Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

แอร์เริ่มไม่เย็น และส่งกลิ่นอับเวลาเปิดแอร์ใหม่ ควรทำอย่างไร ?

แอร์เริ่มไม่เย็น และส่งกลิ่นอับเวลาเปิดแอร์ใหม่ ควรทำอย่างไร ?

รถ ใหม่มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องระบบปรับอากาศหรือแอร์ เพราะเป็นของใหม่ แกะกล่อง โดยเฉพาะแอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ จะใช้น้ำยา R134a ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ไม่สร้างมลพิษในอากาศ แน่นอน แต่ว่าราคาของน้ำยาแอร์สูงพอสมควร แต่ สำหรับรถรุ่นเก่ามักจะใช้น้ำยาแอร์ รุ่นเก่า ที่เห็นกันตามร้านแอร์ทั่วไปส่วนระบบแต่งๆไม่แตกต่างกัน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุ บางอย่างโดยเฉพาะน้ำยาแอร์ซึ่งคุณสมบัติดีกว่า

- ส่วนกลิ่นอับซึ่งเกิดขึ้นอาจจะมาจากน้ำ

เกิดจากการกลั่นตัวจากคอยล์เย็น ไม่สามารถจะระบายออกจากถาดรองผ่าน
รูระบายออกไปได้ เวลาเลี้ยวรถแรงๆ น้ำอาจจะล้นกระฉอกออกมาเปียกเท้า และพรมเป็นประจำ จนทำให้เกิดเชื้อราและ
กลิ่นอับชื้น ควรตรวจเช็ครูระบายน้ำของระบบแอร์ ซึ่งก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง เพียงแต่ลองสำรวจดูบริเวณหลัง
คอนโซลกลางรถ หรืออาจจะอยู่ด้านหลังของช่องเก็บของบนแผงหน้าปัด ตามแต่ตำแหน่งของตู้แอร์ในรถแต่ละรุ่นจะอยู่ตรงไหน
เพราะจากความชื้นของพรมหากมากขึ้น อาจจะทำให้เกิดไฟช็อตหรือลัดวงจรได้ หากแอร์ไม่เย็นควรเช็คน้ำยาแอร์ โดยสังเกต
จากช่องกระจกในตัวกรอง และอาจจะมาจากคอยล์เย็นเริ่มตัน เพราะฝุ่นมาเกาะมากเกินไป จึงควรทำการล้างตู้แอร์เพื่อให้
โบลเวอร์ หรือพัดลมกระจายความเย็นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และถอดพรมออกตากแดดให้แห้งสนิทเพื่อไม่มีกลิ่นอับรบกวน

: - เครื่องปรับอากาศมีลมออกมา แต่ไม่มีความเย็น

ระบบปรับอากาศนับว่าเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากสำหรับการใช้รถใช้ถนนในเมืองไทย แต่ขณะที่ขับรถยนต์อยู่เพลินๆ
ลมเย็นๆ ของแอร์เกิดไม่เย็นอย่างที่เคยขึ้นมา โดยมีแต่ลมพัดออกมาแต่ไม่มีความเย็น มีสาเหตุอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ

: - คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน

สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน ก็คือ ไม่มีกระแสไฟมาทำให้มันทำงาน
การป้องกันและดูแลรักษา คงจะดูแล และป้องกันได้ยาก เพราะไม่มีอะไรเป็นสิ่งบอกเหตุได้ แต่จะสามารถตรวจสอบ
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ โดยการสังเกตจากการทดลอง เปิด/ปิดระบบการทำงานของระบบปรับอากาศ หากทำการ
ทดลองแล้วเสียงของเครื่องยนต์ยังปกติ หรือความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไม่มีอาการลด หรือเร่งขึ้น สันนิษฐานได้ในเบื้องต้น
เลยว่าคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงานแล้ว แต่หากทำการทดลองแล้วปรากฏว่าเสียง หรือความเร็วรอบของเครื่องยนต์มีการเร่ง
หรือลด เราควรจะมาตรวจปริมาณน้ำยาเครื่องปรับอากาศกันดีกว่า

- ไม่มีน้ำยาทำความเย็นในระบบ ปริมาณน้ำยาเครื่องปรับอากาศ หรือน้ำยาแอร์

เรา สามารถตรวจสอบได้ โดยการมอง ดูที่ตาแมวของตัว Dryer หากน้ำยาแอร์เต็มจะสามารถมองเห็นตัวน้ำยาวิ่งอยู่ หากน้ำยาแอร์ลดลง หรือไม่มีอยู่เลย จะเห็นตัว น้ำยาเป็นฟองอากาศ หรือมีลักษณะว่างๆ ถ้าหากตรวจสอบดูแล้วมีการลดน้อยของน้ำยาแอร์ ก็ควรมาตรวจสอบดูว่า สาเหตุของ
การลดน้อยของน้ำยาแอร์นั้นเกิดจากอะไร ทั้งนี้ผู้ขับขี่สามารถตรวจสอบได้ที่ข้อต่อต่างๆ ของระบบแอร์ ว่ามีรอบหรือคราบของ
น้ำยาแอร์เยิ้มออกมาหรือไม่ หากพบควรนำรถเข้าหาช่างผู้ชำนาญเพื่อทำการแก้ไขต่อไป

จอดรถให้ปลอดภัย

จอดรถให้ปลอดภัย
------------------------------เรื่อง วิธีการจอดรถโดยทั่วไปมีหลักปฏิบัติที่ไม่ยุ่งยากอะไรมากนัก หากเป็นการจอดรถบนพื้นที่ราบเสมอกัน การจอดตามแบบที่บอกมาก็ถือว่าถูกต้องและเหมาะสมเพียงพอแล้ว เพิ่มเติมเพียงแค่ดูให้ดีว่าไม่ไปจอดกีดขวางรถคันอื่น จนอาจจะทำให้เขาเคลื่อนที่เข้าออกได้ยากเท่านั้น

----------แต่หากมี ความจำเป็นต้องจอดรถบน "พื้นที่ลาดเอียง" เช่นทางขึ้นลงสะพาน หรือทางเข้าออกบ้านที่มีระดับสูงกว่าระดับพื้นถนน ก็ต้องเพิ่มกฎว่าด้วยความปลอดภัยป้องกันรถไหลเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง

---------- เบื้องต้นให้ดูว่าเป็นการจอดรถบนทาง ลาดเอียงแบบที่ส่วนหัวของรถเชิดขึ้นสูงกว่าส่วนท้ายรถใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็ให้จอดรถด้วยการเข้าเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง P ในกรณีที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ แต่หากเป็นรถเกียร์ธรรมดาก็ให้โยกคันเกียร์ไปอยู่ที่ตำแหน่ง "เกียร์หนึ่ง" จากนั้นก็ดึงเบรกมือขึ้นจนสุด และต้องหักพวงมาลัยในลักษณะเลี้ยวขวาให้ล้อหน้าอยู่ในท่าหักเลี้ยวไม่น้อย กว่าสี่สิบห้าองศา หรือจนด้านหลังของยางหน้าแตะขอบสะพานหรือขอบฟุตบาทของถนน

---------- ทั้งนี้หากเป็นการจอดรถในลักษณะที่ หัวรถทิ่มต่ำลงหรือจอดในทางลาดลง ถ้าเป็นรถเกียร์อัตโนมัติก็ให้โยกคันเกียร์ไปที่ P แล้วดึงเบรกมือขึ้นมาให้สุด แต่ถ้าเป็นรถเกียร์ธรรมดาก็ให้เข้าเกียร์ถอยหลังเอาไว้ แล้วดึงเบรกมือขึ้นมาเช่นกัน ส่วนพวงมาลัยก็ให้หักเลี้ยวซ้ายจนยางล้อหน้าทำมุมไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าองศา หรือจนหน้ายางแตะขอบสะพานหรือขอบฟุตบาท

----------การจอดรถตามลักษณะ ที่บอกมา ถือว่าเป็นการจอดรถที่อยู่ในระดับปลอดภัยมาก เพราะแม้ว่าบางครั้งอาจจะเกิดความผิดพลาด เช่นมีรถบรรทุกหนักวิ่งผ่านจนสะพานหรือถนนสั่นไหว รถของเราอาจจะเคลื่อนตัวไหลไปตามทาง "ลาดชัน" แต่การที่เราเข้าเกียร์ P และดึงเบรกมือเอาไว้ จะช่วยป้องกันการไหลของรถได้

----------โดย เฉพาะอย่างยิ่งการที่เราหักพวง มาลัยจนล้ออยู่ในตำแหน่งดังกล่าว จะทำให้รถไม่สามารถไหลขยับไปไหนได้อีก เนื่องจากยางไปชนกับขอบสะพานหรือขอบฟุตบาทเสียแล้ว

----------สำหรับ ตำแหน่งของเกียร์ธรรมดาก็เช่น กัน เมื่อท่านจอดรถในลักษณะหน้าทิ่มลงและใส่เกียร์ถอยหลังเอาไว้ เมื่อรถขยับและทำท่าว่าจะเกิดอาการไหล เกียร์ถอยหลังจะเป็นตัวดึงไม่ให้รถเกิดการไหลลงต่อไป ในทำนองเดียวกันกับการจอดรถเชิดหน้าขึ้น เมื่อรถจะไหลถอยหลังลงมาตามทางลาดชัน เกียร์หนึ่งจะเป็นตัวช่วยดึงรถเอาไว้ไม่ให้ไหลเคลื่อนที่

---------- แต่ไม่ว่าจะจอดรถในรูปแบบใดหรือเข้า เกียร์ใดไว้ก็ตาม การจอดรถบนพื้นที่ลาดเอียงแบบนี้ เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อท่านกลับมาที่รถและติดเครื่องยนต์เพื่อที่จะนำรถเคลื่อนที่ออกไป ท่านจะรู้สึกได้เลยว่า "เกียร์" ของรถท่านจะขยับและเข้ายากกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่ต้องตกใจหรือคิดว่าเกียร์ของท่านเสียหายแต่ อย่างใด

----------การจอดบนพื้นที่ลาดเอียงบ่อยๆ เป็นประจำ อาจจะทำให้ชิ้นส่วนช่วงล่างของรถเกิดการสึกหรอที่ผิดปกติ หรืออาจจะทำให้รถคันนั้นๆ มีอาการเสียศูนย์หรือมีโครงสร้างบิดเบี้ยวได้ด้วยนะครับ...

เทคนิคการขับรถป้องกันเชิงอุบัติเหตุ

เทคนิคการขับรถป้องกันเชิงอุบัติเหตุ
-----อุบัติเหตุ ทางถนนส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ จากผู้ขับขี่ที่มีความพร้อมทางร่างกาย ช่างสังเกตและวางแผนล่วงหน้า ฝึกฝนทักษะและอุปนิสัยในการขับรถเพื่อป้องกันอุบัติ

-----ก่อนขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย ร่างกายและจิตใจต้องพร้อม
------ ตรวจร่างกายและสายตาอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้รู้ความบกพร่องจองตัวเองก่อนที่จะสายเกินไป
------ ความเหนื่อยล้า ความเจ็บป่วย ความวิตกกังวล และความโกรธ ทำให้สมรรถนะในการขับขี่ของคุณลดลง การตัดสินใจจะเชื่องช้า หรือขาดความรอบคอบ
------ แอลกอฮอล์และของมึนเมา มีผลกระทบต่อการขับรถและการตัดสินใจมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เสพ ถ้าเสพในระดับหนึ่ง จะทำให้เกิดความคึกคะนอง ก้าวร้าว ตัดสินใจเร็ว จะนำไปสู่ความประมาทและผิดพลาดได้ แต่ถ้าเสพมากถึงอีกระดับหนึ่ง จะทำให้ประสาทสั่งการช้าหรืออาจถึงหลับใน และถ้าเสพมากจนเกินขนาด อาจทำให้ร่างกายไม่ปฏิบัติตามที่สมองสั่งการ
------ คาดเข็มขัดนิรภัยก่อนสตาร์ทรถ และตลอดเวลาที่ขับขี่ และอย่าลืมเตือนผู้โดยสารให้คาดด้วย
------ มีน้ำใจและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน

-----การขับรถให้นุ่มนวล และปลอดภัย
------ อ่านสิ่งต่าง ๆ บนถนนอย่างละเอียด
------ สังเกตสิ่งต่างๆ บนถนนให้ถี่ถ้วน แล้วคุณจะคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องว่าอะไรจะเกิดขึ้น สภาพการจราจรข้างหน้าจะผันแปรไปอย่างไร
------ ควรกวาดสายตาไปทั่วๆ มองใกล้ มองไกล และจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งของถนน แล้วมองกระจกส่องหลังสลับกันไปด้วย อย่ามองจับนิ่งอยู่จุดใดจุดเดียวนานๆ
------ คันเร่ง ตัวบงการความเร็ว ช้าหรือนุ่มนวล ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และความชำนาญของผู้ขับ
------ เหยียบคันเร่งเบาๆ ค่อยๆ เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมีจังหวะจะโคน จะทำให้ขับรถได้นุ่มนวล มีความปลอดภัยสูง สามารถควบคุมรถได้ดี และยังประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย
------ ใส่รองเท้าที่สะดวกต่อการขับขี่ ไม่ควรสวมรองเท้าส้นหนามากๆ หรือมีน้ำหนักมากเกินไป จะทำให้ไม่รู้น้ำหนักที่เหยียบคันเร่ง
------ จับและหมุนพวงมาลัยให้ถูกต้อง
------ รถนั่งไม่เกิน 7 คน รถปิ๊กอัพ รถตู้ และรถขนาดเล็กทั่วไป จับตรงตำแหน่งนาฬิกาที่ 10 โมงเช้า-บ่าย 2 โมงเย็น
------ รถใหญ่ รถน้ำมัน รถบรรทุก และรถโดยสารขนาดใหญ่ ควรจับในตำแหน่ง 9 โมงเช้า-บ่าย 3 โมงเย็น
------ หมุนพวงมาลัยแบบดึงและดัน เวลาหมุนพวงมาลัยมือหนึ่งดึงอีกข้างหนึ่ง ดันสลับกันดึงและดัน โดยไม่ข้ามตำแหน่ง 12 นาฬิกาและ 18 นาฬิกา (หกโมงเย็น) ขณะหมุนต้องให้พวงมาลัยรูดผ่านมือตลอดเวลา ไม่ใช้วิธียกจับ การหมุนพวงมาลัยแบบนี้ จะทำให้การควบคุมรถ เลี้ยวรถแน่นอน นุ่มนวล และถูกต้อง เทคนิคนี้สามารถแก้ไขฉุกเฉินที่เกิดขึ้นให้เข้าสู่สภาวะที่ปลอดภัยได้เป็น อย่างดี
------ ถอยหลัง อย่าประมาท ดูให้รอบคอบ
------ อย่าใช้และเชื่อกระจกมองหลังมองข้างเพียงอย่างเดียว ใช้ตาช่วยหันมองด้านข้าง เพื่อดูมุมอับและจุดบอดต่างๆ ก่อนทุกครั้ง
"ที่มา สาระน่ารู้ของกรมการขนส่งทางบก"

เรื่อง น้ำมันเครื่อง

เรื่อง น้ำมันเครื่อง


รถยนต์บางคันจอดมากกว่าใช้งานน้ำมัน เครื่องสามารถเสื่อมลงได้แม้เครื่องยนต์ไม่ค่อยถูกใช้งาน เพราะมีการทำปฏิกิริยากับอากาศมากบ้าง น้อยบ้าง แม้ระยะทางไม่ครบกำหนด น้ำมันเครื่องสังเคราะห์และกึ่งสังเคราะห์ควรเปลี่ยนทุก 6-9 เดือน และน้ำมันเครื่องธรรมดาไม่เกิน 6 เดือน
น้ำมันเครื่องที่เหลือในกระป๋องต้องปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในที่แห้งและไม่ร้อนมาก จะคงสภาพได้ประมาณ 1-2 ปี
เกรด คุณภาพ API / เครื่องยนต์เบนซิน = SJ & SH & SG ... / เครื่องยนต์ดีเซล = CG-4 & CF-4 & CE ... เกี่ยวข้องกับคุณภาพด้านต่างๆ ของน้ำมันเครื่องโดยตรง
เกรดความหนืด SAE ...W/40 & SAE ... W/50 & SAE 40 & SAE 50 เกี่ยวข้องกับการสร้างชั้นเคลือบและการไหลเวียน
น้ำมันเครื่องธรรมดา ใช้งานได้ในระยะทางประมาณ 3,000-5,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ใช้งานได้ในระยะทางประมาณ 4,000-7,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ใช้งานได้ในระยะทางประมาณ 8,000-10,000 กิโลเมตร
การจับพวงมาลัย
ที่ถูกต้อง 3 และ9 หรือ 2 และ10
การดูแลและใช้ยาง
วัด แรงดันลมให้ได้มาตรฐาน หากยางปกติ ไม่มีการรั่วซึม ตรวจแรงดันลมทุกสัปดาห์ก็พอ แรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่นมีระบุไว้ที่ตัวรถยนต์หรือคู่มือประจำรถ ยนต์ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้ว (PSI) สำหรับรถยนต์นั่งการวัดแรงดันลมยางต้องกระทำในขณะที่ยางยังเย็นหรือร้อนไม่ มาก (ขับไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร)
หากเติมและวัดลมตามปั๊มน้ำมันพร้อมเติม น้ำมันก็สะดวกดี แต่เมื่อยางร้อนแล้วต้องเผื่อแรงดันที่วัดได้เกินจากมาตรฐานสัก 1-2 ปอนด์/ตารางนิ้ว แล้วดูว่ายางเส้นไหนลมอ่อนมากกว่ายางเส้นอื่นมากหรือเปล่า หากมีแสดงว่ามีปัญหารั่วซึม
การซ่อมแซมเครื่องยนต์ตัวเก่า (OVERHAUL)
อีก ประการก็คือ การเลือกฟิตเครื่องเก่าจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อ ไม่ต้องเปลี่ยนลูกสูบ, แบริ่ง (ชาฟท์) และวาล์ว รวมถึงในเรื่องของค่าใช้จ่าย เพราะถ้าค่าใช้จ่ายในการฟิตเครื่องสูงกว่า 50% ของราคาเครื่องเก่าในเชียงกง
การเปลี่ยนเครื่องยนต์
การเลือก วิธีการซ่อมแซมเครื่องยนต์ตัวเก่า จะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อเป็นเครื่องยนต์ของรถยุโรป ที่มีปริมาณเครื่องยนต์เก่าซึ่งนำเข้ามาจำหน่ายกันน้อยและมีราคาสูง แต่ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น เครื่องยนต์ในตลาดอะไหล่เก่าให้เลือกมาก และอย่างจุใจ

การใช้ไฟอย่างถูกต้อง เมื่อฝนตกหนัก

การใช้ไฟอย่างถูกต้อง เมื่อฝนตกหนัก

ควรเปิดไฟหน้าแบบต่ำ เพราะถ้าเปิดไฟสูง สายฝนจะสะท้อนกลับมายังผู้ขับมากจนมองเส้นทางข้างหน้ายาก ไม่ควรเปิดไฟหรี่ เพราะการเปิดไฟหน้าแบบต่ำ แทบไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลย ไดชาร์จ (อัลเตอร์เนเตอร์) แทบไม่ได้ทำงานหนักขึ้น หลอดไฟหน้าจะอายุสั้นลงก็ไม่ใช่ปัญหา หลอดละร้อยสองร้อยบาทเท่านั้น เมื่อจะเปลี่ยนเลน ให้เปิดไฟเลี้ยวเตือนผู้อื่นล่วงหน้าตาม ขับรถลุยฝน ใช้ความเร็วต่ำกว่าความมั่นใจของตนเองเล็กน้อย อย่าชะล่าใจ ควรจับพวงมาลัย 2 มือในตำแหน่งที่แนะนำไว้ข้างต้น พร้อมจะลดความเร็วลงได้อย่างรวดเร็ว ระวังอาการเหินน้ำของยางไว้ทุกวินาที

การเติมลม

การเติมลม
การเติมลม ให้กับล้อแม็ก ต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
# เติมลมตามสเปคของรถที่กำหนด โดยศึกษาได้จากคู่มือของรถนั้นๆ
# เวลาเติม ลมยาง ควรเติมตอน ยาง ไม่ร้อนเกินไป
# หากต้องการวิ่งทางไกล นานๆ ควรเพิ่มลมยางอีกประมาณ 3 - 5 ปอนด์/ตร.นิ้ว
# หมั่นเช็ค ลมยาง เป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

ความดันลมยาง สำหรับรถเก๋งและรถกระบะ

รถเก๋ง ความดันสูงสุด ไม่ควรเกิน 36 ปอนด์ / ตารางนิ้ว ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของรถนั้นๆ ด้วย เช่น ...

# รถเก๋งขนาดเล็ก ความดันลมยาง ประมาณ 25 - 30 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
# รถเก๋งขนาดกลางถึงใหญ่ ความดันลมยาง ประมาณ 30 - 35 ปอนด์ / ตารางนิ้ว
# รถกระบะ ความดันลมยาง ไม่ควรเกิน 65 ปอนด์ / ตารางนิ้ว


การ เติมลมยาง มากเกินไป

# บริเวณของกึ่งกลางของหน้ายางจะสึกหรอได้ง่าย
# การรับแรงและการยืดหยุ่นด้อยลง เมื่อมีการรับน้ำหนักหรือการกระแทก ก็อาจทำให้เกิดการระเบิดของยางได้ง่าย
# การทรงตัวและการเกาะถนน ไม่ดีเท่าที่ควร

การ เติมลมยาง น้อยเกินไป

# บริเวณไหล่ยาง จะสึกเร็วกว่าปกติ แก้มยางทำงานหนัก สึกหรอได้ง่าย
# การหมุนหรือบังคับ พวงมาลัย ได้ยากขึ้น
# การทรงตังของรถในขณะขับขี่ด้อยล

!!!นอกจากนี้หาก ดอกยาง สึกเป็นช่วงๆ คล้ายฟันเลื่อย สันนิฐานปัญหาอาจเกิดจากศูนย์ของล้อมีความผิดปกติ

ดังนั้นจึงขอให้ท่านเจ้าของรถ ใช้ความระมัดระวัง และต้องเข้าใจ
ใน การ เติมลม ทุกครั้ง ถึงแม้เราจะไม่ได้เติมเองแต่อย่างน้อยก็ควรบอก เด็กปั๊ม ให้เติมลมยางได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ก็จะเป็นผลดีต่อ ล้อแม็ก ยาง และรวมไปถึงความปลอดภัยแก่ตัวเราด้วย
@%@%@%@%@%@

ข้อควรปฏิบัติ เมื่อการขับขี่ในพื้นที่ลักษณะต่างๆ

ข้อควรปฏิบัติ เมื่อการขับขี่ในพื้นที่ลักษณะต่างๆ
พื้นที่ๆ มีโคลนและทราย
เมื่อ ขับขี่ผ่านเส้นทางที่มีสภาพถนนเช่นนี้ ไม่ควรแตะเบรคหรือ ดึงเบรคมือ อย่างกระทันหัน เพราะจะทำให้รถเสียหลัก ควรใช้เกียร์ต่ำ ในการขับเคลื่อนผ่านเส้นทาง พยายามควบคุมพวงมาลัย หลีกเลี่ยงจุดที่มีโคลนเหลวมากๆ หรือกองทราย เพราะหากล้อชุดที่ขับเคลื่อน วิ่งผ่าน อาจเกิดเหตุการณ์ล้อหมุนฟรี และไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านไปได้

พื้นที่ๆ ลื่นด้วยน้ำมัน
เมื่อ ถนนบางเส้นทาง เกิดมีน้ำมันเครื่อง หกเกลื่อนถนน จะเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ผู้ขับขี่รถด้วยความเร็ว เมื่อแตะเบรคอย่างกระทันหัน ในบริเวณนี้ ก็จะเกิดอาการท้ายปัด รถเสียการทรงตัว และไม่สามารถควบคุมรถ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ ผู้ขับขี่ ควรชะลอความเร็ว ด้วยการใช้เกียร์ต่ำ และอย่า แตะเบรคกระทันหัน ค่อยๆ เคลื่อนที่ ผ่านบริเวณดังกล่าวไป และอย่าเพิ่งใช้ความเร็วโดยกระทันหัน เพราะคราบน้ำมัน ที่เกาะอยู่กับผิวล้อ ยังไม่ทันจางหายไป ควรขับผ่านไปสักระยะหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่า คราบน้ำมัน ที่เกาะอยู่บนผิวล้อนั้นได้จากหายไป กับพื้นถนนแล้ว ค่อยเริ่มใช้ความเร็วเพิ่มขึ้น

พื้นที่ๆ มีลูกระนาดขวางถนน
พื้นที่ เช่นนี้ มักพบในบริเวณ ตามหมู่บ้าน หรือตามซอย ที่ไม่ต้องการ ให้มีการขับขี่ ด้วยความเร็วสูง เพราะจะเป็นอันตราย กับผู้คน หรือสิ่งของละแวกนั้น ส่วนใหญ่ จะเป็นบริเวณชุมชน เมื่อขับรถผ่านลูกระนาดขวางถนน คงจะต้องลด หรือชะลอความเร็วลง จนถึงขนาดใช้เกียร์หนึ่ง ในการเคลื่อนตัวผ่าน เพราะไม่เช่นนั้น แรงกระแทกที่เกิดขึ้น ที่ล้อรถ กับบริเวณลูกระนาด อาจทำความเสียหาย ให้กับระบบช่วงล่างรถยนต์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พื้นที่ๆ เป็นหลุมเป็นบ่อ
หมาย ถึง พื้นที่บริเวณน้ำท่วมขัง ซ่อมทาง ดินทรุด หรือบริเวณพื้นผิว ที่เป็นหลุม เป็นบ่อต่างๆ ผู้ขับขี่ ควรสังเกต บริเวณที่มีขนาดหลุมที่ตื้น และปลอดภัยที่สุด ใช้เกียร์ต่ำ ควบคุมพวงมาลัยให้ดี ค่อยๆ หย่อนล้อลงไป บริเวณขอบหลุม แล้วพยายามประคองพวงมาลัยให้มั่นคง เพราะจะเกิดแรงฝืน ที่มุมล้อต้านกับความสูง-ต่ำของหลุม หลีกเลี่ยง บริเวณที่เป็นโคลน-เลน ใช้คันเร่ง และเยียบเบรค ให้เป็นจังหวะ

พื้นที่ๆ มีทางรถไฟขวางหน้า
ให้ หลักของกฎจราจร โดยปกติ เมื่อขับรถผ่านเส้นทาง ที่มีทางรถไฟขวางถนนอยู่ ควรชะลอความเร็ว และควรหยุดรถนิ่ง ในขณะที่รถไฟ กำลังจะแล่นมา ไม่ควรเร่งความเร็วสูง เพื่อจะได้พ้นผ่านจุดดังกล่าวไป ในลักษณะของประมาท บางกรณีเช่น ค่ำคืน ดึกดื่น ยิ่งควรระวังให้มาก เพราะสิ่งที่ผู้ขับขี่มองเห็นนั้น มีเฉพาะ บริเวณด้านหน้ารถ ที่ไฟส่องสว่าง สามารถส่องไปถึงเท่านั้น แต่รถไฟ มักจะแล่นมาทางด้านข้าง ผ่านหน้าผู้ขับขี่ไป ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือ ชะลอความเร็วลง มองซ้าย-ขวา ให้แน่ใจ ก่อนตัดสินใจ ขับผ่านทางรถไฟขวางถนน ซึ่งเราสามารถที่จะสังเกต เห็นป้ายสัญญาณเตือน ที่ทางราชการติดไว้ ก่อนหน้าจะถึงทางข้ามรถไฟ

พื้นที่ๆ มีความลาดชัน
เมื่อขับขี่ขึ้น ทางลาดชัน ไม่ควรใช้ความเร็วสูง และห้ามขับแซง ยิ่งเป็นบริเวณที่ลาดชัน ผสมกับเป็นทางโค้ง เช่นบริเวณทางขึ้น-ลง เขา ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวัง เป็นพิเศษ สังเกตป้ายเตือน บริเวณริมถนน เพื่อประเมินสถานะการณ์ด้านหน้าให้ดี กรณีรถติดบนทางลาดชัน เช่นรถติดไฟแดงในเมือง ควรเว้นระยะห่าง ระหว่างรถคันหน้า และรถของเรา เผื่อไว้สักระยะหนึ่ง เพราะเมื่อมีการเคลื่อนตัวออกไป รถที่อยู่บนเนิน อาจมีอาการถอยหลัง มาชน หน้ารถของเราได้ ดังนั้น จึงควรระวังตรงจุดนี้ไว้ด้วย หากเราจำเป็นต้องจอดรถบนเนินทางขึ้น ควรดึงเบรคมือไว้ เมื่อออกตัวอีกครั้ง ให้เร่งรอบเครื่องขึ้นหน่อย เข้าเกียร์แล้วออกตัว ปลดเบรคมือลง พยายามให้รถถอยหลังน้อยที่สุด
www.CarsCare.Com

ลากรถอย่างไรเมื่อรถเสีย

ลากรถอย่างไรเมื่อรถเสีย
วิธีลากรถที่นิยมใช้กันมีอยู่ 3 วิธี คือ
1. ใช้รถบรรทุกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษรถลากประเภทนี้มีกว้านติดตั้งอยู่ในตัวรถ บรรทุก เพื่อดึงรถของคุณขึ้นมาไว้บนรถกระบะ และจะมีอุปกรณ์ยึดรถของคุณไว้กับพื้นกระบะ อย่างแน่นหนา

2. ใช้อุปกรณ์ยกล้อ วิธีนี้รถลากจะมีแขนที่ท้ายรถ 2 ข้างซึ่งทำหน้าที่รองรับล้อคู่หน้า หรือล้อคู่หลังของรถคุณ คู่ใดคู่หนึ่งเท่านั้น ล้อคู่ที่เหลือจะยังคงสัมผัสพื้น

3. ใช้อุปกรณ์ลากแบบลวดสลิง รถลากนี้จะมีชุดลวดสลิงพร้อมตะขออยู่ที่ท้ายรถ ลากรถโดยนำตะขอไปเกี่ยวกับเฟรมรถหรือชิ้นส่วนของระบบช่วงล่าง จากนั้นลวดสลิงจะยกรถด้านนั้นให้ล้อลอยขึ้นจากพื้น การลากรถด้วยวิธีนี้จะทำให้ตัวถังรถและชิ้นส่วนของระบบช่วงล่างเสียหายได้


.......... การใช้รถบรรทุกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเป็นวิธีการขนย้ายที่ดีที่สุด กรณีที่ไม่สามารถติดต่อหารถดังกล่าวได้ แนะนำให้ใช้บริการรถยกซึ่งมีอุปกรณ์ยกล้อ ซึ่งหลักในการยกล้อรถมีดังนี้

.......... รถ ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้ยกล้อทั้งสองล้อขึ้นและลากรถเดินหน้ารถขับเคลื่อนล้อหลังให้ยกล้อหลัง ทั้งสองล้อขึ้น และลากรถถอยหลัง รถเกียร์ธรรมดาใส่เกียร์ว่าง ส่วนรถเกียร์ออโตเมติกก็ให้เลื่อนคันเกียร์ไปที่ตำแหน่ง N ที่สำคัญอย่าลืมปลดเบรกมือและดับเครื่องยนต์รถคู่ใจของคุณด้วย

.......... กรณี ที่เป็นรถประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อ คุณสามารถเลือกยกล้อคู่หน้าหรือคู่หลังให้พ้นจากพื้นก็ได้ตามความเหมาะสม แต่มีเทคนิคตรงที่ต้องโยกคันเกียร์สโลว์มาอยู่ที่ตำแหน่ง "2H" ปลด ล็อกดุมล้อหน้า ปลดเกียร์ว่าง ปลดเบรกมือและดับเครื่องยนต์ให้เรียบร้อยก่อนทำการลากรถ

การหยุดรถ และการจอดรถ

การหยุดรถ และการจอดรถ

1. การหยุดรถ หรือจอดรถในทางเดินรถ ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขน หรือสัญญาณไฟก่อนที่จะหยุด หรือจอดรถในระยะไม่น้อยกว่า 30 เมตร

2. ผู้ขับขี่ต้องจอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ และจอดรถให้ด้านซ้ายของรถขนานชิดขอบทางหรือไหล่ทางในระยะไม่เกิน 25 ซม.

3. ห้ามมิให้ผู้ขับขี่หยุดรถ
3.1 ในช่องทางเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของขอบทางเดินรถ ในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง
3.2 บนทางเท้า
3.3 บนสะพานหรือในอุโมงค์
3.4 ทางร่วมทางแยก
3.5 ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ
3.6 ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ
3.7 ในเขตปลอดภัย
3.8 ในลักษณะกีดขวางการจราจร

4. ห้ามมิให้ผู้ขับขี่จอดรถ
4.1 บนทางเท้า
4.2 บนสะพานหรือในอุโมงค์
4.3 ในทางร่วมทางแยก หรือในระยะ 10 เมตรจากทางร่วมทางแยก
4.4 ในทางข้าม หรือในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม
4.5 ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามจอดรถ
4.6 ในระยะ 3 เมตรจากท่อน้ำดับเพลิง
4.7 ในระยะ 10 เมตรจากที่ติดตั้งสัญญาณจราจร
4.8 ในระยะ 15 เมตรจากทางรถไฟผ่าน
4.9 ซ้อนกันกับรถอื่นที่จอดอยู่ก่อนแล้ว
4.10 ตรงปากทางเข้าออกอาคารหรือทางเดินรถ หรือในระยะ 5 เมตรจากปากทางเดินรถ
4.11 ระหว่างเขตปลอดภัยกับขอบทางหรือในระยะ 10 เมตรนับจากปลายสุดของเขตปลอดภัยทั้งสองข้าง
4.12 ในที่ขับคัน
4.13 ในระยะ 15 เมตรก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทาง และเลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร
4.14 ในระยะ 3 เมตรจากตู้ไปรษณีย์
4.15 ในลักษณะกีดขวางการจราจร

5. ในเวลาที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอที่ผู้ขับขี่จะมองเห็นรถที่จอดในทางเดินรถได้ โดยชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร ผู้ขับขี่ซึ่งจอดรถในทางเดินรถหรือไหล่ทาง ต้องเปิดไฟหรือใช้แสงสว่างตามประเภท ลักษณะ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

6. ในทางเดินรถที่มีรถไฟผ่าน ถ้าปรากฎว่า
6.1 มีเครื่องหมายหรือสัญญาณระวังรถไฟ แสดงว่ารถไฟผ่าน
6.2 มีสิ่งปิดกั้นหรือเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณ แสดงว่ารถไฟกำลังจะผ่าน
6.3 มีเสียงสัญญาณของรถไฟ หรือรถไฟกำลังแล่นผ่านเข้ามาใกล้ อาจเกิดอันตรายในเมื่อขับรถผ่านไป ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วของรถและหยุดรถให้ห่างจากทางรถไฟไม่น้อยกว่า 5 เมตร เมื่อรถไฟผ่านไปแล้ว และมีเครื่องหมายหรือสัญญาณให้รถผ่านได้ ผู้ขับขี่จึงจะขับรถผ่านไปไดั

7. ในทางเดินรถตอนใดที่มีทางรถไฟผ่าน ไม่ว่าจะมีเครื่องหมายระวังรถไฟหรือไม่ ถ้าทางรถไฟนั้นไม่มีสัญญาณระหว่างรถไฟหรือสิ่งปิดกั้น ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วของรถและหยุดห่างจากทางรถไฟไม่น้อยกว่า 5 เมตร เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถผ่านไปได้

8. ในขณะที่ผู้ขับขี่รถโรงเรียนหยุดรถในทางเดินรถ เพื่อรับส่งนักเรียนขึ้นหรือลง ให้ผู้ขับขี่รถอื่นที่ตามมาในทิศทางเดียวกัน หรือสวนกันกับรถโรงเรียนใช้ความระมัดระวังและลดความเร็วของรถ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงให้ขับรถผ่านไปได้


"จากคู่มือการขับขี่ปลอดภัยสำหรับข้าราชการกองทัพอากาศ"

การขับรถอย่างปลอดภัย

การขับรถอย่างปลอดภัย
การขับรถอย่างปลอดภัยขึ้นอยู่กับความรู้ 5 ประการ หรือ "หลัก 5 ร"

1. รอบรู้เรื่อง "รถ"
2. รอบรู้เรื่อง "ทาง"
3. รอบรู้เรื่อง "วิธีการขับรถ"
4. รอบรู้เรื่อง "กฎจราจร"
5. รอบรู้เรื่อง "มารยาท"

# รอบรู้เรื่องรถ นักขับรถที่ดี จะต้องรอบรู้เรื่องรถที่ขับขี่ เป็นอย่างดี หมั่นตรวจตราแก้ไขข้อบกพร่องอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก่อนออกเดินทางไกล ควรจะได้ตรวจอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัยที่สำคัญๆ


# รอบรู้เรื่องทาง ทางแต่ละสายย่อมแตกต่างกันไป โดยสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ถ้าเป็นเส้นทางไม่เคยไป ควรศึกษาจากแผนที่ คู่มือการท่องเที่ยว ถามผู้รู้ หรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เช่น กรมทางหลวง ตำรวจท้องที่ ฯลฯ ที่สำคัญจะต้องสังเกตและปฏิบัติตามป้ายและเครื่องหมายจราจร


# รอบรู้เรื่องวิธีขับรถ การขับรถเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ขับรถเป็นอย่างเดัยวไม่พอ ต้องรู้วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยฉับพลัน และสามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยมิได้คาดคิด เนื่องจากขาดความชำนาญ เช่น เบรกแตกจะทำอย่างไร


# รอบรู้เรื่องกฏจราจร กฎจราจรมีไว้เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนประพฤติปฏิบัติไปในแนวเดียวกัน เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกรวดเร็ว


# รอบรู้เรื่องมารยาทในการขับรถ มารยาทในการขับรถมีความสำคัญไม่น้อยในการใช้รถใช้ถนน นักขับที่ดี ควรแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ อะลุ้มอล่วย เห็นใจ แนะนำ และให้อภัยต่อความผิดพลาดของผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการแสดงมารยาทที่ไม่สมควร
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved