📖 คู่มือการเลือกน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic Oil) ที่ถูกต้อง: ค่า API, ACEA และความหนืด
การเลือกน้ำมันเครื่องที่ถูกต้องคือหัวใจสำคัญในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic Oil) ที่มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นและทนความร้อนได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องพื้นฐานทั่วไป การอ่านฉลากน้ำมันเครื่องอย่างเข้าใจจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเน้นที่ 3 ปัจจัยหลัก: มาตรฐาน API, มาตรฐาน ACEA และเบอร์ความหนืด (SAE Viscosity)
1. มาตรฐานความหนืด (SAE Viscosity Grade)
มาตรฐานความหนืดกำหนดโดย SAE (Society of Automotive Engineers) เป็นตัวเลขที่บอกคุณสมบัติการไหลของน้ำมันที่อุณหภูมิต่างกัน
🔢 การอ่านเบอร์ความหนืด (เช่น 5W-40):
ตัวเลขหน้า W (เช่น 5W): คือความสามารถในการคงความข้นใสใน อุณหภูมิต่ำ (Winter) ตัวเลขยิ่งน้อย น้ำมันยิ่งไหลตัวได้ดีเมื่อเครื่องยนต์เย็นหรือติดลบ (ในไทย ตัวเลขนี้ไม่ค่อยมีผลนัก แต่เลขน้อยจะช่วยให้สตาร์ทง่ายขึ้น)
ตัวอย่าง: 0W ไหลดีกว่า 5W
ตัวเลขหลัง W (เช่น 40): คือค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องเมื่อเครื่องยนต์ทำงานที่ อุณหภูมิสูง (วัดที่ $100 \text{ องศาเซลเซียส}$) ตัวเลขยิ่งมาก น้ำมันยิ่งหนืดมาก
รถรุ่นใหม่: มักระบุให้ใช้เบอร์ความหนืดต่ำ เช่น 20 หรือ 30 เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานและประหยัดน้ำมัน (เช่น 0W-20, 5W-30)
รถเก่า/รถใช้งานหนัก: มักต้องใช้เบอร์ความหนืดสูงขึ้น เช่น 40 หรือ 50 เพื่อสร้างฟิล์มน้ำมันที่แข็งแรงและลดการสึกหรอ
💡 ความหนืดที่เหมาะสม:
อ้างอิงตามคู่มือรถยนต์เป็นหลัก และปรึกษาช่างหากต้องการปรับเพิ่ม/ลด 1 เบอร์ เมื่อรถมีอายุการใช้งานสูง
2. มาตรฐานคุณภาพ API (American Petroleum Institute)
API คือมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเครื่องจากสหรัฐอเมริกา ที่แบ่งตามประเภทเครื่องยนต์และระดับคุณภาพ:
| สัญลักษณ์ | ความหมาย | รายละเอียด | 
| S | Service/Spark (เครื่องยนต์เบนซิน) | ตามด้วยตัวอักษร A-P (เรียงตามคุณภาพจากต่ำไปสูง) ปัจจุบันสูงสุดคือ API SP (SP ดีกว่า SN, SM) | 
| C | Commercial/Compression (เครื่องยนต์ดีเซล) | ตามด้วยตัวอักษร A-K (ปัจจุบันสูงสุดคือ API CK-4) | 
🔑 หลักการเลือกใช้ API:
ใช้มาตรฐานที่กำหนดหรือสูงกว่า: หากคู่มือรถระบุให้ใช้ API SN คุณสามารถใช้ API SP ได้ เพราะน้ำมันเครื่องที่มีมาตรฐานใหม่กว่าย่อมมีคุณสมบัติที่ดีกว่าและใช้แทนมาตรฐานเก่าได้เสมอ (ยกเว้นกรณีพิเศษที่ผู้ผลิตระบุห้ามใช้)
3. มาตรฐานคุณภาพ ACEA (European Automobile Manufacturers Association)
ACEA เป็นมาตรฐานของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป ซึ่งเข้มงวดกว่า API ในบางด้าน โดยเฉพาะเรื่องการปกป้องเครื่องยนต์และการรองรับระบบควบคุมไอเสียสมัยใหม่ (เช่น DPF/GPF)
📝 การแบ่งกลุ่ม ACEA:
A/B (High SAPS): สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (A) และดีเซลงานเบา (B) ที่ไม่มี ตัวกรองอนุภาคไอเสีย (DPF/GPF)
ตัวอย่าง: A3/B4 (เน้นการปกป้องสูง, เหมาะกับรถสมรรถนะสูง)
C (Low/Mid SAPS): สำหรับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลงานเบา ที่มี ตัวกรองอนุภาคไอเสีย (DPF/GPF)
ตัวอย่าง: C3, C5 (มีปริมาณสารกำมะถัน, ฟอสฟอรัส, เถ้าซัลเฟตต่ำ เพื่อป้องกันการอุดตันของ DPF/GPF)
E (Heavy Duty): สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลงานหนัก (รถบรรทุกและรถโดยสารเชิงพาณิชย์)
🇩🇪 ความสำคัญสำหรับรถยุโรป:
รถยนต์ยุโรปส่วนใหญ่ (BMW, Mercedes-Benz, Audi, VW) มักระบุให้ใช้มาตรฐาน ACEA ควบคู่ไปกับมาตรฐานเฉพาะของผู้ผลิต (OEM Approval) เช่น VW 504.00/507.00, MB 229.51 หากรถของคุณมีระบบ DPF/GPF ต้องเลือกน้ำมันเครื่องในกลุ่ม C เท่านั้น
🎯 การเลือกน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ถูกต้องสำหรับรถแต่ละประเภท
| ประเภทรถยนต์ | มาตรฐาน API ที่แนะนำ | มาตรฐาน ACEA ที่แนะนำ | เบอร์ความหนืด (SAE) ที่พบบ่อย | 
| รถยนต์เบนซินรุ่นใหม่ | API SP (หรือ SN Plus) | A5/B5 (เน้นประหยัด) หรือ C2, C5 | 0W-20, 5W-30 | 
| รถยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ (มี DPF/GPF) | API CK-4 (หรือ CF-4) | C3, C5 (Low/Mid SAPS) | 5W-30, 0W-40 | 
| รถสมรรถนะสูง/รถยุโรปเก่า | API SP | A3/B4 | 5W-40, 10W-60 | 
ข้อสรุป: การเลือกน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ถูกต้องต้องพิจารณาทั้ง ความหนืด (ตามอุณหภูมิใช้งานและอายุเครื่องยนต์), คุณภาพ API (ตามประเภทเครื่องยนต์และเทคโนโลยี) และ มาตรฐาน ACEA (โดยเฉพาะรถยุโรปที่มีระบบกรองไอเสีย) หากไม่แน่ใจ จงเลือกตามที่ระบุในคู่มือรถยนต์ของคุณ
| มาตรฐานหลัก | API, ACEA, SAE, ILSAC, มาตรฐานน้ำมันเครื่อง | 
| ส่วนประกอบ | น้ำมันเครื่องสังเคราะห์, SyntheticOil, ความหนืดน้ำมันเครื่อง, เกรดน้ำมันเครื่อง | 
| เครื่องยนต์ | เครื่องยนต์เบนซิน, เครื่องยนต์ดีเซล, DPF, GPF, เครื่องยนต์เทอร์โบ | 
| การเลือกใช้ | วิธีเลือกน้ำมันเครื่อง, เบอร์ความหนืด, ตารางน้ำมันเครื่อง, ดูแลรถยนต์, บำรุงรักษาเครื่องยนต์ |