ในยุคของ รถยนต์อัจฉริยะ และ เทคโนโลยีรถยนต์อัตโนมัติ ระบบตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบรถถือเป็นหัวใจสำคัญ หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ ระบบเซ็นเซอร์เรดาร์ (Radar Sensor) และ ระบบ LiDAR (Light Detection and Ranging) ซึ่งทำหน้าที่เป็นดวงตาให้กับรถยนต์ในการมองเห็นและตัดสินใจ
ระบบเซ็นเซอร์เรดาร์คืออะไร
เรดาร์ในรถยนต์อัจฉริยะ ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงในการตรวจจับวัตถุ โดยระบบจะส่งคลื่นออกไปและรับสัญญาณสะท้อนกลับมา เพื่อนำมาคำนวณ ระยะทาง ความเร็ว และทิศทางของวัตถุ เช่น รถคันหน้า คนเดินถนน หรือสิ่งกีดขวาง
ข้อดีของระบบเรดาร์คือสามารถทำงานได้ดีแม้ในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ฝนตก หมอก หรือในเวลากลางคืน จึงถูกนำมาใช้ในระบบ Adaptive Cruise Control และ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking)
LiDAR คืออะไร และทำงานอย่างไร
LiDAR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงออกไปยังวัตถุรอบตัวรถ จากนั้นวัดเวลาที่แสงสะท้อนกลับมา เพื่อนำไปสร้าง แผนที่สามมิติ (3D Mapping) ของสภาพแวดล้อมแบบละเอียดสูง
ระบบ LiDAR ช่วยให้ รถยนต์ไร้คนขับ สามารถแยกแยะรูปทรงวัตถุ ความสูง และตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ จึงเหมาะกับระบบ Autonomous Driving ระดับสูง
ความแตกต่างระหว่าง Radar และ LiDAR
แม้ทั้งสองระบบจะมีหน้าที่ตรวจจับวัตถุเหมือนกัน แต่มีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เรดาร์เด่นด้านความทนทานต่อสภาพอากาศ ในขณะที่ LiDAR โดดเด่นด้านความละเอียดของข้อมูลเชิงพื้นที่
ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่มักเลือกใช้ การผสานเซ็นเซอร์ (Sensor Fusion) โดยรวมข้อมูลจากเรดาร์ LiDAR และกล้อง เพื่อเพิ่มความแม่นยำและความปลอดภัยในการขับขี่
บทบาทของเซ็นเซอร์ในรถยนต์อัจฉริยะยุคใหม่
ระบบเซ็นเซอร์เรดาร์และ LiDAR เป็นรากฐานสำคัญของ เทคโนโลยี ADAS และ ระบบขับขี่อัตโนมัติ ช่วยลดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัย และยกระดับประสบการณ์การขับขี่
ในอนาคต เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง ราคาถูกลง และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานในรถยนต์อัจฉริยะอย่างแพร่หลาย
รถยนต์อัจฉริยะ, ระบบเรดาร์รถยนต์, LiDAR รถยนต์, เทคโนโลยียานยนต์, ระบบขับขี่อัตโนมัติ, ADAS