Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

ยางระเบิดขณะขับขี่


ขณะขับขี่แล้วเกิดยางระเบิด แน่นอนที่สุดย่อมเกิดอาการตกใจ และสิ่งที่ตามมาอาจเกิดอันตรายได้ และในฐานะของผู้ขับขี่ก็ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ในเมื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ฉุกเฉินขณะยางระเบิดไม่ได้ ในฐานะของผู้ขับขี่ จะทำอย่างไรดี? และนี่คือคำถามที่อยู่ในใจของใครหลายๆ คน

การที่ยางระเบิดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของท่าน, ผู้โดยสารและผู้ร่วมใช้เส้นทาง ในฐานะผู้ขับขี่ ก่อนอื่นต้องตั้งสติให้ดี สมาธิให้ดี แล้วพยายามทำตามวิธีที่จะกล่าวถึงนี้

1. ผู้ขับขี่พยายามตั้งสมาธิของตนเองให้เป็นปกติ ห้าม ! ทำการเหยียบเบรกโดยเด็ดขาด เพราะการเหยียบเบรกจะเกิดอันตรายอย่างมาก
2. จับพวงมาลัยให้มั่นคง และแน่นขึ้น พร้อมกับบังคับพวงมาลัยเพื่อให้รถยนต์ชิดขอบทาง ให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย
3. ลดความเร็วของรถยนต์ลงเรื่อยๆ พร้อมกับเปิดไฟเลี้ยว (ในกรณีขอทาง) หรือเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน
4. ให้ทำการติดต่อขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานช่วยเหลือต่างๆ ในกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้

ส่วนกรณี สามารถแก้ไข (เปลี่ยนยาง) ได้ด้วยตนเอง ให้นำสัญลักษณ์ขอทาง หรือ นำวัสดุที่พอจะเป็นที่สังเกตได้ไปวางไว้ก่อนถึงจุดจอดรถประมาณ 10 เมตร (ถ้าเป็นไปได้) อันนี้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และผู้ใช้เส้นทางท่านอื่นด้วย

การป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ ยางระเบิดขณะขับขี่ มีวิธีดังต่อไปนี้

•ตรวจสภาพของยางอย่างสม่ำเสมอ เช่น รอยฉีกขาด, วัสดุที่ตำยาง, ความสึกหรอ
•ตรวจสอบความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ (ตามค่ากำหนดจากคู่มือการใช้รถ)
•ทำความสะอาดยางอย่างสม่ำเสมอ (ถ้าเป็นไปได้ควรทำความสะอาดทั่วทั้งเส้น)
•บำรุงรักษาตามระยะทางที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้รถกำหนด เช่น ตรวจสอบช่วงล่าง, การสลับยาง ถ่วงยาง ทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร
•ขึ้นชื่อว่า “ยาง” ย่อมมีอายุการใช้งาน ดังนั้น ให้ทำการเปลี่ยนยางตามที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้รถหรือ บริษัท ผู้ผลิตยางกำหนด (ระยะเวลา 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร) แล้วแต่ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน
เพียงเท่านั้น โอกาสที่จะมีการเกิดอุบัติเหตุจากยางระเบิด ก็เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ (0%) อย่างแน่นอน ความปลอดภัยของท่าน คือความตั้งใจของเรา
อนึ่ง...สำหรับเหตุการณ์ตามที่กล่าวมา “รู้ไว้ ใช่ว่า” เพราะเมื่อมีการเกิดขึ้นแล้ว จะเกิดอันตรายและความเสียหายตามมาในที่สุด ดังนั้น ป้องกันไว้เป็นดีที่สุดครับ

ยางกับการจอด


เป็นไปไม่ได้ที่การจอดรถทุกครั้ง จะเป็นพื้นที่เรียบตลอด ตามถนนหนทางหรือแม้แต่ตรอก ซอยต่างๆ จะมีขอบของถนน, ช่องระบายน้ำ, ลูกระนาดและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ตัวมันหรือลักษณะของมันจะไม่เรียบตรง พร้อมกับมีความแข็ง ดังนั้น เมื่อรถจอดทับแล้ว จะไม่มีการเสียรูปแต่อย่างใด แต่กลับว่าตัวรถยนต์ชำรุดแทนนั่นก็คือ “ยางล้อรถยนต์”

การจอดรถในแต่ละครั้งมีนานบ้าง เร็วบ้าง แตกต่างกัน หากมีการจอดที่นานมากๆ ควรหาพื้นที่เรียบ เพื่อที่จะไม่ทำให้ยางชำรุด (เสียรูป) หากลองสังเกตให้ดี จะพบว่า เมื่อจอดรถตรงร่องของท่อระบายน้ำ สังเกตตรงแก้มยาง จะเห็นว่ายางแบน ที่เป็นอย่างนี้ เพราะหน้าสัมผัสยางกับพื้นตรงนั้น ไม่สมดุล ทำให้มองเห็นอย่างนั้น ถ้าเป็นการจอดนานบวกกับลมยางที่อ่อน ทำให้ยางชำรุดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไหนจะน้ำหนักของรถยนต์ทั้งหมดกดลงบนยางอีก ยิ่งเพิ่มภาระให้กับยาง

นอกจากยางจะเสียรูปแล้ว บางครั้ง อาจทำให้ยางรั่วได้ ในการนี้ขอกล่าวในกรณีจอดรถบริเวณท่อระบายน้ำเท่านั้น สิ่งที่มีอาจมองข้ามได้ ก็คือสิ่งต่างๆที่อยู่บนถนนกระเด็นมา, ปลิวมา หรือ ไหลมากับน้ำ อะไรทำนองนี้ มาติดอยู่ที่ยาง ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก, ตะปู, ลวด, ขวด, แก้ว และอื่นๆ ล้วนแล้วแต่สามารถตำทะลุยางได้ เมื่อเราต้องการใช้รถ แล้วขยับรถยนต์ออกจากจุดจอด ก็บดทับสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อใช้รถยนต์ระยะเวลาหนึ่ง ลมยางล้อรถยนต์จะน้อยลงเรื่อยๆ จนแบน พฤติกรรมของผู้ขับขี่ส่วนมาก ไม่มีใครก้มลงดูบริเวณยางอยู่แล้ว ดังนั้น ในการเลือกที่จอด ควรพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ก็ดีต่อยางยิ่งขึ้น

อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าจอดรถบนพื้นที่เรียบ แต่หากจอดเป็นระยะเวลาที่นานมากๆควรให้ล้อรถยนต์เปลี่ยนตำแหน่งหน้าสัมผัสยางกับถนนบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นกับยาง ถึงแม้จะเป็นยางใหม่ก็ตามก็อาจเกิดขึ้นได้ การรับประกันยางมีอยู่ก็จริง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เคลมได้น้อยมากหรือยากมาก และใช้เวลาในการตรวจสอบก็ใช้เวลาหลายวัน ซึ่งข้อจำกัดของการรับประกัน (ยาง) มีอยู่หลายข้อและ จะไม่อยู่ ภายใต้เงื่อนไขการรับประกัน

•ยางได้รับความเสียหายจากการใช้งานบนท้องถนนตามปกติ เช่น บาด, ตำทะลุ หรือ บวม เนื่องจากการกระแทก
•ยางที่ถอด-ประกอบใส่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ระหว่างยางกับกระทะล้อ
•ยางที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากความผิดปกติของช่วงล่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่างและศูนย์ล้อ
•ยางที่ติดตั้งหรือใช้กับวาล์ว กระทะล้อ หรือ ล้อไม่เหมาะสมตามประเภทยาง
•รถที่มีการบรรทุกน้ำหนัก หรือ ใช้ความเร็วเกินพิกัดที่ระบุไว้ตรงแก้มยาง หรือ ตามคำแนะนำ สำหรับรถประเภทนั้นๆ
•ยางเก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว และนำมาซื้อขายใหม่
•ยางที่เก็บรักษาไม่ถูกวิธี
•ยางที่ไม่ได้ใช้งานตามคำแนะนำทางเทคนิคของบริษัทผู้ผลิต
•ยางที่เสียหายจากอุบัติเหตุ, ไฟไหม้, สารเคมี หรือ มีการปรับแต่งช่วงล่างของรถ
•ยางที่ไม่ได้ซื้อมาจากตัวแทนจำหน่ายยางโดยตรง
•ยางที่เสียหาย เนื่องจากสภาพอากาศและผลกระทบจากบรรยากาศ
เห็นไหมครับว่า ข้อกำหนดดังกล่าวโดยรวมแล้ว ท่านเจ้าของรถจะต้องดูแลเอาใจใส่ยางพอสมควร ดังที่กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้นว่า แม้กระทั่งการจอดรถก็ต้องพิจารณา เพราะอยู่ภายใต้ ข้อกำหนดของการรับประกันนั่นเอง หากเป็นรถใหม่ที่ออกจากตัวแทนจำหน่าย แล้วมีปัญหาเกี่ยวกับยาง ทางศูนย์บริการของตัวแทนจำหน่ายของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆก็ต้องเข้ามาดูแลให้ท่านอยู่แล้ว แต่การพิจารณาการอนุมัติเคลมยางว่าได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับบริษัท ผู้ผลิตยางนั้นๆครับ ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านใช้รถยนต์อย่างมีความสุขมากๆ ครับ

เปลี่ยนหรือไม่ ใคร่คิดดู 2


เรียนผู้อ่านทุกท่าน บทความเรื่อง เปลี่ยนหรือไม่ ใคร่คิดดู 2 ก่อนจะเกิดขึ้นนั้น ได้มีบทความ เปลี่ยนหรือไม่ ใคร่คิดดู มาก่อนแล้ว และนั่นก็เป็นครั้งแรก ซึ่งครั้งนั้นได้กล่าวถึงชิ้นส่วนอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ แบตเตอรี่, ยางแท่นเครื่อง, แท่นเกียร์ และยางล้อรถยนต์ เมื่อผู้อ่านได้อ่านแล้วมีความเข้าใจในตัวชิ้นส่วนมากยิ่งขึ้น ว่าทำไมต้องเปลี่ยน การแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่บริการก็มีความเข้าใจที่ตรงกันอีกด้วย ชิ้นส่วนทุกชิ้นส่วนย่อมมีอายุการใช้งานอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ณ โอกาสนี้ ก็มีด้วยกัน 3 อย่าง ได้แก่ น้ำมันเบรก, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ และน้ำมันเกียร์ ขอเริ่มเลยละกันนะครับ

น้ำมันเบรก
เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมากต่อรถยนต์ ถ้าน้ำมันเบรกไม่ดี จะส่งผลต่อประสิทธิภาพต่อการเบรก และชิ้นส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับระบบเบรก นอกจากนั้น อาจนำพาไปสู่เรื่องของอุบัติเหตุได้ ดังนั้น น้ำมันเบรกจะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายทุกๆ 40,000 กิโลเมตร ตามระยะทางที่กำหนดครับ

ไม่เปลี่ยน - การส่งถ่ายแรงเบรกด้อยลง
เปลี่ยน - การไหลของน้ำมันเบรกได้เต็มที่ และรวดเร็ว
ไม่เปลี่ยน - การคืนตัวของผ้าเบรกช้า
เปลี่ยน - ผ้าเบรกคืนตัวได้เร็วหลังจากถอนเท้าออกจากคันเหยียบเบรก
ไม่เปลี่ยน - แม่ปั้มเบรก, ลูกยางเบรก ชำรุด(รั่ว) เร็วกว่าที่ควรเป็น
เปลี่ยน - ชิ้นส่วนเสียหายช้า ประหยัดเงินในการซ่อม
ไม่เปลี่ยน - กระบอกเบรก เกิดเป็นตามด ไม่สามารถซ่อมได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งลูก (ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น)
เปลี่ยน - กระบอกเบรก ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์
ไม่เปลี่ยน - ใช้แรงในการเบรกมากกว่าที่ควรจะเป็น
เปลี่ยน - แรงที่ใช้ในการเหยียบเบรกเหมือนปกติ
ไม่เปลี่ยน - เกิดฟองอากาศในระบบเบรกง่ายขึ้น อาการเบรกจมหายง่ายขึ้น
เปลี่ยน - โอกาสที่เบรกจมหายในระบบจะไม่เกิดขึ้น

น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
จะต้องมีการเปลี่ยนเหมือนน้ำมันทั่วๆไป บางท่านอาจมองข้ามกันไปว่า ไม่สำคัญเท่าไหร่ อะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะว่า หากไม่เปลี่ยนตามระยะทางที่กำหนด จะนำพาหรือเป็นเหตุให้ชิ้นส่วนอื่นเสียหายมากขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้ประสิทธิภาพในการบังคับเลี้ยวด้อยลง การเปลี่ยนถ่ายก็ทุกๆ 40,000 กิโลเมตร ดังนั้น เรามาลองทำความเข้าใจกันครับ

ไม่เปลี่ยน - ชิ้นส่วนต่างๆ จะมีการชำรุดสึกหรอ ง่ายขึ้น
เปลี่ยน - อายุการใช้งานของชี้ยาวนาน
ไม่เปลี่ยน - หากมีการชำรุด แล้วมีการซ่อม ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ใช้เวลาก็มาก
เปลี่ยน - ประหยัดเงิน และ เวลาได้มาก
ไม่เปลี่ยน - เกิดเสียงดังเวลาปั้มเพาเวอร์ทำงาน
เปลี่ยน - ไม่เกิดเสียงดังแต่อย่างใด
ไม่เปลี่ยน - การส่งถ่ายแรงในการบังคับเลี้ยว ได้ไม่เต็มที่
เปลี่ยน - การบังคับเลี้ยวเป็นไปอย่างสมบูรณ์
ไม่เปลี่ยน - ปั้มเพาเวอร์มีการทำงานหนักมากขึ้น การสึกหรอย่อมสูงขั้น
เปลี่ยน - การทำงานของปั้มเพาเวอร์ทำงานเป็นปกติ การใช้งานนาน
ไม่เปลี่ยน - หากมีการรั่วแล้วเลอะเทอะบนถนน ผู้ร่วมใช้เส้นทางเกิดอุบัติเหตุได้
เปลี่ยน - ปัญหาของอุบัติเหตุที่เกิดจากรถยนต์ของเรา จะไม่เกิดขึ้น

น้ำมันเกียร์ (ธรรมดา, อัตโนมัติ)
เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญชิ้นหนึ่ง จำเป็นจะต้องมีการบำรุงรักษาหรือเปลี่ยนถ่ายตามระยะทางที่กำหนด ซึ่งแต่ละรุ่นแต่ละแบบจะแตกต่างกันไป อย่างไรแล้วท่านผู้อ่านศึกษาได้จากคู่มือการใช้รถยนต์ของท่าน แต่ถ้าไม่มีคู่มือการใช้รถก็สามารถสอบถามไปยังแผนกบริการ รถยนต์รุ่นนั้นๆได้อีกทางหนึ่ง น้ำมันเกียร์เหมือนกับน้ำมันอื่นๆ ดังนั้น หากไม่ปฏิบัติอาจส่งผลถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้

ไม่เปลี่ยน - ชิ้นส่วนของเกียร์มีการสึกหรอสูงขึ้นกว่าปกติ
เปลี่ยน - ชิ้นส่วนของเกียร์มีการใช้งานยาวนาน
ไม่เปลี่ยน - การรั่วของน้ำมันเกียร์ผ่านทางชิ้นส่วนต่างๆง่ายขึ้น
เปลี่ยน - การรั่วของน้ำมันเกียร์ผ่านซีลช้าขึ้น
ไม่เปลี่ยน - การระบายความร้อนของตัวเกียร์ไม่ดี (กว่าที่ควรจะเป็น)
เปลี่ยน - การถ่ายเทความร้อนของตัวเกียร์ดีเป็นปกติ
ไม่เปลี่ยน - การไหลลื่นของเกียร์ด้อยลง
เปลี่ยน - การไหลลื่นของเกียร์เป็นไปอย่างสมบูรณ์
ไม่เปลี่ยน - ในการเลื่อนเข้าเกียร์ยาก
เปลี่ยน - การเลื่อนเข้าเกียร์นุ่มนวล
ไม่เปลี่ยน - กินเชื้อเพลิงมากขึ้น สำหรับเกียร์อัตโนมัติ
เปลี่ยน - อัตราเร่งดี การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยลง
ไม่เปลี่ยน - หากมีการซ่อมชุดเกียร์ จะมีค่าใช้จ่ายและเวลาที่มาก
เปลี่ยน - การที่จะมีการซ่อมเกียร์ยากมาก ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก

เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับความเข้าใจในครั้งนี้ หากผู้ขับขี่พบเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งก็แสดงว่ามีการขัดข้องเกิดขึ้น ก็ให้รีบตรวจสอบโดยด่วน คงไม่มีใครไม่รักรถนะครับ ข้อกำหนดต่างๆที่อยู่ในคู่มือการใช้รถนั้น ถือว่าเป็นมาตรฐานในการดำเนินการปฏิบัติครับ หลายท่านอาจจะไม่นำรถเข้าศูนย์บริการแล้ว ก็ให้คำนึงถึงตามที่กล่าวมาด้วยครับ ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านใช้รถยนต์อย่างมีความสุขและคุ้มค่าสูงสุดครับ สวัสดีครับ

จานเบรกพ่นสีดีหรือไม่


หากสังเกตรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามท้องถนน จะพบว่า รถยนต์บางคันได้ทำการพ่นสีจานเบรก ไม่ว่าจะเป็นดิสเบรก หรือ ดรัมเบรก ก็ตาม ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น การกระทำเช่นนี้ เป็นความประสงค์ของเจ้าของรถเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นจุดเด่น เห็นสวยงาม สะดุดตากับผู้พบเห็น น่าจะเป็นเหตุผลอันดับต้นๆ

รถยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นสังเกตให้ดีจะพบว่า รถยนต์ใหม่ที่ออกมาจากโรงงานจะไม่มีการพ่นสีใดๆเลยซึ่งน่าจะมีเหตุผล คือ ความร้อนที่เกิดจากการเบรกจะมีอุณหภูมิสูงมากๆจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการถ่ายเทความร้อนได้ดีและรวดเร็ว ทางด้านวัสดุที่ใช้ทำผ้าเบรกและจานเบรก จะต้องมีการถ่ายเทความร้อน หรือ ระบายความร้อนที่ดีด้วย เพื่อให้ประสิทธิภาพเบรกสูงสุด ในรถยนต์สมัยก่อนได้มีการออกแบบและผลิตจานดิสเบรกหน้าเป็นจานดิสเบรกธรรมดา จะมีแผ่นดักลมอยู่ข้างๆเพื่อระบายความร้อน ยามที่รถยนต์เคลื่อนที่ แต่ปัจจุบัน จานดิสเบรกหน้า ได้ถูกออกแบบให้มีครีบระบายความร้อนอยู่ที่ตัวจานดิสเบรกเลย ถูกบรรจุอยู่ในรถยนต์ทุกคันไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกะบะก็ตาม ซึ่งการออกแบบและผลิตขึ้นนั้นจุดประสงค์ก็เพื่อให้ประสิทธิภาพของระบบเบรกนั้นเองครับ

ในการพ่นสีที่จานดิสเบรกและดรัมเบรก ก็เท่ากับว่าเป็นการปิดกั่นการระบายความร้อน ทำให้ประสิทธิภาพของระบบเบรกด้อยลง ยิ่งขณะนั้นจานเบรกมีอุณหภูมิสูง ด้วยแล้วละก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเบรกยิ่งขึ้นไม่ทราบว่าท่านผู้อ่าน เคยลองเอามือสัมผัสกระทะล้อรถยนต์ของตนเองขณะวิ่งใช้งานมาแล้ว จะพบว่ามีความร้อนพอสมควรเลยที่เดียว เป็นเพราะว่ามีการถ่ายเทความร้อนจากจานเบรกมานั่นเอง นี่ขนาดกระทะล้อแล้วเป็นจานเบรกจะร้อนแค่ไหน (อย่านำมือแตะเด็ดขาดผิวหนังจะละลาย) ดังนั้น การที่จะทำการพ่นสี ขอให้คำนึงตามที่ได้กล่าวมาครับ

สำหรับผู้ที่ซื้อรถใหม่ อาจจะมีการตำหนิว่า รถใหม่ทำไมมีคราบสนิมเกิดขึ้นบริเวณจานเบรกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะตามที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นว่า วัสดุที่ใช้ทำจะต้องมีการคำนวณเป็นอย่างดีแล้วว่า เหมาะสมที่สุด และการที่โลหะ ( เหล็ก ) เป็นสนิม ก็มิได้ผิดปกติแต่อย่างใด หากหลายท่านใช้รถยนต์มานานแล้ว จะเกิดขึ้นมาก ก็ให้ทำการถอดจานเบรกออกมาขจัดคราบสนิมก็สามารถทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก ส่วนรถยนต์บางรุ่น ไม่สามารถกระทำได้โดยง่าย ก็ให้ช่างช่วยจัดการให้ก็ได้ แต่ถึงอย่างไรใช้ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง สนิมย่อมเกิดขึ้นอีกอยู่ดี ถือเป็นเรื่องปกติครับ

การพ่นสีจานเบรกมองดูแล้วก็สวยงาม สะดุดตากับผู้พบเห็น ยิ่งสีนั้นๆตัดกับสีของล้อ และตัวรถยิ่งแจ่มขึ้นอย่างมาก แต่สำหรับผู้ที่ใช้งานทั่วไป หากไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะทำการพ่นสีจานเบรกถือว่าเป็นการดีอย่างยิ่งครับ

สิ่งที่ติดยางควรขจัดออก

ยางรถยนต์ก็เหมือนกับชิ้นส่วนอื่นของรถยนต์ ที่จะต้องเอาใจใส่เหมือน ๆ กัน แต่กลับถูกมองข้ามกันไป ซึ่งเจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เวลาทำความสะอาดรถ จะต้องทำความสะอาดยางอยู่แล้วก็จริงอยู่ แต่สิ่งที่ไม่คำนึงถึงสำหรับเจ้าของรถยนต์นั่นก็คือ การสังเกตวัสดุที่ติดมากับยาง แทบจะตลอดอายุการใช้งานของยางเลย หรือ จนกว่าจะทำการเปลี่ยนยางเป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ)

วัสดุที่ติดมากับยางมีมากมายที่สามารถทำให้ยางฉีกขาด , ตำทะลุ , อื่น ๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้ยางด้อยประสิทธิภาพ นอกจากนั้นส่งผลถึงส่วนถึงแรงดันลมยางอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ตะปู , เหล็กแหลม , หิน , กิ่งไม้ และอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่ติดอยู่บนยางได้ทั้งสิ้น หากการขับรถยนต์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าวได้ พอหลังจากขับผ่านพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ควรทำการตรวจสอบยางทุกล้อก็จะดีมาก

การตรวจสอบวัสดุที่ติดมากับยาง สามารถกระทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก กล่าวคือ หากเราต้องการตรวจสอบและแกะวัสดุที่ติดมากับยางออกตามเส้นรอบวงของยาง ก็ให้จอดรถบนพื้นระดับ ท่านจะสามารถตรวจสอบได้เกือบทั้งเส้นของยาง ยกเว้นขอบยางด้านใน แต่ส่วนใหญ่วัสดุที่ติดอยู่จะอยู่บริเวณดอกยาง ดังนั้นควรกระทำการ ดังนี้

1.จอดรถบนพื้นระดับไม่เอียง จะดึงเบรกมือ หรือ ไม่ดึงแล้วแต่ความสะดวก หรือแม้กระทั่งเข้าเกียร์จอด(ตำแหน่ง P) สำหรับเกียร์อัตโนมัติ
2.หาเครื่องมือขนาดเหมาะมือ กะทัดรัด สำหรับแคะเศษวัสดุออกจากยาง
3.ลงมือตรวจสอบด้วยการก้มลงไปดูหน้ายางของล้อแต่ละสื่อ แล้วแต่ช่องว่างที่สามารถ
มองเห็นและสอดเครื่องมือและเมื่อได้
4.ให้ทำการปฏิบัติให้ครบทุกล้อ
5.ให้ทำการเข็นรถเพื่อให้หน้ายางไปอยู่อีกตำแหน่งหนึ่งเพื่อตรวจสอบตำแหน่งตำแหน่ง
ต่อไป
6.ทำดังเช่นข้อ 3-5 จนครบตามเส้นรอบวง
การทำลักษณะนี้ จริงอยู่ว่ามีความเมื่อยล้าอยู่บ้าง แต่การที่มีความเอาใจใส่ในรถยนต์ของ
ตนเองก็มีความภูมิใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แลกกับความเหนื่อยหลายท่านอาจจะพอใจ ลองคิดดูขนาดเราเอารถไปล้างอัดฉีดจากสถานที่ที่บริการ ยังไม่กระทำตรงจุดนี้ให้เลย(ถูกต้องนะครับ) หากท่านกระทำได้ จะส่งผลดีกับตัวยาง ได้แก่


- ขณะรถยนต์เคลื่อนที่จะไม่เกิดเสียงดัง
- ยางสามารถรีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดอัดตราการฉีกขาดของยาง
- ข้อนี้ถือว่าสำคัญนั่นคือ ความปลอดภัย ย่อมมากขึ้นด้วย

สำหรับวันพักผ่อนที่แสนสบายของเจ้าของรถ ไหน ๆ ก็ทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายในแล้ว ขอให้เสียสละเวลากับยางกันสักนิด โดยที่กระทำตามที่กล่าวมา ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าทุกท่านทำได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าวัสดุที่ติดมากับยางที่เป็นของเหลว ให้ทำการล้างออกเสียก่อน มิฉะนั้น จะได้รับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ จากนั้นค่อยกำจัดวัสดุที่ติดมากับยางต่อไปครับ

อนึ่ง การปฏิบัติดังกล่าว สำหรับรถยนต์ที่ยกสูง สามารถทำการปฏิบัติได้โดยง่าย แต่สำหรับรถยนต์ที่มีความเตี้ยอาจจะลำบากสักหน่อย แต่ค่อย ๆ ทำทีละนิด จนครบนะครับ ตามเส้นรอบวงและการปฏิบัติตรวจสอบแล้วว่าวัสดุที่ติดตำยาง เวลาดึงออกแล้วจะทำให้ยางรั้วลักษณะเช่นนี้ไม่ควรทำ ให้นำรถไปร้านยางจะดีที่สุด และถ้าหากยางเกิดรั่ว หลังจากที่ทำการปะยางแล้ว อย่าลืมบอกให้ร้านปะยางทำการถ่วงยางด้วยนะครับ มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการควบคุมรถยนต์ และ สมรรถนะในการขับขี่ได้นั่นเองครับ

ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านร่ำรวย มีความสุข สวัสดีครับ

กระจกบังลมหน้าแตก ทำอย่างไร ?


ผู้ขับขี่และผู้โดยสารน้อยคนนักที่จะพบกับเหตุการณ์ เช่นนี้ แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรขณะนั้นมีแต่ความตกใจ การที่กระจกบังลมหน้าแตกได้ มีอยู่ 2 ประเด็น 1. เกิดขึ้นด้วยตัวกระจกเอง 2. เกิดจากการกระทำของวัตถุอื่น ซึ่งทั้ง 2 ประเด็น เป็นสาเหตุที่ทำให้กระจกบังลมหน้าแตกได้อย่างกระทันหัน การขับขี่ต้องหยุดชะงัก และทำการแก้ไขเบื้องต้นก่อน เป็นอันดับแรก เพื่อที่จะสามารถขับขี่ต่อไปได้ ขอย้ำ แก้ไขแล้วขับขี่ต่อไปได้

มีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า มีแก๊งปาหินเกิดขึ้นบ่อย แล้วไม่รู้ว่าปาหินเพื่อวัตถุประสงค์ใด ส่วนใหญ่จะเกิดที่กระจกบังลมหน้าแทบทั้งสิ้น แต่เป็นกระจกบานอื่น ก็จะไม่มีปัญหามากนัก สามารถขับขี่ต่อไปได้เลย ขณะนั้นซึ่งเสี่ยงต่อการโจรกรรม แต่ถ้าเป็นกระจกบังลมหน้า คงต้องคาดเดาเหตุการณ์ขณะนั้นว่ามีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด เมื่อตรวจสอบแล้วกระจกบังลมหน้าแตกเอง ผู้ขับขี่จะต้องทำการปฏิบัติ ดังนี้

1.ตั้งสติ ปิดระบบปรับอากาศ ( หากเปิดอยู่ )
2.บังคับรถยนต์เข้าจอดในที่ปลอดภัย
3.ทำการดับเครื่องยนต์
4.เปิดไฟฉุกเฉิน
5.นำกระจกหน้าต่างลง อันนี้เพื่อเปิด-ปิดประตู กระจกที่แตกอยู่ไม่กระจายหรือสะเทือนน้อยลง
6.หาวัสดุ เช่น ผ้า, กระดาษ ชิ้นใหญ่ๆ มาวางปิดทับคอนโซลหน้าทั้งหมดรวมถึงพวงมาลัยด้วยและเบาะนั่งคู่หน้า
7.ทำการเคาะกระจกที่แตกออกให้หมดเท่าที่ทำได้ หาวัสดุที่แข็งทำการเคาะ ห้ามใช้มือ
8.เก็บรวบรวมกระจกที่แตก และทิ้งให้เหมาะสม เท่าที่ทำได้ขณะนั้น
9.นำกระจกหน้าต่างขึ้นสุดทุกบาน อันนี้ เพื่อมิให้ลมปะทะขณะวิ่งเข้ามายังภายในรถได้ เพราะตัวรถมีอากาศอยู่เต็มนั่นเอง
10.หาแว่นตาใส่ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารท่านอื่น เพราะเศษกระจกจะปลิวเข้าตาหรือแม้แต่วัสดุอื่น
11.ทำการติดเครื่องยนต์ ห้ามเปิดระบบปรับอากาศ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยอะไรแล้ว มิหนำซ้ำ เศษกระจกจะปลิวเข้าร่างกายได้ จะมีความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้น
12.เคลื่อนรถอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง ไม่ควรใช้ความเร็วสูง ไปตลอดการเดินทางจนถึงจุดหมาย
(ไม่ควรจอดรถไว้ในที่ที่ไม่ปลอดภัย เพราะบุคคลอื่นสามารถเข้าไปยังภายในรถได้)
คงไม่ยากมากเกินไปใช่ไหมครับ สำหรับเหตุการณ์แบบนี้ และทางทีมงานของผู้เขียนเชื่อว่าผู้ขับขี่สามารถทำได้ อย่างไร้ปัญหาครับ

สุนัขกับรถยนต์


ได้อ่านหัวข้อของบทความแล้ว ไม่ต้องตกใจนะครับ ทางผู้เขียนมีเจตนาเพื่อให้ผู้อ่านนำไปพิจารณาประกอบในการเลี้ยงสุนัข และการใช้รถในชีวิตประจำวันครับ บางท่านอาจสงสัยว่าเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ลองติดตามกันเลยครับ

เป็นเรื่องแปลกที่สุนัขชอบปัสสาวะใส่ล้อรถยนต์ กลายเป็นของคู่กันไปเสียแล้ว และเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่ารถยนต์ของคุณจะมีราคาแพงหรือราคาถูกก็ตาม ไม่มีการยกเว้น เมื่อสุนัขเดินผ่านมา จะปัสสาวะที่บริเวณล้อรถยนต์โดยทันที ส่วนมากก็จะเป็นเพศผู้เสียอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะเพิ่งล้างรถหรือล้างล้อมาใหม่ก็ตาม โดนอย่างแน่นอน ยกเว้น ใช้น้ำยาป้องกันปัสสาวะสุนัข

ปัสสาวะของสุนัขนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด ย่อมส่งผลถึงล้อรถยนต์ได้ เช่น กระทะล้อที่เป็นเหล็กก็จะเกิดสนิมขึ้นได้โดยง่าย ถ้าเป็นล้อแม๊กก็จะเกิดขี้เกลือได้โดยง่าย มิหนำซ้ำ ปัสสาวะของสุนัขจะซึมเข้าตามตะเข็บของยางกับกระทะล้อ ซึ่งจะทำให้เกิดการสึกหรอก่อนเวลาอันควร แต่ที่แน่ๆ ส่งกลิ่นเหม็นอย่างแน่นอน

อันดับต่อไป สุนัขกับชิ้นส่วนรถยนต์ สำหรับผู้ที่เลี้ยงสุนัข และสุนัขนั้นค่อนข้างเล็ก หมายความว่าสุนัขยังเป็นเด็ก พฤติกรรมของสุนัขที่เป็นเด็ก ชอบกัดโน่นกัดนี่ตามประสา ย่อมส่งผลต่อชิ้นส่วนของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นพลาสติกใต้ท้องรถ, กันชน, บังโคลน และอื่นๆ ที่สุนัขพอที่จะกัดแทะได้ ถ้าเป็นชิ้นส่วนเหล่านั้นคงไม่เท่าไหร่

แต่ถ้าสุนัขตัวนั้นไปกัดสายไฟ และสายไฟเหล่านั้น มีส่วนสำคัญในการทำงานของรถยนต์ เช่น เซ็นเซอร์ต่างๆที่อยู่ใต้ท้องรถ ย่อมส่งผลถึงการทำงานของระบบนั้นๆได้ ตรงนี้ถือว่า เสียหายค่อนข้างมาก ไม่เพียงแต่จะมีราคาพอสมควรแล้ว การบริการหรือการวิเคราะห์แก้ไข ถือว่ากระทำได้ยาก (ร้านซ่อมนอกศูนย์บริการ) แต่ไม่ต้องเป็นห่วง จะมีไฟแสดงสถานะติดค้างบนมาตรวัด เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีการขัดข้องเกิดขึ้นในระบบนั้นๆ

การเลี้ยงสุนัข บางท่านเลี้ยงไว้ดูเล่น, แก้เหงา, เลี้ยงเพื่อเอาบุญ แต่ก็มีหลายท่านเลี้ยงไว้ใช้งานในการเฝ้าบ้าน ทางผู้เขียนเห็นด้วยกับการที่มีเหตุผลในการเลี้ยงสุนัข แต่ก็มีผู้รักสุนัขจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่เลี้ยงสุนัขอย่างใกล้ชิด การเดินทางไปไหนมาไหนไปด้วยกันตลอด แม้กระทั่งอยู่ในรถ ซึ่งการเลี้ยงสุนัขไว้ในรถ จะไม่เป็นผลดีต่อท่านเจ้าของรถเท่าใดนัก

สมมติว่า สุนัขอยู่ในรถแล้วมีการถ่ายสิ่งปฏิกูล(ของเสีย)ของสุนัข ก็จะสกปรกส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ไหนจะต้องทำความสะอาดอีก ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่จะตามมาอีกได้แก่ ทุกครั้งที่ใช้รถยนต์จะต้องมีการเปิดแอร์ (ระบบปรับอากาศ) จุดนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าขนของสุนัขจะถูกดูดเข้าไปทางโบล์วเวอร์แอร์ และจะไหลไปค้างที่ตู้แอร์ พอนานวันเข้าก็จะทำให้แอร์ไม่เย็น นอกจากนี้ ขนของสุนัขยังไปอุดตรงท่อน้ำทิ้งแอร์ ทำให้ระบายไม่ได้ ก็จะล้นโดนพรมรถยนต์ และเมื่อพรมเปียกก็จะส่งกลิ่นเหม็น พร้อมกับเกิดเชื้อโรคขึ้นได้โดยง่าย การถอดพรมและตู้แอร์ออกทำความสะอาด ซึ่งจะใช้เวลานาน และค่าใช้จ่ายก็มีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้น ขอให้พิจารณาตรงจุดนี้ด้วย

และนี่ก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ทางผู้เขียนมีเจตนาเพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์เข้าใจ สิ่งที่จะได้มาก็ในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์ของท่าน รวมถึงสุขภาพอนามัยของผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านครับ ขอให้มีความสุขกับการใช้รถยนต์และการเลี้ยงสุนัขครับ

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิง


อันตรายจากกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิง
เวลานำรถเข้าไปเติมน้ำมันในปั๊มน้ำมันเราเคยได้กลิ่นน้ำมันบ้างไหม บางครั้งหลังจากที่คุณเติมน้ำมันเสร็จกลิ่นน้ำมันอาจจะติดเข้ามาในรถด้วย ยิ่งถ้าเราเปิดกระจกรถทิ้งไว้ไอน้ำมันที่เข้ามาก็จะทำให้เกิดกลิ่งดังกล่าวได้มากขึ้นไปอีก แล้วรู้ไหมว่ากลิ่นน้ำมันเหล่านี้มีอันตรายมากทีเดียว เพราะในส่วนผสมของน้ำมันจะมีสารไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเจ้าสารตัวนี้เองที่เป็นตัวการสำคัญไปทำลายไขกระดูก ทำให้เกิดโรคไขกระดูกฝ่อ หรือไขกระดูกไม่ทำงานได้ หากรับสารไฮโดรคาร์บอนเข้าไปในร่างกายอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน อีกทั้งยังทำให้เยื่อบุจมูกระคายเคืองและเป็นโรคเยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรัง มิหนำซ้ำยังเป็นสารสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้อีกด้วย และหากว่าเด็กๆได้รับสารไฮโดรคาร์บอนเข้าไปก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเด็กค่อนข้างไวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้ถูกทำลายจากสารไฮโดรคาร์บอนได้โดยง่าย

ดังนั้นหากเราต้องเติมน้ำมันก็ควรปิดประตูหน้าต่างรถเพื่อไม่ให้กลิ่นไอของน้ำมันเข้าไปในรถมากเกินไป และเวลาที่เรานำรถออกจากปั๊มน้ำมันก็เช่นกัน อย่าลืมเปิดกระจกขับรถให้ลมโกรกระบายกลิ่นไอของน้ำมันออกไปให้หมดอย่างรวดเร็วก่อน



Fortuner ใหม่ (The ultimate Attraction) “ดึงดูดใจให้ไปกับคุณ”


สัมผัสอีกระดับ แห่งตัวตนที่เหนือกว่าด้วยยนตกรรม SUV ระดับหรูขีดสุดความสมบรูณ์แบบแห่งยนตกรรมที่พร้อมสะกดทุกสายตาให้เหลียวมองดึงดูดทุกหัวใจให้หลงใหลไม่สิ้นสุดด้วยรูปลักษณ์แห่งดีไซด์ที่โดดเด่นงามสง่าอรรถประโยชน์ที่หลากหลาย พร้อมพลังขับเคลื่อนและมาตรฐานความปลอดภัยที่ยากที่จะหายนตกรรมใดมาเทียบเคียง “Fortuner” เสน่ห์แห่งการขับเคลื่อนที่เหนือใคร ดึงดูดทุกใจโดยไปกับคุณ
จุดเด่น ที่เห็นภายนอก ที่มีการปรับปรุงใหม่ ได้แก่

•ไฟหน้าแบบ Projector ใหม่ ให้ความสว่างชัดเจนยิ่งขึ้น เส้นแนวของแสงมองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ความปลอดภัยย่อมมีมากขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญไม่รบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมาทำให้มีความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้เส้นทางอื่นๆอีกด้วย
•กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ หรูหรางามสง่า บ่งบอกศักดิ์ศรีความเป็นคุณอีกระดับ นอกจากสวยงามแล้ว การระบายความร้อนของเครื่องยนต์ด้วยลม ขณะวิ่งนั้นทิศทางลมเข้าปะทะกับหม้อน้ำได้ดีเป็นผลให้การถ่ายเทความร้อนของเครื่องยนต์ทำได้ดีอีกด้วย
•ไฟท้าย แบบ มัลติรีเฟลกเตอร์ ใหม่ดูหรูหราขึ้น ออกแบบให้มีเหลี่ยมมากขึ้นคล้ายๆกับ Land cruiser Pradoทำให้ผู้ขับรถตามมา เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นความปลอดภัยย่อมมีมากขึ้นอีกด้วย
•ล้อแม็คอัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ เติมเต็มอารมณ์หรู และสปอร์ตมากขึ้นนอกจากนั้นยังเพิ่มสมรรถนะในการยึดเกาะที่มากขึ้นอีกด้วย การทำความสะอาดง่ายดายเพราะมีช่องพอที่จะใช้มือสอดผ่านได้นั้นเอง
อันดับต่อมา จุดเด่นภายใน ที่มีการเติมเต็มให้หรูหรามากยิ่งขึ้น ได้แก่


•ระบบนำทาง Navigator พร้อมเครื่องเล่น DVD และจอแสดงผล LCD แบบสัมผัส เพิ่มความสุนทรีย์ ให้การเดินทาง ซึ่งระบบนี้จะคล้ายกับที่บรรจุอยู่ใน CAMRY ทุกประการ มาบรรจุ อยู่ใน FORTUNER ใหม่แล้ว
•ระบบควบคุมความเร็ว อัตโนมัติ (Cruise control ) ลดความเมื่อยล้ายามเดินทางไกล ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งระบบนี้ก็เหมือนกับที่บรรจุอยู่ใน CAMRY ทุกประการ
•ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย แบบ Bluetooth เป็นการเชื่อมต่อโทรศัพท์ของคุณโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเข้าห้องโดย หลังจากที่คุณมีการบันทึกไว้แล้ว ระบบจะทำการเชื่อมต่อให้โดยอัตโนมัติ เป็นการเพิ่มความปลอดภัย ขณะขับขี่ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถออกใบสั่งให้ท่านได้อีกต่างหาก เมื่อมีการสนทนาทางโทรศัพท์ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องเสียงโดยทันที หากมีการวางสายเครื่องเสียงจะกลับมาทำงานให้เองโดยอัตโนมัติ สรุปได้ว่า นอกจากสะดวกสบายแล้วความปลอดภัยก็มีมากขึ้นนั่นเอง
•ชุดควบคุมระบบปรับอากาศ ได้ออกแบบใหม่ สามารถควบคุมได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะได้จัดวางตำแหน่งของการควบคุมใหม่ ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ตามลำดับ
•กระจกมองข้าง สามารถพับเก็บด้วยไฟฟ้า ทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เหนือระดับยิ่งขึ้น

อันดับต่อไปมาดูกันในเรื่องของอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ได้แก่

•ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ( TRC ) ควบคุมและป้องกันการลื่นไถลของล้อ ป้องกันการสูญเสีย การทรงตัวของรถนอกจากนั้นทำให้การออกตัวเป็นไปอย่างราบเรียบนุ่มนวล ลดการเสียหายของยางและยังช่วยประหยัดเชื้อเพลิงอีกด้วยแต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องยกเลิกการทำงานก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
•ระบบการทรงตัว ( VSC ) ควบคุมรถให้มีความมั่นคง แม้แต่ในทางโค้งและถนนเปียกลื่นโดยจะสั่งการให้เครื่องยนต์ ลดความเร็วอัตโนมัติ และยังมีระบบเบรกทำงานตามสภาวะขณะนั้นเองโดยอัตโนมัติ ยามเมื่อคอมพิวเตอร์ตรวจพบการสูญเสียการทรงตัวของรถ แต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องยกเลิกการทำงาน ก็สามารถทำได้ง่ายดาย เพียงปลายนิ้วสัมผัส
•ระบบเสริมแรงเบรก ( BA ) จะเป็นการเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกให้มากขึ้น หากมีการตรวจพบว่าผู้ขับขี่ใช้แรงเบรกไม่เพียงพอในสภาวะฉุกเฉิน ระบบจะทำงานให้โดยอัตโนมัติ ทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
•ระบบกระจายแรงเบรก ( EBD )จะทำการกระจายแรงเบรกให้เป็นอิสระไปยังล้อแต่ละล้อตามสภาวะน้ำหนักที่กดบนล้อแต่ละล้อขณะนั้น ทำให้มีการเบรกที่ปลอดภัยและระยะเบรกก็สั้นลงอีกด้วย
นอกจากนั้น Fortuner ใหม่ ได้เพิ่มขนาดของชิ้นส่วนต่างๆ ได้แก่


•ขนาดของจานเบรกหน้าให้ใหญ่ขึ้น
•เพิ่มขนาดหม้อลมเบรกให้ใหญ่ ขึ้น
•เพิ่มแรงดันแม่ปั๊มเบรกเพิ่มขึ้น อีก 50 %
สิ่งที่ได้เสริมเติมแต่งให้สะดวกมากขึ้นและสวยงามมากยังมีอีกได้แก่

•ระบบปรับอากาศ จากอยู่หลังขวา มาอยู่บนเพดานทุกที่นั่ง ทำให้มีความเย็นสบายตลอดการเดินทางหากไม่มีผู้โดยสารในแถวสอง และสาม สามารถควบคุมได้โดยผู้ขับขี่โดยมีสวิทช์ควบคุมอยู่บริเวณคอนโซลหน้า
•ชุดคอนโซลหน้ามีสีที่เข้มขึ้น บำรุงรักษาง่ายขึ้นและการสะท้อนขึ้นที่กระจกบังลมหน้านั้นแทบมองไม่เห็นทำให้การมอง ผ่านกระจกบังลมหน้าชัดเจนมากขึ้น แน่นอนที่สุด ความปลอดภัยย่อมมีมากขึ้นนั่นเอง

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ประกันภัยรถยนต์


การทำประกันภัยรถยนต์ ถือเป็นเรื่องที่ดี สำหรับเจ้าของรถยนต์ทุกท่าน หากมีการเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันภัยต้องเข้ามารับผิดชอบหรือมาดำเนินการแทนเจ้าของรถอยู่แล้ว แต่มีอยู่มากที่จะเลือกไม่ทำประกันภัยรถยนต์ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั่นก็คือ รถยนต์ทุกคันหากมีการใช้งานอยู่ ก่อนจะถึงวันครบที่จะต้องเสียภาษีประจำปี จะต้องมีการทำที่เราเรียกว่า “ พ.ร.บ . ” ทุกคัน มิฉะนั้นจะผิดกฎหมาย และ ไม่อนุญาตให้ต่อภาษี

การประกันภัยรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประเภท 1 , ประเภท 2 , หรือ ประเภท 3 ก็ตาม ต่างก็มีข้อกำหนดมากมาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ ก็ไม่ทราบรายละเอียดหรือข้อมูลเท่าใดนัก รู้แต่เพียงว่ารถของฉันมีประกันภัย หากเกิดเหตุย่อมได้รับสิทธิ์ความคุ้มครอง แต่ในความเป็นจริง อาจจะไม่ตรงกับที่เราเข้าใจอยู่ก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเช่น การทำประกันชั้น 1 ได้จำแนกออกเป็นส่วนอื่นๆอีก อย่างที่เห็นเด่นชัดก็เกี่ยวกับการประกันชั้น 1 ของศูนย์บริการหรือที่เราเข้าใจว่าห้าง กับ ประกันภัยชั้นหนึ่ง ของ อู่ทั่วไป อีกอันหนึ่ง ก็ ประกันภัยชั้น 1 เกี่ยวกับคุ้มครอง รถหาย กับ รถไม่หาย ดั้งนั้นผู้ที่จะทำประกันภัย ขอให้สอบถามทำความเข้าใจให้ดีก่อนที่จะทำการใดๆ

บริษัท ประกันภัย ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าของรถอยู่แล้วตามเงื่อนไขในเอกสาร แต่พนักงานของบริษัทประกันภัยอาจเป็นพนักงานใหม่ หรือ ไม่ทราบในรายละเอียดของประกันภัยมากนัก อาจทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน หรือ อีกประเด็นหนึ่ง คือ ผ่านทางพนักงานขายเลยทำให้ตกหล่นไปบ้าง ที่สำคัญลูกค้าไว้ใจ เจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัยเวลาเกิดเรื่องขึ้น ไม่ว่าอุบัติเหตุนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม ถึงอย่างไรต้องเรียกประกันภัยมา แต่มาช้าหรือมาเร็วนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ( ส่วนใหญ่จะมาช้า )

การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ อย่าเห็นแก่ราคาถูก การบริการอาจจะไม่ดีตามที่เราคิดได้ ขอให้ท่านศึกษาให้ดีไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาลักษณะใด เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วคงจะเสียอารมณ์มิใช่น้อย ก็มีอยู่พอสมควรที่ร้องเรียนถึงบริษัทประกันภัย แต่ถ้าหากมองมุมกลับ บริษัท ประกันภัยอาจไม่จะไม่เกี่ยวข้อง แต่จะเป็นตัวเจ้าหน้าที่เอง ที่ทำให้เสียชื่อเสียงขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า การเซ็นต์ชื่อใดๆลงไปในเอกสาร ขอให้ อ่านให้รอบคอบเสียก่อน ว่าการเซ็นต์ชื่อไปนั้นเป็นการยินยอมชดใช้ของประกัน หรือ ยินดีที่จะจ่ายค่าเสียหายโดยที่ประกันภัยไม่เกี่ยวเลย และถ้าหากเราเซ็นต์ชื่อลงไปแล้ว ถือ ว่าถูกกฎหมายเสียด้วยซ้ำ มนุษย์มีวิธีการที่แยบยลในกระทำการต่างๆโดยที่ผู้อื่นไม่ทราบ ดั้งนั้น ขอให้ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน คนส่วนใหญ่พอเกิดอุบัติเหตุแล้วย่อมมีอารมณ์ที่ไม่ดีนัก จังหวะนี้แหละ อาจจะทำการเซ็นต์ชื่อไปโดยไม่รู้ตัว คิดว่าเซ็นต์ๆไปจะได้จบเรื่อง แต่ที่ไหนได้กลับถูกหักหลังจากเจ้าหน้าที่ประกันภัย ดั้งนั้น หากไม่เข้าใจตรงจุดใด อย่าเซ็นต์ชื่อก่อนเด็ดขาด หากเอกสารนั้นอยู่ในมือผู้ที่ไม่หวังดี อาจเสียใจภายหลังอย่างไรแล้ว การทำประกันรถยนต์ถือเป็นเรื่องดี และ จำเป็น เห็นด้วยทุกประการครับผม

“ สงสัยให้ถาม ความอย่างไร ใครถูกผิด คิดสักครู่ ดูให้เห็น แล้วจึงเซ็นต์ชื่อ รับทราบ ”
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved