Custom Search
donate car tax deduction | donate car to charity | donate car to charity california | donate car to charity los angeles | donate car without title | donate cars for kids | donate my car | donate my car to charity | donate your car | donate your car bay area | donate your car california | donate your car for kids | donate your car in maryland | donate your car nyc | donate your car tax deduction | donate your car to charity
รauto donation charities | best car donation program | best charity car donation program | best place to donate car | best place to donate car for tax deduction | california car donation | california donate car | car donation | car donation bay area | car donation ca | car donation california | car donation dc | car donation deduction | car donation in california |

ชายคนหนึ่งสร้างรถแทรกเตอร์แบบจำลอง ขนาดเล็กพร้อมเครื่องยนต์ที่ใช้งานได้จริงและเต็มรูปแบบ

  
















การสร้างแบบจำลองขนาดได้ก้าวสู่ระดับใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีบริษัทหลายแห่งที่ทุ่มเทให้กับการผลิตชิ้นส่วนที่เลียนแบบการทำงานของส่วนประกอบจริง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเครื่องยนต์สูบเดียวจาก CHUANQI ENGINE ซึ่งได้บันทึกผลงานการก่อสร้างอันน่าทึ่งของโครงการสร้างรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตรตั้งแต่เริ่มต้น ในชุดวิดีโอ พวกเขาบันทึกกระบวนการตั้งแต่การสร้างแบบจำลอง 3 มิติของต้นแบบไปจนถึงการผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างจริงด้วยวัสดุอย่างอะลูมิเนียมและเหล็ก สิ่งสำคัญที่ควรเน้นย้ำคือความพยายามอันมหาศาลที่ทุ่มเทให้กับโครงการนี้ ซึ่งชิ้นส่วนหลายชิ้นผลิตด้วยเครื่อง CNC รวมถึงชิ้นส่วนสำคัญอย่างปะเก็น เนื้อหาในวิดีโอของเรามีไว้เพื่อความบันเทิง และข้อมูลที่นำเสนอมีไว้เพื่อให้คุณได้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอและมีคุณค่าทางการศึกษา

การผลิตเครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าของ Audi - กระบวนการผลิตรถยนต์

 

















ค้นพบนวัตกรรมเบื้องหลัง e-tron ของ Audi: เจาะลึก "การผลิตของ Audi" ของ "เครื่องยนต์ไฟฟ้า" ผจญภัยไปในอาณาจักรการผลิตรถยนต์ของ Audi ที่ซึ่ง Audi e-tron พลังมหัศจรรย์ทางไฟฟ้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง วิดีโอนี้จะพาคุณผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนในการสร้างเครื่องยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนรถเอสยูวี e-tron quattro โดยจัดแสดงการผสมผสานระหว่างวิศวกรรมยานยนต์ที่หรูหราและเทคโนโลยี PHEV #audi #etron #ยานยนต์ไฟฟ้า การนำเสนอนี้เผยให้เห็นการเดินทางของการผลิตเครื่องยนต์ไฟฟ้าของ Audi e-tron ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ของ Audi เครื่องยนต์ของ Audi e-tron เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยผสมผสานอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านของรถสปอร์ตเข้ากับการใช้งานจริงของรถในเมือง ในฐานะจุดสุดยอดของนวัตกรรมของ Audi เครื่องยนต์ไฟฟ้า e-tron เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวกระโดดสู่อนาคตแห่งการเดินทาง ซึ่งสร้างมาตรฐานที่สูงในตลาด คุณคิดอย่างไรกับ Audi e-tron มันกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับ SUV ไฟฟ้าสำหรับคุณหรือไม่? คุณเป็นแฟนตัวยงของยานยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดที่กำลังพัฒนาหรือไม่?

wave 110i น้ํามัน 1 ลิตร วิ่ง ได้กี่กิโล

 Honda Wave 110i สามารถวิ่งได้ประมาณ 76.9 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ได้จากการวัดตามมาตรฐานสากลโดยสถาบันยานยนต์ แต่ระยะทางจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีขับขี่ สภาพการจราจร และน้ำหนักบรรทุก. 


ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน:

  • พฤติกรรมการขับขี่: 
    การขับขี่ด้วยความเร็วคงที่และไม่กระชาก จะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่า. 
  • สภาพการจราจร: 
    การขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรติดขัดบ่อยๆ จะทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น และสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น. 
  • สภาพรถ: 
    การหมั่นดูแลรักษารถให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เช่น ลมยางที่เหมาะสม จะช่วยให้รถมีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน. 
  • น้ำหนักบรรทุก: 
    การบรรทุกของหนักเกินไปจะทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น และส่งผลให้กินน้ำมันมากขึ้น. 
  • การทดสอบมาตรฐาน: 
    ตัวเลข 76.9 กิโลเมตรต่อลิตร มาจากการทดสอบตามมาตรฐาน ทำให้เป็นค่าที่น่าเชื่อถือ แต่ในชีวิตจริงต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่กล่าวมา. 







ระบบช่วงล่างรถยนต์ มีอะไรบ้าง มีความสำคัญอย่างไร

 


   • ลูกหมาก : ลูกหมากเป็นข้อต่อสำคัญในระบบช่วงล่างรถยนต์ ทำหน้าที่เชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ รองรับแรงกระแทก และควบคุมทิศทางของรถให้แม่นยำ ลูกหมากที่ใช้มี 5 ประเภท ดังนี้


    - ลูกหมากคันชัก ติดอยู่ตรงดุมล้อในส่วนของระบบบังคับเลี้ยว มีหน้าที่ปรับสมดุลของทิศทางล้อ ช่วยควบคุมทิศทางการเลี้ยวได้ตามที่ผู้ขับขี่ต้องการ


    - ลูกหมากแร็ค คือลูกหมากที่ติดอยู่บริเวณแร็คพวงมาลัย ทำหน้าที่ถ่ายทอดแรงจากการหมุนเลี้ยวมาเป็นการเคลื่อนที่ในแนวตรง และบังคับให้ล้อหมุนเลี้ยว เป็นไปอย่างแม่นยำและราบรื่น


    - ลูกหมากปีกนกบนและลูกหมากปีกนกล่าง ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างรถยนต์กับล้อ เพื่อรองรับการสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ช่วยให้ล้อสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระเคลื่อนไหวได้ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง


    - ลูกหมากกันโคลง เป็นชิ้นส่วนที่อยู่บริเวณทั้งด้านหน้าและด้านหลังของรถ ทำหน้าที่เป็นข้อต่อช่วยรับแรงกระแทกและช่วยยึดเหล็กกันโคลงรถเอาไว้ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่เคลื่อนที่ไปมาเวลาขับรถอยู่บนทุกสภาพถนน


    - ลูกหมากคันส่งกลาง ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้ ทำให้รถยนต์สามารถเลี้ยวไปตามทิศทางที่ต้องการได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย



  • โช้คอัพ : คืออุปกรณ์ช่วงล่างรถยนต์ ทำหน้าที่หลักในการดูดซับแรงสั่นสะเทือนและลดแรงกระแทกจากการขับขี่ ช่วยให้รถมีความนุ่มนวลและปรับสมดุลของรถในขณะรถเคลื่อนที่ ทำให้ผู้โดยสารมีความสะดวกสบายขึ้นในการขับขี่



  • ชุดคันส่ง : เป็นชิ้นส่วนสำคัญของระบบบังคับเลี้ยว มีหน้าที่ถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อของรถ ทำให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้ง่าย โดยชุดคันส่งจะทำงานร่วมกับชุดเกียร์และแกนล้อเพื่อส่งแรงจากเครื่องยนต์ไปยังล้อ



  • เหล็กกันโคลง : เป็นอุปกรณ์ช่วงล่างรถยนต์ที่ช่วยลดการบิดตัวของตัวถังขณะขับขี่ หลักการทำงานของเหล็กกันโคลงคือลดการเอียงของรถขณะที่เข้าโค้งหรือเลี้ยว ทำให้รถมีความนิ่งและมั่นคงขึ้น



  • สปริง : สปริงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในระบบช่วงล่างรถยนต์ ที่ช่วยรองรับน้ำหนักของรถทั้งคันและน้ำหนักบรรทุก และแลกเปลี่ยนแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในการขับขี่ สปริงสามารถเป็นประเภทแบบเส้นเดียวหรือเป็นคู่ และมีหลายวัสดุ เช่น เหล็ก ลูกน้ำ หรือแม้กระทั่งสปริงลม



  การดูแลรักษาช่วงล่างให้ดี ช่วยยืดอายุการใช้งานของรถ ทำให้การขับขี่สะดวกสบาย และยังเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารอีกด้วย


เปลี่ยนโช้คอัพ (Shock Absorber) ที่ ค็อกพิท เลือกรุ่นไหนดี?


  1. โช้คอัพ (Shock Absorber) จากแบรนด์ KYB



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) KYB รุ่น Excel-G

- นุ่มหนึบ ไม่กระด้าง หนืดขึ้น 10-15%

- บรรจุแก๊สไนโตรเจนเพื่อขจัดฟองอากาศในน้ำมัน

- โครงสร้างกระบอกสองชั้นเพื่อการขับที่ดีขึ้น

- เหมาะกับประเภทรถ : รถยนต์สำหรับใช้งานทั่วไป ขับขี่ในชีวิตประจำวัน



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) KYB รุ่น Super Red

- กระบอกใหญ่ขึ้น เพื่อการบรรทุกหนัก

- ระบายความร้อนได้ดี ด้วยน้ำมันไฮดรอลิกที่เพิ่มขึ้น

- แกนโช้คอัพชุบฮาร์ดโครม เพื่อความแข็งแกร่ง

- เหมาะกับประเภทรถ : รถกระบะบรรทุกหนักหรือรถใช้งานเชิงพาณิชย์



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) KYB รุ่น New SR-special

- เพิ่มประสิทธิภาพให้กับช่วงล่างของรถยนต์อย่างเหนือชั้น

- เพิ่มความหนึบ เกาะถนนได้อย่างขีดสุด

- ตอบสนองการขับขี่ได้ดีทุกสภาพถนน ด้วยเทคโนโลยี INV (Intelligent Valve) จาก KYB

- เหมาะกับประเภทรถ : รถสมรรถนะสูง รถสปอร์ต เสริมการขับขี่ด้วยแนวสปอร์ต



  2. โช้คอัพ (Shock Absorber) จากแบรนด์ TOKICO



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) TOKICO รุ่น Standard Series

- ปรับค่าความหนืดเพิ่มขึ้น จากโช้คมาตรฐานติดรถ

- ระบบวาล์วอัจฉริยะ

- ซีลพิเศษกันน้ำมันรั่ว มาตรฐานเดียวกับ OEM

- โครงสร้างกระบอก 2 ชั้น TWIN-TUBE

- เหมาะสำหรับผู้ใช้รถทั่วไปที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับช่วงล่างของรถยนต์ ช่วยให้ยึดเกาะถนนได้ดี ตอบสนองการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แม้ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง สมรรถนะดีกว่าโช้คอัพน้ำมัน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ครอบคลุมทั้งรถกระบะ, รถตู้, SUV, MPV, และรถเก๋ง



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) TOKICO รุ่น Power-x Series

- ปรับค่าความหนืดเพิ่มขึ้น ในจังหวะยืด 125% และจังหวะยุบ 130%

- ขยายขนาดกระบอกใหญ่ขึ้น

- ระบบวาล์วอัจฉริยะ

- แกนโช้คชุบโครเมียม QC 200%

- เหมาะกับผู้ใช้รถกระบะที่ต้องการใช้รถในหลากสไตล์ทั้งในการบรรทุก และในชีวิตประจำวันทั่วไป ทนต่อการใช้งานหนักเป็นอย่างดี



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) TOKICO รุ่น Power-Plus Series

- ปรับค่าความหนืดเพิ่มขึ้น ในจังหวะยืด160% และจังหวะยุบ 140%

- ขยายขนาดกระบอกใหญ่ขึ้น

- ระบบวาล์วอัจฉริยะ

- แกนโช้คขนาด 16 mm.(แท้) ชุบโครเมียมแข็งพิเศษ QC 200%

- โช้คอัพน้ำมันกระบอกยาว แกนใหญ่ 16 mm.(แท้) โดยเพิ่มความยาวขึ้นเหนือกว่าโช้คอัพมาตรฐาน

- เหมาะสำหรับรถกระบะที่มีการเสริมแหนบช่วงล่าง ให้สูงขึ้น(ตั้งแต่ 3 นิ้วขึ้นไป) และทนต่อการใช้งานหนัก



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) TOKICO รุ่น Special Gas Series 

- ปรับค่าความหนืดเพิ่มขึ้น จากโช้คมาตรฐานติดรถ

- ระบบวาล์วอัจฉริยะ

- ซีลพิเศษกันน้ำมันรั่ว มาตรฐานเดียวกับ OEM

- โครงสร้างกระบอก 2 ชั้น TWIN-TUBE

- เหมาะสำหรับรถกระบะที่ต้องการบรรทุกหนักใช้ขนส่งเชิงพาณิชย์ ขณะใช้ความเร็ว ยึดเกาะถนนได้ดีกว่าโช้คอัพน้ำมัน



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) TOKICO รุ่น Alpha Series

- ปรับค่าความหนืดเพิ่มขึ้น ในจังหวะยืด125% และจังหวะยุบ 130%

- ขยายขนาดกระบอกใหญ่ขึ้น

- ระบบวาล์วอัจฉริยะ

- ซีลพิเศษกันน้ำมันรั่ว มาตรฐานเดียวกับ OEM

- โครงสร้างกระบอก2 ชั้น TWIN-TUBE

- แกนโช้คชุบโครเมียมQC 200%

- เป็นโช้คอัพที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับช่วงล่างของรถ เพื่อรองรับการบรรทุกหนัก ช่วยให้รถเกาะถนนได้ดีแม้ขณะขับขี่ด้วยความเร็ว เหมาะกับผู้ใช้รถกระบะ รถ MPV และรถตู้



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) TOKICO รุ่น Alpha-Plus Series 

- ปรับค่าความหนืดเพิ่มขึ้น ในจังหวะยืด160% และจังหวะยุบ 140%

- กระบอกโช้คใหญ่ขึ้นอีก 20%

- แกนโช้คแข็งพิเศษ

- ระบบวาล์วอัจฉริยะ

- ซีลพิเศษกันน้ำมันรั่ว มาตรฐานเดียวกับ OEM

- เป็นโช้คอัพสมรรถนะสูงที่ผ่านการออกแบบ และทดสอบจากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการใช้ความเร็วแม้ขณะบรรทุกหนัก ช่วยให้รถทรงตัวได้ดีไม่เสียการควบคุมเหมาะสำหรับรถกระบะ รถ MPV และ รถตู้



  • โช้คอัพ (Shock Absorber) TOKICO รุ่น S-Plus Series 

- DESIGNED IN JAPAN

- ระบบวาล์วอัจฉริยะ

- ปรับค่าความหนืดเพิ่มขึ้น จังหวะยืด 180% และจังหวะยุบ 150%

- เป็นโช้คอัพสมรรถนะสูงที่ผ่านการออกแบบ และทดสอบ จากประเทศญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นเพื่อสนองตอบการขับขี่ในสไตล์ มอเตอร์สปอร์ต สามารถใช้กับสปริงโหลดได้ (ไม่เกิน 40 มม.) เหมาะสำหรับรถเก๋ง ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของช่วงล่างให้เกาะถนนมากขึ้นขณะใช้ความเร็ว เพื่อความเร้าใจในการขับขี่



  โช้คอัพ (Shock Absorber) จัดเป็นอุปกรณ์ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ของคุณ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถควรตรวจโช้คอัพทุก 20,000 กิโลเมตร

6 ผลเสีย ของการขับรถตกหลุมบ่อย

 



  1. แรงกระแทกจากการขับรถตกหลุม อาจทำให้ยางเสียหายจนเกิดรอยรั่วถึงขั้นยางระเบิดได้ ไปจนถึงล้ออาจเสียรูปทรง บิดคด หรือเสียหายจากการกระแทกได้


  2. การขับรถตกหลุมบ่อย ๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวยางบวมได้ เนื่องจากแรงกระแทกที่รุนแรงจะทำให้โครงสร้างภายในยางเสียหาย ทำให้ชั้นเนื้อยางแยกตัวออกจากกัน เกิดเป็นพื้นที่บวมขึ้นมา ซึ่งถือว่าอันตรายมากเพราะเสี่ยงทำให้เกิดยางระเบิดระหว่างขับขี่ หากพบว่ายางมีอาการบวมต้องรีบเปลี่ยนยางทันที


  3. การขับรถตกหลุมบ่อ แรงกระแทกอาจส่งผลทำให้ลูกปืนล้อแตกได้ หากพบว่าระหว่างขับขี่รถมีเสียงที่ดังคล้ายเสียงหอน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนแรกของลูกปืนเริ่มเสียหาย หากยังขับต่อไปก็อาจเสี่ยงแกนเพลาล้อไหม้ได้


  4. แรงกระแทกจากการขับรถตกหลุมบ่อ อาจทำให้ตัวถังรถเกิดความเสียหายได้ เช่น ทำให้ตัวถังของรถบุบ สีถลอก เป็นต้น


  5. โช้คอัพเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ซึ่งการขับรถตกหลุมไม่ได้ทำให้โช้คอัพเสียในทันที แต่จะเป็นอาการสะสม ทำให้โช้คเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ


  6. การขับรถตกหลุมบ่อย ๆ อีกหนึ่งส่วนที่เสี่ยงชำรุดคือคันชักพวงมาลัย สามารถสังเกตได้จากเสียงดังกุก ๆ กัก ๆ หากพบว่ามีเสียงดังกล่าว ควรนำรถเข้าตรวจสอบกับช่างผู้เชี่ยวชาญทันที


  การขับรถตกหลุมส่งผลต่อช่วงล่างรถอย่างมาก และทำให้ระบบต่าง ๆ เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทางที่ดีควรเลี่ยงเส้นทางที่มีหลุมบ่อ หรือหากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรขับรถอย่างระมัดระวัง ไม่ควรขับเร็ว ที่สำคัญต้องหมั่นนำรถไปตรวจเช็กสภาพอย่างสม่ำเสมอด้วย

  โช้คอัพก็เป็นชิ้นส่วนหนึ่งในระบบช่วงล่าง ดังนั้นควรเลือกใช้โช้คอัพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่ อย่างเช่น โช้คอัพ KYB เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สามารถช่วยให้รถของคุณมีการซับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยมและเพิ่มความเสถียรในการควบคุมรถ ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น


  โช้คอัพคุณภาพ ที่ ค็อกพิท แนะนำ ต้องโช้คอัพ KYB โช้คอัพแบรนด์ดังระดับโลก โช้คอัพ KYB มีเทคโนโลยีการผลิตคุณภาพระดับสูง ทำให้มีคุณภาพยอดเยี่ยมมั่นใจในคุณภาพที่มีมาอย่างยาวนาน จึงได้รับความนิยมและน่าเชื่อถือจากผู้ใช้รถ และโช้คอัพ KYB ยังออกแบบมาให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างหลากหลายสไตล์ จะสายไหนก็มั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับการขับขี่ที่นุ่มนวลจาก โช้คอัพ KYB มาดูกันว่าไลฟ์สไตล์การขับขี่ของคุณ เหมาะกับโช้คอัพ KYB แบบไหน?


   1. คุณเป็นสายชิล เน้นขับสบาย
โช้คอัพ KYB ที่เหมาะกับคุณ ก็คือ รุ่น Excel-G
เป็นโช้คอัพที่นุ่มหนึบ ไม่มีกระด้าง ด้วยการปรับความหนืดที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความหนืดจากโช้คอัพมาตรฐาน 20% พร้อมการออกแบบโครงสร้างกระบอกสองชั้น Twin-Tube เพื่อการขับที่ดีขึ้น และบรรจุแก๊สไนโตรเจนเพื่อขจัดฟองอากาศในน้ำมัน ถือเป็นโช้คอัพที่เหนือกว่ามาตรฐาน


   2. คุณเป็นสายลุย บรรทุกหนัก หรือใช้งานเชิงพาณิชย์
โช้คอัพ KYB ที่เหมาะกับคุณ ก็คือ รุ่น Super Red
เกาะถนนดีขึ้นด้วย Special size cylinder ชุดวาล์วปรับความหนืดแปรผันตามความเร็ว ระบายความร้อนได้ดีด้วยน้ำมันไฮโดรลิดที่เพิ่มขึ้นขยายกระบอกใหญ่ขึ้น เพื่อการบรรทุกหนัก แกนโช้คอัพชุบฮาร์ดโครม เพื่อความแข็งแกร่ง แม้งานจะหนักไหน Super Red ก็เอาอยู่


   3. คุณเป็นสายซิ่ง สไตล์สปอร์ต
โช้คอัพ KYB ที่เหมาะกับคุณ ก็คือ รุ่น New SR-special
มาพร้อมวาล์วอัจฉริยะ INV (Intelligent Valve) เทคโนโลยีจาก KYB เพิ่มการทรงตัวให้ดีขึ้นพร้อมปรับความหนึบตามสภาพถนน ทำให้รถสามารถควบคุมได้อย่างแม่นยำ


  โช้คอัพ KYB ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากคุณยังไม่แน่ใจว่าเลือกโช้คอัพแบบไหน ที่เหมาะสมกับรถและการใช้งานของคุณ แวะมาให้เราดูแลได้ที่ ค็อกพิท เรามีโช้คอัพ หลากหลายรุ่นที่เหมาะสมกับรถทุกประเภท

ยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ใช้กับรถประเภทไหนได้บ้าง


  ยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว เป็นขนาดยางรถยนต์ที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์หลายประเภท อาทิ เช่น

- รถ SUV (Sports Utility Vehicle)

- รถ CUV (Crossover Utility Vehicle)

- รถ PPV (Pick-Up Passenger Vehicle)

- รถเก๋งขนาดใหญ่, รถซีดานสมรรถนะสูง

- รถกระบะยกสูง 4x4

  จุดเด่นของยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว

- ความสวยงาม : ขนาดยางที่ใหญ่ขึ้นช่วยเสริมให้รถดูสปอร์ตและโดดเด่นยิ่งขึ้น

- การยึดเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม : ด้วยหน้าสัมผัสที่กว้างกว่า ส่งผลให้การเข้าโค้ง การเบรก และการเร่งความเร็วมีประสิทธิภาพมากขึ้น

- การควบคุมที่แม่นยำ : รถมีความมั่นคงสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกถึงการตอบสนองที่ดีและความปลอดภัย


การเลือกขนาดยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับรถของคุณ ควรเลือกตามคำแนะนำของผู้ผลิตรถยนต์เป็นหลัก โดยการตรวจสอบขนาดและประเภทของยางที่เหมาะสมสำหรับรถของคุณ สามารถดูได้ที่คู่มือประจำรถ เพื่อประสิทธิภาพการขับขี่ ความปลอดภัย และอายุการใช้งานของยาง

รุ่นยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่แนะนำ

   • รุ่นยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่สายประหยัดน้ำมัน
สำหรับผู้ขับขี่ที่เป็นสายประหยัดที่กำลังมองหายางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว เราขอแนะนำ ยางประหยัดน้ำมัน ECOPIA H/L001 ยกระดับมาตรฐานการขับขี่ ตอบทุกความต้องการของรถอเนกประสงค์ของคุณ ที่เพียบพร้อมไปด้วยประสิทธิภาพรอบด้าน ทั้งความสามารถในการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม อายุการใช้งานที่นานกว่า พร้อมทั้งความสามารถในการช่วยประหยัดน้ำมัน ยาง ECOPIA H/L001 มีครบทุกความต้องการของคุณ


  • รุ่นยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ที่เน้นสมรรถนะการขับขี่
สำหรับยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่จะช่วยเติมเต็มการขับขี่อีกระดับแห่งสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ในทุกเส้นทางเราขอแนะนำรุ่นยาง ALENZA 001 อีกหนึ่งยางคุณภาพที่ได้รับการยอมรับและเลือกใช้จากแบรนด์รถยนต์หรูระดับโลกประเภท SUV โดดเด่นในเรื่องของความปลอดภัยในการขับขี่ แข็งแกร่งทนทานอายุการใช้งานยาวนานขึ้นกว่าเดิม


  • รุ่นยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ที่เน้นความนุ่มขับสบาย
สำหรับผู้ขับขี่ที่กำลังมองหายางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ตอบโจทย์การขับขี่ที่นุ่มนวล เน้นขับสบาย แต่ยังไม่รู้จะเลือกรุ่นยางไหนดีเราจะมาแนะนำยางรถยนต์ BRIDGESTONE รุ่น TURANZA T005A  ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นยางที่โดดเด่นในเรื่องการขับขี่นุ่มเงียบ ตอบโจทย์การงานใช้งานทั่วไปเน้นใช้งานในชีวิตประจำ ขับขี่แบบสบายๆ นุ่มนวลเสียงรบกวนต่ำ ขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกเส้นทาง


  • รุ่นยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่สายสปอร์ต
สำหรับผู้ขับขี่สายสปอร์ต ชื่นชอบความเร็ว ควบคุมแม่นยำทุกการเข้าโค้ง รุ่นยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ตอบสนองการขับขี่แบบสปอร์ตโดยเฉพาะ เราขอแนะนำรุ่นยาง POTENZA ADRENALIN RE004 และ รุ่นยาง POTENZA SPORT ยางสมรรถนะสูง สำหรับขับขี่สไตล์สปอร์ต เร่งเต็มสปีดทุกทางตรง เกาะแน่น ควบคุมแม่นยำทุกการเข้าโค้ง หยุดรถบนนถนนแห้งอย่างเหนือชั้น


   • รุ่นยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่สายลุย
สำหรับผู้ขับขี่สายลุยที่กำลังมองหายางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ให้สมรรถนะเต็มประสิทธิภาพทั้งทางเรียบและทางลุย เราขอแนะนำรุ่นยาง DUELER A/T 002 แกร่งทน พร้อมลุยทุกเส้นทาง ยางที่ตอบโจทย์ทั้งรถกระบะและรถอเนกประสงค์ ที่ให้สมรรถนะเต็มประสิทธิภาพบนทุกสภาพถนน ออกแบบลายดอกยางดุดันสไตล์ออฟโรด เพื่อการขับขี่เต็มรูปแบบบนทางทางลุย และยังให้สมรรถนะการยึดเกาะถนนที่ดีบนทางเรียบไม่ว่าจะเป็นถนนแห้งหรือถนนเปียก นอกจากนี้ยังได้รับการพัฒนาให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอีกด้วย


   • รุ่นยางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว ที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่รถกระบะ เน้นการขับขี่นุ่มสบาย
สำหรับผู้ขับขี่ที่เน้นการขับขี่ที่นุ่มนวลที่กำลังมองหายางรถยนต์ขอบ18 นิ้ว สำหรับรถกระบะและรถ SUV เราขอแนะนำรุ่นยาง DUELER H/T 684II ยางสำหรับรถกระบะอเนกประสงค์ ที่ให้สมรรถนะเต็มประสิทธิภาพบนทางเรียบ การยึดเกาะถนนดีเยี่ยม ทั้งบนถนนเปียกและแห้ง แกร่ง ทนทานที่ความเร็วสูง ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ ประสิทธิภาพในการทรงตัวสูง


 

วิธีไล่ความชื้นออกจากเบรก หลังจากขับรถลุยน้ำ


 หลังจากขับรถลุยน้ำท่วมขังหรือหลังล้างรถ อาจทำให้น้ำเล็ดลอดเข้าไปในระบบเบรก ความชื้นหรือน้ำอาจทำให้ระบบการทำงานของเบรกเกิดอาการขัดข้องหรือตัดขัดได้ ทำให้มีประสิทธิภาพการทำงานของระบบเบรกลดลง โดยเฉพาะน้ำมันเบรกที่อาจเสื่อมคุณภาพได้ และความชื้นที่สัมผัสกับโลหะของเบรกเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดสนิมได้


ข้อแนะนำ : หลังจากขับรถลุยน้ำท่วมขังหรือหลังล้างรถมา ผู้ขับขี่ควรทดสอบโดยการเหยียบเบรกเบา ๆ ย้ำ ๆ หลายครั้ง เพื่อไล่ความชื้นออกจากผ้าเบรกและจานเบรก ส่วนรถยนต์เกียร์ธรรมดา ควรเหยียบย้ำคลัตช์ควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้คลัตช์ลื่นจากความชื้น

สำหรับการไล่ความชื้นออกจากระบบต่าง ๆ หลังจากขับรถลุยน้ำท่วมขัง ก่อนดับเครื่องให้เดินเครื่องเบา ๆ เพื่อไล่ความชื้นออกจากระบบต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เกิดการสะดุดหรือมีปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้าเมื่อขับใช้งานอีกครั้ง หรือจอดทิ้งไว้โดยไม่ดับเครื่องประมาณ 20 นาที พร้อมเปิดเครื่องปรับอากาศ จะช่วยให้เครื่องยนต์แห้งเร็วขึ้นได้ อย่างไรแล้วหลังจากขับรถลุยน้ำท่วมขัง ควรรีบดูแลและทำความสะอาดทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาจทำให้รถเกิดปัญหาสะสม ซึ่งอาจจะแก้ไขได้ยากในภายหลัง

เกร็ดความรู้ เพิ่มเติม 

ก่อนเดินทางไกลทุกครั้ง อย่าลืมตรวจเช็ครถให้พร้อมใช้งาน และชิ้นส่วนที่สำคัญที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง ก็คือ ผ้าเบรก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของรถที่ต้องคอยเอาใจใส่ เพราะหากใช้งานผ้าเบรกที่มีปัญหาขณะเดินทางไกล ก็เหมือนเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ มาเช็คกันดีกว่า ว่าสัญญาณถึงเวลาเปลี่ยนผ้าเบรกมีอะไรบ้าง จะได้นำไปสังเกต เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางกัน

ตรวจสภาพรถ เช็คเป็นระยะ

 



• เปลี่ยนยาง แนะนำการติดตั้งยางใหม่ที่ถูกต้องและเหมาะกับรถ

• สลับยาง ถ่วงล้อ สลับตำแหน่งยางเพื่อยืดอายุการใช้งาน และปรับน้ำหนักของล้อให้สมดุล

• ตั้งศูนย์ล้อตรวจ วัด ปรับมุมล้อ ตามสเปคแต่ละรุ่น เพื่อให้การเข้าโค้งและการทรงตัวรถดีขึ้น

• ปะซ่อมยางซ่อมแซมบริเวณหน้ายาง โดย ใช้วัสดุคุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน

• โปรแกรมตรวจเช็คระยะความปลอดภัยเบื้องต้นตรวจเช็คเบื้องต้นให้ฟรี พร้อมการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง รวดเร็ว ทันใจ


• โปรแกรมตรวจเช็คระยะตรวจเช็คอย่างละเอียด 60 รายการ พร้อมบริการบำรุง รักษารถตามระยะทาง

• เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องช่วยให้เครื่องยนต์สะอาด ลด การสึกหรอ และหล่อลื่นการ ทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ

• เปลี่ยนแบตเตอรี่ แบตเตอรี่คุณภาพดีสำหรับรถทุกรุ่น เพื่อการใช้งานที่ ต่อเนื่องไม่ติดขัด

• เปลี่ยนผ้าเบรคป้องกันการเสื่อมสภาพของ น้ำมันเบรค ที่จะส่งผลให้ ประสิทธิภาพในการเบรคลดลง

• เปลี่ยนโช๊คอัพเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะ ถนน ขับขี่นุ่มนวลขึ้น

• เติมลมไนโตรเจนลดความถี่ในการเติมลมยางเสียงเงียบ ยางเกาะถนนได้ดี ให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น

• เปลี่ยนใบปัดน้ำฝน เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่จากน้ำและฝุ่นละอองต่างๆ

• เปลี่ยนถ่ายสารหล่อลื่น และของเหลวต่างๆรักษาการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆให้ไหลลื่นมีประสิทธิภาพ


เช็คด่วน 7 สัญญาณที่บ่งบอกว่าเครื่องยนต์กำลังมีปัญหา

 



1. ไฟเตือนเครื่องยนต์ (Check Engine) สว่างขึ้นบนหน้าปัดรถยนต์ ซึ่งเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าเครื่องยนต์ของคุณกำลังมีปัญหา

2. เมื่อเครื่องยนต์มีปัญหา คุณอาจพบว่ารถสตาร์ทติดยากขึ้น ต้องกดสวิตช์เปิดหลายรอบ

3. เครื่องยนต์มีรอบเดินเบา

4. เครื่องยนต์กำลังตก เร่งเครื่องไม่ขึ้น

5. ขณะขับขี่เครื่องยนต์มีอาการกระตุก

6. เครื่องยนต์ที่ชำรุดหรือมีปัญหาอยู่นั้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้พลังงานเชื้อเพลิงโดยตรง คุณอาจพบว่ารถของคุณต้องเติมน้ำมันบ่อยขึ้น

7. ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังผิดปกติ

เข้าใจเสียงผิดปกติของรถคุณ เสียงเครื่องยนต์ดัง มีแบบไหนบ้าง

 


 หากรถยนต์คู่ใจที่ใช้งานเป็นประจำทุกวัน เกิดอาการเครื่องยนต์เสียงดังผิดปกติ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า เครื่องยนต์มีปัญหา ซึ่งในส่วนนี้สามารถแยกปัญหาที่เกิดขึ้น ได้จาก “เสียงความผิดปกติ” ที่ดังออกมา โดยจะมีอาการที่มากน้อยแตกต่างกันออกไป หากคุณกำลังหาข้อมูลในส่วนนี้ เพื่อเตรียมรับมือก่อนเกิดเหตุการณ์จริงอยู่ มิสเตอร์ คุ้มค่า ได้รวบรวมรายละเอียดต่าง ๆ มาให้คุณเรียบร้อยแล้ว ไปติดตามพร้อม ๆ กันได้เลย

เครื่องยนต์เสียงดังผิดปกติเกิดจากอะไร?
 
ขอย้ำอีกครั้งว่า การที่เครื่องยนต์กำลังส่งสัญญาณเตือนด้วย “เสียง” ให้คุณได้รับทราบถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น มีมากมายหลากหลายเสียง แถมแต่ละเสียงก็ยังบ่งบอกปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงได้ลิสต์เสียงประเภทต่าง ๆ มาให้คุณได้ทำความเข้าใจเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว…


1. เสียงเหมือนโลหะกระทบกันแบบรัว ๆ
เสียงเครื่องยนต์ดัง แก๊กๆ เหมือนเสียงโลหะกระทบกันแบบรัว ๆ แม้จะไม่ใช่เสียงที่ดังมากมายขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถ “กวนใจ” คุณอยู่ไม่น้อย ซึ่งเสียงดังกล่าวเป็นการบ่งบอกถึงความผิดปกติของ “วาล์ว” หากเป็นรถเก่าจะหมายความว่าวาล์วสึกหรอตามการใช้งาน แต่ถ้าหากเป็นรถใหม่ ที่เพิ่งถอยออกมาไม่นาน หรือมีอายุการใช้งานไม่เท่าไหร่ ก็อาจจะเกิดจากว่าวาล์วมีระยะห่างที่คลาดเคลื่อน

 
2. เสียงเคาะหนัก ๆ
หากคุณได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังคล้ายเสียงเคาะแบบหนัก ๆ เป็นระยะ ๆ ให้ทำการ “แก้ไขทันที” เนื่องจากเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า “เครื่องยนต์บางอย่างสึกหรอ” ส่งผลให้รถเหวี่ยงไปมา จนทำให้เกิดเสียงดังดังกล่าวขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นอันตรายกับเครื่องยนต์อีกด้วย ในกรณีที่ไม่มีน้ำมันเครื่องหลงเหลืออยู่ เพื่อหล่อลื่นระบบต่าง ๆ ภายในเครื่องยนต์อีกแล้ว

 
3. เสียงดังเมื่อเลี้ยว
หากบริเวณล้อหน้า รวมถึงในตอนที่เลี้ยวรถ เกิดเสียงดังแกรก ๆ ขึ้นเมื่อใด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า “เพลาขับ” มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ยางหุ้มหัวเพลาฉีกขาด ตลับลูกปืนสึกหรอ/แตก รวมถึงลูกปืนไม่มีจาระบีหล่อลื่น ส่งผลให้เกิดการ “เสียดสี” จนเกิดเสียงดังกวนใจ แนะนำให้รีบแก้ไขโดยด่วน เพื่อป้องกันลูกปืนแตกจนเป็นปัญหาต่อการเลี้ยวรถ

 
เสียงแหลมๆ
ในกรณีที่เพิ่งสตาร์ทรถ แล้วเกิดเสียงดังแหลม ๆ ขึ้นมาล่ะก็ ชัดเลยว่า “สายพานเก่า หรือกระด้าง” ซึ่งในส่วนของสายพานรถยนต์ ก็มีหลายจุดที่จำเป็นจะต้องตรวจเช็ก ไม่ว่าจะเป็น สายพานแอร์ สายพานไดชาร์จ หรือสายพานพวงมาลัย หากตรวจเช็กแล้วพบว่า “เก่าหรือแข็งกระด้างเกินไป” ก็ควรจะต้องเปลี่ยนใหม่ทันที แถมเส้นที่เปลี่ยนก็จำเป็นจะต้องมีคุณภาพ เพียงพอที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาในอนาคต

 
4. เสียงดังเวลาเร่งเครื่อง
ในตอนที่คุณกำลังเร่งเครื่องเพื่อแซง หรือใช้งานปกติทั่วไปแล้วเกิดมีเสียงดัง “ปัง ๆ” เกิดขึ้น บอกตรงนี้เลยว่า “ จุดระเบิดเครื่องยนต์ ” มีปัญหาเข้าแล้วล่ะ ส่งผลให้การเผาไหม้ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น โดยอาการแบบนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ วาล์วจ่ายน้ำมัน หัวเทียน กรองอากาศ คอยล์จุดระเบิด และจานจ่าย เป็นต้น หากคุณไม่มั่นใจ แนะนำให้นำรถยนต์คู่ใจไปตรวจเช็กกับผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด

 
5. เสียงดังใต้ท้องรถ
ในขณะที่กำลังใช้รถใช้ถนน แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเสียงเอี๊ยด ๆ อ๊าด ๆ บริเวณใต้ท้องรถ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกว่ารถของคุณกำลังส่งสัญญาณเตือนเรื่องอะไร แนะนำให้จอดรถและส่งใต้ท้องรถให้ดีซะก่อน ว่ามีอะไรเกี่ยวใต้ท้องรถอยู่หรือไม่ หรือมีอะไหล่รถยนต์ส่วนไหนหลุดออกมาขูดกับพื้นถนนหรือเปล่า

 
หากตรวจเช็กหมดทุกอย่างแล้ว พบว่าไม่มีอะไรเกี่ยวหรือหลุดออกมา และเสียงดังกล่าวยังคงอยู่ ไม่หายไปไหน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเกิดจาก “การขยับของเพลากลาง หรือท่อไอเสีย” ที่อาจเกิดการฉีกขาด ชำรุด หรืออื่น ๆ จนส่งผลให้เกิดการกระทบกับตัวเครื่อง

 
6. เสียงดังขณะตกหลุมหรือใช้รถบนทางขรุขระ
หากในตอนที่คุณเดินทางบนเส้นทางที่ถนนไม่ได้เรียบมากมายนัก แล้วเกิดเสียงดังที่บริเวณล้อข้างใดข้างหนึ่ง อาจเกิดจาก “ลูกปืนล้อแตก” รวมถึงสาเหตุจาก “โช้คเสื่อมสภาพ” แนะนำให้เปลี่ยนทันที เพราะถ้าหากฝืนใช้รถต่ออาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ แถมการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ในส่วนนี้ยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย

 
และทั้งหมดนี้คือ “เสียงสัญญาณเตือน” ที่คุณจะต้องหมั่นสังเกตเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว ยังมีเสียงดังรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย ที่บ่งบอกถึงปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เสียงดังวืด ๆ ที่บอกถึงปัญหาของยางล้อรถ, เสียงผิดปกติเมื่อเหยียบเบรก ที่บอกถึงปัญหาของผ้าเบรก เป็นต้น แต่ไม่ว่ารถของคุณจะส่งเสียงเตือนในรูปแบบใด การนำรถไปตรวจเช็กโดยผู้เชี่ยวชาญ จะดูเป็น “ทางเลือก” ที่ดีที่สุดแล้ว อย่าได้คิดปล่อยปละละเลยเด็ดขาด !

 
ต้องขอย้ำอีกครั้งว่า เสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากรถยนต์คู่ใจของคุณนั้น ล้วนเป็น “สัญญาณเตือน” ที่คุณไม่ควรมองข้าม หรือผลักปัญหาต่าง ๆ ไว้ภายหลังเด็ดขาด เนื่องจากเสียงต่าง ๆ นั้นล้วนเป็น “สาเหตุ” ที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของอะไหล่รถยนต์ ไม่ว่าจะส่วนใดส่วนหนึ่งก็ตาม แม้ว่าบางเสียงอาจจะดูเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย แต่การปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่ตรวจเช็กหรือแก้ไขในทันที อาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงจนถึงขั้นแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไม่ไหวกันเลยทีเดียว นอกจากบทความรู้ดี ๆ และข่าวสารด้านยานยนต์ต่าง ๆ แล้ว มิสเตอร์ คุ้มค่า ยังพร้อมดูแลคุณ ด้วยบริการเปรียบเทียบประกันรถยนต์ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินออนไลน์ ให้ทุกคนเข้าถึงง่าย สะดวก และโปร่งใส เพื่อให้คุณได้รับข้อเสนอที่ดีและคุ้มค่าที่สุด


ไม่อยากปวดหัวกับปัญหารถเสีย ต้องดูแลรถแบบนี้ !

 


หลังจากทำความเข้าใจไปแล้วว่า ปัญหารถเสียคร่าว ๆ ที่หลายคนพบเจออยู่บ่อยครั้งมีอะไรบ้าง และมีวิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นอย่างไร คงจะมองเห็นถึงความยุ่งยากและน่าปวดหัวกันแล้วใช่ไหมล่ะ ? หากคุณไม่ต้องการเผชิญหน้ากับปัญหาดังกล่าว แนะนำให้ดูแลรถให้ดี และเราได้รวบรวม “เคล็ดลับดูแลรักษารถเบื้องต้น” มาให้คุณทำความเข้าใจแล้ว

1. ขับขี่อย่างนุ่มนวล
การขับขี่อย่างนุ่มนวลในที่นี้ เหมาะรวมตั้งแต่ “การออกตัว” อย่าคิดออกตัวรถยนต์แบบกระโชกโฮกฮากเด็ดขาด รวมถึงควรเว้นระยะเบรคอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และรักษาความสมบูรณ์ของตัวรถให้ยาวนานกว่าเดิม

2. เช็กระยะสม่ำเสมอ
ไม่ว่ารถยนต์คู่ใจของคุณจะเป็นรถใหม่ป้ายแดง หรือรถยนต์ที่ใช้งานมานานแล้วก็ตาม การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือการตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ (อะไหล่รถยนต์) ตามระยะที่กำหนด จะช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวรถ และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

3. จอดรถในที่ร่ม
การจอดรถยนต์ในที่ร่ม นับเป็นวิธีการดูแลรักษารถยนต์ที่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน พยายามหาที่จอดรถในร่วม เพื่อรักษาสีของตัวรถ รวมถึงเพื่อป้องกันห้องโดยสารโดนความร้อนจากแดดแผดเผา นอกจากนี้แนะนำให้ใช้แผงกันแดดบังคอนโซลรถ เพื่อป้องกันความเสียหายของวัสดุต่าง ๆ ที่ทำจากพลาสติก

4. ล้างห้องเครื่องรถยนต์
มือใหม่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า การล้างห้องเครื่องรถยนต์เป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลรักษารถด้วยเช่นกัน ซึ่งแนะนำให้ล้าง “อย่างน้อย” ปีละ 1 ครั้ง เพราะถ้ารถยนต์ของคุณมีห้องเครื่องที่สะอาด จะช่วยให้อุณหภูมิการทำงานต่ำกว่าเครื่องยนต์ที่สกปรก

5. ดูแลยางรถยนต์
ไม่ว่าคุณจะใช้รถในเมือง หรือออกต่างจังหวัดบ่อย ๆ สิ่งที่ควรทำคือ “ตรวจสอบแรงดันลมยาง” อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการเติมลมยางตามคู่มือรถยนต์ “อย่างน้อย” เดือนละ 2 ครั้ง นอกจากจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่แล้ว ยังช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นอีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือเคล็ดลับดูแลรักษารถยนต์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น ที่คุณสามารถทำได้เองง่าย ๆ และไม่ก่อให้เกิดความยุ่งยากแม้แต่น้อย หากคุณสามารถทำตามเคล็ดลับดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เพียงเท่านี้คุณก็มีโอกาสพบเจอปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะตามมาได้น้อยลงแล้วล่ะ !

วิธีรับมือรถเสีย วิเคราะห์เบื้องต้นสำหรับผู้ใช้รถทั่วไป

 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหารถเสีย ไม่ว่าจะปัจจัยต่าง ๆ คุณควรมีวิธีการรับมือรถเสียให้ได้มากที่สุด เริ่มแรกจากการสังเกตความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อหาวิธีแก้ไขเบื้องต้น นอกจากนี้ยังควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็คสภาพรถและความพร้อมของรถยนต์อยู่เสมอ เพื่อคลายความกังวล มิสเตอร์ คุ้มค่าได้รวบรวมรายละเอียดที่น่าสนใจ มาให้ผู้ใช้รถทุกคนควรรู้ เพื่อให้การเดินทางราบรื่น เกิดอุปสรรคต่าง ๆ น้อยที่สุด ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ? ไปติดตามพร้อม ๆ กันเลย

เมื่อรถเสียกลางทาง จะวิธีรับมืออย่างไร

ในกรณีที่รถเสียระหว่างทาง หลายคน (โดยเฉพาะมือใหม่) เรียกช่างมาดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว อาจเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่จะมีวิธีการรับมืออย่างไร? ไปดูกันเลย


เทคนิคแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อรถเสีย

ในระหว่างการเดินทางหากพบว่ารถสตาร์ทไม่ติด หรือเครื่องดับเอง สิ่งแรกที่ควรทำคือ “เปิดไฟฉุกเฉิน” เพื่อส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมทาง หลังจากนั้นให้หาทางเบี่ยงหรือหลบหลีกไปทางอื่น เมื่อจอดรถเข้าที่เข้าทางแล้ว เริ่มตรวจสอบปัญหาเบื้องต้น

1. แบตเตอรี่รถยนต์หมด รถสตาร์ทไม่ติด

กรณีที่คุณสตาร์ทรถไม่ติด ไม่มีเสียงการทำงานของไดสตาร์ท ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า “แบตเตอรี่รถยนต์หมด” วิธีการแก้ไขคือ “พ่วงแบตเตอรี่” เริ่มจากปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถยนต์ และขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อทำการต่อสายพ่วง ตรวจเช็กให้แน่ใจว่าสายพ่วงต่อดีแล้วหรือไม่ จากนั้นให้สตาร์ทเครื่องยนต์คันที่มีแบตเตอรี่ ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องเล็กน้อย เพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า

เมื่อทำทุกขั้นตอนครบถ้วนแล้ว ลองสตาร์ทรถของคุณและเร่งเครื่องประมาณ 1,500-2,000 รอบ-นาที เพื่อเช็กดูว่าประจุไฟฟ้าเข้าหลังการชาร์จหรือไม่ ในกรณีที่เครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าผ่านไปได้ด้วยดี ให้ทำการสตาร์ทรถทิ้งไว้ 30 นาที หรือรีบพารถเข้าศูนย์บริการสำหรับเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ หรือตรวจเช็กเครื่องยนต์

2. ท่อไอเสียชำรุด

ท่อไอเสียชำรุด เป็นอีกหนึ่งปัญหาหลัก ๆ ที่ทำให้รถเสียกลางทางก็ว่าได้ เมื่อรถออกตัวไปได้สักระยะหนึ่ง แล้วพบว่าท่อไอเสียขาดแล้วครูดไปกับท้องถนน ให้เปิดไฟฉุกเฉินและรีบเข้าข้างทางทันที อย่าปล่อยให้ครูดกับถนนเป็นเวลานาน เพราะอาจจะทำให้ปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้

วิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคือ ให้หาลวดมาผูกมัดเพื่อใช้งานแบบชั่วคราวไปก่อน ไม่แนะนำให้ใช้เชือกเพราะความร้อนจากท่อจะทำให้เชือกขาด ท่อไอเสียจะหล่นลงมาอีกครั้ง และก่อให้เกิดความเสียหายที่หนักกว่าเดิม

3. เสียงผิดปกติในเครื่องยนต์

ปกติแล้วการทำงานของเครื่องยนต์จะไม่ค่อยมีเสียงที่ดังผิดปกติ หรือเสียงที่แปลกไปจากเดิม โดยเฉพาะ “เสียงเหล็กกระทบกัน” ซึ่งทางการช่างเรียกกันว่า “เสียงน๊อก” หากได้ยินให้ทำการอัดเสียงไว้ก่อน หรือจะเป็นการถ่ายคลิปวิดีโอก็ได้ เพื่อใช้ประกอบการอธิบายปัญหาให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจหาสาเหตุต่อไป

ในกรณีที่เป็น “เสียงจี๊ด ๆ” (คล้ายกับเสียงหนูร้อง) ในขณะที่เบรค ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลังก็ตาม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเกิดจาก “ผ้าเบรค” แนะนำให้รีบหาเวลาไปเปลี่ยนผ้าเบรคโดยเร็วที่สุด หากปล่อยไว้นานรับรองว่าชุดจานเบรคได้รับความเสียหายตามมาแน่นอน

4. น้ำมันท่วม

ในกรณีที่รถยนต์ของคุณจอดนิ่งอยู่กับที่ เมื่อสตาร์ทหลายครั้งกลับไม่มีท่าทีว่าจะสตาร์ทติดได้ง่าย ๆ รวมถึงได้กลิ่นฉุนของน้ำมันลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า “น้ำมันท่วมคาร์บูเรเตอร์และลูกลอย” แนะนำให้รอประมาณ 10 นาที เพื่อให้น้ำมันเกิดการระเหย หลังจากนั้นให้ลองทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง

ปัญหารถเสียที่เรานำมาบอกต่อเมื่อข้างต้น เป็นเพียงแค่ “ส่วนหนึ่ง” เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลาย ๆ เรื่อง ที่ไม่ว่าจะเอาออกมาพูดเท่าไหร่ก็พูดไม่หมดสักที วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือคุณควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อเช็คสภาพรถและเปลี่ยนอะไหล่รถให้ตรงตามเวลาที่กำหนดเสมอ นอกจากนี้อย่าลืมเตรียมเบอร์กู้ภัย หรือเบอร์โทรฉุกเฉิน ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจะได้แก้ไขได้อย่างทันท่วงที

เครื่องยนต์ดีเซล: การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ดีเซล

 


การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ดีเซล

เครื่องยนต์ดีเซลมีชื่อเสียงในเรื่องอายุการใช้งานที่ยาวนานหากได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี อายุการใช้งานที่ยาวนานของเครื่องยนต์ดีเซลต้องอาศัยการบำรุงรักษา ซึ่งหมายถึงการซ่อมบำรุงฮาร์ดแวร์อย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและน้ำมันเครื่องยนต์ดีเซลที่ช่วยหล่อลื่นและระบายความร้อนของเครื่องยนต์ รวมถึงการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสมรรถนะสูง

  ✔ น้ำมันเชื้อเพลิง Crown HVO
  ✔ เชื้อเพลิงชดเชยคาร์บอน
  ✔ เชื้อเพลิง DERV จำนวนมาก
  ✔ น้ำมันทำความร้อนอุตสาหกรรม
  ✔ เรดดีเซล
  ✔ น้ำมันทำความร้อนในบ้าน
  ✔ น้ำมันก๊าด
  ✔ น้ำมันหล่อลื่น
  ✔ ผลิตภัณฑ์เสริม
  ✔ ไบโอดีเซล

เครื่องยนต์ดีเซล: เตาเผาและหม้อไอน้ำดีเซล

 


เตาเผาและหม้อไอน้ำดีเซล

กลไกการทำงานของหม้อไอน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล (น้ำมันแก๊สหรือน้ำมันเตาเชิงพาณิชย์) แตกต่างจากเครื่องยนต์ดีเซล กล่าวคือ เชื้อเพลิงจะถูกทำให้เป็นละอองภายใต้แรงดัน และประกายไฟจะเผาไหม้เชื้อเพลิง เชื้อเพลิงที่เผาไหม้แล้วจะให้ความร้อนแก่น้ำในท่อ จากนั้นน้ำร้อนจะไหลผ่านระบบทำความร้อนส่วนกลาง ทำให้คุณสมบัติต่างๆ อุ่นขึ้น และให้น้ำร้อนแก่น้ำประปา

เครื่องยนต์ดีเซล: เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล

 



เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล

สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันก๊าซ เครื่องยนต์จะคล้ายกับรถยนต์ โดยมีความแตกต่างที่สำคัญคือ เครื่องยนต์จะเชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งผลิตกระแสไฟฟ้า

เครื่องยนต์ดีเซล: การลดปฏิกิริยาแบบเลือกเร่งปฏิกิริยา (SCR)

 


การลดปฏิกิริยาแบบเลือกเร่งปฏิกิริยา (SCR)

หากคุณใช้เครื่องยนต์ดีเซล Euro 6 รุ่นใหม่ ควันไอเสียจะถูกส่งไปยังระบบ SCRเพื่อกำจัดมลพิษที่เป็นอันตรายโดยใช้ของเหลวไอเสียดีเซล (AUS 32 หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าAdBlue )

ในระบบ SCR ตัวเร่งปฏิกิริยา SCR จะผสมควันไอเสียกับของเหลวเครื่องยนต์ดีเซล AdBlue ส่งผลให้อนุภาค NOx ลดลงเหลือ NH3 (แอมโมเนีย) และน้ำถูกขับออกจากวาล์วไอเสีย

เนื่องจากน้ำยาไอเสียถูกเติมเข้าไปในระบบดีเซล จึงจำเป็นต้องใช้ AdBlue ที่เป็นไปตามข้อกำหนด ISO 22241เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อเครื่องยนต์จากอนุภาคแปลกปลอม Crown Oil จัดจำหน่าย AdBlue® ทั่วสหราชอาณาจักรให้แก่ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม

เครื่องยนต์ดีเซล: การลดการปล่อยมลพิษในเครื่องยนต์ดีเซล

 




การลดการปล่อยมลพิษในเครื่องยนต์ดีเซล

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เครื่องยนต์ดีเซลต้องเป็นไปตามมาตรฐานยูโร 6 เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ เครื่องยนต์จึงติดตั้งระบบต่างๆ ไว้ดังนี้:

การหมุนเวียนก๊าซไอเสีย (EGR)
ระบบ EGR ถูกออกแบบมาเพื่อลดมลพิษโดยเฉพาะการปล่อย NOx ที่ออกมาจากท่อไอเสีย

ตัวเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันดีเซล (DOC)
DOC จะออกซิไดซ์เชื้อเพลิงที่ยังไม่เผาไหม้ให้เป็น CO2 ด้วยเหตุนี้ จึง ป้องกันไม่ให้ ไฮโดรคาร์บอนที่มีอยู่ในเชื้อเพลิงถูกพัดออกทางท่อไอเสีย

ตัวกรองอนุภาคดีเซล (DPF)
ตัวกรองอนุภาคดีเซลทำหน้าที่ลดอนุภาค (ควัน) จากควันไอเสีย ช่วยให้มั่นใจได้ว่าก๊าซไอเสียจะสะอาดและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามมาตรฐาน Euro 6


เครื่องยนต์ดีเซล: ระบบเครื่องยนต์ดีเซล

 


ระบบเครื่องยนต์ดีเซล

แม้ว่าจะมีการใช้งานเครื่องยนต์ดีเซลมากมาย แต่ระบบโดยรวมก็เหมือนกัน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์สี่จังหวะ ซึ่งหมายความว่ากำลังจะถูกควบคุมในสี่ขั้นตอน (รอบจังหวะ) ซึ่งเราจะอธิบายต่อไป

ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ในเครื่องยนต์ เชื้อเพลิงจะถูกสูบจากถังไปยังเครื่องยนต์ เชื้อเพลิงจะผ่านตัวกรองเชื้อเพลิง ซึ่งจะกำจัดอนุภาคต่างๆ ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์หรืออุดตันหัวฉีดเชื้อเพลิง เช่นคราบสกปรกจากเครื่องยนต์ดีเซลหรือในสภาพอากาศหนาวเย็นไบโอดีเซล FAME ที่ผ่านการเคลือบแว็กซ์ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามากมายในฤดูหนาวที่หนาวเย็นจนถึงจุดที่บางครั้งโรงกลั่นน้ำมันลดปริมาณไบโอดีเซล 7% ในน้ำมันดีเซลแดงที่ใช้ในภาคเกษตรกรรม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร


จังหวะที่ 1 – จังหวะไอดี

เชื้อเพลิงในปริมาณที่เหมาะสมจะถูกนำเข้าผ่านระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงและผสมกับอากาศในลูกสูบซึ่งลูกสูบจะถูกอัด

จังหวะที่ 2 – จังหวะอัด
วาล์วไอดีปิดลงและเริ่มมีการบีบอัด ส่งผลให้มีอากาศอัดและเชื้อเพลิง

จังหวะที่ 3 – จังหวะการเผาไหม้
เชื้อเพลิงและอากาศภายใต้แรงดันสูงจะเกิดการติดไฟ ปล่อยควันของดีเซลที่จุดระเบิดออกมา

จังหวะที่ 4 – จังหวะไอเสีย
ก๊าซจากการเผาไหม้ที่ใช้แล้วจะถูกบีบออกจากวาล์วไอเสีย ผ่านท่อร่วมไอเสีย และเข้าไปในด้านกังหัน (ไอเสีย) ของเทอร์โบชาร์จเจอร์





เทอร์โบชาร์จเจอร์

หลังจากจังหวะไอเสีย ไอเสียที่เหลือจะถูกส่งต่อไปยังเทอร์โบชาร์จเจอร์ เทอร์โบชาร์จเจอร์จะอัดอากาศเข้าไปในกระบอกสูบ ซึ่งจะเพิ่มปริมาณออกซิเจน ส่งผลให้การเผาไหม้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อันที่จริง กระบวนการเทอร์โบชาร์จเจอร์สามารถเพิ่มกำลังของรถยนต์ดีเซลได้ 50% และลดการใช้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ลงได้ประมาณ 25%


donate your car today | donate your vehicle | donating a car for taxes | donating car in california | donating my car tax deduction | donating used cars to charity | donation for cars | how donate car | how to donate a car | how to donate a car in california | how to donate my car | how to donate your car | i want to donate my car | junk car donation | places to donate cars | sacramento car donation | tax break for donating a car | tax deduction car donation | tax deduction for car donation | vehicle donate | vehicle donation | where can i donate my car | where to donate a car | where to donate car | where to donate my car

หมวดหมู่ยานยนต์

 
Support : A | B | C
Copyright © 2016. เทคโนโลยียานยนต์ - All Rights Reserved