยี่ยมและคุ้มค่า โดยมีผู้บริหารจากมาสด้า เซลส์ ประเทศไทยเข้าร่วมงาน
สกายแอคทีฟ เทคโนโลยี” SKYACTIV Technologyเป็นชื่อเรียกขานของนวัตกรรมเทคโนโลยียนตรกรรมใหม่ล่าสุดซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเราชาวมาสด้า ทั้งหมดนี้ได้ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นจากวิสัยทัศน์ของพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแผนงานระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนของมาสด้า หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "ซูม-ซูม แบบยั่งยืน" หรือ “Sustainable Zoom-Zoom” ซึ่งนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่นี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความตั้งใจจริงและความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมาสด้าในความมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ด้านการขับขี่ ไปพร้อมๆ กับความห่วงใยที่มีต่อสิ่งแวดล้อมของมนุษยชาติ รวมถึงระบบความปลอดภัยสูงสุดสำหรับยนตรกรรมที่กำลังจะถูกพัฒนาขึ้นต่อจากนี้

นิปปอนเพนต์ ส่ง “แนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็ม” ระบบสีอัจฉริยะ เขย่าตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์ หวังกระตุ้นตลาดครึ่งปีหลัง

นิปปอนเพนต์เดินเกมรุกตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์ส่งแนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็มระบบพ่นซ่อมสีอัจฉริยะเร็วกว่าปกติถึง 5 เท่า สร้างปรากฎการณ์ระบบพ่นซ่อมสีที่เร็วที่สุดครั้งแรกในไทย ชูจุดขาย “FAST&EASY” หวังกระตุ้นรายได้ให้ผู้ประกอบการ พร้อมตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นสะดวก-เร็ว ตั้งเป้าสิ้นปีโต 10 %
            นายทวีชัย ตังธนาวิรุตม์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็นพี ออโต้ รีฟินิช จำกัด ภายใต้แบรนด์ นิปปอนเพนต์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาพรวมตลาดสีพ่นซ่อมรถยนต์ ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งด้านความสวยงาม และการประหยัดพลังงาน ประหยัดเวลาทำงานให้เร็วขึ้น ดังนั้น ในฐานะผู้นำนวัตกรรมสีพ่นรถยนต์ และครองอันดับ 1 ในตลาด จึงได้คิดค้นและพัฒนาระบบพ่นซ่อมสีรถอัจฉริยะ“แนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็ม(NAX Velocity Paint System)เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านบริการและสินค้าที่ครบวงจรมากที่สุดสามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้ในยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกรวดเร็วได้มาตรฐานสากล ด้วยประสิทธิภาพของระบบที่รวดเร็วกว่าปกติถึง 5 เท่าทำให้สามารถรองรับปริมาณรถยนต์ที่เข้ามาใช้บริการต่อวันได้มากขึ้น
            ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ให้ความสนใจในเรื่องความสะดวก รวดเร็ว ลูกค้าเจ้าของรถยนต์ที่เข้ารับบริการซ่อมสีต้องการรับบริการแบบซ่อมด่วน ลูกค้าผู้ใช้สีหรืออู่ซ่อมสีมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบ สนองการทำงานที่สั้นประหยัดเวลาในการพ่นซ่อม รวมถึงต้องการสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็ม ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของนิปปอนเพนต์ที่คิดค้นและพัฒนาสีพ่นซ่อมรถยนต์ความเร็วสูงกว่าปกติถึง 5 เท่า ที่เน้นความสวยงาม สะดวกรวดเร็วได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ภายใต้แนวคิด “FAST&EASY SERVICE” โดยใช้เทคโนโลยีและกระบวนการผลิตรุ่นล่าสุด ผสานจุดเด่นของกลุ่มผลิตภัณฑ์แนกซ์ (Nax)” ของนิปปอนเพนต์ที่ส่งเสริมการทำงานซึ่งกันและกันทำให้เมื่อใช้ระบบดังกล่าวทั้งสีโป๊ว สีรองพื้น สีทับหน้า และเคลียร์ทับหน้า จะช่วยลดเวลาทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานด้วยระบบพ่นซ่อมสีรถแบบทั่วไปซึ่งใช้เวลาเฉลี่ย ประมาณ 8 ชั่วโมง 20 นาทีต่อรถ 1 คัน แต่ระบบพ่นซ่อมสีรถความเร็วสูงของนิปปอนเพนต์ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง40 นาทีเท่านั้น ทำให้สามารถให้บริการลูกค้าได้เพิ่มขึ้น 5 คันต่อวัน ทำให้ศูนย์บริการ ดีลเลอร์ หรืออู่พ่นซ่อมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเรานั้น สามารถดูแลลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการได้มากขึ้น ในขณะที่คุณภาพงานไม่ได้ลดลงไปเลย พร้อมทั้งประหยัดพลังงาน,เวลาและค่าใช้จ่ายอีกด้วย” นายทวีชัย กล่าว

โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่นิปปอนเพนต์คิดค้นขึ้นเพื่อทำให้ระบบแนกซ์ วิโลซิตี้ เพนต์ ซิสเต็มกลายเป็นระบบพ่นซ่อม สีรถอัจฉริยะเร็วที่สุดในตลาดขณะนี้ คือ แนกซ์ 2800 เอชพี 2K วีโลซิตี้ ไพร์เมอร์” (Nax 2800 HP 2K Velocity Primer) นวัตกรรมสีรองพื้น 2 เค อะคริลิค ยูรีเทน ชนิดแห้งเร็วพิเศษ สามารถขัดเงาได้ภายในเวลาเพียง 15 นาที ซึ่งเร็วกว่าไพร์เมอร์ทั่วไปถึง 2 เท่า จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการทำงาน ทั้งยังใช้งานง่าย ตอบโจทย์การให้บริการพ่นซ่อมด่วน และทำให้นิปปอนเพนต์เป็นบริษัทสีพ่นซ่อมรถยนต์แห่งแรกและแห่งเดียวที่มีผลิตภัณฑ์แห้งเร็วตอบสนองครบทั้งกระบวนการและเร็วที่สุด
นายทวีชัยกล่าวต่อว่า ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2557 บริษัทฯ  ได้จัดสรรงบการตลาดสำหรับระบบพ่นซ่อมสีรถอัจฉริยะเพื่อสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่องกว่า 5 ล้านบาทโดยเน้นเจาะกลุ่มศูนย์บริการ และอู่ซ่อมสีมาตรฐานขนาดใหญ่ ด้วยการส่งทีมเทคนิคเข้าไปแนะนำและสาธิตการทำงานของระบบพ่น  ซ่อมด่วน  กับกลุ่มเป้าหมายทั้งเจ้าของศูนย์บริการ และอู่ซ่อมสีมาตรฐาน รวมทั้งจัดทำวิดีโอสาธิตขั้นตอนทำงานเพื่อให้ช่างสีเข้าใจและทำงานได้ง่ายขึ้น ตลอดจนเน้นกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบเข้มข้น ด้วยการผลักดันและกระจายสินค้าไปยังร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ขณะเดียวกันก็ได้รุกเข้าถึงตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอาเซียนซึ่งเริ่มใช้ระบบดังกล่าวนี้ที่สิงคโปร์เป็นประเทศแรก และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นเรื่องเวลาเป็นปัจจัยสำคัญ และจะขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้
สำหรับตลาดรวมสีพ่นซ่อมรถยนต์ในประเทศไทยปี 2557 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 3,750 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเพียง 5-10% จากสภาพการเมืองที่กระทบเศรษฐกิจโดยรวม ปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 28% ซึ่งการตั้งเป้าให้ระบบพ่นซ่อมสีรถอัจฉริยะเป็นหัวหอกในการตลาดทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างบริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี คาดว่าสิ้นปีจะมีการเติบโตประมาณ 10 %

“เอ็มจี”นำประวัติศาสตร์แห่งยานยนต์อังกฤษสู่ประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวอย่าง “เอ็มจี6” เป็นทางการ



รูปลักษณ์การออกแบบฟาสต์แบ็คที่คำนึงถึงหลักทางอากาศพลศาสตร์ก้าวข้ามแนวคิดในการออกแบบรถยนต์แบบดั้งเดิม

กรุงเทพฯ 19 มิถุนายน 2557 เอ็มจี บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับออุคสาหกรรมยานยนต์ไทย กับการแนะนำรถยนต์เอ็มจี6 ทั้งรูปแบบรถยนต์นั่งและรถฟาสต์แบ็ค 5 ประตู รถยนต์เอ็มจี6 จะทำการผลิตที่โรงงานประกอบรถยนต์ของเอ็มจี ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์น ซีบอร์ด ในจังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ ซึ่งทำการก่อสร้างด้วยงบประมาณ 9,000 ล้านบาท และมีความสามารถในการผลิตรถยนต์ได้ถึง 50,000 คันต่อปี

มร. หวู่ ฮวน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ระบุว่าการผลิตรถยนต์เอ็มจี6 นั้น จะมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไม่น้อยกว่า 40% เพื่อทำการจำหน่ายในประเทศและตลาดส่งออก
เอ็มจีวางแผนที่จะส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยไปยังประเทศที่ใช้งานรถยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลก ซี่งจะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาของเอ็มจี และเราจะเดินหน้าแผนการตลาดสำหรับการส่งออก เพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ในโรงงานแห่งนี้นายหวู่กล่าว
ด้วยการติดตั้งแนวคิดความสนุกสนานในการขับขี่ที่เรียกว่า บริท ไดนามิก (Brit Dynamic) ซึ่งเป็นการประกอบกันของคุณลักษณะที่สำคัญ 4 ประการ อันประกอบไปด้วย สมรรถนะ, การควบคุมรถ, การออกแบบและความปลอดภัย สู่การเป็นเป็นรถยนต์ที่มีความน่าสนใจ เอ็มจี6 เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่จิตวิญญาณนักขับถูกผสานเข้ากับวิศวกรรมจากสนามแข่ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือยนตรกรรมที่ให้สมรรถนะที่โดดเด่น การออกแบบที่ปราศจากข้อติ การควบคุมที่เน้นให้นักขับเป็นศูนย์กลาง และความปลอดภัยระดับสากล

ขุมกำลังของรถยนต์คันนี้มาจากเครื่องยนต์ทีซีไอ-เทค 1.8 ลิตรที่มาพร้อมเทอร์โบชาร์จและอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ให้พละกำลังสูงสุด 118 กิโลวัตต์ (161 แรงม้า) ที่ 5,500 รอบต่อนาทีและให้แรงบิดสูงสุด 215 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 2,500 รอบต่อนาที ที่ทำให้เอ็มจี6 มีความยืนหยุ่นที่เป็นเยี่ยม
เครื่องยนต์อลูมิเนียมแท้ทั้งเครื่อง มาพร้อมระบบจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดมัลติพอยท์เอ็มเอฟไอ (Multipoint Fuel Injection) และวาล์วแปรผันอัจฉริยะ DVVT (Double Variable Valve Timing) ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำแบบรถแข่ง และระบบการจัดการเครื่องยนต์เจนเนอเรชั่นใหม่ EMS6204 ส่งกำลังอย่างลื่นไหลด้วยระบบ Dual Clutch Transmission (DCT) 6 สปีด พร้อมระบบเกียร์แพดเดิลชิฟท์ที่ติดตั้งอยู่ที่พวงมาลัย เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่และความปลอดภัยที่เหนือไปอีกขั้น ระบบเกียร์อัจฉริยะช่วยลดระยะเวลาในการเปลี่ยนเกียร์ลงเหลือเพียง 0.2 วินาทีเท่านั้น และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการประหยัดน้ำมันอีกต่างหาก

เอ็มจี6 นับเป็นรถยนต์รุ่นเดียวในรถยนต์ระดับนี้ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ ซึ่งทำให้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรรุ่นนี้ สามารถให้พละกำลังและแรงบิดได้เทียบเท่ากับเครื่องยนต์รุ่นปกติขนาด 2.0 ลิตร นอกจากนี้ เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังรองรับการใช้งานน้ำมันเชื้อเพลิงอี20 ได้เช่นกัน นอกเหนือไปจากการให้สมรรถนะที่เร้าใจ เอ็มจี6 ยังนำเสนอการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม และมีความโดดเด่นในเรื่องของระดับการปล่อยไอเสียแชสซีที่ออกแบบมาโดยมุ่งเน้นที่ความสปอร์ตของเอ็มจี6 ให้มาตรฐานการขับขี่ในแบบรถยนต์ยุโรป ด้วยการควบคุมรถที่แม่นยำ รวมไปถึงความมีเสถียรภาพของรถที่ความเร็วสูง ความสำเร็จเหล่านี้เกิดจากการจูนตัวถังที่เหมาะสม รวมไปถึงการใช้เหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ ที่ช่วยรักษาความสามารถในการสนับสนุนการขับขี่ของตัวรถในการเข้าโค้งอย่างรุนแรง
ระบบรองรับแรงสั่นสะเทือนที่ปรับจูนมาอย่างพอเหมาะ เพื่อสร้างสมดุลที่ดีระหว่างการอัดและการคืนตัวของโช๊คอัพ ช่วงล่างแบบอิสระของเอ็มจี6 ประกอบไปด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัทและช่วงล่างมัลติลิงค์แบบซี-ไทป์ที่ด้านหลัง มาพร้อมระบบช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ยืดหยุ่นตามความเหมาะสมในการใช้งาน ทั้งหมดนี้จะช่วยในเรื่องของการบังคับควบคุมรถที่แม่นยำและเพิ่มความพึงพอใจในการขับขี่ ขณะเดียวกัน ก็ช่วยรักษาเสถียรภาพระดับสูงของตัวรถ

การออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลแบบยูโรเปียนของเอ็มจี6 สร้างบรรยากาศแห่งความเคลื่อนไหวของตัวรถ แม้แต่ในยามที่รถจอดนิ่งสนิทสปอยเลอร์ที่ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ มาพร้อมระบบ Air-Flow Tuner Plus ให้สมรรถนะตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการประหยัดน้ำมันอย่างเหนือชั้นล้ออัลลอยมีให้เลือกทั้งแบบ 17 นิ้วและ 16 นิ้ว เสาอากาศรูปทรงครีบฉลามออกแบบแบบยูโรเปียน ได้รับการติดตั้งมาบนหลังคาของรถทุกคันห้องโดยสารภายในให้ความดึงดูดทั้งในเรื่องของรายละเอียดการออกแบบและความกว้างขวางของห้องโดยสาร สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดการออกแบบเชิงบูรณาการแบบไดนามิกของเอ็มจี เอ็มจี6 ได้พัฒนาเพื่อให้มีพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่วางขาและพื้นที่ส่วนไหล่ของผู้โดยสาร เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศการขับขี่ที่สะดวกสบาย

ในรุ่นฟาสต์แบ็ค 5 ประตูนั้น พื้นที่บรรทุกสัมภาระได้ถูกขยายเพิ่มเติมเป็น 472 ลิตร พร้อมระบบพับเบาะที่นั่งตอนหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้
ทางด้านความปลอดภัยนั้น เอ็มจี6 มาพร้อมนวัตกรรมการออกแบบตัวถัง USD (Ultimate Stiffness Design) ที่โครงสร้างของตัวรถกว่า 63% ถูกสร้างขึ้นมาด้วยโลหะที่มีความแข็งแกร่งและโลหะที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้รถคันนี้ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชนของยุโรประดับ 5 ดาวเลยทีเดียวระบบช่วยเหลือทางด้านความปลอดภัย 10 ระบบถูกติดตั้งอยู่ในรถยนต์เอ็มจี6 ซึ่งก็รวมถึงระบบช่วยควบคุมแรงเบรกเมื่อรถไถลลื่น (VSC - Vehicle Stability Control) ระบบเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่โดยลดการลื่นไถล (TCS -  Traction Control System) ระบบป้องกันการลื่นเมื่อเร่งความเร็ว (MSR - Motor Control Slide Retainer) ระบบช่วยควบคุมแรงดันถังเบรก (CBC - Cornering Brake Control) ระบบช่วยกระจายแรงเบรค (EBD - Electronic Brake Distribution) ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรคฉุกเฉิน (ABS - Anti-lock Braking System) ระบบตรวจสอบแรงดันยางรถยนต์อัจฉริยะ (ITPMS - Indirect Monitor Tire System) ระบบทำความสะอาดจานเบรคอัจฉริยะ (BDC - Brake Disc Cleaning) ระบบควบคุมการเบรคฉุกเฉิน (BA - Brake Assist) และระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS - Hill Start Assist System)

ในรุ่นท๊อปยังมาพร้อมกับถุงลมนิรภัย 4 ตำแหน่ง ประกอบไปด้วยถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้าง ที่ติดตั้งอยู่ที่ตำแหน่งเบาะผู้โดยสารตอนหน้าที่ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับน้ำหนักผู้โดยสารโดยเฉพาะรถยนต์เอ็มจี6 เปิดตัวในประเทศไทยพร้อมกัน 2 รูปแบบตัวถัง ได้แก่ ตัวถังสปอร์ตตี้ ฟาสต์แบ็ค 5 ประตู และแบบซีดาน 4 ประตู โดยในรุ่นฟาสต์แบ็คจะแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย (เอ็กซ์และดี) ขณะที่ในรุ่นซีดานจะมี 3 รุ่นย่อยให้เลือก (เอ็กซ์, ดีและซี)เอ็มจี6 สปอร์ตตี้ ฟาสต์แบ็ค ทั้งรุ่นเอ็กซ์และดี จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์ วางราคาจำหน่ายที่ 1,108,000 บาท และ 968,000 บาท ตามลำดับ

ขณะที่เอ็มจี6 ซีดาน รุ่นเอ็กซ์และดี จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์เช่นกัน และวางราคาจำหน่ายที่ 1,098,000 บาท และ 898,000 บาท ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในรุ่นเอ็มจี6 ซีดาน ซี จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรแบบธรรมดา โดยวางราคาจำหน่ายที่ 848,000 บาท
บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ตั้งเป้าหมายที่จะจำหน่ายเอ็มจี6 ไว้ทั้งสิ้น 2,000 คัน ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 30 รายทั่วประเทศได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ และพร้อมที่จะเดินหน้าทำตลาดได้ในปีนี้ โดยตัวแทนจำหน่าย 9 แห่งแรกพร้อมที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 ตัวแทนจำหน่ายอีก 16 แห่งจะเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม เอ็มจีเชื่อว่าเพื่อการสร้างการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว การพัฒนาเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้เข้มแข็งจะเป็นหลักการที่สำคัญในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า และจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งของตราสินค้าในประเทศไทย

รถยนต์เอ็มจี6 พร้อมแล้วที่จะเปิดรับจองอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งเอ็มจีได้เตรียมข้อเสนอที่ดีที่สุดเพื่อมอบให้กับลูกค้าที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของรถ ด้วยการมอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (MG Roadside Assistance) บริการช่วยเหลือที่จุดบริการ (MG Mobile Service) และการรับประกันคุณภาพของสินค้านานถึง 4 ปีหรือ 120,000 กิโลเมตรในส่วนของการให้บริการหลังการขายนั้น เอ็มจีได้ทำการเปิดศูนย์กระจายอะไหล่ (Parts Distribution Center) ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด กม.19 ซึ่งได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีล่าสึดสำหรับการจัดเก็บและขนส่งอะไหล่รถยนต์ บนพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร สามารถจัดเก็บอะไหล่ที่มีความแตกต่างกันได้มากกว่า 2,500 ชนิด ที่พร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าทั่วประเทศไทยตลอด 24 ชั่วโมง
ศูนย์แห่งนี้ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ อะไหล่ พนักงานและระบบต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการตามความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการรออะไหล่ลงไปได้ โดยศูนย์แห่งนี้มีเป้าหมายที่จะรองรับความต้องการของพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนายหวู่กล่าวเสริม

สำหรับศูนย์บริการและศูนย์ฝึกอบรมของเอ็มจี (MG Service Center and Training Center) ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนอ่อนนุชนั้น ได้ก่อตั้งเป็นที่เรียบร้อยและเปิดดำเนินการแล้วเช่นกัน

เกี่ยวกับ เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด
ก่อตั้งขึ้นในปี 2556 บริษัทเอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน คือ เซียงไฮ้ ออโด้โมบิล แอนด์ อินดัสเทรียล คอร์ปอเรชั่น (Shanghai Automobile and Industrial Corporation) ถือหุ้นร้อยละ 51 และเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ถือหุ้นร้อยละ 49 โดยมีศูนย์การผลิตรถยนต์เอ็มจีในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง เพื่อผลิตรถยนต์เอ็มจีพวงมาลัยขวาส่งขายไปยังตลาดทั้งใน ประเทศและตลาดอาเซียน ในส่วนของการจัดจำหน่าย บริษัทได้ก่อตั้งบริษัทเอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อดูแลงานการตลาด การขาย เครื่อข่ายผู้จำหน่าย การบริการหลังการขาย โดยบริษัทตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร 

เกี่ยวกับ เอ็มจี
ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1924 เอ็มจี เป็นแบรนด์รถยนต์อังกฤษที่มีประวัติยาวนาน 90 ปีในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ เอ็มจีมาจากคำว่า มอริส การาจ ปัจจุบันบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์สเป็นเจ้าของกิจการ มีศูนย์ออกแบบหลักอยู่ในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เพื่อออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมทั้งศูนย์เทคโนโลยีตามมาตรฐานยุโรป เอ็มจีมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายจากการเป็นรถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ปัจจุบันรถยนต์เอ็มจียังได้รับการผลิตในหลากหลายรุ่น และจัดจำหน่ายไปทั่วโลก
 

“งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 38” อวดโฉมสปอร์ทโบราณ โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว ทรงเสน่ห์



สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ฟิวเจอร์พาร์ค จัด งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 38 ชวนทุกเพศ ทุกวัย ร่วมชมรถโบราณ รถคลาสสิค พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมพิเศษ ลุ้นรับรางวัลมากมาย ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ระหว่างวันที่ 19 - 22 มิถุนายน 2557

ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 38 (THE GLOSSY HERITAGE AWARDS 2014) จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เช่นทุกปี ภายใต้แนวคิด “สปอร์ทไม่เคยเปลี่ยน” หรือSPORTS CARS ARE TIMELESS เนื่องจากรถสปอร์ท มากมายหลายรุ่นที่โลดแล่นอยู่บนท้องถนนปัจจุบัน มีตำนานความเป็นมายาวนาน และแม้จะได้รับการพัฒนาทั้งรูปลักษณ์ เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีต่างๆ อย่างต่อเนื่องตามยุคสมัย แต่สปอร์ทยุคเริ่มแรกก็ยังคงความเป็นสปอร์ท ซึ่งหมายถึงความโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว และทรงเสน่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง
ด้านรัตนา อนันทนุพงศ์ ผู้อำนวยการด้านการตลาด ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค ผู้ให้การสนับสนุนด้านสถานที่จัดงานกล่าวว่า “ได้เนรมิตพื้นที่จัดแสดง กว่า 2,700 ตารางเมตร ทั่วศูนย์การค้า ชั้นจี แคสคาต้า และชั้น1 ของศูนย์การค้าฯ โดยตบแต่งบรรยากาศภายในงานให้มีกลิ่นอายสไตล์ยุโรปสุดคลาสสิค เพื่อให้เข้ากับรถโบราณอันทรงคุณค่า ช่วยให้การประกวดรถโบราณในครั้งนี้มีความยิ่งใหญ่ เข้ากับยุคสมัยของรถสปอร์ทโบราณ ตลอดจนสร้างความประทับใจ ตามคอนเซพต์  สปอร์ท ไม่เคยเปลี่ยน  สร้างสีสันให้แก่คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาชมงาน ตลอดจนร่วมอนุรักษ์รถโบราณได้เป็นอย่างดี

สำหรับรถเด่นตามแนวคิดการจัดงานปีนี้ ได้แก่ อัลฟา โรเมโอ สไปเดอร์ (ALFA ROMEO SPIDER) ที่เริ่มเดินสายการผลิตเมื่อปี 1966 และเผยโฉมครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาปีเดียวกัน ออกแบบโดย ปินินฟารีนา เอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้ คือ หัว/ท้าย ทรงมน ซึ่งเรียกกันว่า โบทเทล (BOAT TAIL) แต่คนไทยมักเรียกว่า ท้ายแมลงสาบ กันชนหน้ามีไฟเลี้ยวซ่อนอยู่ด้านใน และหลังคาเปิดประทุนได้

เมร์เซเดส-เบนซ์ 190 เอสแอล(MERCEDES-BENZ 190 SL) รถสปอร์ทเปิดประทุนที่มีทั้งหลังคาอ่อน และหลังคาแข็งแบบถอดได้ โดดเด่นด้วยดีไซจ์นโค้งมน กระจังหน้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า 4 ช่อง ติดโลโกดาวสามแฉกไว้ตรงกลาง ซุ้มล้อแต่งคิ้วเล็กๆ ทั้งล้อหน้า และหลัง ภายในหรูหราตามแบบฉบับรถเยอรมนี และปัจจุบันเป็นรถคลาสสิคยอดนิยมของบรรดานักสะสม
บีเอมดับเบิลยู 503 (BMW 503) เปิดตัวครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ปี 1955 และออกจำหน่ายในปีถัดมา มีทั้งแบบ 2 ประตู คูเป และเปิดประทุน ทำยอดขายในตลาดโลกได้ทั้งหมด 412 คัน ได้รับคำชมว่าเป็นรถที่มีบุคลิกชัดเจน เย้ายวน บนเรือนร่างกะทัดรัด นับเป็นรถยนต์ที่โดดเด่นมากในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2
            แจกวาร์ อี-ไทพ์ ซีรีส์ 1 (JAGUAR E-TYPE SERIES I) ได้รับการออกแบบเพื่อใช้ในการแข่งขัน เลอ มองส์(LE MANS) ทดแทนรุ่น ดี-ไทพ์ ตัวถังเป็นอัลลอยน้ำหนักเบา ส่วนโครงสร้างหลักผสานกันระหว่างตัวถังแบบชิ้นเดียว (MONOCOQUE) กับแบบสเปศเฟรม (SPACE FRAME) ที่ใช้ในรถแข่ง รถรุ่นนี้ประสบความสำเร็จในด้านการค้า ด้วยยอดขายรวมสูงถึง 72,507 คัน

นอกจากนี้ ยังมีรถโบราณหาชมยากที่ได้รับการบูรณะให้คงสภาพเดิม เช่น ฟอร์ด โมเดล เอ (FORD MODEL A) ปี 1930 รถโบราณสัญชาติอเมริกัน ซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เนื่องจากยังมีชิ้นส่วนอะไหล่แท้จำหน่ายถึงปัจจุบัน และ เมร์เซเดส-เบนซ์ 170 เอสวี (Mercedes-Benz 170SV) ปี 1954 รถหลังสงคราม ซึ่งของเจ้าของบูรณะขึ้นจากเศษซาก จนกลับฟื้นคืนชีพ โดยใช้เวลากว่า 20 ปี
ภายในงานยังมีกิจกรรมมากมาย อาทิ การประกวดเครื่องแต่งกายงามสมสมัย, การประกวดราชินีแห่งความสง่างาม (CONCOURS D'ELEGANCE - กงกูรส์ เดเลอกองศ์), ตลาดนัดอะไหล่ จำหน่าย หรือแลกเปลี่ยนอะไหล่สำหรับรถโบราณ พร้อมเลือกซื้อสินค้าสไตล์วินเทจในตลาดย้อนยุค เพื่อสร้างสีสันให้คนรุ่นใหม่ที่เข้าชมงานได้สัมผัสถึงกลิ่นอายแห่งความคลาสสิค

อย่าพลาด! “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 38 เปิดให้เข้าชมฟรี ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ระหว่างวันที่ 19 - 22 มิถุนายน 2557 และสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.vintagecarclub.or.th

BENZ NK เปิด WALD Complete Car ใหม่ล่าสุดพร้อมกัน 3 รุ่น ตอบสนองลูกค้าที่ต้องการความโดดเด่นเฉพาะตัว



นายพิตินันทน์ กฤษดาธานนท์ กรรมการผู้จัดการ เบนซ์ เอ็น.เค. ออโต อิมพอร์ต เปิดเผยว่าในฐานะที่บริษัทฯ ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายชุดแต่งระดับโลกอย่างเป็นทางการในประเทศไทยถึง 5 แบรนด์ ได้แก่ Hamann Motor Sport, Piecha, Prior-Design, Caractere และ WALD International โดยได้มีการเปิดตัวรถยนต์ตกแต่งในรูปแบบ Complete Car อย่างต่อเนื่องมากถึง 10 รุ่นนับตั้งแต่ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Bangkok  International Auto Salon เมื่อเดือนมิถุนายนของปีที่แล้ว ถือเป็นการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง และตอกย้ำนโยบายหลักของทางบริษัทที่เน้นสร้างความแตกต่างในเรื่องการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย รวมถึงชูจุดแข็งในเรื่องของโปรดักส์ที่มีความหลากหลายสามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้ครบทุกความต้องการ ล่าสุดจัดงานเปิดตัว 3 ยนตรกรรมใหม่ล่าสุดจากค่าย WALD International ได้แก่ E-Class Facelift WALD, A-Class WALD และ SLK WALD Complete Car ถือเป็นการเปิดตัวประเทศที่สองในโลก หลังจากที่เพิ่งมีการเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่น
สำหรับชุดแต่ง WALD รุ่น Black Bison ที่นำมาเปิดตัวทั้ง 3 รุ่นในครั้งนี้ตั้งใจนำเข้ามาตอบโจทย์สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ใช้รถเมอร์เซเดสเบนซ์รุ่น A-Class, SLK และ E-Class Facelift โดยเฉพาะในรุ่นที่ไม่ได้มาพร้อมชุดแต่ง AMG ซึ่งมั่นใจว่าชุดแต่ง WALD จะสามารถสร้างความโดดเด่นสวยงามได้อย่างลงตัว สำหรับชุดแต่ง WALD รุ่น Black Bison ถือเป็นชุดแต่งซีรี่ย์ท็อปสุดของทางค่าย มาพร้อมพาร์ทรอบคันถึง 10 ชิ้นช่วยเพิ่มความโดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยยังคงเอกลักษณ์การดีไซน์เน้นเส้นสายที่ดุดัน โฉบเฉี่ยวทันสมัยแต่งแฝงไปด้วยความโก้หรูสไตล์ WALD โดยทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมกับล้อแม็ก WALD รุ่นท็อปสุด Portofino P21C ขอบ 19 นิ้ว โดยเน้นขนาดของล้อที่ไม่ใหญ่จนเกินไปเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานจริง ทั้งนี้จากการที่ทางบริษัทฯเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย จึงพร้อมรับประกันคุณภาพสินค้าและการประกอบติดตั้งที่ถูกต้องจากโรงงาน เพื่อความมั่นใจของลูกค้าทุกท่าน
นายพิตินันทน์ เปิดเผยเพิ่มเติมถึงทิศทางการทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังว่า จากการที่ในปีนี้ทางบริษัทดำเนินธุรกิจรถยนต์ก้าวเข้าสู่ปีที่ 46 และได้มีการจัดงาน Grand Opening เปิดโชว์รูม Benz NK Revolution อย่างเป็นทางการในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมากจากลูกค้า ในขณะเดียวกันปีนี้ทางบริษัทมีนโยบายทำตลาดรถยนต์นำเข้ายี่ห้ออื่นๆนอกเหนือจากรถเบนซ์ ทำให้สามารถขยายกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากยิ่งขึ้น รวมถึงการรับประกันหลังการขายพร้อมวารันตี 3 ปีเต็ม ไม่จำกัดระยะทางจากศูนย์ซ่อมบริการมาตรฐานขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มความมั่นใจสูงสุดให้กับลูกค้า ทั้งนี้ทางบริษัทได้มีการแบ่งสัดส่วนของโปรดักส์ในการทำตลาดนับจากนี้เป็นต้นไปไว้ชัดเจนคือ รถเบนซ์ใหม่นำเข้า 50% รถยนต์นำเข้ายี่ห้ออื่นๆ 15% รถเบนซ์มือสอง 30% และรถยนต์ตกแต่งในรูปแบบ Complete Car 5% ซึ่งถือเป็นความร่วมมือกันระหว่างทางบริษัทกับทาง PRODRIVE พันธมิตรของเราในเรื่องชุดแต่ง โดยในครึ่งปีหลังทางบริษัทจะเน้นการจัดกิจกรรมแบบ Below The Line เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้น พร้อมเตรียมแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงเน้นนโยบายการให้บริการหลังการขายมาเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมมั่นใจว่าโดยสถานการณ์ทางการเมืองที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติจะทำให้ยอดขายเป็นไปตามที่เราได้ตั้งเป้าไว้
สำหรับผู้ที่สนใจ WALD Complete Car ใหม่ล่าสุดทั้ง 3 รุ่นสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center : 087-634-7777 ติดตามอัพเดทรถใหม่ประจำวันได้ที่ Facebook.com/benznkautoimport และ Instagram @BenzNK_Revolution พร้อมชมโชว์รูมเบนซ์ เอ็น.เค.โฉมใหม่ได้ทาง Youtube : Benz NK Revolution

นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา: รถกระบะเจเนอเรชั่นใหม่ ปรากฏการณ์ยกระดับวงการรถกระบะครั้งใหม่




  • ได้รับการพัฒนาด้วยประสบการณ์และความเป็นผู้นำในการผลิตรถกระบะ อันเป็นตำนานของนิสสันที่มีมายาวนานกว่า 80 ปี
  • ออกแบบให้มีความทนทาน ทรงพลัง และประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น
  • ออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้สอย คำนึงถึงรูปลักษณ์และความสะดวกสบาย
กรุงเทพมหานคร (11 มิถุนายน 2557) : นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ นับเป็นรถกระบะพันธุ์แกร่งรุ่นที่ 12 ของนิสสัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ของนิสสันในด้านความเชี่ยวชาญและความน่า เชื่อถือในการออกแบบรถกระบะสำหรับตลาดที่ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็น เลิศ นอกจากนี้ เอ็นพี 300 นาวารา ยังมาพร้อมมาตรฐานใหม่ของความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีเหนือระดับ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตรถกระบะกว่า 80 ปี ประกอบกับความไว้วางใจของลูกค้าในรถกระบะของนิสสันที่ผ่านมา ทำให้นิสสันมั่นใจว่า เอ็นพี 300 นาวาราใหม่ จะสามารถครองใจทั้งลูกค้าทั่วไปหรือลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการ ที่มองหารถกระบะที่สมบูรณ์แบบได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ ยังมาพร้อมสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการประหยัดน้ำมัน อัตราเร่ง การควบคุมรถในการขับขี่ ทั้งยังมีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทานยิ่งขึ้น และรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยแต่ยังคงความบึกบึน แข็งแกร่ง

นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาลดลง อันเนื่องมาจากการพัฒนาระบบการขับเคลื่อนที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่ง ขึ้น พร้อมกับการลดน้ำหนักตัวถังลง และมีพื้นที่บรรจุสัมภาระใหญ่ขึ้น

นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ มาพร้อมตัวเลือกรูปแบบตัวถังและระบบขับเคลื่อนที่หลากหลายเพื่อให้สอดคล้อง กับความต้องการของลูกค้าส่วนบุคคลและตลาดที่แตกต่างกันออกไป อาทิเช่นตัวเลือกในด้านความกว้างของตัวถัง ทั้งทรงแคบ และทรงกว้าง ตัวเลือกสำหรับรูปแบบของตัวถังทั้งในแบบคิงแค็บ และดับเบิ้ลแค็บ และระบบขับเคลื่อนที่มีให้เลือกทั้งแบบ 4 ล้อ และ 2 ล้อทีมออกแบบของนิสสัน มุ่งมั่นในการพัฒนาเอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ ให้มีความสปอร์ตและดูโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นนิสสันอยู่ รูปลักษณ์ด้านข้างของตัวรถ ดูสวยงามโดดเด่น และมีเอกลักษณ์พิเศษ อันเป็นผลมาจากการออกแบบให้เส้นสายด้านข้างตัวรถอยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกับ รถสปอร์ต ประกอบกับเสากลางประตูรถที่เป็นสีดำ บานประตูได้รับการออกแบบให้มีความโค้งมน พร้อมเส้นสายที่ทรงพลังสอดรับกับซุ้มล้อขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกัน กระจังหน้ารูปตัว V อันเป็นเอกลักษณ์ของนิสสัน ยังสามารถเห็นได้อย่างเด่นชัด สอดรับกับเส้นสายบนฝากระโปรงด้านบนอย่างต่อเนื่อง การออกแบบของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ โดดเด่นและมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยรูปทรงของไฟส่องสว่างตอนกลางวันแบบ LED ด้านหน้าที่มีลักษณะคล้ายบูมเมอแรง นอกจากนี้ คิ้วโครเมียมข้างตัวรถ และกระจกมองข้างแบบโครเมียมพร้อมไฟเลี้ยว ยังช่วยเสริมความโฉบเฉี่ยวให้กับตัวรถยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ เอ็นพี 300 นาวารา ยังมาพร้อม 2 สีใหม่ให้เลือก ได้แก่ สีส้ม สะวันนาห์ และสีน้ำตาล เอิร์ธ บรอนซ์ ซึ่งช่วยเน้นภาพลักษณ์ของความทรงพลังและทันสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา

ส่วนด้านการออกแบบภายในของเอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ ทีมออกแบบของนิสสันได้ปรับโฉมพัฒนาใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้าใหม่มาพร้อมเส้นสายที่ต่อเนื่องจากแผงคอนโซลกลางไป ยังเส้นสายด้านข้างประตูรถ พร้อมคำนึงถึงการออกแบบในเชิงอรรถประโยชน์ในทุกมุมมอง เพื่อให้มั่นใจว่าห้องโดยสารดูโปร่งสบาย นอกจากนี้ นิสสัน ยังได้สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการออกแบบภายในรถกระบะ ด้วยการแนะนำแผงหน้าปัดดีไซน์หรู และพวงมาลัยใหม่ พร้อมกับการใช้วัสดุสีอลูมิเนียมในการตกแต่งคอนโซลกลาง และงานเย็บตะเข็บเบาะหนังอันประณีต ผู้ที่ได้ครอบครองนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ จะสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของรถเอนกประสงค์หรือ เอสยูวี ระดับหรูของนิสสัน จากการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้สอย การใช้วัสดุคุณภาพสูง ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี และการเข้าออกตัวรถที่สะดวกสบาย โดยรวมแล้ว เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ มอบพื้นที่และความผ่อนคลายภายในห้องโดยสาร ให้ความสะดวกสบายมอบพื้นที่สำหรับการพักผ่อนให้กับการเดินทางของทุกครอบครัว การเลือกใช้วัสดุ และงานประกอบภายในห้องโดยสารอันประณีต เช่น การเย็บตะเข็บสองแถวบนเบาะ บ่งบอกถึงคุณภาพและความหรูหราเหนือระดับได้เป็นอย่างดี

“ตั้งแต่นิสสันเริ่มผลิตรถกระบะในปี 1933 มีลูกค้ากว่า 14 ล้านคนทั่วโลก ได้มอบความไว้วางใจใช้รถกระบะของนิสสันในการใช้งานประจำ และบรรทุกของในสภาวะสมบุกสมบัน” แอนดี พาล์มเมอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด กล่าว “รถกระบะนิสสัน เปรียบเสมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงครอบครัวและสังคมของลูกค้าของเรา และลูกค้าของเราต้องการรถที่สามารถตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายมากกว่ารถ รุ่นอื่นๆ การออกแบบรถกระบะที่ดีและตอบโจทย์ลูกค้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นิสสันได้นำเอาประสบการณ์กว่า 80 ปีของเรา ผนวกเข้ากับการออกแบบที่คำนึงถึงความสะดวกสบาย และอุปกรณ์ระดับหรูเฉกเช่นรถเอนกประสงค์ ประเภทเอสยูวี เพื่อผลิตเป็นรถกระบะ นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา เพื่อผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ”

“นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่นี้ ได้สร้างปรากฏการณ์และมาตรฐานใหม่ให้กับวงการรถกระบะ ทั้งในด้านสมรรถนะ ความแข็งแกร่ง อรรถประโยชน์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกค้ารถกระบะต้องการ” แอนดี พาล์มเมอร์ กล่าวเพิ่มเติม

แผงคอนโซลหน้าของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวาราใหม่ มาพร้อมแผงหน้าปัตรที่มองเห็นได้อย่างเด่นชัด และแผงคอนโซลกลางขนาดใหญ่ ติดตั้งด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย พวงมาลัยมาพร้อมปุ่มควบคุมการสั่งงานต่างๆเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย ในเวลาขับขี่ ในส่วนของหน้าจอมาตรวัดมาพร้อมจอแสดงข้อมูลความละเอียดสูง ข้อมูลการขับขี่/การเตือนระยะบำรุงรักษา และยังสามารถแสดงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน นอกจากจะได้รับการออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายแล้ว นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ยังได้รับการพัฒนาเพื่อให้สามารถใช้งานเพื่อรองรับการบรรทุกหนักได้ อย่างมั่นใจ รวมทั้งง่ายดายในการขนของทั้งขึ้นและลงจากกระบะท้าย ในส่วนของช่วงล่าง เอ็นพี 300 นาวารา มาพร้อมกับแชสซีส์แกร่งและแหนบรองรับแรงกระแทกที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อการ ใช้งานอย่างสมบุกสมบันในทุกๆวัน เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้ารถกระบะนิสสันทั่วโลก นอกจากนี้ เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ ยังมีรัศมีวงเลี้ยวที่แคบลง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ในเมืองอีกด้วย
ระบบขับเคลื่อนของนิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและการปล่อยมลพิษ พร้อมทั้งระบบควบคุมการทรงตัว และระบบเบรกที่เหนือระดับและเป็นผู้นำในตลาด ในส่วนของเครื่องยนต์ได้รับการพัฒนาเพื่อให้มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันและ การปล่อยมลพิษที่ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความทรงพลังและอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร DOHC แบบ 4 สูบแถวเรียงใหม่นี้ ให้กำลังสูงสุดที่ 190 แรงม้า และ 163 แรงม้า ที่ 3600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 450 นิวตัน-เมตร ที่ 2000 รอบต่อนาที นอกจากนี้ด้วยระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ยังช่วยเพิ่มพละกำลังของเครื่องยนต์ ขณะเดียวกันยังสามารถลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันได้สูงถึง 11 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับรุ่นที่ผ่านมา ส่วนการเปลี่ยนสู่โหมดการเคลื่อนแบบ 4 ล้อสามารถทำได้ในขณะขับขี่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC) เฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป (LSD) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) และระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) ช่วยเพิ่มสมรรถนะและความปลอดภัยในการขับแบบออฟโรด

เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ มาพร้อม ระบบเกียร์ให้เลือก 2 แบบคือ เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด สำหรับระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ช่วยประหยัดน้ำมันในช่วงความเร็วต่ำ แต่คงไว้ซึ่งอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม พร้อมกับอัตราทดเกียร์ที่กว้างขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ในทุกความเร็ว และความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ สำหรับระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ได้รับการพัฒนาให้ประหยัดน้ำมันในทุกช่วง พร้อมพัฒนาให้มีความนุ่มนวลยิ่งขึ้นเมื่อเปลี่ยนเกียร์

โดยสรุปแล้ว นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ มอบอรรถประโยชน์ใช้สอยในเชิงธุรกิจ และความสะดวกสบายเหนือระดับในการขับขี่ ให้แก่ลูกค้าทั่วไปและลูกค้าในรูปแบบบริษัท อันเป็นผลมาจากประสบการณ์ในการผลิตรถกระบะกว่า 80 ปี ของนิสสัน การออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อโครงสร้างที่แข็งแกร่งและระบบขับเคลื่อนอันทรง พลัง และการออกแบบที่ทันสมัยจากภายนอกจรดภายใน ที่ให้ประสบการณ์หรูและความพึงพอใจแก่ผู้ขับขี่

“บริษัทเชื่อมั่นว่า นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ จะสร้างปรากฏการณ์และมาตรฐานครั้งใหม่ให้กับวงการรถกระบะในทุกประเทศที่เรา ทำการจัดจำหน่าย ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างดีไซน์ทันสมัย สมรรถนะเป็นเลิศ ความแข็งแกร่งและความทนทาน จะทำให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และเพิ่มความคุ้มค่าทั้งใน ด้านธุรกิจและส่วนตัวในทุกๆวันได้ดียิ่งขึ้น เอ็นพี 300 นาวารา ใหม่ คือ รถกระบะที่จะพลิกโฉมหน้าใหม่แห่งตำนานของรถกระบะนิสสัน มอบประสบการณ์อันประทับใจผ่านนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เช่นเดียวกับรถนิสสันในทุกๆรุ่น” แอนดี พาล์มเมอร์ กล่าวสรุป

มาสด้า3 สกายแอคทีฟใหม่แรงไม่หยุดลงตลาดเดือนที่สอง ยอดโตแตะพันคัน


Ø    ส่งแคมเปญ “มาสด้า แม็กซ์ ดีล” เกาะกระแสบอลโลกช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาด

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 9 มิถุนายน 2557 - บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกมาตอกย้ำภาพรวมของยอดขายรถยนต์มาสด้าในเดือนพฤษภาคมมีแนวโน้มที่สดใส เริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี สกายแอคทีฟ ทั้งแรงและประหยัดนั้นสามารถพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่านี่คือของจริงที่สามารถทำได้จริงจากประสบการณ์ตรงของลูกค้าเอง ด้วยความร้อนแรงของมาสด้า3 และมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ที่กอดคอกันกวาดยอดขายชนิดถล่มทลาย ส่งให้เดือนที่ผ่านมายอดขายสูงถึง 2,727 คัน พร้อมกับกระตุ้นตลาดต่อเนื่องด้วยการส่งแคมเปญพิเศษ “มาสด้า แม็กซ์ ดีล” เกาะกระแสบอลโลกหวังฟื้นกำลังซื้อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
นายโชอิชิ ยูกิ ประธานกรรมบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยความร้อนแรงของเทคโนโลยี สกายแอคทีฟ ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในวันนี้ คงต้องบอกว่าไม่จำเป็นต้องมีบทพิสูจน์ใดๆ แล้ว จากปรากฏการณ์ของยอดขายที่ถล่มทลาย หลังจากเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทยทั้ง 2 รุ่น คือ มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 และล่าสุดมาสด้า3 ที่ผนึกกำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดยนต์เมืองไทย เราเริ่มกลับขยับกระตุ้นตลาดมากขึ้น ทั้งกิจกรรมด้านการขาย การตลาด และลูกค้าสัมพันธ์ และส่งผลให้ยอดขายเฉพาะรถยนต์ที่ฟลูสกายแอคทีฟทั้งคันนั้นทะลุถึง 5,959 คัน นับตั้งแต่การเปิดตัวสู่ตลาดประเทศไทย
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานบริหารฝ่ายการตลาด กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาดูจะคลุมเครือ หรือทำอะไรไม่ได้คล่องมากนัก แต่กำลังซื้อของลูกค้ายังคงมีอยู่ปริมาณมาก หากเราไม่ลงมือทำอะไรเลยเท่ากับเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้คนอื่น หรือปล่อยให้โอกาสดีๆ นี้หลุดลอยไป ยังมีช่องทางอีกมากที่จะสามารถกระตุ้นการจับจ่ายของลูกค้า โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่หลายๆ อย่างเริ่มมองเห็นความกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ดี ดังนั้นมาสด้าจึงเริ่มโปรเจคแรกเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากขึ้น ด้วยการเปิดตัวแคมเปญสุดพิเศษ “READY FOR BRAZIL” เร่งสปีด...ติดขอบสนามบราซิล สำหรับต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้
ตามมาด้วยโปรเจคที่สองเอาใจแฟนๆ คอบอล ด้วยการจับมือกับ สยามสปอร์ต และพันธมิตรทางธุรกิจ จัดกิจกรรมร่วมทายผลแชมป์บอลโลก ในโครงการ “สตาร์ซอคเก้อร์ แจกโชคบอลโลก” โดยนำเอารถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า 2 รุ่นพิเศษ เรซซิ่ง ซีรีส์ มูลค่าถึง 686,000 บาท เป็นรางวัลใหญ่สำหรับคอบอลชาวไทย พร้อมรางวัลต่างๆ มากมายกว่า 2.3 ล้านบาท ด้วยกติกาง่ายๆ เพียงส่งไปรษณียบัตร เขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ทายว่า “ทีมชาติใดจะเป็นแชมป์บอลโลก 2014” ส่งมายังฝ่ายโฆษณา  บริษัท สยามสปอร์ต มีเดีย แมเนจเมนท์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. – 12 ก.ค. 2557 โดยจะทำการจับรางวัลวันที่ 25 ก.ค. 57 และประกาศรายชื่อผู้โชคดีทางหนังสือพิมพ์สตาร์ซอคเก้อร์ ฉบับวันที่ 31 ก.ค. 57
สำหรับโปรเจคที่สาม เน้นกลุ่มลูกค้าที่หลงใหลความเป็นสปอร์ตของรถยนต์มาสด้าให้สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายมาสด้าเตรียมกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับมามีสีสันอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวแคมเปญสุดพิเศษสำหรับลูกค้าคอรถสปอร์ตตัวจริง “มาสด้า แม็กซ์ ดีล” (Mazda MAXX Deal) คุ้มเกินใคร ได้มากกกกก...กว่าทุกข้อเสนอ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าให้เร็วขึ้น โดยมุ่งสื่อสารถึงสมรรถนะของรถยนต์ รูปลักษณ์ดีไซน์ความเป็นสปอร์ต และความคุ้มค่าด้วยข้อเสนอที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และรถยนต์ที่เข้าร่วมรายการมีดังนี้ รถยนต์มาสด้า2 ทั้งสปอร์ต และเอลิแกนซ์  รับดอกเบี้ยต่ำสุดเพียง 0.99% พร้อมฟรีประกันชั้นหนึ่ง 1 ปี หรือผ่อนเริ่มต้นเพียง4,999 บาทต่อเดือน แถมผ่อนนานถึง 60 เดือน สำหรับมาสด้า บีที-50 โปร ออกรถวันนี้ขับฟรี 90 วัน หรือนาน 3 เดือน แถมประกันชั้นหนึ่งฟรี 2 ปี และมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 แถมประกันชั้นหนึ่งฟรี 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และสิ้นสุดถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้เท่านั้น
นางสาวสุรีทิพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การออกมากระตุ้นตลาดในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการสร้างให้ตลาดเกิดความคึกคัก แล้ว ตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ตที่ตรึงตาตรึงของลูกค้าชาวไทย พร้อมทั้งเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สกายแอคทีฟ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังส่งผลดีกับผู้บริโภคที่กำลังมองหารถยนต์ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะทรงพลัง ดีไซน์โฉบเฉี่ยว พร้อมด้วยเงื่อนไขสุดพิเศษ คาดว่าจะส่งผลดีต่อยอดขายในเดือนมิถุนายนต์ให้เติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้มาสด้า มองว่านับจากนี้เป็นต้นไปตลาดรถยนต์กำลังจะกลับมามียอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ยังคงความแข็งแกร่ง ปรกอบกำลังซื้อของลูกค้าที่มีอยู่จำนวนมาก รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนการจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น
ด้วยการจัดกิจกรรมทางการตลาดมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้รถยนต์มาสด้าได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว โดยมียอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้าระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2557 หรือ 5 เดือนแรกของปีนี้ มียอดการจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 14,017 คัน โดยแบ่งออกเป็นรถยนต์นั่งมาสด้า2 จำนวน 2,849 คัน รถยนต์นั่งมาสด้า3 จำนวน 2,772 คัน รถอเนกประสงค์เอสยูวีมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 จำนวน 2,365 คัน รถปิกอัพมาสด้า บีที-50 โปร จำนวน 6,025 คัน และรถยนต์ประเภทพรีเมียมคาร์จำนวน 6 คัน
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved