ได้อ่านหัวข้อของบทความแล้ว ไม่ต้องตกใจนะครับ ทางผู้เขียนมีเจตนาเพื่อให้ผู้อ่านนำไปพิจารณาประกอบในการเลี้ยงสุนัข และการใช้รถในชีวิตประจำวันครับ บางท่านอาจสงสัยว่าเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ลองติดตามกันเลยครับ
เป็นเรื่องแปลกที่สุนัขชอบปัสสาวะใส่ล้อรถยนต์ กลายเป็นของคู่กันไปเสียแล้ว และเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่ารถยนต์ของคุณจะมีราคาแพงหรือราคาถูกก็ตาม ไม่มีการยกเว้น เมื่อสุนัขเดินผ่านมา จะปัสสาวะที่บริเวณล้อรถยนต์โดยทันที ส่วนมากก็จะเป็นเพศผู้เสียอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะเพิ่งล้างรถหรือล้างล้อมาใหม่ก็ตาม โดนอย่างแน่นอน ยกเว้น ใช้น้ำยาป้องกันปัสสาวะสุนัข
ปัสสาวะของสุนัขนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด ย่อมส่งผลถึงล้อรถยนต์ได้ เช่น กระทะล้อที่เป็นเหล็กก็จะเกิดสนิมขึ้นได้โดยง่าย ถ้าเป็นล้อแม๊กก็จะเกิดขี้เกลือได้โดยง่าย มิหนำซ้ำ ปัสสาวะของสุนัขจะซึมเข้าตามตะเข็บของยางกับกระทะล้อ ซึ่งจะทำให้เกิดการสึกหรอก่อนเวลาอันควร แต่ที่แน่ๆ ส่งกลิ่นเหม็นอย่างแน่นอน
อันดับต่อไป สุนัขกับชิ้นส่วนรถยนต์ สำหรับผู้ที่เลี้ยงสุนัข และสุนัขนั้นค่อนข้างเล็ก หมายความว่าสุนัขยังเป็นเด็ก พฤติกรรมของสุนัขที่เป็นเด็ก ชอบกัดโน่นกัดนี่ตามประสา ย่อมส่งผลต่อชิ้นส่วนของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นพลาสติกใต้ท้องรถ, กันชน, บังโคลน และอื่นๆ ที่สุนัขพอที่จะกัดแทะได้ ถ้าเป็นชิ้นส่วนเหล่านั้นคงไม่เท่าไหร่
แต่ถ้าสุนัขตัวนั้นไปกัดสายไฟ และสายไฟเหล่านั้น มีส่วนสำคัญในการทำงานของรถยนต์ เช่น เซ็นเซอร์ต่างๆที่อยู่ใต้ท้องรถ ย่อมส่งผลถึงการทำงานของระบบนั้นๆได้ ตรงนี้ถือว่า เสียหายค่อนข้างมาก ไม่เพียงแต่จะมีราคาพอสมควรแล้ว การบริการหรือการวิเคราะห์แก้ไข ถือว่ากระทำได้ยาก (ร้านซ่อมนอกศูนย์บริการ) แต่ไม่ต้องเป็นห่วง จะมีไฟแสดงสถานะติดค้างบนมาตรวัด เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีการขัดข้องเกิดขึ้นในระบบนั้นๆ
การเลี้ยงสุนัข บางท่านเลี้ยงไว้ดูเล่น, แก้เหงา, เลี้ยงเพื่อเอาบุญ แต่ก็มีหลายท่านเลี้ยงไว้ใช้งานในการเฝ้าบ้าน ทางผู้เขียนเห็นด้วยกับการที่มีเหตุผลในการเลี้ยงสุนัข แต่ก็มีผู้รักสุนัขจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่เลี้ยงสุนัขอย่างใกล้ชิด การเดินทางไปไหนมาไหนไปด้วยกันตลอด แม้กระทั่งอยู่ในรถ ซึ่งการเลี้ยงสุนัขไว้ในรถ จะไม่เป็นผลดีต่อท่านเจ้าของรถเท่าใดนัก
สมมติว่า สุนัขอยู่ในรถแล้วมีการถ่ายสิ่งปฏิกูล(ของเสีย)ของสุนัข ก็จะสกปรกส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ไหนจะต้องทำความสะอาดอีก ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่จะตามมาอีกได้แก่ ทุกครั้งที่ใช้รถยนต์จะต้องมีการเปิดแอร์ (ระบบปรับอากาศ) จุดนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าขนของสุนัขจะถูกดูดเข้าไปทางโบล์วเวอร์แอร์ และจะไหลไปค้างที่ตู้แอร์ พอนานวันเข้าก็จะทำให้แอร์ไม่เย็น นอกจากนี้ ขนของสุนัขยังไปอุดตรงท่อน้ำทิ้งแอร์ ทำให้ระบายไม่ได้ ก็จะล้นโดนพรมรถยนต์ และเมื่อพรมเปียกก็จะส่งกลิ่นเหม็น พร้อมกับเกิดเชื้อโรคขึ้นได้โดยง่าย การถอดพรมและตู้แอร์ออกทำความสะอาด ซึ่งจะใช้เวลานาน และค่าใช้จ่ายก็มีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้น ขอให้พิจารณาตรงจุดนี้ด้วย
และนี่ก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ทางผู้เขียนมีเจตนาเพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์เข้าใจ สิ่งที่จะได้มาก็ในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์ของท่าน รวมถึงสุขภาพอนามัยของผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านครับ ขอให้มีความสุขกับการใช้รถยนต์และการเลี้ยงสุนัขครับ