Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

BMW Motorrad Days 2017 ประสบการณ์สุดพิเศษเพื่อคนรักบิ๊กไบค์



BMW Motorrad Days 2017 ประสบการณ์สุดพิเศษเพื่อคนรักบิ๊กไบค์

เมื่อเร็วๆ นี้ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย จัดกิจกรรมแห่งปีเพื่อสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้เหล่าแฟนๆ บิ๊กไบค์ได้มาร่วมมันส์ใน BMW Motorrad Days 2017 ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ นอกจากการเปิดตัวของรถมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู R nineT Pure และบีเอ็มดับเบิลยู R nineT Racer รุ่นใหม่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย



เหล่าคนรักบิ๊กไบค์ยังได้ทดสอบรถมอเตอร์ไซค์ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดอีกหลากหลายรุ่น พร้อมช้อปจุใจกับอุปกรณ์ตกแต่ง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และคอลเลคชั่นของสะสมพิเศษ BMW Motorrad Days จากร้านค้าอีกมากมาย พิเศษกับสตั๊นโชว์ระดับโลกจาก Big Jim และคอนเสิร์ตจากศิลปินดัง ทั้งวงนูโว วงฟลัวร์ ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์ และวิน สควีซแอนนิมอล ที่ยกเครื่องกันมาสร้างความมันส์สะเทือนริมฝั่งเจ้าพระยา



ติดตามภาพมันส์ๆ เพิ่มเติม พร้อมกิจกรรมดีๆ ได้ที่www.facebook.com/BMWMotorradTH

มาสด้าจัดแข่งขัน MAZTECH SKILL COMPETITION เฟ้นหาสุดยอดช่างเทคนิคระดับประเทศ ยกระดับคุณภาพบริการลูกค้า





มาสด้าจัดแข่งขัน MAZTECH SKILL COMPETITION เฟ้นหาสุดยอดช่างเทคนิคระดับประเทศ ยกระดับคุณภาพบริการลูกค้า


กรุงเทพฯ – ประเทศไทย – 10 มีนาคม 2560 - มาสด้าเดินหน้าเร่งสร้างความมั่นใจด้านการบริการหลังการขายให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ หวังกำจัดจุดอ่อน สร้างจุดแข็งให้กับการบริการหลังการขาย เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง รองรับกับความต้องการของลูกค้ามาสด้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งด้านความพึงพอใจสูงสุด จัดแข่งขันทักษะช่างเทคนิคด้านการบริการหลังการขาย เพื่อหาช่างที่เก่งที่สุดระดับประเทศ ไปแข่งขันกับช่างเทคนิคบนเวทีระดับโลก ซึ่งมาสด้าดำเนินการจัดการแข่งขันทักษะด้านบริการประจำปี ครั้งนี้นับเป็นการจัดครั้งที่ 14 อย่างต่อเนื่อง
               

ดร. ปณัสย์ บุญค้ำ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริการหลังการขาย งานอะไหล่ และบริการภูมิภาค บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้าให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดเกินความคาดหมายของลูกค้า โดยในปีนี้ การปรับปรุงและพัฒนาบริการหลังการขายถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ โดยจัดให้มีการฝึกอบรมช่างเทคนิคมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาทักษะให้เกิดความเชี่ยวชาญในด้านการบริการรองรับจำนวนลูกค้ามาสด้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากยอดขายที่แรงสวนกระแสตลาดจนกลายเป็นแบรนด์อันดับ 3 ในกลุ่มรถยนต์นั่ง สำหรับการแข่งขันทักษะด้านบริการประจำปี 2559 ครั้งที่ 14 จัดขึ้นที่ศูนย์ฝึกอบรมมาสด้า หรือ Mazda Thailand Training Center โดยการแข่งขันครั้งนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพและมาตรฐานฝีมือช่างเทคนิคของมาสด้าทุกคนให้เกิดความเชี่ยวชาญและใส่ใจในการให้บริการลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น



ความสำเร็จที่ผ่านมาของมาสด้านั้น ไม่ได้มาจากการผลิตรถยนต์ออกมาภายใต้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยเท่านั้น ทั้ง เทคโนโลยี สกายแอคทีฟ ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน SKYACTIV-VEHICLE DYNAMICS ที่ให้ความเร้าใจแต่ปลอดภัยในยามขับขี่ รวมทั้งรูปลักษณ์การออกแบบภายใต้ โคโดะ ดีไซน์ Soul of Motion หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันงดงามเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญสูงสุดของมาสด้า คือ การเอาใจใส่ดูแลลูกค้าเสมือนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว เพื่อสร้างสายสัมพันธ์อันแสนพิเศษและทำให้รถยนต์มาสด้ากลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเติมเต็มชีวิตของลูกค้า เพื่อก้าวสู่ความเป็นพรีเมียมแบรนด์ ซึ่งในแต่ละโชว์รูมต้องมีการบริการที่ยอดเยี่ยม ฉะนั้นมาสด้าจึงต้องมีการปรับปรุงความรู้ความสามารถต่างๆ เพิ่มทักษะของบุคลากรในศูนย์บริการให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น การสร้างมาตรฐานการบริการที่ดีในทุกๆ ศูนย์บริการมาสด้า คือ เป้าหมายที่สำคัญเพราะมาสด้ามุ่งมั่นที่จะกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของลูกค้าทุกคน ส่วนบุคลากรของผู้จำหน่ายก็จะเกิดขวัญและกำลังใจ อีกทั้งความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมาสด้า อันจะช่วยรักษาบุคลากรในองค์กรต่อไป

การแข่งขันในครั้งนี้แบ่งออกเป็นประเภทบุคคลและผู้จำหน่าย โดยแบ่งออกเป็น ประเภทช่างเทคนิค ที่ปรึกษาด้านบริการ และเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ มีทั้งหมด 3 รอบ ได้แก่ รอบคัดเลือก รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ โดยในรอบชิงชนะเลิศนี้เป็นการแข่งขันภาคปฏิบัติที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเข้าแข่งขันในทุกสถานี มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 30 ราย จากการแข่งขันทั้งหมด 3 ประเภท ประเภทละ 10 ราย และคัดเลือกจนเหลือผู้ชนะเพียง 1 รายในแต่ละประเภทเท่านั้น



สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในแต่ละประเภทได้แก่

ประเภทช่างเทคนิค: คุณอนุภาส อยู่สุวรรณ จากศูนย์บริการมาสด้ามหาราช จ.จันทบุรี

ประเภทที่ปรึกษาด้านงานบริการ: คุณรณรนก ปริญกวินทรา จากศูนย์บริการมาสด้า บิซ มอเตอร์ส สาขาสุขุมวิท 65 กรุงเทพมหานคร

ประเภทเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์: คุณสุรีวัลย์ อยู่ยาง จากศูนย์บริการดำรงทรัพย์ มาสด้า กรุงเทพมหานคร

ผู้ชนะในแต่ละประเภทจะได้รับถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตร พร้อมเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาทและของที่ระลึก โดยผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทช่างเทคนิค จะได้เข้าร่วมการแข่งขันทักษะฝีมือช่างเทคนิคในระดับนานาชาติต่อไป

“เอช เซม มอเตอร์” เผยโฉมโชว์รูมบางนา สร้างความมั่นใจ ใกล้ชิดลูกค้า พร้อมบริการครบวงจร



“เอช เซม มอเตอร์” เผยโฉมโชว์รูมบางนา
สร้างความมั่นใจ ใกล้ชิดลูกค้า พร้อมบริการครบวงจร
“เอช เซม มอเตอร์” ทุ่มงบ 15 ล้านบาท ปักหมุดพื้นที่บางนา เปิดโชว์รูมใหม่ พร้อมศูนย์บริการครบวงจร รองรับการขยายตัวของสินค้า ทั้ง SEV และ STC เพื่อให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น วางแผนเปิดอีก 2 โชว์รูม ภายในสิ้นปีนี้
คุณวันชัย ลี้นะวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า “จากประสบการณ์การทำงานจากธุรกิจของครอบครัว “ฮั่วเฮงหลี” มากว่า 38 ปี ได้สะสมวิสัยทัศน์และมุมมองธุรกิจที่สามารถต่อยอด เหล่านี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาของ เอช เซม มอเตอร์ ที่ขยายธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย รถไฟฟ้า SEV(Siam Electric Vehicle) รถกอล์ฟไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ และรถสามล้อเอนกประสงค์ STC (Siam Tricycle) โดยเปิดโชว์รูมแรกและเป็นสำนักงานใหญ่อยู่ที่พระนครศรีอยุธยา
ด้วยความตั้งใจที่จะดูแลลูกค้าให้ได้รับการบริการไม่เพียงเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน แต่รวมถึงการบริการหลังการขาย เรื่องซ่อมบำรุงต่างๆ เราจึงตัดสินใจขยายธุรกิจด้วยการลงทุนกว่า15 ล้านบาท สร้างโชว์รูม และศูนย์บริการครบวงจรบนพื้นที่บางนา เพื่อให้สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และเราจะไม่หยุดนิ่งที่ก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาการบริการและการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุดอย่างแน่นอน
โชว์รูมบางนา ตั้งอยู่บนพื้นที่ 148 ตรม. ริมถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) ขาเข้า ด้านการออกแบบอาคารมีความทันสมัย โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ H SEM MOTOR โลโก้ SEV และ STC สามารถมองเห็นภายในได้อย่างชัดเจน แสดงถึงความโปร่งใสในการดำเนินงานที่มีมายาวนาน สำหรับภายในอาคารออกแบบพื้นที่เป็นสัดส่วน เน้นความสว่างคู่กับการประหยัดพลังงาน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อต้อนรับลูกค้าทุกท่าน


ภายในโชว์รูมจัดแสดง รถไฟฟ้า SEV (Siam Electric Vehicle) แบ่งเป็น 5 ประเภทดังนี้ รถกอล์ฟไฟฟ้า (GOLF SERIES) รถสามล้อไฟฟ้า (ELECTRIC TRICYCLE SERIES) รถไฟฟ้าสำหรับธุรกิจรีสอร์ท (RESORT SERIES) รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (MOTORCYCLE SERIES) และรถไฟฟ้าอเนกประสงค์ (UTILITY VEHICLE)
อีกทั้ง จัดแสดง รถสามล้อเอนกประสงค์ STC(Siam Tricycle) ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการทุกกลุ่ม ตั้งแต่ธุรกิจรายย่อย ฟู้ดทรัค จนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แบ่งเป็น

STC 110 Scooter เครื่องยนต์ 110 ซีซี ขับเพลา ระบบช่วงล่างรองรับน้ำหนักด้วย แหนบและโช๊ค กระบะกว้าง 1.00 เมตร ยาวถึง 1.40 เมตร รับน้ำหนักบรรทุกได้ 300 - 500 กิโลกรัม
         STC 
150 Sp รถสามล้อบรรทุกเอนกประสงค์ เครื่องยนต์ 150 ซีซี ขับเพลา ระบบช่วงล่างรองรับน้ำหนักด้วย แหนบและโช๊ค กระบะกว้าง 1.30 เมตร ยาวถึง 1.80 เมตร รับน้ำหนักบรรทุกได้ 500 - 700กิโลกรัม
และ STC Truck Food รถสามล้อบรรทุก สร้างอาชีพ ตกแต่งตามแบบ ใช้งานได้จริง ตอบโจทย์ร้านค้าเคลื่อนที่ในยุคนี้ ด้วยรูปแบบที่สวยงาม บรรทุกหนักได้เป็นอย่างดี
คุณวันชัย กล่าวต่อว่า “นอกจากโชว์รูมที่ทันสมัยแล้วนั้น เอช เซม มอเตอร์ สาขาบางนา ได้ลงทุนสร้างศูนย์บริการครบวงจร เพื่อตอบสนองการบริการหลังการขายให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการสำรองอะไหล่ การซ่อมบำรุงที่ได้มาตรฐาน ทีมช่างที่มีความชำนาญ ผ่านการอบรมให้รู้จักถึงสินค้าของเรา เพื่อตอบโจทย์การบริการแบบวันสต็อปเซอร์วิส เพื่อความพึงพอใจของลูกค้า”
“ความสำเร็จในปัจจุบันเริ่มต้นจากการไว้วางใจจากลูกค้าที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 38 ปี จึงต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเรา และเรายืนยันว่าจะพัฒนาสินค้า รวมถึงบริการให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด โดยตั้งเป้าที่จะขยายสาขาในส่วนรถไฟฟ้า (SEV) ให้ครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ อาทิ หัวหิน เชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนรถสามล้อเอนกประสงค์ (STC) ปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายกว่า 30 ราย ทั่วประเทศ และจะขยายเครือข่ายเพิ่มอีก 30เปอร์เซ็นต์ในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งให้ผลประกอบการสิ้นปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า” คุณวันชัย กล่าวทิ้งท้าย
          ผู้สนใจสามารถแวะชมสินค้าทั้ง SEV และSTC ของ “เอช เซม มอเตอร์” ได้ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 บูธ 17/1อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพค เมืองทองธานี วันที่ 29มีนาคม – 9 เมษายน 2560 หรือเข้าชมที่สำนักงานใหญ่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือที่โชว์รูมบางนาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนลูกค้าสัมพันธ์ โทรศัพท์ 092-276-5005

ฮอนด้าบิ๊กไบค์ทำเซอร์ไพรส์เปิดตัว All New CBR1000RRที่สุดแห่งยนตกรรมสายพันธุ์สปอร์ต ดึง นิกกี้ เฮเด้น อดีตแชมป์ MOTO GP ร่วมเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่



ฮอนด้าบิ๊กไบค์ทำเซอร์ไพรส์เปิดตัว All New CBR1000RRที่สุดแห่งยนตกรรมสายพันธุ์สปอร์ต ดึง นิกกี้ เฮเด้น อดีตแชมป์ MOTO GP ร่วมเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่

บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำสายพันธุ์สปอร์ตตัวจริงด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ได้แก่All New Honda CBR1000RR และ All New Honda CBR1000RR SP ที่ครั้งนี้ได้เปลี่ยนโฉมใหม่ภายใต้แนวคิด“Total Control’” โดดเด่นทั้งในด้านขุมพลังของเครื่องยนต์ที่ถ่ายทอดจากสนามแข่งและที่สุดแห่งการควบคุม เสริมด้วยเทคโนโลยีการขับขี่กับชุดอุปกรณ์ควบคุม อิเล็กทรอนิคที่จะช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น และยังเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในรถคลาสเดียวกัน พร้อมดึง นิกกี้ เฮเด้น สุดยอดนักบิดชาวอเมริกันเจ้าของดีกรีแชมป์โลกโมโต จีพี ปี 2006 และสเตฟาน แบรดเดิล แชมป์โลกโมโตทู ปี2011 สังกัดทีม Red Bull Honda World Superbike มาร่วมเปิดตัวสุดยอดยนตกรรมสายพันธุ์สปอร์ตให้คนไทยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และพร้อมให้จับจองเป็นเจ้าของได้ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 นี้



นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทย เปิดเผยว่า“ความนิยมรถบิ๊กไบค์ในเมืองไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเภทรถสปอร์ตที่มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับกลุ่ม รถประเภทอื่น ซึ่งแน่นอนกลุ่มประเภทรถสปอร์ตของฮอนด้าก็ต้องเป็นรถในตระกูล CBR ที่มีชื่อเสียงในด้านสมรรถนะและการควบคุมรถ ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะCBR1000RR ที่มีจุดกำเนิดตั้งแต่ปี 1992 และมีแนวคิดการพัฒนาคือ การนำเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง และ การควบคุมการขับขี่ที่ง่าย เข้ามาไว้ด้วยกัน ซึ่งฮอนด้าได้ยึดถือแนวคิดการออกแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน”



“ทั้งนี้ ฮอนด้าได้พัฒนา All New Honda CBR1000RR ขึ้นมาใหม่ ให้เป็นรถซุปเปอร์สปอร์ตที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่การขับขี่ท้องถนนได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง น้ำหนักที่เบาลง และสามารถควบคุมได้ง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ประกอบกับสีสันและดีไซน์ที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวสไตล์เรซซิ่งไบค์ และในครั้งนี้เรายังได้นำรุ่นCBR1000RR SP ที่เป็นรุ่นระดับท็อปที่มีเทคโนโลยีระดับรถที่ใช้แข่งขันเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย”

All New Honda CBR1000RR ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ขนาด 1000ซีซี. ที่ถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบาด้วยอัตราส่วนกำลังอัดที่ 13.0 และสามารถทำกำลังสูงสุดได้ 141 กิโลวัตต์ที่ 13,000 รอบต่อนาที เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้การขับขี่สนุกมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น TBW & APS เทคโนโลยีคันเร่งไฟฟ้า (Throttle by Wire) ที่ทำงานประสานกับเซ็นเซอร์ APS ที่ฝังอยู่ใน Handlebar grip เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ตอบสนองกับแรงบิดของผู้ขับขี่ได้อย่างดีที่สุด, Power Selectorระบบการตั้งค่าการขับขี่ โดยผู้ขับขี่เลือกตั้งค่ากำลังจากเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับแรงบิดของคันเร่ง, HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบควบคุมแรงบิดแบบเลือกได้ของฮอนด้า เพื่อตรวจจับความเร็วล้อด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยให้การควบคุมรถได้อย่างราบรื่น และ Engine Brake Control ซึ่งสามารถปรับเลือกได้ตามโหมดขับขี่ที่ที่ตั้งไว้เป็นค่ามาตรฐานหรือผู้ใช้สามารถตั้งค่าเองได้ตามต้องการ สะท้อนภาพลักษณ์รถสปอร์ตได้อย่างลงตัวด้วยชุดไฟหน้า ไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED และ ท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ที่ทำจากไทเทเนียมทำให้มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ CBR1000RR มีสองสีให้เลือกด้วยกัน ได้แก่ สีแดง (Victory Red) และ สีดำ (Mat Ballistic Black Metallic)



ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับรุ่น All New CBR1000RR SP พร้อมกับชุดสีดีไซน์ใหม่แบบ Tri-color (Victory Red) โดยถังน้ำมันได้ถูกทำขึ้นจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาอย่างไทเทเนียม ทำให้รถรุ่นนี้มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นปัจจุบันถึง 17 กิโลกรัม และยังอัดแน่นด้วยสุดยอดเทคโนโลยีจากสนามแข่ง ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Quick shifter ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องบีบคลัทช์ ระบบโช๊ค Ohlins ทั้งหน้า-หลัง ที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า และระบบเบรคคู่หน้าเป็นคาลิปเปอร์เบรคMonoblock 4 POT จาก Brembo เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อช่วยเพิ่มการควบคุมรถสำหรับการ ขับขี่ในสนามแข่งได้สนุกยิ่งขึ้น

ฮอนด้า บิ๊กไบค์พร้อมวางจำหน่าย All New Honda CBR1000RR และ All New Honda CB1000RR SP ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 ที่จะถึงนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของรถ All New CBR1000RR ทั้ง 2 รุ่น ได้ที่เว็ปไซต์www.hondabigbike.com และwww.facebook.com/hondabigbikeTH

โตโย ไทร์ ส่ง PROXES R888 ตอกย้ำสมรรถนะยางสุดซิ่ง ประชันศึก “TOYO TIRES 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2017”



โตโย ไทร์ ส่ง PROXES R888 ตอกย้ำสมรรถนะยางสุดซิ่ง
ประชันศึก “TOYO TIRES 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2017”


นายปฏิภาณ อนันต์รัตนสุข ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายยางโตโย ไทร์ ร่วมงานแถลงข่าว ปล่อยตัวรถแข่ง ISUZU ONE MAKE RACE ในรายการ “TOYO TIRES 3K ISUZU ONE MAKE RACE 2017” จำนวน 30 คัน ซึ่งเป็นรายการแข่งที่มีจำนวนรถปิคอัพเข้าแข่งขันมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่ง ONE MAKE RACE ของประเทศไทย พร้อมจัดส่งยาง TOYO TIRES PROXES R888 ประจำการรุ่น ISUZU ONE MAKE RACE ตลอดการแข่งขัน พร้อมพิสูจน์ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน สร้างความมั่นใจในการควบคุม พร้อมสร้างสถิติใหม่ในการแข่งขัน

ทายาทลำดับที่ 2 ของรถสปอร์ตซาลูนขุมพลังไฮบริดจากปอร์เช่ พานาเมร่า เปิดตัวครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ที่เมืองเจนีวา


ทายาทลำดับที่ 2 ของรถสปอร์ตซาลูนขุมพลังไฮบริดจากปอร์เช่ พานาเมร่า เปิดตัวครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ที่เมืองเจนีวา
ปอร์เช่ พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ขีดสุดของพละกำลังเหนือระดับ

สตุ๊ทการ์ท. ปอร์เช่เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในฐานะยนตกรรมสมรรถนะสูง ด้วยการเปิดตัว พานาเมร่าเทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ใหม่ล่าสุด นับเป็นโอกาสอันดีที่บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชั้นนำของโลกแห่งนี้ เปิดผ้าคลุมเผยโฉมยานยนต์พลังขับเคลื่อน plug-in hybrid ในตำแหน่งเรือธงของรถยนต์สปอร์ตซาลูนประจำค่าย ออกสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกในโลก ขุมพลังเครื่องยนต์ V8 ขนาดความจุ 4.0 ลิตร ซึ่งประจำการอยู่ใน พานาเมร่า เทอร์โบ (Panamera Turbo) ได้รับการติดตั้งผสานการทำงานอย่างกลมกลืน ลงตัวกับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือพละกำลังสูงสุดกว่า 680 แรงม้า/500 กิโลวัตต์ พร้อมตอบสนองทันทีที่เหยียบคันเร่ง : แรงบิดมหาศาลระดับ 850 นิวตันเมตร จะนำพา พานาเมร่า เทอร์โบ (Panamera Turbo) พุ่งทะยานอย่างเต็มสมรรถนะเมื่อเข็มวัดรอบเครื่องยนต์ตวัดพ้นรอบเดินเบา นั่นหมายถึงอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปยังความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเพียง 3.4 วินาทีเท่านั้น สำหรับความเร็วสูงสุดทะลุเพดานไปถึง 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อย่างไม่ยากเย็น กระบวนการจัดการพลังงานระดับอัจฉริยะของ พานาเมร่า (Panamera) ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive คันนี้ ได้รับการถ่ายทอดมาจากรถซูเปอร์สปอร์ตอย่างปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) จากการทดสอบโดยใช้มาตรฐานของ New European Driving Cycle จะได้ตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ประหยัดอย่างไม่น่าเชื่อ เพียง 34.4 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 2.9 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พานาเมร่า (Panamera) รุ่น เรือธงคันนี้ขับเคลื่อนด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เป็นระยะทางสูงสุดได้ถึง 50 กิโลเมตร พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) คืออัตลักษณ์และตัวแทนที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทในการพัฒนายานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากปอร์เช่

แนวคิดในการผสานพลังขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ V8 และมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง
ผลจากความสำเร็จอย่างงดงามหลังจากการเปิดตัว พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) ซึ่งได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ปอร์เช่จึงไม่รีรอที่จะแสดงศักยภาพเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน hybrid ล้ำอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะชั้นเลิศให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้งด้วย พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ใหม่ล่าสุด ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง (ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า/100 กิโลวัตต์) เป็นหนึ่งเดียวกับเครื่องยนต์ V8 (ให้กำลังสูงสุด 550 แรงม้า/404 กิโลวัตต์) ด้วยอุปกรณ์ de-coupler ซึ่งติดตั้งอยู่ภายใน Porsche hybrid module ควบคุมการทำงานด้วยระบบelectromechanically ผ่านชุดคลัทช์ไฟฟ้า electric clutch actuator (ECA) เช่นเดียวกับ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด (Panamera 4 E-Hybrid) ผลคืออัตราการตอบสนองที่รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ยังคงความนุ่มนวลไม่เปลี่ยนแปลง ภายใต้แนวคิดเดียวกันในการออกแบบพัฒนาปอร์เช่ พานาเมร่า เจเนอเรชั่นที่ 2 ทุกคัน ระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ คลัทช์คู่ 8 จังหวะ Porsche Doppelkupplung (PDK) เปลี่ยนอัตราทดได้อย่างแม่นยำฉับไว เพียงเสี้ยววินาที ถ่ายทอดพละกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ adaptive all-wheel drive อย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ผ่านระบบ Porsche Traction Management (PTM) ทั้งหมดนี้คือแนวคิด E-Performance ซึ่งขับเน้นสมรรถนะอันยอดเยี่ยมให้แก่ยนตกรรมสปอร์ตซาลูนสุดหรู เร่งออกตัวก้าวข้ามพิกัดความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในระยะเวลาเพียง 3.4 วินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึงกว่า 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้ปอร์เช่ พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) คือยนตกรรมแกรนทัวริ่งระดับผู้นำที่กำหนดบรรทัดฐานใหม่ให้กับรถยนต์ระดับเดียวกัน พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ได้รับการติดตั้งระบบช่วงล่างแบบถุงลม air suspension เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่งมอบประสิทธิภาพการทรงตัวและการยึดเกาะที่มั่นคงสไตล์สปอร์ตเต็มรูปแบบ โดยยังคงไว้ซึ่งความนุ่มนวล สะดวกสบายตอบรับทุกลักษณะการใช้งาน ให้ทุกการขับขี่และเดินทางเป็นประสบการณ์แห่งสมรรถนะเหนือระดับที่ได้รับจากยอดยนตกรรมสปอร์ตซาลูนคันนี้เท่านั้น

มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ได้รับพลังงานจากแบตเตอรี่ liquid-cooled lithium-ion ซึ่งมีความจุถึง 14.1 กิโลวัตต์/ชั่วโมงโดยสามารถชาร์จพลังงานกลับจนกระทั่งเต็มความจุของแบตเตอรี่ภายในระยะเวลา 6 ชั่วโมง เมื่อใช้สายชาร์จแบบ 10A 230-V ในกรณีที่เลือกใช้อุปกรณ์พิเศษ สายชาร์จแบบ on-board ขนาด 7.2 กิโลวัตต์ 32A 240-V แทนที่อุปกรณ์มาตรฐานขนาด 3.6 กิโลวัตต์ จะสามารถชาร์จพลังงานกลับไปยังแบตเตอรี่จนเต็มความจุได้ภายในเวลาเพียง 2.4 ชั่วโมงเท่านั้น ขั้นตอนการชาร์จพลังงานจะได้รับการจับเวลาด้วยระบบ Porsche Communication Management (PCM) นอกจากนี้ พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ยังได้รับการติดตั้งระบบปรับอากาศแบบ auxiliary air conditioning เพิ่มขีดความสามารถในการทำความเย็นหรือทำความอบอุ่นให้แก่ห้องโดยสารแม้ในขณะอยู่ระหว่างขั้นตอนการชาร์จ



สนองตอบ 3 วัตถุประสงค์การใช้งานอย่างยอดเยี่ยม สมรรถนะสปอร์ตเต็มขั้น ความสะดวกสบายผ่อนคลายในการเดินทาง และประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงชั้นเลิศ

สมรรถนะการขับขี่ หรูหราสะดวกสบาย และประสิทธิภาพการทำงาน คือความสมบูรณ์แบบ 3 สิ่งที่รวมกันอยู่ในรถยนต์ คันนี้ : ปอร์เช่ พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ออกสตาร์ทด้วยรูปแบบการขับเคลื่อนจากพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวด้วยโปรแกรม “E-Power” เป็นมาตรฐาน รถสปอร์ต 4 ประตูคันนี้ สามารถวิ่งในสภาวะ ยานยนต์ปราศจากมลพิษ หรือ zero emissions ได้ด้วยระยะทางสูงสุดถึง 50 กิโลเมตร แต่ในทันทีที่ผู้ขับขี่เรียกหาพละกำลังจากรถยนต์คันนี้ด้วยการเหยียบคันเร่งมากขึ้น หรือในขณะที่พลังงานในแบตเตอรี่ลดต่ำลงกว่าระดับที่กำหนด พานาเมร่าจะปรับการทำงานไปยังโปรแกรมการขับขี่แบบ “Hybrid Auto” ซึ่งกำลังขับเคลื่อนจากจุดกำเนิดทั้ง 2 จะได้รับการนำมาใช้พร้อมกัน อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรฐานการทดสอบของ New European Driving Cycle (NEDC) สำหรับรถยนต์ plug-in hybrid ทำได้ที่ 34.4 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 2.9 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ที่ 66 กรัมต่อกิโลเมตร) และมีอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ 16.2 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร

เพิ่มทางเลือกด้วยรุ่นฐานล้อพิเศษ
เรือธงคันใหม่ของ ปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) เจเนอเรชั่นที่ 2: พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) กำลังจะได้รับการเผยโฉมเป็นครั้งแรกของโลกในงานมหกรรมยานยนต์สุดยิ่งใหญ่ Geneva Motor Show (จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 ถึง 19 มีนาคม 2017) ในโอกาสนี้ยนตกรรมแกรนทัวริ่ง 4 ประตูมาพร้อมทางเลือกที่สนองตอบความเหนือระดับยิ่งขึ้นจากความพิเศษในรุ่น Executive ซึ่งได้รับการขยายความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้นถึง 150 มิลลิเมตร

ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐานที่ได้รับการติดตั้งใน พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) ประกอบด้วย ระบบเบรก Porsche Ceramic Composite Brake (PCCB) ระบบควบคุมการทำงานของช่วงล่างด้วยอิเล็กทรอนิกส์ Porsche Dynamic Chassis Control Sport (PDCC Sport) ระบบ Porsche Torque Vectoring Plus (PTV Plus) พร้อมระบบ Power Steering Plus และล้ออัลลอยด์ขนาด 21 นิ้ว ดีไซน์ 911 Turbo นอกจากนี้ยังได้รับการติดตั้งระบบปรับอากาศแบบ auxiliary air-conditioning อุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ และ ระบบช่วงล่างแบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ three-chamber air suspension พร้อมระบบ Porsche Active Suspension Management (PASM) ในรุ่นฐานล้อพิเศษติดตั้งระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง rear axle steering เป็นมาตรฐาน

ติดตามภาพข่าวได้จาก Porsche Newsroom (http://newsroom.porsche.de) และข้อมูลเพิ่มเติมที่ Porsche press database (http://presse.porsche.de)

อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์


พานาเมร่า เทอร์โบ (Panamera Turbo) : อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 10.6-10.7 กิโลเมตรต่อลิตร (9.4-9.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) ในเมือง 7.8-7.7 กิโลเมตรต่อลิตร (12.9-12.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร) นอกเมือง 13.8-13.6 กิโลเมตรต่อลิตร (7.3-7.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร), อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 214-212 กรัมต่อกิโลเมตร

พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด (Panamera Turbo S E-Hybrid) : อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 34.4 กิโลเมตรต่อลิตร (2.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร); อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า 16.2 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 66 กรัมต่อกิโลเมตร

พานาเมร่า เทอร์โบ เอส อี-ไฮบริด เอ็กซ์เซคคูทีฟ (Panamera Turbo S E-Hybrid Executive) : อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 34.4 กิโลเมตรต่อลิตร (2.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร); อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า 16.2 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) 66 กรัม ต่อกิโลเมตร

**ค่าที่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของยางรถยนต์ที่ได้รับการติดตั้ง

เอ.พี.ฮอนด้า ประกาศศักดาเตรียมปั้นนักแข่งสา ยเลือดไทยสู่การแข่งขันสนามระดั บโลก Moto GP พร้อมวางรากฐานพัฒนาทีมแข่งร องรับอย่างเป็นระบบ



เอ.พี.ฮอนด้า ประกาศศักดาเตรียมปั้นนักแข่งสา ยเลือดไทยสู่การแข่งขันสนามระดั บโลก Moto GP พร้อมวางรากฐานพัฒนาทีมแข่งร องรับอย่างเป็นระบบ

เอ.พี.ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้ าในประเทศไทย แถลงนโยบายมอเตอร์สปอร์ตประจำปี 2017 ตั้งเป้าหมายระยะยาวนำนักแ ข่งสายเลือดไทยสู่ Moto GP ภายในปีพ.ศ. 2025 พร้อมเริ่ม วางรากฐานทีม เอ.พี. ฮอนด้า เรซซิง ไทยแลนด์ ในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทั้งนั กแข่งและสมาชิกในทีมแข่งอย่างเป็ นระบบเพื่อก้าวสู่รายการแข่งขั นระดับโลก ส่งทีมช่างเทคนิคเรียนรู้โนว์ฮา วจากค่ายโมริวากิ ที่ประเทศญี่ปุ่นและส่งนักแข่งฝี มือดีลงแข่งขันในระดับเอเชียและ ระดับโลกหลายรายการ อาทิ การแข่งขัน World GP รุ่น Moto 3 รวมถึงลงแข่งขันในรายการ Suzu ka 4 Hours ที่จะช่วยเสริมสร้างทั้ งทักษะการขับขี่และจิตวิญญาณแห่ งแข่งขันให้กับทีม เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ พร้อมขยายฐานกีฬามอเตอร์สปอร์ ตในประเทศด้วยการจัดการแข่งขันตั้ งแต่ระดับเยาวชนเพื่อเฟ้นหาเยาว ชนฝีมือดีสู่วงการมอเตอร์สปอร์ ตไทย

มร.โยอิจิ มิซึทานิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า “เอ.พี. ฮอนด้า มีความฝัน ในการทำให้มอเตอร์สปอร์ตกลายเป็ นกีฬาที่ได้รับความนิยมในระดับเ ดียวกับฟุตบอล ให้เป็นหนึ่งในกีฬา ที่ประชาชนชื่นชอบและใกล้ชิดกับ ทุกเพศทุกวัย เรามีแนวคิดที่จะข ยายฐานความนิยมในกีฬามอเตอร์สปอ ร์ตให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมาก ขึ้น และผลักดันวงการมอเตอร์สปอร์ตไท ยสู่ระดับโลกให้ได้ ที่ผ่านมา เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ได้ป้อนนักแข่งสู่เวทีระดับโลกม าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ในปี 2006 ส่ง “ฟิล์ม” รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ สู่สนาม Moto2 หรือในปี 2013 นอกจากนี้เราได้ ปั้นนักแข่งหญิงแกร่งหนึ่งเดี ยวของไทยคนแรก “น้องมุกข์” มุกข์ลดา สารพืช เข้าร่วมการแข่งขั นในระดับเอเชีย จนสามารถคว้าแชมป์รายการ Asia Dream Cup 2015 ได้อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสานฝันให้เป็นจริง เราจึงได้วางแผนงานที่สำคัญไว้ 2 เรื่อง”

“เริ่มจากวางเป้าหมายที่จะสร้า งนักแข่งโมโต จีพี สายเลือดไทยคนแรกให้ได้ภายในปีพ .ศ. 2025 โดยระหว่างนี้ เราจะเฟ้นหาเยาวชนไทยที่มีพรสวร รค์จากกลุ่มเด็กอายุ 10 – 15 ปี และจัดการแข่งขันโดยใช้รถ NSF10 0 ซึ่งเป็น Racing Machine เป็นรายการเพิ่มเติมจาก Thailand Talent Cup ที่เริ่มต้นไปแล้วในปีที่ผ่ านมา เพื่อเปิดประตูให้เด็กไทยเข้าสู่โลกมอเตอร์สปอร์ตที่แท้จริง และเป็นช่องทางในการเฟ้นหานักแข่ งสู่โมโต จีพี”



มร.โยอิจิ มิซึทานิ กล่าวอีกว่า เรื่องที่สอง คือ ในปีนี้เราจะเสริมสร้างศักยภาพแ ละเพิ่มความท้าทายด้วยการส่งทีม เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ในฐานะทีมโรงงาน (Factory Team) ลงแข่งขัน Asia Road Racing Championship 2017 และ Enduranc e 4 ชั่วโมงที่สนามซูซูก้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนักแข่ง ทีมช่าง และเจ้าหน้าที่ซัพพอร์ตงานทุกคน ล้วนแต่เป็นคนไทยและเป็นพนักงาน ของ เอ.พี. ฮอนด้า เป็นหลัก ความจริงเรามีวิธีเข้าร่วมการแข่ งขันที่ง่ายกว่านี้ เช่น ให้นักแข่งไทยทำสัญญากับทีมแข่ง ต่างประเทศอีกทีมหนึ่งแล้วลงแข่ ง แต่ถ้าทำเช่นนั้นศักยภาพของทีม เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ก็จะไม่พัฒนาขึ้น การทำทีมเองอาจจะเหนื่อยและลำบา ก แต่เราได้เลือกที่จะเข้าร่วมการ แข่งขันโดยทำทุกอย่างด้วยตัวเรา เอง คิดเอง เตรียมงานเอง ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจาก การแข่งขันในครั้งนี้จะเป็นประส บการณ์อันล้ำค่าให้กับทั้งนั กแข่ง ตลอดจนทีมงาน พัฒนาก้าวสู่ระดับโลกตามแผนงานที่ เราได้วางไว้”

ด้านนายสุคติ สรรพวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไปส่วนง านวางแผนผลิตภัณ์และกีฬายานยนต์ บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “การก้าวสู่ระดับโลกจำเป็นต้องว างแผนงานที่ชัดเจนในทุกระดับของ การแข่งขัน โดยเป้าหมายในระยะยาวเราจะเป็นที มแข่งสายเลือดไทยร้อยเปอร์เซ็ นต์ที่จะลงแข่งขันในรายการระดั บโลกอย่าง World Superbike และแผนงานในปีนี้ ทางทีม เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ จะส่งนักแข่งเข้าร่วมใน 2 รายกา รสำคัญ เริ่มจากการแข่งขันระดับ World GP ที่จะมี ชิพ-นครินทร์ อธิรัฐ ภูวภัทร์ ลงแข่งขันในรุ่น Moto 3 โดยสังกัดทีม Idemitsu Honda Team Asia และถือนักแข่งไทยคนแรกในปร ะวัติศาสตร์ที่ได้ลงแข่งในรายกา รนี้ รวมถึงลงแข่งขันในรายการ CEV Moto3 Junior World Championship 2017 ซึ่งเป็นรายการค้นหาดาวรุ่ งที่สำคัญของโลก เป็นจุดเริ่มต้นของนักแข่งในระดั บเวิลด์จีพีหลายคน โดยเราจะส่ง ก้อง-สมเกียรติ จันทรา ดาวรุ่งพรสวรรค์สูงเจ้าข องตำแหน่งแชมป์ Asia Talent Cup ปีล่าสุด”

“ในส่วนของการแข่งขันในระดับเอ เชีย เราจะส่งนักแข่งเข้าร่วมใน 3 รา ยการสำคัญ เริ่มจากการแข่งขันรถจักรยานยนต์ ทางเรียบชิงแชมป์เอเชียหรือ Asi a Road Racing Championship 2017 จะมี โฟลท-รั ฐพงษ์ วิไลโรจน์ และ มร.ทัตสึยะ ยามากูจิ นักแข่งชาวญี่ปุ่น มาร่วมทีม เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ซึ่งการดึง นักแข่งชาวญี่ปุ่นมาร่วมทีมในครั้ งนี้ก็เพื่อเป็นการยกระดั บความเป็นมืออาชีพให้กับนักแข่ งไทยก่อนก้าวสู่เวทีระดับโลก โดยทั้งคู่จะลงแข่งขันในรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี พร้อมกันนี้ในรุ่นสปอร์ตโปรดักชั่ น 250 ซีซี เราได้วาง 2 นักแข่งฝีมือดี ได้แก่ เอ้-วรพงศ์ มาลาหวล และ น้องมุกข์-มุกข์ลดา สารพืช นักบิดหญิงหนึ่งเดียวของ ไทยที่ผ่านประสบการณ์ในระดับออล เจแปน มาร่วมสู้ศึกในครั้งนี้ โดยมี มร.มาโกโตะ ทามาดะ ขึ้นแท่นเป็น Head Coach ทีม เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ และมี ฟิล์ม-รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ เข้ามารับตำแหน่งผู้ ช่วยโค้ชประจำทีมอีกด้วย”

ต่อมาคือรายการ Endurance 4 ชั่วโมง เป็นรายการที่สำคัญและจะเป็นครั้งแรกที่ทีม เอ.พี. ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ เข้าร่วมการแข่งขัน นำทีมโดยโค้ช ฟิล์ม-รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ ในช่วงของการคัดเลือกนักแข่ง ซึ่งนักแข่งทั้ง 4 คนจะเป็นนักแ ข่งสายเลือดไทย รวมถึงทีมช่างและเจ้าหน้าที่ซัพ พอร์ต ก็จะเป็นคนไทยด้วยเช่นกัน พร้อมกันนี้ในรายการ Asia Talent Cup ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ที่เกิ ดจากความร่วมมือระหว่าง Dorna แ ละ HRC เพื่อค้นหาดาวรุ่งที่ดี ที่สุดในเอเชียไปแข่งขันในระดั บ World GP ในปีนี้เราได้ตัดสินใจส่งดาว รุ่งที่น่าจับตามองอย่าง นิว – กฤชพร แก้วสนธิ ลงแข่งขันในรายการดังก ล่าว ซึ่งนักแข่งไทยทั้งหมดถือเป็นตั วแทนของคนไทยทั้งประเทศที่จะไปส ร้างชื่อเสียงให้วงการมอเตอร์สป อร์ตของไทยเป็นที่รู้จักและได้รั บการยอมรับทั้งในระดับเอเชียและ ระดับโลก จึงอยากขอให้คนไทยร่วมส่งแรงใจเ ชียร์เป็นกำลังใจให้พวกเขาด้วยค รับ

“ในปีนี้เรายังได้จับมือเป็นพั นธมิตรกับทางค่าย Moriwaki ที มแข่งรถระดับโลกแบบเต็มตัว การร่วมเป็นพันธมิตรกันในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อวงการมอเตอร์สปอร์ ตไทยเป็นอย่างยิ่ง โดย เอ.พี.ฮอนด้า จะส่งช่างเทคนิคทั้งหมดไปเก็บเกี่ ยวความรู้และร่วมฝึกฝนกับทีมแข่ งของค่าย Moriwaki ถึงประเทศญี่ ปุ่นตลอดทั้งฤดูกาล เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงาน นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รั บมาใช้กับทีมแข่ง เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ และวงการมอเตอร์สปอร์ตของไทยต่อ ไป”

นอกจากนี้ เอ.พี.ฮอนด้า ยังคงมุ่งขยายฐานกีฬามอเตอร์สปอ ร์ตภายในประเทศให้กว้างขวางและเ ป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้วยการสานต่อโครงการ Honda CBR300R Thailand Dream Cup และ Honda MSX Super Challenge รวมถึงการเฟ้นหาเยาวช นฝีมือดีในระดับเยาวชนตั้งแต่ 1 0 – 15 ปี ด้วยการจัดการแข่งขันที่จะใช้รถ NSF100 ซึ่งเป็น Racing Machine เพื่อการปูพื้นฐานกีฬาม อเตอร์สปอร์ตตั้งแต่ระดับเยาชนใ นแนวทางของ Honda Racing School
ทั้งนี้สามารถติดตามข่าวสารควา มเคลื่อนไหวเพิ่มเติมของกิจกรรม มอเตอร์สปอร์ตจากทีม A.P. Honda Racing Thailand ได้ที่ www.aphondarac ingthailand.com

อีซูซุประเดิมฉลองครบรอบ 60 ปีส่ง“The New Isuzu MU-X” ลุยตลาด



อีซูซุประเดิมฉลองครบรอบ 60 ปีส่ง“The New Isuzu MU-X” ลุยตลาด


อีซูซุเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีในไทย ประเดิมส่ง “The New Isuzu MU-X” ที่ปรับโฉมครั้งใหญ่ จัดเต็มทั้งภายนอกและภายใน เน้นความสปอร์ตหรู งามสง่า ภายใต้นิยามSignature of Privilege เอกลักษณ์แห่งเอกสิทธิ์ ตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้ใช้รถยุคใหม่ได้สูงสุดในทุกด้าน ด้วยความสะดวกสบายสมบูรณ์แบบ พร้อมนวัตกรรมเปลี่ยนโลก เครื่องยนต์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ เทคโนโลยีดีเซลยุคใหม่ ให้พลังแรง ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงสุด ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,099,000 บาท อีกทั้งยังได้แนะนำรถปิกอัพ“อีซูซุดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์ รุ่นพิเศษ!” ที่มาพร้อมชุดตกแต่งพิเศษรอบคัน ผลิตจำนวนจำกัดเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ชีวิตเมือง

กลุ่มตรีเพชร โดย มร. โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อีซูซุได้เผยแพร่โฆษณาก่อนออกจำหน่าย (Teaser) ในสื่อต่างๆ เพื่อแจ้งกำหนดการเปิดตัวโมเดลรุ่นล่าสุดของ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” จึงก่อให้เกิดกระแสการพูดถึงในโซเชียลมากมาย เนื่องจาก “อีซูซุมิว-เอ็กซ์”เป็นหนึ่งในรถธงที่นำความสำเร็จมาสู่กลุ่มอีซูซุในประเทศไทย นับตั้งแต่เริ่มจำหน่ายครั้งแรกในปี พ.ศ.2556 โดยในครั้งนั้นได้สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการรถยนต์เมืองไทยด้วยยอดจองที่สูงกว่า 5,000 คันในเวลาเพียง 10 วันแรก และได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้ใช้รถอเนกประสงค์ระดับหรูมาโดยตลอด และในเดือนมีนาคม พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำอีกครั้ง ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด “อีซูซุ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์” (ISUZU 1.9 Ddi Blue Power) ขุมพลังดีเซลแห่งอนาคต สามารถสร้างยอดขายท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ และยังเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในตลาดรถอเนกประสงค์ที่ผู้ใช้รถไว้วางใจ ท่ามกลางการแข่งขันและเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ในตลาดรถยนต์เมืองไทย พร้อมกันนี้ยังได้รับคะแนนความพึงพอใจสูงสุดในด้านคุณภาพรถใหม่ ในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดใหญ่ จากการสำรวจความคิดเห็นจากเจ้าของรถใหม่ ที่จัดทำโดย เจ.ดี.พาวเวอร์ อีกด้วย

สำหรับปี พ.ศ.2560 นี้ ซึ่งเป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของการดำเนินธุรกิจอีซูซุในประเทศไทย อีซูซุจึงประเดิมตลาดโดยส่ง “The New Isuzu MU-X” ภายใต้นิยาม Signature of Privilege เอกลักษณ์แห่งเอกสิทธิ์ ที่จะสร้างสีสันให้วงการรถยนต์ไทยอีกครั้ง ภายใต้การออกแบบ

และปรับโฉมครั้งใหญ่ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนที่แตกต่างและโดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยสไตล์สปอร์ต โฉบเฉี่ยว ทันสมัย เหนือระดับมากยิ่งขึ้น พร้อมบรรยากาศในห้องโดยสารที่กว้างขวาง และการออกแบบใหม่ให้หรูหราสง่างาม นั่งสบายในแบบฉบับรถยนต์นั่งระดับหรู โดยยังคงจุดเด่นสำคัญคือ เครื่องยนต์อีซูซุ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ที่ให้การตอบสนองการขับขี่ที่ดี โดยเน้นความประหยัดน้ำมันและรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมช่วงล่างที่นุ่มนวล รวมถึงเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตยุคใหม่ให้ผู้ใช้รถได้สูงสุดในทุกด้าน เราจึงมั่นใจว่า “The New Isuzu MU-X”จะเป็นอาวุธสำคัญของกลุ่มตรีเพชรในการสร้างยอดขายที่แข็งแกร่ง และเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่จะพากลุ่มอีซูซุไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ การพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพสำหรับผู้ใช้รถในประเทศไทยและทั่วโลก พร้อมจำหน่าย ณ โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ศกนี้ เป็นต้นไป”

เอกลักษณ์ใหม่ที่สร้างความโดดเด่นให้กับ “The New Isuzu MU-X” ประกอบด้วย



SIGNATURE OF STYLE
เต็มตาด้วยดีไซน์ภายนอก สุดเท่ งามสง่าทุกมิติ ออกแบบใหม่หมดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ปรับลุคให้สปอร์ตทันสมัย โดดเด่น และหรูหราสง่างามเหนือระดับยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกถึงพลังที่ไม่หยุดนิ่ง สะดุดตาทุกครั้งที่มอง

· กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ แบบ Sport 3D ให้มิติสูงสง่า เด่นชัด สปอร์ต หรูหราขึ้นอีกระดับ

· ไฟหน้าดีไซน์ใหม่ แบบ Bi-LED ให้ความสว่างมากขึ้น ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไม่รบกวนสายตาผู้ร่วมทาง พร้อมไฟ Daylight อยู่ในโคมเดียวกัน โดดเด่นด้วยเส้นนำแสง LED Guiding Light เพิ่มลุคโฉบเฉี่ยวทันสมัยแบบรถยนต์นั่งระดับหรู

· กันชนหน้า – หลังดีไซน์ใหม่ เสริมลุคสปอร์ตให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

· ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ แบบ Sharp Horizon โดดเด่น ลงตัว

· ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ 18 นิ้ว Cross Star สง่างาม

· Roof Spoiler รูปทรงใหม่ สีทูโทน รับกับตัวรถ



SIGNATURE OF LUXURY เต็มอารมณ์กับประสบการณ์แห่งการเดินทางที่เหนือระดับในบรรยากาศห้องโดยสารใหม่ สีทูโทนSandstone Beige ตัดด้วยสีดำเข้ม อบอุ่น กว้างขวาง สร้างสรรค์ทุกรายละเอียดแบบรถยนต์นั่งระดับหรู พร้อมการออกแบบภายในด้วยแนวคิด Universal Design ลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์ และความต้องการ

· เบาะนั่งกึ่งหนังแท้ดีไซน์ใหม่ Sport Cut โอบกระชับรับกับสรีระ นุ่มนวล นั่งสบาย แม้ในเส้นทางยาวไกล

· ผิวสัมผัสใหม่แบบ Soft Touch เพิ่มความนุ่มนวลให้เหนือระดับ ในบริเวณคอนโซลหน้า แผงข้างประตู และที่พักแขน

· หรูหราด้วยลายไม้ Fine Walnut ที่แผงข้างประตู หัวเกียร์ และคอนโซลหน้า

· ชุดตกแต่งสีดำ Piano Black คมเข้มมีสไตล์ บริเวณคอนโซลกลาง และแผงควบคุมกระจกไฟฟ้า

· ระบบความบันเทิง iConnect พร้อมBuilt-in Navigator หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว พร้อม Air Mirroring รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับ Smartphoneพร้อมจุดเชื่อมต่อ USB รองรับทั้งSmartphone เครื่องเล่น MP3 และFlash Drive

· หน้าปัดดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ต หรูหรามีระดับด้วยขอบโครเมี่ยม อ่านค่าง่าย พร้อมหน้าจอสีแสดงข้อมูลการขับขี่Color Display MID

· ชุดตกแต่งคอนโซลกลาง ชุดเกียร์ และช่องแอร์ ประดับด้วยขอบโครเมี่ยม สวยสะดุดตา

SIGNATURE OF POWER ขุมพลังดีเซล“นวัตกรรมเปลี่ยนโลก” ให้พลังแรง ประหยัดน้ำมัน ทำงานเงียบ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดในรถระดับเดียวกัน ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย

· เครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ เน้นความประหยัดน้ำมัน

· เครื่องยนต์ 3.0 ดีดีไอ เน้นความแรง ขับสนุก

พร้อมเกียร์ 6 สปีด ออกตัวแรง ให้กำลังต่อเนื่อง ขับสนุกทุกช่วงความเร็ว มีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ แบบ REV TRONIC และเกียร์ธรรมดา พร้อมระบบ Genius Sport Shift พร้อม “อีซูซุอินไซท์” (Isuzu Insight) เอกสิทธิ์แห่งเทคโนโลยีอัจฉริยะของอีซูซุ เพื่อช่วยในการพัฒนาศักยภาพการขับขี่ให้เต็มสมรรถนะปลอดภัย และประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น

SIGNATURE OF PERFORMANCE ความเหนือระดับของช่วงล่างแห่งอนาคต ผสานการกระจายน้ำหนักเป็นเลิศ ด้วยการจัดวางตำแหน่งเครื่องยนต์เยื้องหลังเพลาหน้าแบบ Semi-midshipเช่นเดียวกับรถสปอร์ต ผสานการทำงานของช่วงล่างหลังแบบ 5-Link ให้การทรงตัวดีเยี่ยม ยึดเกาะถนนพร้อมมอบการขับขี่ที่แสนนุ่มสบาย ให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

SIGNATURE OF SAFETY อุ่นใจทุกเส้นทางกับระบบความปลอดภัยสมบูรณ์แบบด้วย Active & Passive Safety Systemsปกป้องทุกชีวิตจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบฉบับของอีซูซุ พร้อมเสริมความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกระดับด้วย

· ใหม่! ไฟหน้าแบบ Bi-LED และไฟDaylight อยู่ในโคมเดียวกัน สว่าง โดดเด่น เห็นชัดเจนแม้ในระยะไกล พร้อมระบบปรับระดับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติ ป้องกันการรบกวนสายตาผู้ร่วมทาง

· ใหม่! ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control) ช่วยควบคุมความเร็วของรถขณะลงทางลาดชัน ให้ความมั่นใจยิ่งขึ้น



SIGNATURE OF CHOICE เลือกเอกลักษณ์แห่งตัวตนแบบที่เป็นคุณ ด้วยเครื่องยนต์ 1.9 หรือ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ชุดเกียร์อัตโนมัติ หรือ ชุดเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด และระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ หรือ 2 ล้อ มีให้เลือก 5 สี ได้แก่

· ใหม่! น้ำตาลฮาวานา (Havana Brown)

· เงินไอซ์เบิร์ก (Iceberg Silver)

· บรอนซ์เงินอาร์กติก (Arctic Silver)

· ขาวมุกเอเวอร์เรสต์ (Everest Pearl White)

· ดำออสเตรเลียนโคล (Australian Coal Black)

พร้อมกันนี้อีซูซุยังได้นำเสนอ รถปิกอัพ “อีซูซุดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์ รุ่นพิเศษ!”สปอร์ตทรงพลัง เติมเต็มอารมณ์สมาร์ท สะกดทุกสายตา เพิ่มความคุ้มค่าด้วยชุดแต่งดีไซน์รอบคัน พร้อมชุดแต่งกระบะท้าย ออกแบบพิเศษเน้นรูปลักษณ์ให้ยิ่งโดดเด่นมีสไตล์ อีกขีดขั้นของความเท่ โฉบเฉี่ยวทุกมุมมอง ผลิตมาจำนวนจำกัดเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้รถที่ชื่นชอบชีวิตสไตล์เมือง อาทิ

· ใหม่! ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมSILVER RING เท่สะดุดตา

· ใหม่! กระจกมองข้างโครเมี่ยม

· ใหม่! Engine Hood Garnish คิ้วขอบฝากระโปรงหน้า และกระจังหน้าโทนเทา

· ใหม่! FRONT BUMPER GUARD ทูโทน

· ใหม่! ล้ออัลลอยดีไซน์พิเศษ! ขนาด 18 นิ้ว 6 ก้าน

· ใหม่! Robust Extender พร้อม Bed Liner เสริมความบึกบึนเติมเต็มมิติตัวรถ

· ใหม่! Fender Lip พร้อม Side Molding เช่นเดียวกับรถ SUV ระดับหรู และบันไดข้างสีเทาดำ

· ใหม่! กันชนท้ายสีทูโทน

เตรียมพบและทดลองขับรถรุ่นล่าสุดจากอีซูซุ ในสัปดาห์แห่งการแนะนำ “The New Isuzu MU-X” ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม - 9 เมษายน ศกนี้ ณ โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ ล่าสุด!สำหรับลูกค้าอีซูซุมิว-เอ็กซ์ สามารถเข้าถึงเอกสิทธิ์พิเศษต่างๆ อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชั่นมือถือ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์ วี.ไอ.พี. คลับ” ร่วมอัพเดทข่าวสาร พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรม และของรางวัลมากมาย รวมทั้งแวะสัมผัสความเท่สะดุดตา“อีซูซุดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์ รุ่นพิเศษ!” ติดตามความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ที่www.isuzu-tis.com หรือ LINE:@isuzuthai

“ทีเอสแอล”จัดใหญ่รับปีไก่ทอง เผยโลโก้ใหม่! เปิดโชว์รูมใหม่! รุกศูนย์บริการใหม่!.




“ทีเอสแอล”จัดใหญ่รับปีไก่ทอง
เผยโลโก้ใหม่! เปิดโชว์รูมใหม่! รุกศูนย์บริการใหม่!


ทีเอสแอล ประเดิมศักราชใหม่ เพิ่มศักยภาพธุรกิจผู้นำด้านบริการและรถยนต์นำเข้าระดับพรีเมี่ยม ด้วยการเผยโฉมโลโก้ใหม่ สร้างภาพลักษณ์องค์กรให้ทันสมัยตลอดเวลา พร้อมเปิดโชว์รูมใหม่ยึดพื้นที่ฝั่งธนบุรี ติดถนนบรมราชชนนี บนพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร และย้ำชัดความเป็นมืออาชีพด้านบริการหลังการขาย ผุดศูนย์บริการใหม่รองรับรถหรูทุกคัน ทุกค่าย มั่นใจตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจทีเอสแอลเติบโตเพิ่ม 50%

คุณสุรีย์ภรณ์ อุดมผลวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทีเอสแอล ออโต้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
เปิดเผยว่า “ธุรกิจรถหรูในประเทศไทยมีการเติบโตสูงขึ้นมาตลอด โดยเฉพาะงานแสดงรถยนต์ใหญ่ๆ จะมียอดจำหน่ายรถหรูเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงทำให้ทีเอสแอลปรับโฉมใหม่ให้องค์กรมีความครบครันด้วยความทันสมัย สร้างความมั่นใจในบริการที่ครบวงจรและยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านบริการและรถยนต์นำเข้าระดับพรีเมี่ยมแถวหน้าของไทย ด้วยการเผยโฉมตราสัญลักษณ์ใหม่อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

ตราสัญลักษณ์ TSL ถือเป็นหัวใจของอัตลักษณ์องค์กร เทียบได้กับลายเซ็น ที่แฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง ทั้ง 3 ตัวอักษร ดังนี้

T – Trust เราจะเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือสำหรับลูกค้า คู่ค้า และพนักงานทุกคน
S – Service เราจะให้บริการลูกค้า คู่ค้า อย่างมืออาชีพ
L –Leader เราจะพัฒนาและรักษาความเป็นผู้นำด้านบริการด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่อย่างยั่งยืน

คุณสุรีย์ภรณ์ กล่าวต่อว่า “การเผยโฉมสัญลักษณ์ใหม่ของทีเอสแอล ทำให้เรามีความตั้งใจที่จะบริการลูกค้าให้ใกล้ชิดมากขึ้น โดยลงทุนเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ สาขาบรมราชชนนี บนพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร เพียบพร้อมด้วยการรองรับลูกค้าระดับพรีเมียมทุกย่างก้าวในบริเวณโชว์รูม อีกทั้งลูกค้าจะได้สัมผัสความประทับใจกับยนตรกรรมที่โดดเด่น ทันสมัย ก่อนใคร เพื่อสนองตอบทุกความต้องการของคนรักรถหรู”

“งานบริการหลังการขาย” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทีเอสแอลให้ความเอาใจใส่มาโดยตลอด จึงลงทุนสร้างศูนย์บริการที่มีมาตรฐานสากล มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท เพียบพร้อมด้วยเครื่องมือทันสมัย ใส่ใจความปลอดภัยทั้งระบบ อบรมพนักงานให้มีความรู้ความสามารถตลอดเวลา เพราะตั้งใจว่าลูกค้าทุกคนต้องได้รับบริการระดับพรีเมียม จึงคัดสรรทุกสิ่งให้พิเศษสุด เพื่อสร้างบริการหลังการขายให้ทุกคนประทับใจในทุกวินาทีที่เลือกใช้บริการของ ทีเอสแอล”



ศูนย์บริการทีเอสแอล สาขาบรมราชชนนี ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ มีเครื่องมือทันสมัย ตู้อบสี 3 ตู้พร้อมระบบสีสูตรน้ำที่จะรักษาสภาพแวดล้อม พร้อมเครื่องมือตรวจเช็ครถทุกแบรนด์รองรับรถได้ 50 คัน / วัน โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้ ส่วนแรก ศูนย์บริการซ่อมเครื่องและอะไหล่ มีทีมช่างที่มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์ทำงานกับรถยนต์ระดับพรีเมียมที่หลากหลาย ประกอบกับเครื่องมือที่ทันสมัย และช่างทุกคนได้ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานจากศูนย์โมบิลวัน เซ็นเตอร์ เพื่อพร้อมจะแก้ปัญหารถลูกค้าทุกท่านให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด

ส่วนที่ 2 ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถัง เหมาะสำหรับรถระดับพรีเมียม ด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสากล จากสีกลาซูริท (Glasurit) ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก โดยช่างผสมสีและช่างพ่นสีที่มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี พร้อมด้วยอะไหล่ตัวถังที่ส่งให้อย่างรวดเร็วจากพันธมิตรทางธุรกิจ อีกทั้งยินดีให้บริการงานเคลมจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ชั้นนำมากมาย

ส่วนที่ 3 ศูนย์อะไหล่ หรือ Central Part Department (CPD) ทีเอสแอล มีบริการสั่งซื้อและนำเข้าอะไหล่ รวมถึงอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ระดับพรีเมียมทุกรุ่น ทุกค่าย อีกทั้งมีคลังอะไหล่ ที่เพียงพอด้วยความเหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกคน โดยมีเครือข่ายจากผู้ผลิตอะไหล่และชิ้นส่วนต่างๆ ของรถพรีเมียม และระบบการจัดส่งอะไหล่ที่ให้บริการได้อย่างรวดเร็ว และครบวงจร

“การเปิดตัวใหม่พร้อมกันทั้ง 3 อย่างครั้งนี้ เป็นการประกาศว่า ทีเอสแอล ผู้นำด้านบริการและรถยนต์นำเข้าระดับพรีเมี่ยมแนวหน้าของเมืองไทย ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาองค์กรให้ทันสมัย ลงทุนสร้างโชว์รูมแห่งใหม่ที่สมบูรณ์แบบ และศูนย์บริการขนาดใหญ่ มาตรฐานครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าทุกคนประทับใจในทุกบริการ และมั่นใจว่าปีนี้ธุรกิจของทีเอสแอลจะเติบโตสูงขึ้นกว่าปีก่อน 50%”คุณสุรีย์ภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

ทีเอสแอล สาขาบรมราชชนนี เปิดให้บริการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยพร้อมให้บริการลูกค้าทุกท่านที่สนใจยนตรกรรมนำเข้าที่ทันสมัยก่อนใคร โทร 02-030-0069 หรือสามารถติดต่อ ทีเอสแอล สาขา แจ้งวัฒนะ ทองหล่อ (สุขุมวิท 55) และภูเก็ต หรือโทรสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ TSL Call Center 02-269-9999

ต.สยาม มุ่งชิงชัย ธุรกิจฟาสต์ฟิตยุค 4.0 เปิดแผนการตลาด ชูสินค้า ยางรถยนต์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัวพันธมิตรใหม่



ต.สยาม มุ่งชิงชัย ธุรกิจฟาสต์ฟิตยุค 4.0 เปิดแผนการตลาด
ชูสินค้า ยางรถยนต์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัวพันธมิตรใหม่


บริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายยาง TOYO TIRES, NITTO TIRE และKUMHO TIRE อย่างเป็นทางการในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าว T.SIAM SHIFT TO THE FUTURE ประมวลภาพรวมความสำเร็จประจำปี 2559 ที่ผ่านมา และพูดคุยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการการตลาด ประจำปี 2560 และเปิดตัวยาง TOYO TIRES, NITTO TIRE และKUMHO TIRES รุ่นใหม่ล่าสุด รวมจำนวน 11 รุ่น ที่เตรียมพร้อมจำหน่ายในท้องตลาด พร้อมเปิดตัวพันธมิตรรายใหม่TOTAL QUARTZ น้ำมันเทคโนโลยีสูงจากประเทศฝรั่งเศส ภายในงาน


นายอภิชัย ตั้งวงศ์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด เปิดเผยว่า “ในปี 2559 ที่ผ่านมานั้น แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจและภาพรวมตลาดยางรถยนต์จะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ปริมาณการจำหน่ายยางรถยนต์ ของบริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สำหรับภาพรวมของธุรกิจฟาตส์ฟิต ในปีที่ผ่านมาเราได้จัดตั้งศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP ขึ้นเพื่อยกระดับตัวแทนจำหน่ายยางรถยนต์ของทางบริษัทฯ ให้มีภาพลักษณ์ที่ดี ได้มาตรฐาน ตามที่บริษัทฯ กำหนด ทั้งในเรื่องสินค้าและบริการ “GRIP” จึงเป็นศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร ที่พร้อมบริการ โดยช่างผู้เชี่ยวชาญทางด้านยางรถยนต์ครบทุกเซกเมนต์ ภายใต้สโลแกน “GRIP”ที่เดียวจบเรื่องยาง ศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจรGRIP จึงถือได้ว่าเป็นฟาสต์ฟิต แบรนด์ของคนไทย เพื่อคนไทย อย่างแท้จริง โดยศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP ได้รับกระแสตอบรับดีมากจากตัวแทนจำหน่ายที่เข้ามาร่วมโครงการ เนื่องด้วย มาตรฐานสินค้าของบริษัทฯ เป็นยางนำเข้าที่มีคุณภาพสูง มีการรับประกันยาง ภายใต้สโลแกน บาด บวม แตก ตำ เปลี่ยนฟรี ภายใน 60 วัน และที่สำคัญทางบริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินการออกแบบ และตกแต่งร้านให้กับตัวแทนจำหน่ายที่มีความประสงค์จะเปิดศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งในปัจจุบัน GRIP ศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP พร้อมเปิดให้บริการ และอยู่ในช่วงดำเนินการ 43 สาขา ทางบริษัทฯ จึงมั่นใจว่าศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP จะสามารถเปิดให้บริการคลอบคลุมทั่วไทยครบ 200 สาขา ภายใน 10 ปี ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ นอกจากนั้น ในปีนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ TOTAL QUARTZ น้ำมันเครื่องเทคโนโลยีสูงจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างจุดแข็งให้กับศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP โดย TOTAL QUARTZ จะให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องคุณภาพสูง TOTAL QUARTZ ให้แก่ลูกค้าของศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP ทุกสาขา ซึ่งช่วยเติมเต็มการบริการลูกค้าได้หลากหลายและครบวงจร เมื่อมาที่ศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP



สำหรับในปีนี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการตั้งนโยบาย T.SIAM SHIFT TO THE FUTURE ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ยุค “ประเทศไทย 4.0” ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการตลาด โดยผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่ายุคใดๆ และเพื่อเป็นการสอดรับกับ
ยุค 4.0 บริษัท ฯ จึงได้ดำเนินการจัดสร้างเว็บไซต์สั่งยางออนไลน์เพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้นของลูกค้า โดยข้อดีของการสั่งยางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร GRIP คือสามารถกำหนดวันเปลี่ยนยาง เลือกไซส์ยาง เช็คสินค้าได้อย่างเรียลไทม์ว่าสินค้าขาดหรือไม่ พร้อมเลือกพิกัดร้านที่สะดวกเข้าไปรับบริการ และสามารถชำระค่าบริการออนไลน์ได้อีกด้วย โดยจะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงต้นของไตรมาสที่ 2

ในส่วนของยางรถยนต์ บริษัทได้นำยางรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งเป็นยางที่มีเทคโนโลยีใหม่ทั้งในเรื่องของโครงสร้างลายบล็อกดอกยาง และส่วนผสมคอมปาว์ดสูตรใหม่ล่าสุด โดยจะนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วยกันมากถึง 11 รุ่น ในปีนี้ โดยแบ่งเป็น TOYO TIRES 5 รุ่น KUMHO TIRE 4 รุ่น และ NITTO TIRE 2 รุ่น ด้วยกัน



ทางด้านการประชาสัมพันธ์ และการการตลาด เราจะยังคงทำทั้ง Below the line และ Above the line คู่กันต่อไป และในปีที่ผ่านมาเราได้เปิดตัว Line Account ของยางทุกแบรนด์ของทางบริษัทฯ ซึ่งสะดวกต่อผู้บริโภคในการติดต่อ สอบถาม รวมไปถึง Facebook และเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ ส่วนในปีนี้เราก็ยังคงให้ความสำคัญกับ ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง และ คอนเท้นต์ มาร์เก็ตติ้ง เป็นอันดับ 1 เฉกเช่นกับปีที่ผ่านมา และเราได้จัดทำคลิปวีดีโอโฆษณาชิ้นใหม่ 3 คลิปด้วยกัน ซึ่งจะปล่อยตัวไวรัลคลิปตัวนี้ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ทางยูทูป และช่องทางโซเชี่ยลมีเดียอื่นๆ ของทางบริษัทฯ และเพื่อเป็นการสร้างการจดจำแบรนด์ ให้เป็นที่จดจำแก่ผู้บริโภคที่ต้องการสินค้ายางรถยนต์นำเข้าคุณภาพ บริษัทฯยังคงให้การสนับสนุนการแข่งขัน รถยนต์รายการชั้นนำต่าง ๆ เช่นเคย อาทิ รายการ TOYOTA ONE MAKE RACE 2017, TOYO TIRES 3K RACING CAR THAILAND, TOYO TIRES R1R DRAG BATTLE และNITTO TIRE KING OF DRAG 2017 ซึ่งการแข่งขันทุกรายการที่บริษัทฯ ให้การสนับสนุนนั้น จะใช้ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ของทางบริษัทฯ ในการแข่งขันรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ซึ่งจะสามารถสร้างประสบการณ์ตรงในการใช้ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ของทางบริษัทฯ รวมถึงการบอกต่อ ถึงเรื่องประสิทธิภาพ และการใช้งานที่ดีเยี่ยมของผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นที่ใช้ ในการแข่งขันซึ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นอย่างดี

จากแผนการตลาด และกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ทางบริษัทฯ ได้วางไว้สำหรับปีนี้นั้น ทางบริษัทฯ มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า สำหรับในปี 2560 บริษัทฯ จะประสบความสำเร็จไปพร้อมๆกับตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรทางธุรกิจ และหวังว่าการเติบโตของบริษัทฯ จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยเช่นกัน ” นายอภิชัย กล่าวปิดท้าย

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือค้นหาสาขาGRIP ใกล้บ้านได้ที่ www.gripthailand.com หรือFacebook: Grip Thailand

donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved