Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

พีทีจีเดินหน้าให้บริการน้ำมันคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ชูความสดใหม่เสมือนได้เติมจากโรงกลั่น



คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTGตอกย้ำการให้บริการน้ำมันที่มีคุณภาพ สดใหม่อยู่เสมอเหมือนได้เติมน้ำมันจากโรงกลั่น ด้วยการคุมเข้มตรวจสอบคุณภาพน้ำมันอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่การขนส่ง ไปจนถึงการจัดตั้งหน่วยตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ ตลอดจนมาตรการตรวจสอบน้ำมันในถังเก็บทุกวัน นอกจากนี้ยังได้พัฒนาการจัดการด้านโลจิสติกส์ให้ทันสมัย ด้วยรถบรรทุกน้ำมันพีทีกว่า 300 คัน เพื่อการขนส่งน้ำมันไปยังคลังและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็วและตรงเวลา พร้อมมุ่งเน้นการบริหารจัดการและการสำรองน้ำมันให้สอดคล้องกับการขายเพื่อป้องกันน้ำมันค้างสต๊อก คงความสดใหม่ของน้ำมันคุณภาพเพื่อให้ผู้บริโภคได้เติมน้ำมันจากสถานีบริการน้ำมันพีทีอย่างมั่นใจ

ซูซูกิ กลับมาแล้ว!!! บินาเรส ขึ้นโพเดียมรายการชิงแชมป์โลก โมโตจีพี


ทีม ซูซูกิ เอสสตาร์ ประกาศศักดิ์ดาในรายการรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก โมโตจีพี หลังจากที่ได้กลับมาเข้าร่วมแข่งขันในรายการนี้เป็นปีที่ 2 โดย มาเวลริค บินาเรส นักแข่งดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่จับตาอยู่ในขณะนี้ชาวสเปน สังกัดทีม ซูซูกิ เอสสตาร์ โชว์ฟอร์มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในการแข่งขันสนามล่าสุด ณ สนาม เลอมัง ประเทศฝรั่งเศส ขึ้นโพเดี่ยม คว้าอันดับที่ 3 มาครองได้อย่างสมศักดิ์ศรี และนับเป็นครั้งแรกของ มาเวลริค บินาเรส ที่ได้ขึ้นโพเดียมในรุ่นท็อปคลาสของรายการนี้อีกด้วย

การชิงชัยในครั้งนี้ มาเวลริค บินาเรส ได้ออกสตาร์ทเป็นลำดับที่ 8 และตามหลังเพื่อนร่วมทีมอย่าง อเล็กซิส เอสปากาโร่ ในช่วงรอบเปิดสนาม และในวันนี้ มาเวลริค บินาเรส ฟอร์มดีมากขึ้นเรื่อยๆ ทะยานขึ้นเป็นอันดับ 3 โดยเหลือเพียง 11 รอบสนาม

และนักแข่งดาวรุ่งของ ซูซูกิ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยความพร้อมจากทีมที่ช่วยกันเซ็ตอัพรถให้ลงตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมา และตัวของ บินาเรส เองก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงวอร์มอัพ นี่คือผลงานที่การันตีความตั้งใจจาก ความพยายาม และการปรับปรุงที่สำคัญ ทำให้ บินาเรส สามารถขับขี่ Suzuki GSX-RR ในวันนี้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และสามารถขี่รถได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งเดียวกับรถจนสามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมซูซูกิได้อีกครั้ง

ในส่วนของเพื่อนร่วมทีมอย่าง อเล็กซิส เอสปากาโร่ นั่น เมื่อวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เอสปากาโร่ สามารถขับขี่และทำเวลาได้เป็นอย่างดี และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะทำผลงานได้ดีในสนามนี้ ซึ่งเขาก็พยายามที่จะไล่ล่าตำแหน่งที่ดีที่สุด โดยเกาะกลุ่มเข้าเส้นชัยในลำดับที่ 6 ซึ่งเป็นผลงานที่ดีสำหรับทีม ซูซูกิ



ร่วมกันเชียร์ทีม ซูซูกิ เอสสตาร์ ชิงชัยให้เป็นแชมป์ ในรายการการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี 2016 สนามที่ 6 ต่อไปที่ประเทศ อิตาลี ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2559

มาสด้าจับมือกระทรวงอุตสาหกรรมส่งคนไทยก้าวสู่เวที ยานยนต์โลก นำร่องพัฒนาวิศวกรไทยภายใต้โครงการ ODM

กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย – เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย ดร. อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมจัดงานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ในการบุกเบิกโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย หรือ “โครงการพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยไปสู่การผลิตตามรูปแบบของตนเอง หรือ Original Design Manufacturer (ODM)” พร้อมยกระดับพัฒนาฝีมือผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยจากการผลิตตามแบบหรือ OEM สู่การสร้างนวัตกรรมริเริ่มการผลิตคิดค้นชิ้นส่วนในแบบของตนเองหรือ ODM
ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ที่ผ่านมา มาสด้าได้แสดงถึงความเชื่อมั่นที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ ภายใต้ชื่อ บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย)  เพื่อทำการผลิตรถเพื่อการพาณิชย์และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและเพื่อการส่งออกกว่า 140 ประเทศทั่วโลก  และเพิ่มเงินลงทุนอีกกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อเริ่มสายการผลิตรถยนต์ All-New Mazda2 ซึ่งเป็นรถยนต์ภายใต้โครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ระยะที่ 2 ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์มาสด้าที่ใหญ่สุดในอาเซียน ล่าสุดมาสด้ายังทุ่มเม็ดเงินก้อนโตก่อตั้ง บริษัท มาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เพื่อทำการผลิตชุดเกียร์ออโตเมติก SKYACTIV-DRIVE ส่งออกสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข รองประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “มาสด้า คือ บริษัทเอกชนที่มีความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับการพัฒนาอุตสาหกรรมและการลงทุนในประเทศไทย ด้วยการร่วมมือร่วมใจกับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคเอกชนมาโดยตลอด การริเริ่มดำเนินการโครงการในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย โดยคณะผู้บริหารระดับสูงของ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ความสำคัญกับโครงการนี้เป็นอย่างมาก และมอบหมายให้ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เป็นผู้พัฒนาและดำเนินการโครงการดังกล่าว ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย โดยทาง มาสด้า มอเตอร์ ได้จัดเตรียมองค์ความรู้ สถานที่ทำงานตลอดจนผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีของมาสด้าให้กับวิศวกรชาวไทยทั้ง 4 คน ที่กำลังจะเดินทางไปทำงานร่วมกับมาสด้าในต้นเดือนมิถุนายนนี้ รวมระยะเวลา 4 เดือน ทางมาสด้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีส่วนสำคัญในการยกระดับความสามารถของวิศวกรไทย และถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่เข้าร่วมในโครงการนี้ และเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย รวมถึงการพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญของวิศวกรคนไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก”
ทางด้าน ดร. อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงโครงการนี้ว่า “โครงการ ODM เป็นการพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยให้มีความรู้ความสามารถ ทักษะในการวิจัยและพัฒนา ตามแนวทางของนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไทยไปสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือยานยนต์ในอนาคต อันหมายถึง รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า รวมทั้งรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีการพัฒนาคุณสมบัติ “สะอาด ประหยัด ปลอดภัย” ให้ดีขึ้น
โครงการพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยไปสู่การผลิตตามรูปแบบของตนเอง หรือ Original Design Manufacturer หรือ ODM นี้ เป็นโครงการนำร่องที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถบุคลากรแบบใหม่ ที่เปิดโอกาสให้วิศวกรจากบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนการทำงานในลักษณะการทำงานจริงกับผู้ผลิตรถยนต์ โดยมาสด้าถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่เข้าร่วมในโครงการนี้ด้วยการเปิดโอกาสให้ทีมวิศวกรของผู้ผลิตชิ้นส่วนชาวไทยได้ไปร่วมงานกับบริษัทมาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ที่กรุงฮิโรชิมาบ้านเกิดของมาสด้า ประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้มีจำนวน 3 บริษัทได้แก่ บริษัท ซัมมิท โอโตซีท อินดัสตรี จำกัด บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี จำกัด และบริษัท ไทยซัมมิท โอโตพาร์ท อินดัสตรี จำกัด

มาสด้านั้นมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์คุณภาพสูงออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยี SKYACTIV ของมาสด้า ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าด้านความต้องการรถยนต์พลังงานสะอาด ให้ความแรง ประหยัดน้ำมัน และความปลอดภัย ซึ่งทำการผลิตขึ้นในประเทศไทย โดยฝีมือคนไทย และส่งออกไปให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์ ด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์รถยนต์ที่เปี่ยมด้วยความสนุกสนานในการขับขี่ และเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้าจะเลือกใช้ตราบนานเท่านาน

มจธ.จับมือ 4 หน่วยงาน ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนเทคโนโลยีสีเขียว ผลักดันการส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย



“โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการผลิตและใช้จักรยานไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทย”เป็นความร่วมมือของ 4 หน่วยงาน ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)มหาวิทยาลัยขอนแก่นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สนับสนุนโดยโครงการร่วมสนับสนุนวิจัยและพัฒนา กฟผ.และ สวทช. มีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 18 เดือน ( ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2557 – พฤษภาคม 2559 ) ล่าสุดได้มีการจัดประชุมสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการฯขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมจำรัส ฉายะพงศ์ มจธ.
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวเปิดงานว่า มจธ.ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ “KMUTT Sustainability Strategic Plan2010 – 2020” ซึ่งในด้านการคมนาคมขนส่งมีเป้าหมายที่จะมุ่งเน้นการลดการปลดปล่อยมลพิษภายในมหาวิทยาลัย ดังนั้น โครงการนี้ถือเป็นโครงการฯ ที่มีประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัย สังคมและต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ในการส่งเสริมการผลิตและการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งไม่มีการปลดปล่อยมลพิษ และยังเป็นต้นแบบให้เห็นถึงประโยชน์ในการหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
คุณภัทรพงศ์ เทพา ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารงานวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการผลิตและใช้จักรยานไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทยนี้ จะมีส่วนช่วยลดการใช้พลังงานที่เป็นสาเหตุของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัญหาสำคัญของโลกและโครงการฯ ยังได้ศึกษาถึงผลกระทบต่อการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ กฟผ.จะต้องตอบสังคมให้ได้ว่า เมื่อมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น การผลิตไฟฟ้าจะเพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ และการไฟฟ้าฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง ดังนั้น ผลการศึกษาโครงการนี้ จะเป็นหนึ่งในคำตอบที่ให้กับ กฟผ.ในการวางแผนการจัดการการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงมากขึ้น และหวังว่าผลการศึกษาจะช่วยให้หันมาตระหนักถึงสิ่งสำคัญด้านปัญหามลพิษและความมั่นคงด้านพลังงาน รวมถึงหันมาใช้จักรยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น
รศ.ดร.ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ ประธานคลัสเตอร์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากมติ ครม.เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา เห็นชอบแผนมุ่งเป้าด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ พร้อมกำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบ และพัฒนาพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2564 เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยแผนฯ ดังกล่าวมุ่งเน้นให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและทดลองใช้จริงให้ได้ แบ่งเป็น 4 แผนงานวิจัย คือ 1) ด้านแบตเตอรี่และระบบจัดการพลังงาน 2) ด้านมอเตอร์และระบบขับเคลื่อน 3) ด้านโครงสร้างน้ำหนักเบาและการประกอบ ซึ่งจะทำให้น้ำหนักรถเบาลง และ 4) ด้านการพัฒนานโยบาย มาตรฐาน และบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งผลการศึกษาโครงการนี้ ก็จะสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล และถือว่าเป็นการระดมสมองช่วยกันคิด ช่วยกันปรับปรุงพัฒนารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนทั่วไปรู้จักและหันมาใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและมีการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักให้แพร่หลายเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ภายในงานยังได้รับเกียรติจากคุณวิชัย จิราธิยุต ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวถึง“สถานการณ์อุตสาหกรรมจักรยานยนต์ไทยและแนวโน้มการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า” ว่า ประเทศในเอเชียนิยมใช้รถจักรยานยนต์ถึงกว่าร้อยละ 90 ของการใช้รถจักรยานยนต์ของโลก และประเทศที่มีการผลิตจักรยานยนต์มากที่สุดในเอเชีย คือ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทยตามลำดับ โดยเฉพาะจีนแม้จะมีปริมาณความต้องการใช้ในประเทศค่อนข้างมาก แต่การผลิตส่วนใหญ่เน้นการส่งออกเป็นหลัก แต่ล่าสุดจีนมีนโยบายที่จะลดปริมาณการใช้จักรยานยนต์ที่ไม่ใช้ไฟฟ้าลง เพราะจีนมีปัญหาเรื่องของมลภาวะ และหันมาสนับสนุนมาตรการที่เกี่ยวกับจักรยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น กลับกันประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ทุกค่ายทั้งจากค่ายญี่ปุ่นและค่ายยุโรป สามารถผลิตรถจักรยานยนต์ได้ปีละ 2 ล้านคัน ส่วนใหญ่ใช้เองในประเทศกว่า 1.6 ล้านคันต่อปี ขณะที่ส่งออกรถจักรยานยนต์เพียง 4-5 แสนคันต่อปี แต่ในช่วง 2- 3 ปีที่ผ่านมาไทยเริ่มมีการส่งออกรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเริ่มเป็นที่นิยมและไทยยังเป็นฐานในการส่งออกบิ๊กไบค์ในภูมิภาค จึงมองว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตจักรยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก แม้ยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในไทยขณะนี้จะมีปริมาณลดลง แต่แนวโน้มการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้ามาแน่ ดังนั้นภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมมาตรการที่จะให้เกิดการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น เรื่องของนโยบายสนับสนุน มาตรการด้านภาษีเพื่อจูงใจ รวมถึงการกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยและมาตรฐานของชิ้นส่วนต่างๆ
ผศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้า ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ จาก มจธ. กล่าวว่า ประเทศไทยมีรถจักรยานยนต์ 20 ล้านคัน แต่มีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไม่ถึง 10,000 คัน อีกทั้งยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กยังไม่มีการใช้งานในประเทศไทย และไม่มีนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐที่ชัดเจน ซึ่งทีมวิจัยได้มองเห็นข้อดีในการส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าด้วยรูปแบบการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คำถามที่สำคัญของทีมวิจัยคือทำไมเทคโนโลยีใหม่ที่ดีเช่นนี้จึงไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย โครงการนี้ จึงเป็นการศึกษา รวบรวมข้อมูลจากการทดสอบจริงโดยผู้บริโภค และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย พร้อมมาตรการต่างๆ เพื่อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจากการประเมินภาพรวมเทคโนโลยีของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ นักวิจัยโครงการฯ กล่าวว่า จากผลการทดสอบตามมาตรฐานจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีขายอยู่ในปัจจุบัน มีระยะทางการวิ่งและความเร็วต่ำกว่าค่าที่ผู้ผลิตกำหนดค่อนข้างมากด้วยข้อจำกัดตัวแบตเตอรี่และการออกแบบตัวรถเป็นหลัก จึงได้เสนอแนวทางการออกแบบโครงสร้างใหม่เพื่อให้ได้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ใกล้เคียงกับความต้องการของผู้บริโภค 
ด้านการประเมินพฤติกรรมการใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า ดร.ปิยธิดา ไตรนุรักษ์ นักวิจัยโครงการฯ กล่าวว่า มุมมองของผู้ใช้รถจักรยานยนต์เห็นว่าการออกตัว ระยะเวลาการประจุไฟ และระยะทางที่วิ่งได้ต่อการประจุไฟหนึ่งครั้ง ยังเป็นประเด็นที่ต้องปรับปรุงแก้ไขสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ส่วนใหญ่เห็นว่าหากมีการพัฒนาในเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้นานขึ้น การทำให้สามารถวิ่งในระยะทางที่ไกลขึ้นต่อการประจุไฟแต่ละครั้ง รวมถึงการพัฒนาระบบประจุไฟฟ้าเร็ว (Quick charging) ที่ทำให้ระยะเวลาประจุไฟสั้นลง จะทำให้เกิดการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากข้อได้เปรียบในเรื่องค่าใช้จ่ายต่อระยะทางของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่น้อยกว่า 20 สตางค์ต่อกิโลเมตร เมื่อคำนวณจากอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน
ขณะที่การประเมินผลกระทบทางด้านเศรษฐศาสตร์ พลังงาน และสิ่งแวดล้อมนั้น ดร.นุวงศ์ ชลคุป นักวิจัยโครงการฯ จากศูนย์เทคโนโลยีและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. กล่าวว่า เมื่อมีการคาดการณ์การขยายตัวของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ารถโดยสารไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต พบว่า ภายในปี 2579 สามารถลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลสะสมได้ถึง 4 แสนล้านบาทและลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมได้กว่า 90 ล้านตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าโดยมีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ในกรณีที่ไม่มียานยนต์ไฟฟ้าเพียง 2% เท่านั้น
ทั้งนี้ ผศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าโครงการ ยังได้กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า  การจัดงานในครั้งนี้จะทำให้ได้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการส่งเสริมให้เกิดการใช้และการผลิตจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์มากขึ้นและภาครัฐที่เกี่ยวข้องและเอกชนที่สนใจสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป

สแกนเนีย สยาม ร่วมแสดงความยินดีแก่ เหว่ยป๋อ อินเตอร์เนชั่นแนล ทรานสปอร์ต เนื่องในโอกาสเปิดดำเนินธุรกิจ พร้อมส่งมอบรถหัวลากประสิทธิภาพสูง 15 คัน เพื่อใช้ในการขนส่งผลไม้ระหว่างประเทศไทย - จีน



มร.มาร์ติน นีลสัน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วย นายสุรัช พร้อมรุ่งเรือง ผู้จัดการฝ่ายขายรถบรรทุก บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เป็นตัวแทนร่วมแสดงความยินดีแก่ บริษัท เหว่ยป๋อ อินเตอร์เนชั่นแนล ทรานสปอร์ต จำกัด เนื่องในโอกาสเปิดดำเนินธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมทำการส่งมอบรถหัวลากสแกนเนีย รุ่น P410 LA6x2MSZ จำนวน 15 คัน เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายนฤพล กันยาปรีดากุล กรรมการบริหารและผู้จัดการฝ่ายการจัดซื้อ นายธนพงศ์ กันยาปรีดากุล กรรมการบริหาร และ เหล่าพนักงาน บริษัท เหว่ยป๋อ อินเตอร์เนชั่นแนล ทรานสปอร์ต จำกัด เป็นตัวแทนในการรับมอบรถ เมื่อเร็วๆ นี้

โรลส์-รอยซ์รังสรรค์คอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางสุดหรูสำหรับยนตรกรรมรุ่น เรธ


บริษัท โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส จำกัด ในฐานะผู้นำด้านยนตรกรรมหรูระดับโลก ได้สร้างสรรค์คอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางสุดหรูสำหรับยนตรกรรม รุ่น เรธ (The Wraith Luggage Collection) ขึ้นโดยเฉพาะ


คอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางประกอบด้วย กระเป๋าเดินทางล้อลาก 2 ใบ กระเป๋า Weekender 3 ใบ และกระเป๋าใส่เสื้อผ้า 1 ใบ ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นพิเศษเพื่อวางในห้องเก็บสัมภาระส่วนท้ายของยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ รุ่น เรธ ได้อย่างลงตัว  โดยคอลเล็กชั่นนี้เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของ มร. ไมเคิล ไบรเดน นักออกแบบของแผนกบริการสั่งทำพิเศษ (บีสโป๊ก) และถูกออกแบบในโรลส์-รอยซ์ บีสโป๊ก สตูดิโอ ซึ่งนำทีมโดยมร. ไจลส์ เทย์เลอร์  เฉกเช่นเดียวกับยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ ชุดกระเป๋าเดินทางนี้สามารถสั่งทำพิเศษได้ตามต้องการเฉพาะบุคคล


ในการสร้างสรรค์คอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางนี้ ทางทีมออกแบบของโรลส์-รอยซ์ได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการจัดการดูแลกระเป๋าเดินทางให้แก่กลุ่มลูกค้าระดับบน  นั่นคือ  กลุ่มหัวหน้าบัตเลอร์ของโรงแรมหรูระดับโลกผู้สามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะการใช้งานกระเป๋าเดินทางของแขกที่เข้าพัก พร้อมให้ข้อสังเกตว่า กระเป๋าเดินทางไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงไลฟสไตล์ในการดำเนินชีวิต แต่ยังทำหน้าที่ประหนึ่งตู้เสื้อผ้าของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในหมู่นักธุรกิจ หรือผู้นำทางธุรกิจต่างที่ต้องเดินทางบ่อยครั้ง จึงทำให้ความสำคัญของกระเป๋าเดินทางเพิ่มมากขึ้น


ดังนั้น การใส่ใจในทุกรายละเอียดจึงปรากฏให้เห็นในทุกส่วนของกระเป๋าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ถูกสัมผัสโดยเจ้าของเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประสบการณ์ในการใช้งานอย่างง่ายดาย  หูหิ้วกระเป๋าได้รับการออกแบบให้มีการถ่ายเทน้ำหนักให้เท่ากัน ซึ่งหมายความว่าเจ้าของจะรู้สึกสบายเหมือนไม่ได้แบกน้ำหนักแต่อย่างใด หรือแม้แต่การซ่อนรอยฝีเข็มก็เป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของช่างระดับโอต์ กูตูร์ (Haute Couture) ของโลกเพื่อให้ได้ความสวยงามที่สมบูรณ์แบบและสัมผัสที่นุ่มนวล


การออกแบบที่เหนือการเวลาด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย  
เทคโนโลยีการสร้างต้นแบบเร็ว ถูกใช้ในการพัฒนากระเป๋า Weekender  และทดสอบหูหิ้วกระเป๋าให้มีความปลอดภัย และสะดวกสบายต่อการใช้งานหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้งานสามารถหิ้วได้อย่างสบาย รายละเอียดที่โดดเด่นอีกสิ่งหนึ่งคือ เมื่อรูดซิปปิดกระเป๋า ส่วนของหัวซิปจะถูกเก็บเข้าไปในล็อคแม่เหล็ก เพื่อความเรียบร้อยสวยงาม     


มร.ไมเคิล ไบรเดน นักออกแบบของแผนกบริการสั่งทำพิเศษ (บีสโป๊ก) กล่าวว่า “คอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางสำหรับยนตรกรรมรุ่น เรธ ประกอบด้วยกระเป๋า 6 ใบ โดยแต่ละใบสะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบที่ไม่เป็นสองรองใครของยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์  ด้วยเทคโนโลยีและวัสดุอันทันสมัยถูกผสมผสานอย่างลงตัวกับงานหัตถศิลป์และเทคนิคแบบดั้งเดิม นำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานคอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางในครั้งนี้ ที่ออกแบบขึ้นเฉพาะสำหรับยนตรกรรม รุ่น เรธ สุดยอดแห่งยนตรกรรมแกรนด์ ทัวริสโมของสุภาพบุรุษ”     


สัญลักษณ์ “สปีริต ออฟ เอ็กสตาซี” หญิงสาวที่พร้อมทะยานไปเบื้องหน้าประดับอยู่บนกระจังหน้าของโรลส์-รอยซ์ทุกคันตั้งแต่ปีพ.ศ. 2454  ได้ถูกนำมาปักเพื่อตกแต่งด้านนอกของกระเป๋าทุกใบ        


ส่วนล้อของกระเป๋าล้อลากประดับด้วยโลโก้ RR  ถูกจัดวางอย่างแยบยลเพื่อความเสถียรเมื่อเคลื่อนที่ และความสะดวกง่ายดายในการยกจากพื้นเพื่อใส่ในห้องเก็บสัมภาระส่วนท้าย  
เส้นใยคาร์บอนถูกเลือกใช้เพื่อความมีน้ำหนักเบา และคงทน เมื่อเทียบกับวัสดุสวยงามทั่วไปที่ใช้กันในท้องตลาด ทั้งนี้ เส้นใยคาร์บอนจะถูกหลอมขึ้นรูปให้ด้านข้างสูง และตกแต่งด้วยหูลากขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการบรรจุสัมภาระ


มร. ทอร์สตัน มูเลอร์-ออทเวิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส จำกัด กล่าวว่า “ผลงานสร้างสรรค์คอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางของมร. ไมเคิล ไบรเดน ส่งมอบคำมั่นสัญญาของเซอร์ เฮนรี่ รอยซ์ ที่ว่า “จงยอมรับแต่สิ่งที่เป็นเลิศ และพัฒนาสิ่งนั้นให้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น และถ้าสิ่งนั้นไม่มีอยู่ จงสร้างมันขึ้นมา”  ทีมงานออกแบบไม่ได้หยุดอยู่ที่การรังสรรค์คอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางสุดหรูร่วมสมัยอย่างแท้จริงไว้เพียงแค่นี้ แต่ยังได้สร้างสรรค์คอลเล็กชั่นที่สามารถสั่งทำพิเศษเพื่อความสวยหรูร่วมสมัยและความรื่นรมย์ในการใช้งานอีกด้วย”    


ในส่วนของกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ที่มาในรูปทรงเรียวยาวสามารถวางบนกระเป๋าล้อลากและกระเป๋า Weekender ได้อย่างพอดี ถูกออกแบบสำหรับรองรับเสื้อเชิ้ตและชุดทักซิโด้ของสุภาพบุรุษ หรือชุดราตรียาวของสุภาพสตรี  พร้อมห่วงคล้องสำหรับเนคไท และผ้าพันคอเพื่อความสะดวกในการใช้งาน  


ทั้งนี้ คอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางสำหรับยนตรกรรมรุ่น เรธ ถูกสร้างสรรค์โดยช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญทั้งชายหญิงต่างสวมถุงมือขาวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนและรักษาคุณภาพของหนังชั้นยอด ซึ่งนับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกระเป๋าเดินทางหรู  อีกทั้ง การออกแบบที่มีให้เลือกแบบสีเดียว หรือสีทูโทนอันโฉบเฉี่ยวที่เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับยนตรกรรม รุ่น เรธ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถออกแบบชุดกระเป๋าเดินทางได้ตามต้องการเฉพาะบุคคล  เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งภายในของโรลส์-รอยซ์ของตน          หนังคุณภาพเดียวกับที่ใช้ในยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ถูกเย็บมือโดยใช้ด้ายสีเดียวกันเหมือนกับที่ใช้ในรถยนต์ของเจ้าของ พร้อมบุภายในด้วยผ้าลายโมโนแกรม RR


ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อคอลเล็กชั่นกระเป๋าเดินทางสำหรับยนตรกรรมรุ่น เรธ โดยสามารถแยกซื้อแต่ละใบได้ที่ตัวแทนจำหน่ายโรลส์-รอยซ์อย่างเป็นทางการทุกแห่ง

Big Best Car of the Year 2015-2016 เอเอเอสฯ คว้า 2 รางวัล การันตีสมรรถนะรถยนต์ปอร์เช่อันเหนือชั้น


กรุงเทพฯ. ปอร์เช่ ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย คว้า 2 รางวัลอันทรงเกียรติอันได้แก่ รางวัล “Compact Premium SUV ทรงสมรรถนะ” ตกเป็นของ ปอร์เช่ มาคันน์ (Macan) และ รางวัล “Luxury SUV ยอดนิยม” ตกเป็นของ ปอร์เช่ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Porsche Cayenne S E-Hybrid) ในงาน Big Best Car of The Year 2015-2016 ณ ห้องอังรีดูนังต์ สมาคมราชกรีฑาสโมสร (Royal Bangkok Sports Club) เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2016


งาน Big Best Car of The Year 2015-2016 จัดขึ้นโดย บริษัท ยานยนต์ สแควร์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อส่งเสริม และเป็นกำลังใจแก่ผู้ประกอบการยานยนต์ในประเทศไทย อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และ นวัตกรรมยานยนต์อันเหนือชั้น ภายในงานนี้ Mr. Peter Rohwer กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ให้เกียรติขึ้นรับรางวัลในครั้งนี้


คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด (Cayenne S E-Hybrid) รถ Plug-in Hybrid คันแรกในคลาสรถสปอร์ตอเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยม (Premium SUV) ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถที่คุ้มค่าเงินมากที่สุดในขณะนี้ มาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบความดันสูงสามารถชาร์จพลังงานผ่านอุปกรณ์ชาร์จหรือชาร์จระหว่างที่รถกำลังขับเคลื่อนได้ วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลถึง 18-36 กิโลเมตร อัตราการบริโภคน้ำมันเพียง 29.4 4 กิโลเมตรต่อลิตร พละกำลังเครื่องยนต์ 16 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 243 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


มาคันน์ (Macan) รถสปอร์ตอเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็ค (Compact SUV) จากปอร์เช่ ผู้นำมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ในกลุ่มนี้ ที่โดดเด่นในเรื่องของความคล่องตัวและความสนุกสนานในการขับขี่ ทุกๆ สภาวะของถนน ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยม ประสิทธิภาพการเบรกที่ทรงพลัง ด้วยเครื่องยนต์ Bi-Turbo ขนาด 2 ลิตร 4 สูบ เบนซิน มาพร้อมกับ
Turbocharging อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำเพียง 13.88 กิโลเมตร/ลิตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 233 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด Porsche Doppelkupplung (PDK) ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลก

ปอร์เช่ประเทศไทย โดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรผ่านการทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 10 คน ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 13 ประเทศ สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการให้บริการหลังการขายของ เอเอเอส โดยทุ่มเทงบการอบรมวิศวกรของเราให้มีคุณภาพสูงสุดตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ” “AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า AAS The Name you can Trust ซึ่งได้พิสูจน์ให้ท่านเห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินการมากกว่า 30 ปี

มิลเลนเนียม ออโต้ เอาใจคนรักครอบครัว และนักกิจกรรมตัวยง ส่ง บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ นำทัพรถหรู โปรฯ แรง บุก สยามพารากอน




บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู อย่างเป็นทางการ นำโดย ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ ปิยะเทพ ศิวากาศ (ที่ 3 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด วรัญญู เจริญวงศ์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายขายระยะยาว บริษัท มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล จำกัด และ  ภูยส มังกรกาญจน์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโส ร่วมเป็นเกียรติเปิดงาน PASSION. PERFORMANCE. PRIVILEGE BY MILLENNIUM AUTO. เพื่อมอบสิทธิพิเศษ สำหรับคนพิเศษ ผู้สนใจครอบครอง บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ (BMW 2 Series Gran Tourer) ยนตรกรรมเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง คันแรกของตระกูล BMW ประกอบเยอรมนี ที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตอเนกประสงค์ในแบบลัคชัวรี่ส์ได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับครอบครัว และคนรักกิจกรรม ซึ่งมาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะงานนี้ พร้อมชมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ป๊อด โมเดิร์นด๊อก, ฟิล์ม บงกช และตี๋ เดอะวอยซ์ ระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 2 พฤษภาคม ศกนี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน


มิลเลนเนียม ออโต้ ผนึกกำลังกับ ศูนย์การค้า สยามพารากอน จัดกิจกรรม PASSION. PERFORMANCE. PRIVILEGE BY MILLENNIUM AUTO. โดยนำ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ (BMW 2 Series Gran Tourer) รถยนต์หรูสไตล์เอ็มพีวี 7 ที่นั่ง รุ่นแรกจากตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ประกอบเยอรมนีทั้งคัน มานำเสนอในราคาสุดพิเศษ พร้อมรายการส่งเสริมการขาย มอบอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน แถมทัพด้วย BMW Series 3 และ Series 5 และ มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังขับกล่อมทุกวัน

ปิยะเทพ ศิวากาศ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า “สำหรับกิจกรรม PASSION. PERFORMANCE. PRIVILEGE BY MILLENNIUM AUTO. ในครั้งนี้ เราร่วมกับ ศูนย์การค้า สยามพารากอน จัดขึ้นเพื่อขอบคุณสมาชิกคนพิเศษที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันเสมอมา พร้อมทั้งเป็นการแนะนำยนตรกรรมทั้ง 3 รุ่น คือ BMW Series 2, Series 3 และ Series 5 ซึ่งไฮไลต์ของงานนี้ คือ การนำเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะภายในงานนี้ สำหรับคนที่กำลังหมายตา บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ (BMW 2 Series Gran Tourer) รถยนต์หรูสไตล์เอ็มพีวี 7 ที่นั่ง รุ่นแรกจากตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ประกอบเยอรมนีทั้งคัน ซึ่งเป็นรถที่ตอบโจทย์ได้แทบทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นคนรักกิจกรรม ที่ต้องการพื้นที่ในการเก็บสัมภาระค่อนข้างมาก สามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะในวันกิจกรรมสบายๆ หรือในวันทำงานหรือแม้กระทั่งกลุ่มคุณแม่ยุคใหม่ ที่ต้องดูแลทุกคนในครอบครัวได้อย่างทั่วถึง มอบความสะดวกสบาย แต่ก็ยังคงต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ ความโดดเด่น และความหรูหรา สง่างามยามโลดแล่นบนท้องถนนในราคาสุดพิเศษที่มีจำนวนจำกัดสำหรับล็อตนี้เท่านั้น พร้อมมอบอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน ทั้งยังเชิญศิลปินชื่อดังอย่าง ป๊อด โมเดิร์นด๊อก มาขับกล่อมทุกท่านด้วยเพลงสไตล์อะคูสติกในปาร์ตี้วันเปิดงาน และยังมีฟิล์ม บงกช, ตี๋ เดอะวอยซ์ และศิลปินท่านอื่นๆ หมุนเวียนมาขับกล่อมทุกท่าน ระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 2 พฤษภาคม ศกนี้ ณ แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นี้อีกด้วย”

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ (BMW 2 Series Gran Tourer) เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ระดับพรีเมียมรุ่นแรกของ ตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 7 ที่นั่ง โฉบเฉี่ยวด้วยรูปลักษณ์และดีไซน์ ได้อย่างลงตัว พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานของห้องโดยสารด้วยเบาะแถวสอง ที่เลื่อนและปรับพนักพิงได้ เพิ่มพื้นที่ภายในด้วยเบาะแถวสาม ซึ่งสามารถพับลงให้ราบกับพื้น จึงช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของ สามารถปรับเปลี่ยนความจุจาก 560 ลิตร เป็น 1,820 ลิตรได้ จึงตอบสนองทุกความต้องการของครอบครัวยุคใหม่หรือ นักกิจกรรม หรือนักดนตรี ที่ต้องการพื้นที่สำหรับสัมภาระมาก แต่ไม่ทิ้งความหรูหรามีระดับที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตอเนกประสงค์ในแบบลัคชัวรี่ส์ได้เป็นอย่างดี ด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics และ ConnectedDrive ล่าสุด ช่วยให้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 2 แกรน ทัวเรอร์ เป็นผู้นำด้านความปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และการเชื่อมต่อสื่อสารภายในรถพร้อมการขับขี่สไตล์สปอร์ตแบบ บีเอ็มดับเบิลยู ช่วยให้รถยนต์รุ่นนี้ผสมผสานทั้งประโยชน์ใช้สอย และความเพลิดเพลินของผู้ขับขี่เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวเหนือใคร

บีเอ็มดับเบิลยู 218i แกรน ทัวเรอร์ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากบีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ เบนซิน 3 สูบ 136 แรงม้าที่ 4,400 รอบต่อนาทีแรงบิด 220 นิวตัน-เมตรที่ 1,250 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 9.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 202 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศถึง 18.5 กิโลเมตรต่อลิตรด้วยโหมดการขับขี่แบบ ประหยัดพลังงาน ECO PRO ที่ช่วยลดการเผลาผลาญเชื้อเพลิงในขณะขับขี่ และมีอัตราการปล่อย CO2 เพียง 125 กรัมต่อกิโลเมตร

บีเอ็มดับเบิลยู 218i แกรน ทัวเรอร์ ล๊อตพิเศษจำนวนจำกัดนี้ จำหน่ายในราคา 2,699,000 บาท รับประกัน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และ BSI โปรแกรมซ่อมบำรุงรักษาฟรี 5 ปี หรือ 100,000 กม. และโปรแกรมการผ่อนชำระที่หลากหลายที่สามารถตอบสนองตามความต้องการของลูกค้า พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย จาก มิลเลนเนียม ออโต้ เท่านั้น

ปัจจุบัน มิลเลนเนียม ออโต้ มีโชว์รูมจำนวนทั้งสิ้น 7 แห่ง ประกอบด้วยสาขาในกรุงเทพฯ 5 แห่งได้แก่ สาขาลาดพร้าว, สาขาพระราม 4, สาขาพระราม 3, สาขาสยามพารากอน และ Pop-up Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และต่างจังหวัด 3 แห่ง ได้แก่ สาขาภูเก็ต, สาขาหาดใหญ่ และสาขาอุบลราชธานี สามารถรองรับบริการหลังการขายได้ 45,000 คันต่อปี มีจำนวนช่างชำนาญการพิเศษสำหรับรองรับบริการด้านยานยนต์ระบบไฮเทคโนโลยีประจำทุกสาขารวมกว่า 60 คนทั่วประเทศ

ทั้งนี้สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับ บีเอ็มดับเบิลยู 218i แกรน ทัวเรอร์ ที่จะเดินสายอวดโฉม พร้อมบุกเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ เพิ่มเติมได้ที่ www.bmw-millenniumauto.comหรือเฟสบุ๊ค (www.facebook.com/bmwmillenniumauto) และ Official Line: BMW Millennium Auto

เผยโฉม เชฟโรเลต โคโลราโด รุ่นใหม่ล่าสุด ผสานความแข็งแกร่งและความหรูหราอย่างลงตัว



  • โคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุด ถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเกือบ 100 ปีของเชฟโรเลตในการออกแบบและผลิตรถกระบะที่มีคุณภาพ
  • การออกแบบภายนอกและภายในใหม่เน้นความแข็งแกร่งและหรูหรา
  • ยกระดับความสะดวกสบาย ความประณีต และความปลอดภัย พร้อมสมรรถนะควบคุมการขับขี่ ลดเสียงรบกวน และแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน
  • รถกระบะรุ่นแรกในตลาดที่รองรับแอปเปิล คาร์เพลย์ และฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท
  • ทรงพลังและประหยัดน้ำมันด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน VGT พร้อมระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ
  • อุปกรณ์ตกแต่งมากมายหลากหลายรูปแบบพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้า

กรุงเทพฯ – เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทยเผยโฉมรถกระบะขนาดกลาง โคโลราโดรุ่นใหม่ ที่จะสานต่อตำนานความสำเร็จของรถกระบะเชฟโรเลตที่มีประวัติอันยาวนานเกือบ 100 ปี โคโลราโดใหม่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติที่ครบครันทุกด้านในแบบฉบับรถกระบะอเมริกันของเชฟโรเลต มาพร้อมการออกแบบภายนอกและภายในใหม่ สมรรถนะที่เหนือชั้นกว่าเดิม ความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น ความหรูหรามากกว่าเดิม และเทคโนโลยีระดับผู้นำเซกเมนท์

มาร์คอส เพอร์ตี้ กรรมการผู้จัดการ จีเอ็มและเชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย กล่าวระหว่างงานเปิดตัวว่า “เชฟโรเลตโคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุด เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในตำนานรถกระบะที่มีประวัติอันยาวนานของเชฟโรเลต รถกระบะรุ่นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราให้ความสำคัญกับตลาดนี้มากเพียงใด และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่มีต่อเซกเมนท์รถกระบะที่มีความสำคัญอย่างมาก”

“โคโลราโดใหม่ไม่ได้เป็นแค่รถกระบะทั่วไป แต่เป็นรถกระบะที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะทางของตลาดเหมือนรถกระบะเชฟโรเลตทุกรุ่นก่อนหน้านี้ โคโลราโดมีความแข็งแกร่งและทรงพลังซึ่งเป็นคุณสมบัติที่รถกระบะควรมี พร้อมกับความสะดวกสบายและความหรูหราที่เหมาะต่อการใช้งานในเมือง” เพอร์ตี้ กล่าว

เชฟโรเลตโคโลราโดรุ่นใหม่นี้ เป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกอย่างแท้จริง โดยในระหว่างการพัฒนาได้รับความร่วมมือทั้งจากประเทศไทย ออสเตรเลีย บราซิล รวมถึงสหรัฐอเมริกา เพื่อให้แน่ใจว่ารถกระบะรุ่นนี้ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของตลาดเท่านั้น แต่ต้องเหนือกว่าทุกความต้องการของผู้บริโภค

วันชนะ อูนากูล ผู้อำนวยการทั่วไปฝ่ายวิศวกรรม จีเอ็ม ประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า “โคโลราโดรุ่นใหม่ถูกพัฒนาหลายด้าน ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่สวยงามและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือการปรับแต่งระบบช่วงล่าง เครื่องยนต์ และเกียร์”

“เป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลายว่าเชฟโรเลตโคโลราโดมีความโดดเด่นในเรื่องของความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติม โดยทำการลดเสียงลมและแรงสั่นสะเทือน”


การออกแบบที่แข็งแกร่งและประณีต

โคโลราโดรุ่นใหม่ ได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแกร่งและความประณีต มีลวดลายเส้นสายที่สวยงามและชัดเจน เปี่ยมไปด้วยดีเอ็นเอแบบฉบับรถกระบะอเมริกันพันธุ์แท้ ตัวถังรถมีสัดส่วนที่บึกบึน เสริมภาพลักษณ์ความสมบุกสมบัน สะท้อนศักยภาพการลุยเส้นทางออฟโรดได้อย่างเต็มที่

รถกระบะรุ่นนี้มาพร้อมเอกลักษณ์การออกแบบระดับโลกที่ถ่ายทอดพละกำลังและความแข็งแกร่ง ด้วยการออกแบบด้านหน้าใหม่ที่เน้นความสปอร์ตทั้งแผงกันชน กระจังหน้า ฝากระโปรง และไฟหน้า ซึ่งทำให้รถกระบะรุ่นนี้โดดเด่นเหนือกว่ารถกระบะทั่วไป รูปลักษณ์ใหม่เน้นความสะดุดตาด้วยไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวันแอลอีดีรูปทรงเรียวบางที่พร้อมดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนน

ภายในห้องโดยสารของโคโลราโดรุ่นใหม่ ผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งและความหรูหราเหมือนกับภายนอก ด้วยการออกแบบใหม่ทั้งหมดที่เน้นความสะดวกสบาย ความกว้างขวาง ความประณีต และเทคโนโลยี แผงแดชบอร์ดและการตกแต่งเบาะที่นั่งใหม่ยกระดับความรู้สึกพรีเมียม ซึ่งออกแบบเพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้ขับขี่และผู้โดยสารโดยเฉพาะ ขณะที่คอนโซลกลางที่ถูกปรับดีไซน์ใหม่ทำให้ใช้งานได้ง่ายดายมากขึ้น การจัดวางตำแหน่งเน้นความสะดวกสบายด้วยหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่น) และระบบอินโฟเทนเมนท์ มายลิงค์

วัสดุผ้าให้พื้นผิวสัมผัสนุ่มนวล การตกแต่งทั่วทั้งห้องโดยสารให้ความสะดวกสบาย มีการเลือกใช้วัสดุอย่างละเอียดเพื่อให้มีความทนทานและเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง การตัดเย็บที่ออกแบบมาสำหรับโคโลราโดโดยเฉพาะ ช่วยสร้างมาตรฐานใหม่แห่งความประณีตบรรจงซึ่งไม่สามารถพบได้ในรถกระบะขนาดกลางทั่วไป

นอกจากการออกแบบภายนอกและภายในใหม่แล้ว ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งอีกมากมายที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของโคโลราโดใหม่ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมต่อโคโลราโด เอ็กซ์ตรีม รถกระบะ Show Truck ที่จัดแสดงภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2016 ที่ผ่านมาลูกค้าที่ต้องการตกแต่งรถกระบะเพื่อให้มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถเลือกอุปกรณ์ตกแต่งที่ได้รับความนิยม อย่างกระจังหน้าสีดำ กรอบไฟหลัง สปอร์ตบาร์แบบพิเศษ กันชนหลังสีดำ หรือมือจับประตูสีดำ

เจ้าของโคโลราโดรุ่นใหม่ สามารถตกแต่งรถกระบะของท่านเองตามต้องการได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อสร้างความโดดเด่นสะดุดตาให้เหนือกว่ารถกระบะทั่วไปและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” คุณอุณา ตัน ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดและประสบการณ์ลูกค้า เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย กล่าว

รถกระบะที่ถูกพัฒนาด้านวิศวกรรมเพื่อการขับขี่ที่ทรงพลังและสะดวกสบาย

โคโลราโดรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร ที่ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อสมรรถนะที่ดีขึ้น ประหยัดน้ำมันยิ่งกว่า และลดมลพิษไอเสีย ด้วยการใช้ระบบเทอร์โบแปรผันหรือ VGT (Variable Geometry Turbocharger) เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 2.5 ลิตร มีพละกำลัง 180 แรงม้า (132 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 440 นิวตันเมตร (325 ฟุต-ปอนด์) ที่รอบต่ำ 2,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์รุ่นนี้ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4

สมรรถนะของเครื่องยนต์ถูกควบคุมโดยกล่องควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) ที่พัฒนาโดยจีเอ็ม เพื่อเสริมบุคลิกการขับขี่ของเครื่องยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีฟังก์ชั่นควบคุมที่เป็นสิทธิบัตรของจีเอ็มมากกว่า 150 ฟังก์ชั่น ซึ่งช่วยประสานการทำงานระหว่างซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดหรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีดตามแต่รุ่นย่อย โดยระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดได้รับการปรับแต่งอัตราทดเกียร์ใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะและความประหยัดน้ำมัน

เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์ 2.5 ลิตรถูกติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงรบกวนบริเวณหัวฉีด เพื่อให้ทำงานได้เงียบขึ้น โคโลราโดทุกรุ่นยังมาพร้อมยางรองตัวถังและยางรองแท่นเครื่องยนต์แบบใหม่ ซึ่งช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ ทำให้มีระดับเสียงและแรงสั่นสะเทือนภายในห้องโดยสารลดลง จากการทดสอบของทีมวิศวกรแสดงให้เห็นว่าห้องโดยสารของโคโลราโดรุ่นใหม่เงียบลง 2-4 เดซิเบล และมีแรงสั่นสะเทือนลดลง

โคโลราโดพัฒนาบนระบบช่วงล่างที่มีความแข็งแกร่ง ทำให้มีความเสถียรยิ่งกว่าเดิม ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ ห้องโดยสารถูกแยกจากระบบช่วงล่างด้วยยางรองตัวถัง ทำให้สามารถลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนลง พร้อมกับทำให้มีการขับขี่ที่คล่องตัวและหนึบมากขึ้น จานดิสก์เบรกชุดใหม่มีเสียงการทำงานที่ลดลง นอกจากนี้ ระบบกันสะเทือนชุดใหม่ยังถูกปรับตั้งพร้อมช็อกอัพแบบไดเกรสซีฟ ซึ่งช่วยให้โคโลราโดมีการขับขี่ที่สะดวกสบายและเสถียรภาพที่เหนือชั้น

โคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุด ยังมาพร้อมระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการบังคับพวงมาลัยสำหรับการขับขี่ในเมืองและขณะจอดรถ อีกทั้งยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น ระบบบังคับเลี้ยวจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นตามความเร็วในการขับขี่ ดังนั้นโคโลราโดรุ่นใหม่จึงมีน้ำหนักพวงมาลัยที่เหมาะสมเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงขึ้น


อัดแน่นทุกอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสไตล์รถกระบะพรีเมียม

โคโลราโดรุ่นใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในแบบที่พบได้ในรถกระบะระดับพรีเมียมเท่านั้น

ระบบความปลอดภัยอันล้ำสมัย

ในเรื่องของความปลอดภัยยังคงมีความสำคัญสูงสุดสำหรับเชฟโรเลต และโคโลราโดรุ่นใหม่สะท้อนปรัชญานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยระบบความปลอดภัยแบบแอคทีฟและแพสซีฟ (ขึ้นอยู่กับรุ่น) ทั้งระบบป้องกันล้อหมุนฟรีทั้งขณะออกตัวและในโค้ง Traction Control System (TCS), ระบบรองรับการเบรกกะทันหัน Panic Brake Assist (PBA), ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Electronic Stability Control (ESC), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control (HDC) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางชัน Hill Start Assist (HSA) พร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ตลอดจนถุงลมนิรภัยป้องกันหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่

ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่

โคโลราโดรุ่นใหม่ล่าสุด โดดเด่นด้วยระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร ระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและหลัง และระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝน ไฟหน้าเปิด/ปิดอัตโนมัติ และฟังก์ชั่นรีโมทสตาร์ท ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเวลาจอดกลางแจ้งด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้จากกุญแจ เพื่อให้ห้องโดยสารเย็นสบายก่อนขึ้นรถ ขณะที่ระบบช่วยเหลือการจอดด้านหน้าและกล้องมองหลังช่วยให้การขับขี่ในที่คับแคบมีความสะดวกง่ายดายมากขึ้น ฟังก์ชั่นอื่นๆ ยังรวมถึงกระจกหน้าต่างคู่หน้าที่เลื่อนลงเล็กน้อยเพื่อช่วยในการปิดประตู (ขึ้นอยู่กับรุ่น)

การเชื่อมต่อที่เหนือกว่า

การเชื่อมต่อมีความสำคัญสำหรับผู้ขับขี่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่โคโลราโดรุ่นใหม่ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีที่พบได้ในรถกระบะระดับพรีเมียมเท่านั้น โคโลราโดใหม่เป็นรถกระบะรุ่นแรกในเซกเมนท์ที่รองรับการเชื่อมต่อแอปเปิล คาร์เพลย์ ทำให้ลูกค้าสามารถแสดงผลหน้าจอสมาร์ทโฟนขึ้นบนหน้าจอทัชสกรีนของตัวรถได้

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นสิริ อายส์ฟรี และซอฟต์แวร์สั่งงานด้วยเสียง ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานด้วยเสียงโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย ระบบนี้มุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่โคโลราโดที่สามารถบุกเบิกเส้นทางใหม่ทั้งการทำงานและการท่องเที่ยว

มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ฉลองยอดผลิตครบ 1 ล้านคันทั่วโลก




ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น - มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ยอดการผลิตสปอร์ตโรดสเตอร์ชื่อก้องโลกอย่าง มาสด้า เอ็มเอ็กซ์- 5 (ในญี่ปุ่น ชื่อ มาสด้า โรดสเตอร์) ประสบความสำเร็จอย่างสวยสดงดงาม มียอดการผลิตครบ 1 ล้านคันไปแล้วเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา นับเป็นนิมิตรหมายสำคัญหลังจากที่รถยนต์รุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นเป็นคันแรกเมื่อเดือนเมษายน 1989 หรือเมื่อ 27 ปีก่อน ณ โรงงานยูจินะ โรงงานผลิต 1 ในเมืองฮิโรชิมา

“นับตั้งแต่มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เจนเนอเรชั่นแรกจนมาถึงเจนเนอเรชั่นที่ 4 นี้ เหตุผลสำคัญที่เรายังคงสามารถจำหน่าย เอ็มเอ็กซ์-5 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีมาจนถึงทุกวันนี้ สืบเนื่องมาจากการได้แรงสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งของแฟนๆ ทั่วโลก” มาซามิชิ โคไก ประธานบริหาร และซีอีโอของ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “มาสด้าเริ่มก่อตั้งขึ้นในเมืองฮิโรชิมาเมื่อ 96 ปีก่อน บริษัทของเรากำลังจะมีอายุครบ 100 ปี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ แน่นอนว่าเรายังคงมุ่งมั่นเพื่อจะส่งมอบความสุข ความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าของเราผ่านทางรถยนต์รุ่นนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ต่อไปเรื่อยๆ มาสด้ามีความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อจะสร้างสายสัมพันธ์อันแสนวิเศษให้กับลูกค้า กลายเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ลูกค้ารักและจะเลือกใช้ตลอดไป”



มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 คันที่ 1,000,000 (สเปคญี่ปุ่น เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร หลังคาผ้าใบ)

ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอบคุณแฟนๆ เจ้าของมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ทั่วโลก รถยนต์คันที่ 1,000,000 นี้จะถูกนำไปจัดแสดงและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อลูกค้า ในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งกิจกรรมทัวร์ครั้งนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม ในเทศกาลงานดอกไม้ของเมืองฮิโรชิมา และรถยนต์คันนี้จะเข้าร่วมวิ่งโชว์กับขบวนพาเหรดดอกไม้

มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งปรัชญาของการพัฒนารถยนต์ของมาสด้า และเป็นตัวแทนของการแสวงหาความสนุกสนานในการขับขี่อย่างแท้จริง นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1989 หรือราว พ.ศ. 2533 รถยนต์รุ่นนี้ก็ส่งมอบความสนุกสนานในการขับขี่ที่มีให้เฉพาะในรถยนต์สปอร์ตน้ำหนักเบาคันนี้เท่านั้น พร้อมกันนี้ยังได้รับการชื่นชมอย่างล้นหลามจากผู้คนทั่วโลก ทุกเพศ ทุกวัย และจากหลากหลายวัฒนธรรม

นอกจากนี้ เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นนี้ยังสามารถคว้ารางวัลความยอดเยี่ยมมาแล้วกว่า 200 รางวัลทั่วโลก รวมทั้งยังก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลอันทรงเกียรติอย่างรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งประเทศญี่ปุ่น ประจำปี 2015-2016 Japan Car of the Year รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลก World Car of the Year และรางวัลรถยนต์ออกแบบยอดเยี่ยมของโลก ประจำปี 2016 World Design of the Year ในปีนี้มาครองอย่างเต็มภาคภูมิ

มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ได้รับการบันทึกใน Guinness World Record ว่าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนสองที่นั่งที่ขายดีที่สุดในโลก ด้วยยอดการผลิตครบ 1 ล้านคันนี้ มาสด้ายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ มาสด้าพร้อมมุ่งหน้าทำลายสถิติของตัวเองไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ประวัติศาสตร์ของมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5

ก.พ. 1989
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เผยโฉมครั้งแรกที่งาน Chicago Auto Show

ต.ค. 1997
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นที่ 2 เผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน Tokyo Motor Show

ธ.ค. 1998
เปิดตัวมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ฉลองครบรอบ 10 ปี

พ.ค. 2000
Guinness World Records ลงบันทึกว่า มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนสองประตูที่ขายดีที่สุดในโลก

(ยอดการผลิต 531,890 คัน)

ม.ค. 2002
ยอดการผลิตครบ 600,000 คัน (ได้รับการอัพเดทใหม่ใน Guinness World Record)

มี.ค. 2005
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นที่ 3 เผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน Geneva Motor Show

เม.ย. 2005
ยอดการผลิตครบ 700,000 คัน (ได้รับการอัพเดทใหม่ใน Guinness World Record)


ก.ค. 2006
รุ่นหลังคาไฟฟ้าเปิด-ปิดอัตโนมัติเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน British International Motor Show

ม.ค. 2007
ยอดการผลิตครบ 800,000 คัน (ได้รับการอัพเดทใหม่ใน Guinness World Record)

ก.ค. 2009
เปิดตัวมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ฉลองครบรอบ 20 ปี

ก.พ. 2011
ยอดการผลิตครบ 900,000 คัน (ได้รับการอัพเดทใหม่ใน Guinness World Record)

เม.ย. 2014
เปิดตัวมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ฉลองครบรอบ 25 ปี

ก.ย. 2014
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 รุ่นที่ 4 เผยโฉมเป็นครั้งแรก


มี.ค. 2016
มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 อาร์เอฟ เผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน New York International Auto Show


· *1 Certified by Guinness World Records Limited

Website for One-Millionth Mazda MX-5 (Japanese only):

เว็บไซต์สำหรับรถมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 คันที่ 1,000,000 (ข้อมูลเป็นภาษาญี่ปุ่น)
http://www.mazda.co.jp/cars/roadster/million/

For information on awards visit the Mazda Global Website:

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัลที่ได้รับ:
http://www.mazda.com/en/innovation/awards/





http://www.mazda.co.th
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved