Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

เอ.พี.ฮอนด้า รุกตลาดคนรุ่นใหม่ด้วยแบรนด์แคมเปญ “มาสนุกเปลี่ยนโลกกัน Power of Fun Project” เปิดตัวโฆษณาพร้อมแบรนด์แอมบาสเดอร์ใหม่หวังสร้างการรับรู้สู่กลุ่มเป้าหมาย นำทีมโดยย้ง-ทรงยศ ผู้กำกับชื่อดังและมาร์ช-จุฑาวุฒิ ดาวรุ่งจากซีรีย์ดัง “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” พร้อมเผยโฉมประธานฯคนใหม่ รับไม้ต่อส่งมอบความสนุกให้คนไทยแล้ว


 เปิดแบรนด์แคมเปญ   มร.โนบุฮิเดะ นางาตะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์
ฮอนด้าในประเทศไทย แถลงข่าวกตลาดด้วยแบรนด์แคมเปญใหม่ “มาสนุกเปลี่ยนโลกกัน Power of Fun Project” ภายใต้แนวคิดของการส่งต่อความสนุกอย่างสร้างสรรค์ ร่วมเปลี่ยนโลกทั้งใบให้เป็นโลกที่ปลอดภัยและไร้มลพิษผ่านเทคโนโลยีของรถจักรยานยนต์ฮอนด้า
 พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ นำทัพโดยแบรนด์แอมบาสเดอร์คน ใหม่ล่าสุด ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับชื่อดัง และมาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล ดาวรุ่งพุ่งแรงจากซีรีย์ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น มาร่วมผนึกกำลังกับน้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พิธีกรฝีปากกล้าผู้มีบุคลิกไม่เหมือนใคร และ ศิลปินวง 25Hours วงดนตรีสุดแนวขวัญใจวัยโจ๋
 เพื่อส่งต่อความสนุกแบบเปลี่ยนโลกให้กับวัยรุ่น พร้อมกันนี้ เอ.พี.ฮอนด้ายังได้เปิดตัว มร.โนบุฮิเดะ นางาตะ ในฐานะประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของบริษัทฯ

เอ.พี.ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย รุกตลาดด้วยแบรนด์แคมเปญใหม่ “มาสนุกเปลี่ยนโลกกัน Power of Fun Project” อย่างเต็มรูปแบบภายใต้แนวคิดของการส่งต่อความสนุกอย่างสร้างสรรค์ ร่วมเปลี่ยนโลกทั้งใบให้เป็นโลกที่ปลอดภัยและไร้มลพิษผ่านเทคโนโลยีของรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เดินหน้าสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นยุคใหม่ทันทีด้วยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ นำทัพโดยแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ล่าสุด ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับชื่อดัง และมาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล ดาวรุ่งพุ่งแรงจากซีรีย์ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น มาร่วมผนึกกำลังกับน้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พิธีกรฝีปากกล้าผู้มีบุคลิกไม่เหมือนใคร และ ศิลปินวง 25Hours วงดนตรีสุดแนวขวัญใจวัยโจ๋ เพื่อส่งต่อความสนุกแบบเปลี่ยนโลกให้กับวัยรุ่น พร้อมกันนี้ เอ.พี.ฮอนด้ายังได้เปิดตัว มร.โนบุฮิเดะ นางาตะ ในฐานะประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของบริษัทฯ เข้ามาร่วมสืบทอดตำแหน่งผู้นำความสนุกของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าไปพร้อมๆกันอีกด้วย สำหรับโฆษณาชุด “มาสนุกเปลี่ยนโลกกัน Power of Fun Project” จะเริ่มออนแอร์ทั้งทางฟรีทีวีและเคเบิลทีวีทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน นี้เป็นต้นไป ผู้สนใจยังสามารถติดตามชมผ่านทางเว็บไซต์ได้อีกด้วยที่ www.youtube.com/hondamotorcycleTHA
    มร.โนบุฮิเดะ นางาตะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดเผยว่า “เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุด เราได้ประกาศเปิดตัวแบรนด์แคมเปญใหม่ “มาสนุกเปลี่ยนโลกกัน Power of Fun Project” ต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรก ซึ่งแบรนด์แคมเปญดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดความสนุกจากแคมเปญเดิม “ชีวิตสนุกถ้าไม่หยุดค้นหา Discover Your Fun” ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ทั้งยังเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแผนระยะกลางฉบับใหม่ระหว่างปี 2014-2016 ที่เราได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี ในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับของสังคมไทย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของการเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนอย่างแท้จริง ต่อจากนี้ไป ภายใต้แบรนด์แคมเปญ “มาสนุกเปลี่ยนโลกกัน Power of Fun Project” เราจะส่งมอบความสนุกที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์สู่สังคมไทยทั้งด้านผลิตภัณฑ์และกิจกรรม โดยในฐานะที่เราเป็น Technology Leader หรือผู้นำด้านเทคโนโลยีเราจะพัฒนาและติดตั้งเทคโนโลยีระดับสูงให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถเอ.ที.ของฮอนด้ารุ่นใหม่ๆ ซึ่งนอกจากระบบหัวฉีด PGM-FI ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของสมรรถนะและความประหยัดน้ำมันแล้ว เรายังพัฒนาระบบกระจายแรงเบรก Combi Brake System เพื่อความปลอดภัย และ ระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติ Idling Stop System เพื่อลดการสูญเสียน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของกิจกรรมความสนุก เรามีกิจกรรมมากมายที่ให้ประโยชน์กับคนในสังคมทุกวัย เริ่มจากการแข่งขันวิ่ง 31 ขาสามัคคีในระดับประถมศึกษา, ฟุตบอลเยาวชนฮอนด้าเรดแชมเปี้ยนในระดับมัธยม, การแข่งขันรถประหยัดเชื้อเพลิงในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา, การขยายเครือข่ายศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้าไปยังภูมิภาคต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทั่วประเทศ เช่นเดียวกับการร่วมมือกับสภากาชาดไทยในการเป็นศูนย์กลางรับบริจาคโลหิต ทั้งนี้ ในฐานะประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของเอ.พี.ฮอนด้า ผมพร้อมแล้วที่จะเข้ามาสานต่อแนวทางในการสร้างแบรนด์ของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าให้เป็น The Most Loved Brand”
    สำหรับแนวคิดในการสื่อสารของแบรนด์แคมเปญ “มาสนุกเปลี่ยนโลกกัน Power of Fun Project” นางจุฑามาศ อินปริงกานันท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ได้เปิดเผยว่า “เราจะสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นวัยรุ่นด้วยภาพยนตร์โฆษณาเชิงทัศนคติรูปแบบใหม่ จากการที่แบรนด์รถจักรยานยนต์ฮอนด้ามีภาพลักษณ์ของความสนุกอยู่แล้ว เราจะต่อยอดความสนุกดังกล่าวให้เป็นความสนุกที่เปลี่ยนโลกได้ด้วย โดยจากนี้ไปวัยรุ่นจะไม่ได้เพียงแค่ขับขี่รถเพื่อความสนุกเท่านั้น แต่จะต้องเป็นความสนุกอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้สังคมของเราน่าอยู่ขึ้น จากมลพิษที่ลดลง และความปลอดภัยที่มีมากขึ้น ซึ่งในภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้จะมีน้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ผู้นำความสนุกเจเนอเรชั่นใหม่, แหลมและสมาชิกวง 25Hours ศิลปินขวัญใจวัยรุ่นมาร่วมกันจุดประกายแนวคิดใหม่ๆ นอกจากนี้ เพื่อให้การสื่อสารตรงกับกลุ่มวัยรุ่นในเมืองมากยิ่งขึ้นเราได้เลือก ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ และมาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล 2 หนุ่มฮอตในวงการบันเทิงเข้ามาร่วมเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ใหม่ของฮอนด้าอีกด้วย โดยย้ง-ทรงยศ นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้กำกับหนังหรือซีรีย์ชื่อดังเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งไอดอลและผู้มีอิทธิพลทางความคิดต่อเด็กรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก ในขณะที่มาร์ช-จุฑาวุฒิ ก็เป็นเหมือนตัวแทนของวัยรุ่นยุคใหม่ที่มีความสนุกสนานอยู่ในตัว เมื่อทุกคนมารวมตัวกันก็ก่อให้เกิดพลังความสนุกที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆให้วัยรุ่นไทยร่วมกันเปลี่ยนโลกใบนี้ไปสู่โลกที่ดีและสดใสกว่าเดิมได้”
    สำหรับภาพยนตร์โฆษณาแบรนด์แคมเปญชุดใหม่ “มาสนุกเปลี่ยนโลกกัน Power of Fun Project” จะเริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 29 เมษายนนี้เป็นต้นไป ทางสถานีโทรทัศน์ระบบดิจิตอลและเคเบิลทีวีทั่วประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้และจุดประกายแรงบันดาลใจใหม่ๆให้กับวัยรุ่น
    ผู้ที่สนใจยังสามารถรับชมโฆษณาชุดนี้ได้ทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.youtube.com/hondamotorcycleTHA พร้อมติดตามข่าวสารของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และกิจกรรมความสนุกแบบเปลี่ยนโลกได้ตลอดทั้งปีที่ www.facebook.com/hondamotorcyclethailand

บ็อกซเตอร์ จีทีเอส (Boxster GTS) และเคย์แมน จีทีเอส (Cayman GTS) เปิดตัวอย่างเป็นทางการสู่สายตาสาธารณชนแล้ว





สตุ้ดการ์ด. ปอร์เช่เปิดตัวบ็อกซเตอร์ จีทีเอส (Boxster GTS) และเคย์แมน จีทีเอส (Cayman GTS) อย่างเป็นทางการสู่สายตาสาธารณชน ในงานมหกรรมยานยนต์ Auto China ณ กรุงปักกิ่ง รถสปอร์ตทั้ง 2 รุ่น จากปอร์เช่จะกลายเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางที่ทรงพละกำลังและเร็วที่สุด พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกลุ่มตลาดรถสปอร์ตได้อย่างแน่นอน ปอร์เช่จะนำเสนอรถรุ่นสูงสุดใหม่ทั้ง 2 รุ่น เป็นครั้งแรกในงานแถลงข่าว วันที่ 20 เมษายน เวลา 11:30. ที่ Hall E5 booth 05 ที่ผ่านมา

ไม่เพียงแค่รถสปอร์ต จีทีเอส (GTS) ใหม่ล่าสุดทั้ง 2 รุ่นที่ได้รับการเผยโฉมเท่านั้น ยังมีปอร์เช่รุ่นอื่นที่ได้รับการเผยโฉมในตลาดจีนด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถแข่งใหม่ล่าสุด 2 รุ่น นั่นคือ 919 ไฮบริด (919 Hybrid) และ 911 อาร์เอสอาร์ (911 RSR) พร้อมด้วย 918 สไปเดอร์ ไฮบริด (918 Spyder Hybrid) รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต ที่สุดแห่งนวัตกรรมยานยนต์จากปอร์เช่ ที่ได้นำมาจัดแสดงในงานนี้ด้วยเช่นกัน

ด้วยรูปลักษณ์ที่สปอร์ตอย่างเหนือชั้น สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของกลุ่มตลาดลูกค้าในประเทศจีน  ที่นิยมรถสปอร์ตระดับหรู รถยนต์ปอร์เช่เป็นที่ชื่นชอบในตลาดเอเซียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดรถหรู 2 ประตู ไม่ว่าจะเป็น 911, บ็อกซเตอร์ (Boxster) และเคย์แมน (Cayman) สำหรับประเทศจีนนี้คือตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา รถสปอร์ตปอร์เช่มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 19.9 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2013 และนั่นคือ ยอดส่งมอบที่ 37,425 คันเลยทีเดียว

บ็อกซเตอร์ จีทีเอส (Boxster GTS) : อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง: ในเมือง 12.7 – 11.4 ลิตร/100 กิโลเมตร; นอกเมือง 7.1 – 6.3 ลิตร/100 กิโลเมตร; อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 9.0 – 8.2 ลิตร/100 กิโลเมตร; อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ระหว่าง 211 – 190 กรัม/กิโลเมตร

เคย์แมน จีทีเอส (Cayman GTS): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง: ในเมือง 12.7 – 11.4 ลิตร/100 กิโลเมตร; นอกเมือง 7.1 – 6.3 ลิตร/100 กิโลเมตร; ผสมผสานทั้ง 2 รูปแบบ 9.0 – 8.2 ลิตร/100 กิโลเมตร; อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ระหว่าง 211 – 190 กรัม/กิโลเมตร

ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมวิศวกรที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงาน   ปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรงพร้อมการันตีด้วยการรับรองและผ่านการทดสอบจากโรงงานในระดับเหรียญทอง   (Zertifizierter Porsche Techniker – Gold Expert) คอยให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน ตามนโยบายหลักของบริษัทที่ว่า    เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณหรือ “AAS Looking after YOU and your CAR”สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ได้ที่แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ101-103 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.porsche.co.th

เวสป้า เปิดตัว พรีมาเวร่า พร้อมพาเซเลบเพ้นท์หมวกบริจาคเด็กๆ ทั่วไทย


บริษัท เวสปิอาริโอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้ารถพรีเมี่ยม สกู๊ตเตอร์สัญชาติอิตาลี “เวสป้า”และ        “พิอาจิโอ”รายเดียวในประเทศไทย โดย 3 ผู้บริหารรุ่นใหม่ นายประณิธาน พรประภา กรรมการบริหาร,    นายวิสุทธิ์ เตชะไพบูลย์ กรรมการบริหาร และ นางพรนฎา เตชะไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ เปิดตัว       สกู๊ตเตอรในตำนานตัวใหม่ “เวสป้า พรีมาเวล่า” ภายใต้แคมเปญใหญ่ประจำปี 2557 “More Than Just A Ride” ที่เวสป้าไม่ได้เป็นแค่ยานพาหนะแต่ยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน พร้อม  สานต่อโครงการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัยและมอบหมวกนิรภัยให้แก่เด็กระหว่างช่วงอายุ 3 – 12 ปี กับแคมเปญ “Help Save One Life by Giving a Kid a Helmet” Great Room ชั้น 3 โรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ (สาทรเหนือ) เมื่อวันพุธที่ 23 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา

 “Vespa Primavera” สกู๊ตเตอร์รุ่นยอดนิยมในอดีตกลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 ขนาดได้แก่ 125 ซีซี ราคา 95,400 บาท และ 150   ซีซี ราคา 115,900 บาท งานนี้ได้รับเกียรติจากเซเลบริตี้หลายท่านมาร่วมงานเปิดตัวนำโดย ปลาวาฬ วรสิทธิ์ อิสสระ, ปิ่น-  สุวดี พึ่งบุญพระ, มาริสา   ตามสกุล, วิชดา สีตกะลิน และ พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ
นอกจากนี้ทาง บริษัทฯ ตอบแทนสังคมกับแคมเปญ Help Save One Life by Giving a Kid a Helmet”  ผลิตหมวกนิรภัยเพื่อให้เหมาะสมับกลุ่มช่วงอายุของเด็กที่กว้างขึ้นสำหรับการมอบหมวกนิรภัยในปีนี้ทางบริษัทฯ ตั้งใจที่จะขยายฐานกลุ่มเด็กเป็นระหว่างช่วงอายุ 3 – 12 ปี
ร่วมสัมผัสสุดยอดนวัตกรรมพรีเมี่ยมสกู๊ตเตอร์ Vespa Primavera ได้แล้ววันนี้ ที่ Vespa Flagship Store โครงการ เอ  สแควร์ ( A square ) สุขุมวิท 26 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-2620888, 02-7160617-23 หรือตัวแทนจำหน่ายเวสป้าทั่วประเทศwww.vespa.co.th หรือรับข่าวสารประชาสัมพันธ์จากเวสป้า ผ่านทาง www.facebook.com/vespathailandและ Instagram : vespathailand

“650Series” บิ๊กไบค์ “Honda” ดีไซน์เฉี่ยวสมรรถนะโดนขับขี่สนุก


เอ.พี.ฮอนด้าและ Honda BigWing เปิดประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ขับขี่บิ๊กไบค์ ด้วยเทคโนโลยีและดีไซน์ที่ล้ำสมัยเหนือระดับ ผ่านฮอนด้าบิ๊กไบค์รุ่นใหม่ๆ ทั้งที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและที่ผลิตในประเทศไทย ล่าสุดได้จัดกิจกรรมพิเศษพร้อมเชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์กว่า 50 ชีวิตร่วมอบรมและขับขี่ทดสอบฮอนด้าบิ๊กไบค์ CBR650F และ CB650F ณ ศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า กรุงเทพฯ (ถนนรามคำแหง) โดยมี ฟีม-รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดดีกรีระดับโลกหนึ่งเดียวของไทย เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย
นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า ตลอดทปีที่ผ่านมา ตลาดบิ๊กไบค์ซึ่งเจาะฐานลูกค้ากลุ่มบนมีอัตราเติบโตมากขึ้นกว่า 2 เท่า และคาดยังมีอัตราเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ โดยหนึ่งในบิ๊กไบค์ฮอนด้ารุ่นที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทันทีที่เปิดตัวคือ ตระกูล 650Series ที่ทำสถิติยอดจองสูงสุดในงาน Motor Expo 2013 รวมทั้งในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 35” ที่เพิ่งปิดฉากไปไม่กี่วันที่ผ่านมา จนได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมากถึงความเป็นรถบิ๊กไบค์สายพันธุ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่ ทั้งด้านอารมณ์และการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
กิจกรรมอบรมและขับขี่ทดสอบฮอนด้าบิ๊กไบค์ CBR650F และ CB650F ครั้งนี้ Honda ได้เตรียมรถมาให้ทดสอบกว่า 20 คัน พร้อมจัดอบรมเทคโนโลยีอันทันสมัยในด้านต่างๆ ของตัวรถ เริ่มตั้งแต่การพัฒนารูปลักษณ์ การออกแบบเบาะนั่ง สมรรถนะขุมพลังเครื่องยนต์ รวมทั้งระบบความปลอดภัยต่างๆ ทำให้เข้าใจถึงคุณสมบัติพิเศษและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของรถตระกูล 650Series มากยิ่งขึ้น
โดย CBR650F เป็นรถสปอร์ตแบบฟูลริ่ง ขณะที่ CB650F เป็นรถสปอร์ตแบบเนคเก็ต โดยรถทั้ง 2 แบบ มีความแตกต่างกันในเรื่องของดีไซน์ แต่ใช้ขุมพลังขับเคลื่อนเดียวกันคือ เครื่องยนต์ขนาด 650 cc. 4 สูบ แถวเรียง DOHC ระบบหัวฉีดแบบ PGM-FI ระบายความร้อนด้วยน้ำและ Oil Cooler เพื่อให้ขุมพลังทรงประสิทธิภาพตลอดการใช้งาน และขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด ที่สำคัญคือ ระบบความปลอดภัยเหนือชั้นล้ำสมัย ด้วยระบบเบรก ABS และใช้สวิงอาร์มแบบอะลูมิเนียม เพื่อการทรงตัวที่ดีกว่า

ดีไซน์ต่างแต่เทคโนโลยีล้ำสมัยเดียวกัน
หากจะสรุปโดยรวมรถตระกูล 650Series แล้ว CB ดีไซน์ตัวรถจะเน้นความเป็นสปอร์ต สะท้อนเทคโนโลยีการขับขี่จากสนามแข่งสู่ท้องถนน ขณะที่ CBR หรือที่ชาวบิ๊กไบค์เรียกขานกันติดปากว่าแบบเนคเก็ต จะเป็นรถที่ถูกพัฒนาให้ใช้งานในเมืองได้ดี ให้ความคล่องแคล่วสะดวกสบาย
แม้รถทั้ง 2 รุ่นจะมีดีไซน์แตกต่างกัน แต่ด้วยพื้นฐานที่ฮอนด้าพัฒนาตัวรถขึ้น ทำให้ CBR650F
และ CB650F มีมิติตัวรถกระทัดรัดให้ความปราดเปรียว ขับขี่ใช้งานคล่องตัว ขับขี่ได้ดีในชีวิตประจำวัน สามารถตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบรถบิ๊กไบค์ได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะสมรรถนะขุมพลังให้อัตราเร่งดี ด้วยเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ ถือเป็นจุดขายและเป็นสิ่งที่ชาวบิ๊กไบค์เมืองไทยรอคอยมานาน

สมรรถนะเฉียบคมขับขี่สนุก
แม้พื้นที่ของสนามทดสอบภายในศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้าจะมีจำกัด แต่จากการออกแบบเส้นทางขับขี่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย ทำให้มีลู่วิ่งและเส้นทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางโค้งกว้าง ทางซิกแซก และทางโค้งแคบๆ รวมถึงทางตรงยาวๆ ให้ลองอัตราเร่งช่วงออกตัว นอกจากนี้ยังมีทางขึ้นลงสะพาน และจุดวัดระยะเบรก ทำให้ผู้ขับขี่ทุกคนได้รับรู้ถึงสมรรถนะของตัวรถในทุกมิติ
โดยเฉพาะการตอบสนองขุมพลังเครื่องยนต์ 650 cc. 4 สูบ แถวเรียง DOHC ระบบหัวฉีดแบบ PGM-FI ให้สมรรถนะดีทุกย่านความเร็ว ตั้งแต่ช่วงการออกตัว ความเร็วระดับกลางและความเร็วสูง เครื่องยนต์และระบบเกียร์ถ่ายทอดกำลังออกมาอย่างต่อเนื่องและลื่นไหล เรียกกำลังเครื่องยนต์ออกมาใช้งานได้ดีตั้งแค่รอบต่ำ จึงให้ความครบเครื่องในทุกด้านและขับขี่ได้อย่างสนุกสนาน อัตราเร่งจากระยะ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเฉลี่ยที่ 11 วินาทีเศษเท่านั้น
         ประสิทธิภาพการทรงตัวของรถ ถือว่าทำได้ดีเกินคาด การเลี้ยวในช่วงที่ใช้ความเร็วสูงระดับ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้อย่างคล่องตัว ทั้งในรุ่น CBR650F และ CB650F เชื่อว่าหากมีโอกาสได้ขับทางไกลบนถนนไฮเวย์ ที่มีทางโล่งๆ CBR650F จะให้ความสนุกสนานมากว่านี้อย่างแน่นอน
ขณะที่ท่านั่งและการออกแบบเบาะนั่ง ต้องขอชมว่า ดีไซน์ได้ดี นอกจากทำให้นั่งสบายไม่เมื่อยตัวแล้ว ยังให้ความกระชับ ทำให้ผู้ขับขี่กับตัวรถรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เวลาเลี้ยวรถหรือเทโค้งจะรับรู้ถึงความมั่นคง ซึ่งมีส่วนช่วยให้ควบคุมรถได้ง่าย อีกทั้งแฮนเดอริ่งของแฮนด์ให้การตอบสนองดี โดยในช่วงความเร็วต่ำทำได้โดยง่าย หรือในช่วงที่ใช้ความเร็วสูงก็ให้ความมั่นใจดี
ประสิทธิภาพของระบบเบรก ต้องยกนิ้วให้อีกเช่นกัน ด้วยเทคโนโลยีระบบเบรกดิกส์คู่หน้า และดิกส์เบรกหลัง พ่วงด้วยระบบวงจรช่วยเบรกแบบ ABS เพิ่มความมั่นใจในการหยุดรถได้ดั่งใจ สามารถรองรับกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ตลอดการนั่งอยู่บนหลังอาน

สรุปการทดสอบขับขี่ Honda ตระกูล 650Series ทั้ง CBR650F และ CB650F ในครั้งนี้ ทำให้ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และสมรรถนะอันเหนือชั้นของรถทั้งรุ่นนี้เป็นอย่างดี ส่วนรุ่นไหนแบบใดจะตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคุณได้มากน้อยเพียงใดนั้น คงต้องหาเวลาไปชมและทดลองขับขี่ด้วยตัวคุณเอง
 
ข้อมูลทางเทคนิค
มิติตัวรถ กว้างXยาวXสูง
                    CBR650F       753 X 2,107 X 1,149 มม.
                   CB650F         775 X 2,107 X 1,120 มม.
เครื่องยนต์                         เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำและ Oil Cooler
ปริมาตรความจุกระบอกสูบ    6649  cc.
ระบบหัวฉีด                        แบบ PGM-FI
อัตราส่วนกำลังอัด              11.4:1
ระบบเบรก                         ดิกส์หน้าแบบคู่ และหลังดิกส์เบรก พร้อมวงจร ABS       
ระบบเกียร์                         6 สปีด
ความจุถังน้ำมัน                  17.3 ลิตร

เผยโฉมเอ็มจี 6 รถยนต์รุ่นแรกที่จะทำตลาดในประเทศไทย ในงานมหกรรมยายนต์ บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 35




มร.หวู่ ฮวน (ที่สี่จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด เผยโฉมเอ็มจี 6 รถยนต์รุ่นแรกที่จะทำตลาดในประเทศไทย ในงานมหกรรมยายนต์ บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 35 ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมิถุนายนปีนี้อย่างแน่นอน โดยมี มร.กาย โจนส์ (ที่สองจากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เอ็มจี มอเตอร์ (ประเทศอังกฤษ) จำกัด พร้อมด้วย มร.จาง ไห่โป (ที่สามจากขวา) นภดล เจียรวนนท์ (ที่สามจากซ้าย) ประเสริฐ เจนจิติกุล (ที่สองจากซ้าย) และ ทัศนา พิริยพฤทธิ์ (ที่สี่จากขวา) ร่วมเป็นเกียรติและแสดงความยินดีกับการกลับมาอีกครั้งของรถยนต์สัญญาติอังกฤษ แบรนด์เอ็มจี ณ บูธ เอ็มจี  อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 2 เมืองทองธานี

กระทรวงพลังงานจัดทำโครงการ “เปลี่ยน โลกทุกวัน” หวังปลุกจิตสำนึกคนไทยร่วมใจประหยัดเพื่อชาติ


 
กระทรวงพลังงาน ได้ฤกษ์เปิดตัว “โครงการเปลี่ยนโลกทุกวัน” ภายใต้แนวคิด 7  วัน 7 พฤติกรรม ประหยัดพลังงาน หวังกระตุ้นคนไทยมีจิตสำนึกที่ดีในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการใช้พลังงานด้วยวิธีปฎิบัติที่ง่ายและทำต่อเนื่องได้ทุกวัน มั่นใจหากคนไทยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประหยัดพลังงานมีโอกาสที่ประเทศไทยจะเกิดภาวะวิกฤตความมั่นคงด้านพลังงาน

 นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน  เปิดเผยว่า  กระทรวงพลังงานได้จัดทำโครงการ “เปลี่ยนโลกทุกวัน” ายใต้แนวคิด 7 วัน 7 พฤติกรรม ประหยัดพลังงาน”  เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน โดยหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างประหยัดต่อเนื่องทุกวัน เพราะปัจจุบันความต้องการใช้พลังงานในประเทศไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามจำนวนประชากรและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานกลับสวนทางกับปริมาณของพลังงานที่เริ่มปรับตัวลดลงและมีอยู่อย่างจำกัด
ทั้งนี้หากประเทศไทยไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเข้าสู่ภาวะวิกฤตด้านพลังงาน เนื่องจากไทยมีแหล่งผลิตน้ำมันและแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนจำกัด ต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศเป็นหลัก ดังนั้นทุกภาคส่วนจึงต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้พลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัดมีเพียงพอที่จะใช้ได้ต่อไปในอนาคต
สำหรับโครงการเปลี่ยนโลกทุกวัน ภายใต้แนวคิด “7 วัน 7 พฤติกรรม ประหยัดพลังงาน” มีรูปแบบสามารถนำไปปฏิบัติได้ง่ายและทำต่อเนื่องได้ทุกวัน ได้แก่ 1.เปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงทางเลือก โดยใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91, 95, E20, E85,Bio diesel2.เปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งมวลชน ดยนั่งรถโดยสารสาธารณะ 3.เปลี่ยนเวลาในการใช้ชีวิต โดยเลี่ยงการเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วน 4.เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานไฟฟ้าเบอร์ 5    
5.เปลี่ยนมาใช้อย่างมีลิมิต โดยขับรถไม่เกิน 90 กม./ชม. 6.เปลี่ยนจากเปิดทิ้งมาปิดเมื่อไม่ใช้ โดยปิดไฟฟ้า น้ำ แก๊ส เมื่อไม่ใช้ 7.เปลี่ยนมาปรับใช้ตามคำแนะนำ โดยปรับอุณหภูมิแอร์เป็น 26 องศา เป็นต้น
 “ปัญหาความมั่นคงด้านพลังงานของไทย เป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน และเป็นปัญหาที่คนไทยมองข้าม กระทรวงพลังงานจึงต้องการให้คนไทยมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่ใช่ทำแค่วันใดวันหนึ่ง โดยทำให้ทุกวันเป็นวันประหยัดพลังงานตามแนวทาง 7 วัน 7 พฤติกรรมประหยัดพลังงาน หากทุกคนช่วยกันอย่างจริงจัง จะช่วยสร้างความยั่นยืนในการใช้พลังงานของประเทศ รวมทั้งลดการสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลจากการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ”ปลัดกระทรวงพลังงานกล่าว
นายสุเทพ กล่าวว่า โครงการเปลี่ยนโลกทุกวัน นอกจากจะมุ่งเน้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดใช้พลังงานแล้ว ยังเป็นการสานต่อหนึ่งในยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงานที่ต้องการให้คนไทยหันมาใช้พลังงานทดแทนเป็นพลังงานหลักของประเทศ เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงสะอาด ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดภาวะโลกร้อน อีกทั้งยังช่วยเกื้อหนุนรายได้เกษตรกรและยกระดับราคาพืชผลเกษตรที่นำมาผลิตพลังงานทางเลือกได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม โครงการเปลี่ยนโลกทุกวันยังได้จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ 76  จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้ประชาชนหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดใช้พลังงาน รวมทั้งยังได้จัดทำเฟสบุ๊ค www.facebook.com/saveenergyeveryday ซึ่งผู้สนใจที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยชาติประหยัดพลังงานสามารถเข้าไปกดไลท์ในเฟสบุ๊คดังกล่าวได้ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการเปลี่ยนโลกทุกวันได้ตลอดทุกวัน   

นิสสัน กดสตาร์ทโครงการ “นิสสัน จีที อคาเดมี” ครั้งแรกและหนึ่งเดียวในอาเซียน หนุนคนไทยคว้าโอกาสพลิกชีวิต สานฝันเซียนเกม สู่นักขับระดับโลก



กรุงเทพ  19 มีนาคม 2557 – บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่ตื่นเต้นเร้าใจ ด้วยความร่วมมือกับบริษัท โซนี่ไทย จำกัด ประกาศเปิดตัวโครงการ “นิสสัน เพลย์สเตชั่น จีที อคาเดมี” ในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการที่นิสสันและเพลย์สเตชั่นได้สานต่อความร่วมมือระดับโลก เพื่อส่งเสริมให้คนไทยค้นหาศักยภาพที่แท้จริงของตน และคว้าโอกาสก้าวสู่การเป็นนักขับรถแข่งมืออาชีพบนเวทีโลกกับทีมนิสโม (NISMO) สัมผัสประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ตระดับอินเตอร์ ตอกย้ำแนวคิดในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตื่นเต้นเร้าใจให้กับทุกคน

นายฮิโรยูกิ โยชิโมโตะ ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการนิสสัน เพลย์สเตชั่น จีที อคาเดมี พลิกธรรมเนียมปฏิบัติของวงการมอเตอร์สปอร์ต ท้าทายความเชื่อเดิมๆ ด้วยการเฟ้นหาผู้ที่มีความชำนาญในการเล่นวิดีโอเกม GT6TM มาฝึกฝนทักษะเพิ่มเติมเพื่อก้าวสู่เส้นทางนักแข่งรถมืออาชีพ การเปิดตัวโครงการนิสสัน จีที อคาเดมี ขึ้นในประเทศไทย สอดคล้องกับแบรนด์ดีเอ็นเอของนิสสันที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ที่ตื่นเต้นเร้าใจ โดยสนับสนุนให้คนไทยค้นหาศักยภาพที่แท้จริง ก้าวไปให้ไกลสุดฝันด้วยการเข้าร่วมโครงการเพื่อคว้าโอกาสให้กับตัวเอง”

ครงการนิสสัน จีที อคาเดมี จะคัดเลือกเซียนความเร็วที่ทำเวลาได้ดีที่สุดการเล่นเกม Gran Turismo®6 (GT6TM) จากเวทีแข่งขันพิเศษ ิสสัน จีที อคาเดมี” ที่จัดขึ้นทั่วไทย 14 คน และจากการแข่งขันผ่านระบบออนไลน์ของเพลย์สเตชั่น PlayStation® Network (PSNSMอีก 14 คน รวมทั้งหมด 28 คน เพื่อเข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ (National Final) บนสนามจริงเป็นเวลา 2 วัน ในวันที่ 25-26 มิถุนายน 2557 ณ สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา
เวทีแข่งขันพิเศษ นิสสัน จีที อคาเดมี” จะ จัดขึ้นเป็นสนามแรก ณ บูธนิสสัน ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 35 เป็นเวลา 12 วัน ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม ถึง 6 เมษายน 2557 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และมีกำหนดเดินสายจัดการแข่งขันทั่วประเทศ สู่จังหวัดขอนแก่น สุราษฎร์ธานี กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน จนถึง 15 มิถุนายน 2557

ณ เวทีแข่งขันพิเศษ นิสสัน จีที อคาเดมี” ผู้เข้าแข่งขันจะได้สัมผัสประสบการณ์อันแปลกใหม่ในการแข่งขันด้วยเครื่อง นิสสัน จีที6 ซิมูเลเตอร์” (Nissan GT6 Simulator) ให้บรรยากาศเสมือนนั่งอยู่ในค็อกพิทรถแข่ง ตะลุยความเร็วในสนามซิลเวอร์สโตนในโลกเสมือนจริงด้วยรถยนต์นิสสัน GT-R และทำเวลาให้ดีที่สุดเพื่อรักษาตำแหน่งใน 14 อันดับต้น (Top 14) ให้ได้ตลอดระยะเวลาโครงการ ซึ่งเวทีแข่งขันพิเศษรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2557

สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่มีเครื่องเล่นวิดีโอเกมเพลย์สเตชั่น 3 และเป็นเจ้าของเกม GT6TM อยู่แล้ว สามารถเข้าแข่งขันได้ในอีกช่องทางหนึ่ง คือ เล่นเกม GT6TM เวอร์ชั่นพิเศษ ซึ่งจะเปิดให้ดาวน์โหลดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ผ่านระบบออนไลน์ของเครือข่ายเพลย์สเตชั่น โดยมีเป้าหมายเหมือนกับที่เวทีแข่งขันพิเศษ นิสสัน จีที อคาเดมี”  คือ ทำเวลาให้ดีที่สุดและครองตำแหน่งใน 14 อันดับต้น (Top 14) ให้ได้ตลอดการแข่งขัน

28 สุดยอดเซียนความเร็วจากการคัดเลือกในรอบแรก จะผ่านเข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นเป็นระยะเวลา วัน ณ สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา ระหว่างวันที่ 25-26 มิถุนายน 2557 เพื่อพิสูจน์ทักษะการขับขี่บนสนามแข่งจริงด้วยรถยนต์สมรรถนะสูง นิสสัน พัลซาร์ DIG Turbo พร้อมทดสอบไหวพริบและกำลังใจที่เข้มแข็ง และท้ายที่สุด ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ เพียง 6 คน เท่านั้น ที่จะเป็นตัวแทนจากประเทศไทย เดินทางไปร่วมกิจกรรม อินเตอร์เนชั่นแนล เรซ แคมป์” (International Race Camp) ที่สนามแข่งรถซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ

ณ สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกในฐานะสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ตัวแทนนักแข่งจากไทย 6 คน และตัวแทนจากนานาประเทศรวมอีก 2คน จะต้องเผชิญบททดสอบที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งพิสูจน์ฝีมือในการขับขี่รถซูเปอร์คาร์ของนิสสัน อาทิ Nissan 370Z Nismo และ Nissan GT-R Nismo เพื่อเฟ้นหานักแข่งจากไทยเพียง 1 คน ที่จะเข้ารอบสุดท้าย ร่วมชิงชัยกับตัวแทนจากแต่ละประเทศ ชิงตำแหน่ง แชมป์โลก Nissan GT Academy International 2014” และเข้าร่วมโปรแกรมเก็บตัวฝึกซ้อมกับทีมพัฒนานักแข่งระดับโลกของนิสสัน ก้าวสู่เส้นทางนักขับมืออาชีพระดับโลก มุ่งประชันฝีมือเวทีแรก ณ การแข่งขันรายการ ดูไบ 24 ชั่วโมง ในเดือนมกราคม 2558

“นิสสัน มีความภาคภูมิใจที่ได้เปิดตัวโครงการ จีที อคาเดมี ในประเทศไทย เป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน โดยปีนี้ นับเป็นปีที่ 6 ของโครงการ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา จีที อคาเดมี ก็ได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จอย่างต่อ เนื่องในนานาประเทศ อาทิ ในยุโรป รัสเซีย สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ ล่าสุด โครงการ จีที อคาเดมี ก็กำลังขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมหลายภูมิภาคทั่วโลกมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็นับเป็นหนึ่งใน ประเทศสำคัญ สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของนิสสัน ที่มีเป้าหมายระดับโลกในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มอบความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้คน” มร.ดาร์เรน ค็อกซ์ ผู้อำนวยการ นิสสัน โกลบอล มอเตอร์สปอร์ต บริษัท นิสสัน มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าว

คุณต่อ ศรีอาชวนนท์ เกรฟส์ ยอดนักขับชาวไทยผู้คว้าชัยในการแข่งขันระดับโลก คนไทยคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรายการ เลอ มังส์ 24 ชั่วโมง ซึ่งร่วมงานกับโครงการนิสสัน จีที อคาเดมี ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินและโค้ชพิเศษสำหรับ ตัวแทนจากประเทศไทยที่จะเดินทางไปร่วมกิจกรรมอินเตอร์เนชั่นแนล เรซ แคมป์ ณ ประเทศอังกฤษ ให้ความเห็นว่า “โครงการนิสสัน จีที อคาเดมี เปิดโอกาสให้คนที่มีความสนใจและความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นนักขับรถแข่งได้ทำความฝันให้เป็นจริง โดยฝึกซ้อมจากการขับขี่รถแข่งบนสนามที่อยู่ในจอให้ชำนาญและทำเวลาให้ดีที่สุด เพื่อเข้าแข่งขันบนสนามจริงในรอบต่อไป และก้าวสู่การเป็นนักแข่งรถมืออาชีพได้จริงๆ”

“หลายคนได้ทำสำเร็จมาแล้ว พิสูจน์จากการแข่งขันชิงแชมป์ จีที อคาเดมี ในปีก่อนๆ วันนี้โอกาสเดินมาหาถึงมือคุณแล้ว เชื่อมั่นในตัวเองแล้วคว้ามันไว้ครับ” คุณต่อ กล่าวปิดท้าย

ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการนิสสัน จีที อคาเดมี ได้ที่ http://GTAcademy.nissan.co.th

มาสด้าพลิกโฉมวงการรถยนต์ ส่งสกายแอคทีฟ สปอร์ตคอมแพ็ค มาสด้า3 ใหม่ ชูความแรง-ประหยัด อัดแน่นเทคโนโลยีสุดไฮเทคเทียบชั้นรถยุโรปเต็มคัน

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย  18 มีนาคม 2557 – มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถยนต์นั่งสปอร์ตคอมแพ็คสายพันธุ์ใหม่ ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ ออล นิว มาสด้า3 อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ เทคโนโลยีล่าสุดของมาสด้าที่ได้รับการกล่าวขานทั่วโลกฉีกทุกกฎของรถญี่ปุ่นด้วยรูปลักษณ์การออกแบบใหม่ล่าสุด โคโดะ ดีไซน์ ปรัชญาการออกแบบของมาสด้า  เสริมด้วยสุดยอดเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก ไอ-แอคทีฟเซ้นส์ ที่ล้ำหน้าด้วยนวัตกรรมความปลอดภัยที่ปกป้องรอบทิศทาง พร้อมเชื่อมต่อกับโลกโซเชียลจากระบบ เอ็มแซดดี คอนเน็ค ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ประกาศขึ้นแท่นรถยนต์ระดับพรีเมียม พร้อมตั้งเป้าการขายสูงถึง 13,000 คัน
นายโชอิชิ ยูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถยนต์นั่งสปอร์ตคอมแพ็ค Mazda3 ใหม่ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของมาสด้า เพราะได้รับ    การกล่าวขวัญว่าเป็นรถญี่ปุ่นที่มีคุณภาพเหนือกว่ารถยุโรปชั้นนำหลายรุ่น โดยประสบความสำเร็จ    ด้านยอดขายและคว้ารางวัลมาแล้วทั่วโลก รวมถึงเป็นรถยนต์จากญี่ปุ่นเพียงรายเดียวที่สามารถเข้าไปติด1 ใน 3 สำหรับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลก และการเข้าชิงรถยนต์ที่มีการออกแบบยอดเยี่ยมของโลก ซึ่งการเปิดตัว Mazda3 เป็นครั้งแรกในเมืองไทยนี้ เชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะเป็นรถที่คุณภาพเหนือกว่าคู่แข่งในทุกๆ ด้าน และถือเป็นรถยนต์คุณภาพที่ผู้บริโภครอคอยมากที่สุด ผมเชื่อมั่นว่ามาสด้า3ใหม่จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย อีกทั้งเป็นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับธุรกิจในอนาคตของมาสด้า
รถยนต์นั่งสปอร์ตคอมแพ็คมาสด้า3 ใหม่ เต็มเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะขับขี่อันทรงพลังผนวกกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ที่พาไปสู่จุดหมายบนเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร ความสัมพันธ์อย่างยาวนานของบริษัทมาสด้า แบรนด์สินค้า และ ซูม-ซูม เป็นเหมือนสิ่งที่บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ของมาสด้า จินบะ อิไต (Jinba Ittai)  อันหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวของรถและผู้ขับ เป็นปรัชญาที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์มาสด้ามาช้านาน ด้วยความเป็นหนึ่งเดียวที่ทุกคนสามารถรู้สึกและรับรู้ได้เมื่อได้ขับรถยนต์มาสด้า ทั้งการขับขี่แบบสบายๆ กับการเดินทางในแต่ละวันหรือการขับในสนามแข่ง รถยนต์มาสด้า3 ได้มีการวางจำหน่ายในตลาดทั่วโลก มากกว่า 120 ประเทศ คิดเป็น 30% ของยอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นทั่วโลก จึงทำให้มาสด้า3เป็นรถยนต์ที่มีความสำคัญกับมาสด้าอย่างมาก
ตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลางในกลุ่ม C-Segment เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตคงที่และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความชัดเจน ลูกค้ามีความต้องการรถยนต์ที่สามารถตอบสนองได้ทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ ขนาดของห้องโดยสารที่เหมาะสม อัตราการประหยัดน้ำมัน รวมทั้งสะท้อนภาพลักษณ์ของ  ผู้ขับขี่ ทั้งนี้ ตลาดนี้เป็นตลาดขนาดใหญ่มีฐานลูกค้าที่กว้างและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีการแข่งขันสูง ซึ่งยอดการจำหน่ายส่วนใหญ่จะอยู่ที่กลุ่มเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนมากกว่า 50% ซึ่งเป็นตลาดที่มีความเหมาะสมกับขนาดของตัวรถ สมรรถนะการขับขี่ และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเชื้อเพลิงที่เหมาะสม มาสด้าได้นำมาสด้า3 เข้าลงสู้ศึกในตลาดด้วยเครื่องยนต์ 2.0 ที่มาพร้อมสกายแอคทีฟ เทคโนโลยี จึงได้เปรียบคู่แข่งค่อนข้างมาก และจะสามารถชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากกลุ่มเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรได้ เนื่องจากให้ทั้งสมรรถนะความแรงที่เหนือกว่าและการประหยัดน้ำมันมากกว่าเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร  โดยตั้งเป้าหมายการขายในรอบปีสูงถึง 13,000 คัน นายโชอิชิ ยูกิ กล่าวเสริม
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด กล่าวว่า สำหรับมาสด้า3 ใหม่นี้ มาสด้าได้วางกลยุทธ์ตำแหน่งผลิตภัณฑ์ ให้เป็นรถสปอร์ตระดับพรีเมียมคาร์ ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ล้ำสมัย ให้สมรรถนะพลังแรง ให้ความปลอดภัยสูงสุดและประหยัดน้ำมันเลิศ สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ขับขี่ ถือเป็นการอุดช่องว่างความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่มีความต้องการใช้รถยนต์ญี่ปุ่นที่มีความหรูหรา ซึ่งรถมาสด้า3 ใหม่ เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางที่เหมาะสมกับลูกค้าที่กำลังมองหารถญี่ปุ่นที่มีสเปคสูง เป็นทางเลือกที่ลงตัวระหว่างรุ่นท็อปของรถญี่ปุ่นและรุ่นเริ่มต้นของรถยุโรป โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่วางไว้ คือ คนหนุ่ม-สาวที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่โดดเด่น จบการศึกษาปริญญาตรีหรือสูงกว่า มีประสบการณ์ในการศึกษาหรือเติบโตในต่างประเทศ มีความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ สามารถพูดฟังได้เป็นอย่างดี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,000 บาทขึ้นไป นิยมบริโภคสินค้าที่ดีไซน์หรือเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ใช้การสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ทหรือเชื่อมโลกภายนอกกับกลุ่มโซเซียลเน็ทเวิร์ค
 “ทั้งนี้เพื่อให้การการสื่อสารภาพลักษณ์ดังกล่าวเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็วชัดเจน รวดเร็ว มาสด้าเปิดตัวด้วยภาพยนตร์โฆษณาความยาว 45 วินาที รวมทั้งโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร สื่อป้าย และสื่อออนไลน์ วิทยุ โดยเน้นกระแสจากกรุงเทพฯและหัวเมืองหลักๆ ในต่างจังหวัด ซึ่งมาสด้าได้ทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายในพื้นที่จัดกิจกรรมการตลาดเพื่อเปิดตัวรถอย่างเต็มที่ทั่วประเทศโดยกิจกรรมแรกมาสด้าจะเริ่มด้วยการนำลงลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ต Excusive Test Drive และเป็นลูกค้ากลุ่มแรกที่จะได้สัมผัส มาเข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับพร้อมรับของที่ระลึกมากมายที่มอเตอร์สปอร์ตแลนด์ในวันเสาร์ที่ 22 มีนาคมนี้ตลอดทั้งวัน” สุรีทิพย์กล่าวเสริม
รถยนต์นั่งสปอร์ตคอมแพ็คมาสด้า3 เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด เป็นผู้สร้างมาตรฐานใหม่ในรถขนาดซี-เซ็กเม้นต์ด้วยการใช้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก ที่ให้ทั้งในเรื่องสมรรถนะขับขี่ ประหยัดน้ำมัน และปรัชญาการผลิตในอุดมคติ รวมถึงใช้แนวทางและภาษาศิลปะในออกแบบใหม่ ภายใต้ โคโดะ ดีไซน์ ที่ถ่ายทอดความสวยงามของพลังผ่านรูปทรงของรถ สมบูรณ์แบบด้วย i-ACTIVSENSE ความปลอดภัยระดับโลกที่เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของมาสด้ามาใช้เป็นครั้งแรก และหลัก Human-Man Interface (HMI) ที่บรรลุถึงการทำงานของมนุษย์ และอุปกรณ์ควบคุมที่สมบูรณ์แบบโดยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่เป็นสำคัญ และสุดท้ายกับระบบ MZD CONNECT ระบบเชื่อมโยงเครือข่ายการสื่อสารที่สามารถเชื่อมโยงกับอินเตอร์เน็ต และเซอร์วิสใช้งานต่างๆ
การออกแบบและความประณีตของศิลปะการออกแบบที่ถ่ายทอดถึงความสวยงามชวนให้หลงใหล จากภายในสู่ภายนอก การออกแบบกระจังหน้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ Signature Wing ทรง 5 เหลี่ยม ที่ลากเส้นยาวไปถึงไฟหน้าทั้งสองข้าง จากการขึ้นรูปตัวถังและพื้นผิวด้านข้างที่ดูมีความโฉบเฉี่ยวแต่แข็งแรง ตั้งแต่โป่งล้อด้านหน้าจรดไฟท้ายที่สอดรับกับเส้นสายด้านข้าง ตัวถังให้ความปราดเปรียวคล่องแคล่วและมีพลังซ่อนเร้น โดดเด่นด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 16” และ 18” ที่มีสไตล์สปอร์ตที่แข็งแรงปราดเปรียวมีพลังจากจุดกึ่งกลางออกไปตามขอบเส้นรอบวงของล้อ
รถยนต์มาสด้า3 เจเนอเรชั่นใหม่ ใช้เครื่องยนต์เบนซินสกายแอคทีฟ-จี (SKYACTIV-G) ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งเครื่องยนต์บล็อกใหม่นี้ใช้ระบบไอเสียแบบ 4-2-1ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้กำลังสูงสุดที่ 121 กิโลวัตต์ ที่ 6,000 รอบ และให้แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงทุกช่วงความเร็วและยังประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น รถยนต์มาสด้า3 เจนเนอเรชั่นใหม่ ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เจนเนอเรชั่นใหม่ SKYACTIV-DRIVE ที่ให้สมรรถนะสูง การเปลี่ยนเกียร์ที่ตอบสนองอย่างแม่นยำ กระชับรวดเร็ว ให้อัตราเร่งที่ดี เป็นเทคโนโลยีเกียร์อัตโนมัติเจนเนอเรชั่นใหม่ที่มีสมรรถนะดีที่สุด ต่างจากระบบเกียร์ที่ใช้ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ทั่วไป
สกายแอคทีฟ-บอดี้ (SKYACTIV-BODY) โครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟที่ช่วยดูดซับรับแรงจากการชนปะทะในทุกทิศทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างตัวถังอย่างสมบูรณ์แบบ อุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยอื่นๆ ได้แก่ ถุงลมนิรภัยถึง 6 ลูก ประกอบด้วยด้านหน้า ด้านข้าง และม่านนิรภัย พนักพิงศีรษะด้านหน้าที่ช่วยลดการกระแทก (Whiplash-reducing front headrests)ระบบดิสค์เบรกทั้งสี่ล้อพร้อมครีบระบายความร้อน ระบบป้องกันล้อล็อค (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake-force Distribution (EBD) และระบบช่วยเบรก Brake Assist (BA) ระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติขณะกลางวัน Daytime Running Lights ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Dynamic Stability Control (DSC) ระบบป้องกันการลื่นไถล Traction Control System (TCS) คอพวงมาลัยแบบยุบตัวอัตโนมัติเมื่อเกิดการชนปะทะ ทำงานพร้อมกับถุงลมนิรภัยด้านหน้า  เข็มขัดนิรภัยแบบ3 จุด ในทุกๆ ที่นั่ง เข็มขัดนิรภัยเบาะคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติและจุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
สมรรถนะด้านความปลอดภัยอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่าใครจะเทียบได้ มาสด้า3 เจนเนอเรชั่นใหม่ นำระบบความปลอดภัยใหม่เข้ามาใช้ภายใต้คอนเซ็ปต์ i-ACTIVESENSE การพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยโดยระบบด้านความปลอดภัยต่างๆ ที่ล้ำสมัย เพื่อเตือนภัยและเพิ่มการรับรู้สถานการณ์ล่วงหน้า ซึ่งสามารถป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นหรือช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุจากการชนปะทะลงได้
การเชื่อมโยงเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย ด้วยระบบอินโฟเทนเมนต์ (Infotainment) ของมาสด้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อรองรับการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน แท็ปเล็ทและคอมพิวเตอร์ ที่มีความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการใช้ชีวิตที่ทันสมัย มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อให้ไม่พลาดทุกการติดต่อสื่อสารในทุกที่ทุกแห่งหน มาสด้าได้พัฒนาระบบ MZD Connect ที่ใช้งานได้ง่ายสะดวก ทำให้เกิดความเพลิดเพลินในการขับขี่และมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ระบบ MZD Connect จะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ (Bluetooth) สามารถอัพเดทโปรแกรมได้ง่ายดายเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้สามารถได้รับบริการล่าสุด ในส่วนของระบบเครื่องเสียง การรับฟังทางวิทยุ AM/FM CD USB และ AUX ยังเป็นช่องทางที่มีไว้ให้เลือกอย่างครบครัน นอกเหนือจากนั้นสามารถเล่นแอพพลิเคชั่นบนอินเตอร์เน็ทได้นั่นคือ Ahaโดย HARMAN
สุรีทิพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสีภายนอกเป็นอีกหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบรถยนต์มาสด้า และเป็นการนำเสนอรถยนต์ที่น่าดึงดูดใจ โดยสีภายนอกมีความสำคัญเช่นเดียวกับอุปกรณ์อื่นๆ สีใหม่ที่มาสด้านำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการพัฒนาแบบใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะของสี ที่มีความงดงาม เงาวาวเป็นประกายเมทัลลิคดูมีมิติเชิงลึก คือ สีแดง โซลเรด รถยนต์นั่งมาสด้า3 ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ประกอบด้วย สีแดง โซลเรด ซึ่งเป็นสีใหม่และเป็นสีสำหรับการเปิดตัว สีน้ำตาล ไททาเนียมแฟลช เป็นสีใหม่เช่นเดียวกัน สีฟ้า กันเมทัลบลู, สีเงิน อลูมินัม เมทัลลิก, สีดำ แบล็กไมก้า, สีขาวมุก สโนว์เฟลค ไวท์เพิร์ล และสีเทา เมโทรโพลิทัลเกรย์
กลยุทธ์ด้านราคาเป็นอีกหนึ่งความสำคัญ ที่มาสด้านำมาพิจารณาในการนำมาสด้า3 ใหม่ ลงสู่ตลาด ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 8 แสนต้นๆ ในขณะที่รุ่นท็อป ซึ่งภายนอก ภายในและชุดเสริมความสปอร์ตเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ราคายังต่ำกว่า 1.1 ล้านบาท เมื่อเทียบคุณสมบัติที่มาสด้า3 ใหม่ มีมาให้กับราคา นับว่าเป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่งในตลาดที่คุ้มค่ามาก มาสด้า3 ใหม่ มีด้วยกัน 7 รุ่นคือ   
o                 Mazda3 รุ่น E Sedan 4 ประตู                          เกียร์อัตโนมัติ           ราคาจำหน่าย 833,000 บาท
o                 Mazda3 รุ่น C Sedan 4 ประตู                          เกียร์อัตโนมัติ           ราคาจำหน่าย 914,000 บาท
o                 Mazda3 รุ่น S Sedan 4 ประตู                          เกียร์อัตโนมัติ           ราคาจำหน่าย 974,000 บาท
o                 Mazda3 รุ่น E Sports Hatchback 5 ประตู      เกียร์อัตโนมัติ           ราคาจำหน่าย 833,000 บาท
o                 Mazda3 รุ่น C Sports Hatchback 5 ประตู      เกียร์อัตโนมัติ           ราคาจำหน่าย 914,000 บาท
o                 Mazda3 รุ่น S Sports Hatchback 5 ประตู      เกียร์อัตโนมัติ           ราคาจำหน่าย 974,000 บา
o                 Mazda3 รุ่น SP Sports Hatchback 5 ประตู  เกียร์อัตโนมัติ ราคาจำหน่าย 1,094,000 บาท
donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved